วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน บรรลุมรรคผลขณะสวดมนต์ได้ไหม?


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน บรรลุมรรคผลขณะสวดมนต์ได้ไหม?
วันที่ 25 กรกฎาคม 2563

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม

สำหรับวันนี้หัวข้อก็บอกว่า บรรลุมรรคผลขณะสวดมนต์ได้ไหม

จริงๆ แล้วนี่ คำถามดั้งเดิมถามว่า ขณะขับรถ ถ้าเจริญสติไปแล้วบรรลุมรรคผลขึ้นมาจะเกิดอุบัติเหตุไหม อะไรแบบนี้ ก็เกิดความกังวล เกิดความกังขาอะไรกันขึ้นมา เพราะว่าบางคนนี่ ก็เหมือนกับว่าเจริญสติ จนกระทั่งเกิดความเคยชิน ที่จะรู้ลมหายใจเข้าออก หรือว่ารู้สภาพความเคลื่อนไหวทางกายอะไรต่างๆ จนบางที ติดไปในขณะอยู่ในชีวิตประจำวัน เป็นอัตโนมัติ

ก็เลยเกิดความกังขาขึ้นมา เวลาที่ขับรถอยู่ เอ๊ะ นี่ตอนนี้กำลังรู้กาย รู้ว่ากำลังหายใจเข้าออก รู้ว่าสภาวะจิตกำลังเป็นอย่างไรอยู่ กำลังฟุ้งซ่านมาก กำลังฟุ้งซ่านน้อย แล้วก็บางทีสงสัยขึ้นมา เวลาที่เกิดความเห็นชัดนะ ว่า นี่กายใจไม่ใช่ตัวเรา ในขณะขับรถ มันคล้ายๆ หุ่นกำลังทำอะไรอยู่นะ แล้วก็ตัวหุ่นนั้น เหมือนกับเป็นไปแบบออโต้ไพล็อต ขับรถแบบอัตโนมัตินะ ไม่มีผู้ที่เป็นบุคคลมานั่งขับรถอยู่ เลยมีคำถามตรงนี้ขึ้นมา

ทีนี้ ผมมาเปลี่ยนหัวข้อนิดหนึ่ง กลายเป็นว่า ถ้ากำลังสวดมนต์นี่ บรรลุมรรคผลได้ไหม จะได้มีความเข้าใจที่ครอบคลุมมากขึ้นนะครับ

หลายคนก็เหมือนกับมีความคาดหวังนะ เวลาที่สวดมนต์ แล้วเกิดสมาธิ เกิดความรู้สึกราวกับว่า สภาพทางกายทางใจนี่ ปรากฏเด่นชัด ราวกับไม่ใช่ตัวตนอะไรแบบนี้ ก็คล้ายๆ กันกับตัวคำถามที่ว่า ขับรถแล้วมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ไหม

แต่ว่าการมาพูดถึงการสวดมนต์นี่ จะชัดเจนกว่านะ แล้วก็ครอบคลุมกว่า

ทีนี้เริ่มต้น เพื่อทำความเข้าใจตรงนี้ มันจะเป็นประโยชน์ด้วยนะ เพราะว่าเวลาที่คนนึกถึงการบรรลุมรรคผลนี่ จะนึกไม่ออกว่าเขาบรรลุมรรคผลกันอย่างไร แล้วก็บรรลุกันด้วยอิริยาบถไหน นั่งสมาธิเหรอ หรือว่าเดินจงกรมไหม หรือว่าทำอะไรอยู่

สิ่งแรกที่จะต้องเป็นความเข้าใจพื้นฐาน ที่แม่นยำนะครับ การบรรลุมรรคผล ก็คือการได้มรรคจิต และ ผลจิต พูดง่ายๆ บรรลุด้วยจิตนะครับ ไม่ใช่บรรลุด้วยท่าทาง ไม่ได้บรรลุด้วยกิจกรรมแบบใดแบบหนึ่งนะ

อย่างในสมัยพุทธกาลที่มีการบรรลุธรรมกันโครมคราม บางคนกำลังฟังเพลงอยู่ด้วยซ้ำ คือเหมือนกับอยู่ในบ้าน แล้วก็ได้ยินคนร้องเพลง เดินผ่านหน้าบ้านแล้วก็ร้องเพลง เสร็จแล้วก็มีการพิจารณาธรรมจากเพลง จะกระทบเข้ามาสู่โสตประสาทนะครับ แล้วก็ดูปฏิกิริยาทางใจของตัวเอง พิจารณาตามธรรม แล้วก็มีการบรรลุมรรคผล

นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ว่า แม้กระทั่งว่าฟังเพลงอยู่ แต่ว่าจิตมีความพร้อม เหมือนกับดอกไม้ที่พร้อมจะบาน เหมือนกับดอกบัวพร้อมจะแย้มออกมา มีความเหมือนกับโน้มเอียงอยู่แล้วว่า จะได้มีสิทธิ์บรรลุธรรมขึ้นมา มันอยู่ในอิริยาบถไหน ทำอะไรอยู่ เป็นไปได้ทั้งสิ้นนะครับ

เพราะว่า อันนี้ย้ำนะ การบรรลุธรรม บรรลุด้วยจิต ไม่ใช่บรรลุด้วยท่าทาง
ถ้าจิตมีความพร้อมเมื่อไหร่ ก็นั่นแหละที่มีสิทธิ์จะบรรลุเมื่อนั้นนะ

ทีนี้ พอได้ภาพรวม ภาพใหญ่ว่า ท่านบรรลุธรรมกันด้วยจิต ไม่ใช่ด้วยท่าทางทางกาย แบบใดแบบหนึ่ง ก็มีความเข้าใจที่ต่อยอดไปได้ว่า แล้วอยู่ในอิริยาบถไหน ที่ทำให้เกิดการดำเนินจิตมาเห็นว่า กายใจนี้ ไม่เที่ยงได้

อันนี้ก็ หากฝึกมาตามที่พระพุทธเจ้าทรงปูทางไว้ในสติปัฏฐาน ก็จะเห็นว่า คนที่ฝึกหายใจให้เป็น หายใจจนรู้ว่า ลมหายใจนี่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน สักแต่เป็นธาตุลม อิริยาบถ ไม่ว่าจะอยู่ในท่าทางไหนๆ กำลังช้าหรือเร็วก็ตาม มันสักแต่เป็นกาย กายนี้เป็นธาตุ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มีอันจะต้องแตกสลายไปเป็นธรรมดา

แล้วถ้าหากเห็นว่า ในธาตุ 4 นี้ มันให้ความรู้สึกเป็นสุข หรือเป็นทุกข์อยู่ในปัจจุบันนะครับ จนกระทั่งสามารถแยกได้ว่า สุขก็ไม่เที่ยง หรือทุกข์ก็ไม่ทน ไม่สามารถที่จะมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง จะอึดอัดก็ดี หรือว่าสบายก็ดี อยู่ได้ตลอดไปถาวร

อันนี้ พูดง่ายๆ คือ พอเราสามารถที่จะเห็นภาวะทางกาย หรือทางใจ โดยความเป็นของไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน ที่กิจกรรมใดๆ ก็ตาม
กิจกรรมนั้นๆ เป็นไปได้ ที่จะบรรลุธรรมที่จิต จิตมีสิทธิ์บรรลุธรรมได้ในกิจกรรมนั้นๆ

ทีนี้ก็ต้องถามตัวเองว่า การที่คุณอยากรู้ว่า สวดมนต์แล้วมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้หรือเปล่า หรือขับรถ หรืออะไรก็ตาม คืออย่างถ้าขับรถนี่ โอกาสที่จิตจะตั้งมั่น รวมลงขนาดบรรลุมรรคผล มันยากมาก มันเป็นไปแทบไม่ได้ เพราะว่าตานี่ ต้องจับอยู่กับถนน มันไม่เหมือนกับการสวดมนต์

การสวดมนต์นี่นะ ถ้าจิตตั้งมั่น เด่นด่วง คือถามตัวเองเลยนะ ตอนที่คุณสวดมนต์ จิตคุณเคยไหม ที่มีความตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา แล้วเห็นทั่วพร้อมได้เอง โดยไม่ต้องเพ่งเล็ง

นี่ ตัวนี้นะ สำคัญนะ คือลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิมากพอที่จะเกิดอัตโนมัติ รู้ ทั่วสรรพางค์กาย ทั่วองคาพยพ รวมทั้งสภาวะอันเป็นสุข อันเป็นที่สบายหรือว่า ภาวะที่มันฟุ้งบ้าง ไม่ฟุ้งบ้าง รู้โดยเป็นอัตโนมัติได้นี่ ตรงนี้ มันเป็นข้อสังเกต เป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่เราจะได้ตอบตัวเองถูกนะว่า เรามีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรม ในขณะสวดมนต์หรือเปล่า

อย่างถ้าขับรถอยู่นี่นะ ถ้าสมมติคุณจอดรถที่ไฟแดง แล้วมีจิตตั้งมั่น เห็นว่า ที่กำลังเกาะพวงมาลัยอยู่ ที่กำลังนั่งทื่ออยู่เหมือนหุ่นยนต์ เหมือนไม่มีบุคคล มันมีแต่สภาวะให้ดูว่า ทั้งตัวนี้ ที่เป็นธาตุ 4 ที่เกาะกัน - ดิน น้ำ ไฟ ลม เนื้อ หนัง กระดูก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย ลมเข้าลมออก ไออุ่น - มันสักแต่เป็นภาวะหลอก ตั้งขึ้นให้ดูว่า เออ มันมีความแปรปรวน

หรือว่า มันไม่ได้มีสภาพแปรปรวนให้ดู แต่เราสามารถเห็นลักษณะความไม่เที่ยงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เช่นลมหายใจเดี๋ยวก็เข้า เดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวก็หยุด เดี๋ยวยาวบ้าง เดี๋ยวสั้นบ้าง แล้วจิตในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่ มันเกิดความรู้ตื่นขึ้นมาว่า นี่ไม่ใช่ตัวเรานี่ ไม่ใช่ตัวใครเลย ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราเขา ไม่ใช่สัตว์ อย่างนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมได้

แต่ถ้าหากว่า กำลังขับรถอยู่ แล้วจะต้องหลบซ้ายหลบขวา จะต้องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา วิถีการรับรู้ทางจิตกระโดดไปกระโดดมา โอกาสที่จะรวมลง เป็นฌานนี่ แทบจะเป็นศูนย์นะ เป็นไปไม่ได้ แล้วคือโดยสภาพจิตสำนึกที่กำลังมีสติดี มันจะรู้ว่า ถ้าหากว่าคลาดสายตาไปจากท้องถนน อาจเกิดอุบัติเหตุได้

แค่มีตัวระวังอยู่แค่นี้ ก็ไม่มีทางที่จะรวมลงเป็นฌานแล้ว เพราะการรวมลงเป็นฌาน ภาพ เสียง สัมผัส อะไรก็แล้วแต่ ที่เข้ามาทางอายตนะ 5 หยาบๆ มันดับหมดนะ ไม่เหลือนะ เหลือแต่ตัวพวกมโนทวาร

คือจิตนี่ พอรวมลงเป็นฌาน แล้วบรรลุมรรคผล คือไปเห็นนิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกจักรวาลนี้ อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ แต่พ้นจากขอบเขตการปรุงแต่งแบบจักรวาลนี้ มันพ้นไป คือตรงนี้นี่ ถ้าหากว่าเราทำความเข้าใจได้ ว่า ณ ขณะที่ทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ถ้าหากว่า ไม่พร้อม ไม่เหมาะที่จะให้จิตรวมลงเป็นฌานนี่ อันนั้น ไม่ใช่โอกาส ไม่ใช่ฐานะที่จะบรรลุมรรคผล

แต่อย่างตอนสวดมนต์นี่ ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ต้องเสี่ยงอุบัติเหตุ ถ้าหากว่าคุณสวดมา จนกระทั่งจิตเด่นดวง ตั้งมั่น แล้วมันรู้ทุกอย่างเองโดยอัตโนมัติ ว่ากายนี่กำลังขยับ

กำลังสวด อิติปีโส ภควาฯ แล้วจิตเด่นดวงอยู่ข้างใน มีความรู้ตื่นออกมาจากข้างใน สว่างโพลงออกมาจากข้างใน เห็นว่าสภาพทางกายนี่ ขยับสวดไปเอง แก้วเสียงนี่ถวายออกไปเป็นพุทธบูชาด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาควบคุม ไม่มีบุคคลที่อยู่ในท่าสวด แล้วก็การสวดนั้น ยังจิตให้มีความหนักแน่น ในการรู้เห็นว่าสภาพทางกาย สภาพทางใจนี้ เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าสอน คือไม่เที่ยง ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเลย ที่ปรากฏความเป็นบุคคล

ตัวนี้แหละที่ ถ้ามันเป็นประสบการณ์ของคุณนะ ที่เกิดขึ้นได้ ตัวนี้แหละที่บอกว่า สวดมนต์แล้วมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลได้นะ

จะเห็นได้ว่า ต้องมีพื้นฐานมาก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ เราไปสวดมนต์ แล้วจะเห็นภาวะทางกาย ทางใจไม่เที่ยงได้ การที่เราไปสวดมนต์นี่ เหมือนกับรวมให้จิตโฟกัส พร้อมจะรวมลงเท่านั้นเองนะ แล้วตอนรวมลงเป็นฌาน การสวด แล้วก็การเคลื่อนไหวทั้งหมด จะหยุดนิ่งหมดชั่วคราว เหมือนกับที่พระป่า ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกไว้

อย่างถ้ากำลังเดินจงกรมอยู่นะ อยู่ในเส้นทางเดินจงกรม แล้วบรรลุมรรคผลขึ้นมา ก็จะหยุดนิ่งเป็นตุ๊กตาเลย ที่หยุดนิ่งเพราะอะไร เพราะจิตรวมลงเป็นฌาน

ขณะที่จิตรวมลงถึงฌาน จากการที่มันคิดว่ากำลังจะเดิน มันคิดว่าจะต้องกลับตัวอะไรต่างๆ มันจะหยุดชะงัก แล้วก็เหลือแต่ความสว่างโพลง รู้ตื่น แล้วก็ตอนที่จิตเห็นนิพพาน ตานี่ไม่มีสิทธิ์เห็นภาพอะไรเลยนะ ภาพบนโลก หรือว่าหูไม่มีสิทธิ์ได้ยินเสียงอะไรเลย

ก็ตรงนี้นี่เป็นความเข้าใจนะครับ ถ้าหากว่า เราพูดถึงเรื่องของการบรรลุธรรม เราต้องคิดถึงจิต ไม่ใช่คิดถึงกิจกรรม หรืออิริยาบถที่กำลังเป็นไปอย่างไรอยู่นะ

เพื่อความสบายใจนะ อันนี้ ไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไรอยู่ก็แล้วแต่ หากว่าจิตมีความสามารถที่จะรวมลงตั้งมั่น รู้ตื่นเบิกบานได้ อันนั้นมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลหมด
เรามาพูดตามทฤษฎีนะครับ สำหรับ Topic คืนนี้นะ!
__________

ถอดความ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=im0ahGqFndg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น