ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ทำวิปัสสนาล้างบาปได้ไหม?
วันที่
18 กรกฎาคม 2563
ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน
พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม สำหรับคืนนี้ก็เป็นหัวข้อเรื่อง
ทำวิปัสสนานี่ จะล้างบาปได้ไหม
แต่ละคนก็ตั้งต้นทำวิปัสสนา
ด้วยเหตุผลที่ต่างกันนะครับ
บางคนบอกว่าอยากจะทำวิปัสสนา
เพื่อให้หายกลัดกลุ้ม หรืออยากทำวิปัสสนานี่ เพราะบางคน เพื่อนใกล้ตัว
ญาติสนิทมิตรสหายบอกว่า ทำวิปัสสนาแล้วล้างหนี้ได้ เขาพิสูจน์มาแล้ว แล้วก็ คือเป็นหลักฐานให้ดูว่า
ตอนนี้ทุกอย่างในชีวิตสบายแล้ว เห็นไหม
ไปปฏิบัติวิปัสสนามาแค่ไม่นานเท่าไหร่นะครับ แค่ช่วงเดียว
หรือบางคนก็บอกว่า
อยากจะปฏิบัติวิปัสสนาไล่ผี เข้าใจว่า คำว่าวิปัสสนาหมายถึง การทำให้ตัวเองมีมนต์ขลัง
มีความน่าคร้ามเกรงสำหรับภูติผีปีศาจ
หรือบางคน
อันนี้มีจริงๆ มีแบบที่ผมรู้เลยว่าคิดแบบนี้จริงๆ ว่า ทำวิปัสสนา
เพื่อที่จะขอพบรักแท้ คือ เหมือนกับเห็นเพื่อน หรือเห็นเขาพูดๆ กันว่า
พอได้มาปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว มาเจอคนรัก เพราะได้ปฏิบัตินี่แหละ อะไรแบบนี้ มีเยอะ
ขึ้นอยู่กับว่า
คุณจะเข้าใจคำว่าวิปัสสนาขนาดไหน อย่างที่ได้ยินกันบ่อยมากก็คือ วิปัสสนาแก้กรรม
หรือว่าวิปัสสนาเพื่อที่จะล้างบาป ล้างเวร ล้างอะไรก็แล้วแต่ ที่เราอยากจะล้าง
พอตั้งต้นทำความเข้าใจแบบนี้ปุ๊บ
ก็จะกลายเป็นความคาดหวังเฉพาะตัว เฉพาะกิจ หรือว่าเฉพาะความเชื่อของกลุ่ม
ถ้าเรามาพูดถึงวิปัสสนาในแบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้กัน
วิปัสสนา
จริงๆ แล้วเราสามารถคาดหวังอะไรได้สูงกว่านั้น สูงกว่าการล้างหนี้
สูงกว่าการไล่ผี สูงกว่าการขอพบรักแท้นะ เพราะวิปัสสนา ในทางพุทธนะครับ
ถือเป็นบุญขั้นสูงสุด ไม่มีบุญไหนที่ใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว
‘บุญ’ ในศาสนาพุทธมีทั้งจากระดับล่าง คือ บุญจากการให้ทาน
ไม่ว่าคุณจะให้
ไม่ว่าคุณจะช่วยอะไรไปก็แล้วแต่ จะช่วยระดับมดไม่ให้จมน้ำ หรือจะช่วยในระดับโลก
คืออุปถัมป์พุทธศาสนา ให้เป็นที่รู้จักระดับโลกอะไรแบบนี้
เหมือนกับที่พระเจ้าอโศกเคยทำ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการให้ทาน จัดว่าเป็นบุญที่ช่วยให้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
อยู่สุขสบาย ยิ่งให้มาก ยิ่งได้มาก ยิ่งให้เปล่า ยิ่งได้เปล่า
อันนี้คือเรื่องของบุญระดับล่าง
บุญระดับกลางคือ
การถือศีล
การถือศีลนี่
ไม่ใช่แค่ว่าด้วยปากเปล่าว่า จะรักษาศีลข้อปานาฯ รักษาศีลข้ออทินนาฯ
แบบเหมือนกับฝึกพูดไป เป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่ใช่นะ
ต้องมาจากความตั้งใจจริงว่า
จะรักษาศีลให้สะอาดได้ตลอดชีวิต
แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นการตั้งใจรักษาศีลแบบพุทธจริงๆ
และถ้าหากว่ามีเรื่องยั่วยุมาพิสูจน์ใจ แล้วสามารถรักษาศีลได้ อันนั้นแหละ
ถือว่าเป็นคนที่รักษาศีลจริงนะ แล้วคนรักษาศีล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นมหาทาน
เพราะทำให้ตัวเองเป็นที่ตั้งของความปลอดภัย แบบไม่จำกัด เป็นที่ตั้งของความเป็นเขตอภัยทาน
เป็นเขตที่ไม่ทำให้ใครได้รับความเดือดร้อนเพราะการมีตัวตนของเรา
เพราะฉะนั้นถ้าทำได้ตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมหาทาน มันไม่เลือกหน้าว่าจะทำให้ใครปลอดภัยบ้าง
รู้แต่ว่าการมีตัวตนของเราจะเป็นสิ่งที่ปลอดภัยสำหรับชาวโลก
อันนี้ก็เลยเป็น
บุญ ที่สูงกว่าการให้ทานแบบช่วยเหลือคนอื่น สงเคราะห์คนอื่น เพราะการช่วยเหลือคนอื่น
บางทีเราไม่รู้ว่าเขาได้ประโยชน์แค่ไหน หรือว่าเป็นอย่างใจเขาแค่ไหน แต่ถ้าเราให้มหาทานคือ
รักษาศีล เราไม่ไปทำร้ายเขานี่ อันนี้ได้สิ่งที่เขาต้องการแน่นอน ได้สิ่งที่ชาวโลก
ได้สิ่งที่สรรพสัตว์ทั้งหลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องการจริงๆนะครับ
แล้วบุญขั้นสูงสุด
คือภาวนา
ภาวนาก็คือการทำวิปัสสนา
นั่นแหละ ในทางพุทธนะ ถ้าเราทำภาวนา ทำไมถึงเป็นบุญขั้นสูงสุด เหนือกว่าการให้ทาน
เหนือกว่าการรักษาศีล เพราะอะไร เพราะว่าการภาวนา
เป็นบุญชนิดเดียวที่ทำให้เราพ้นไปจากความทุกข์ได้ มีจิตที่ไม่เป็นทุกข์ได้
แล้วก็เป็นการไม่ทุกข์ในแบบที่จะอยู่อย่างนั้น คงสภาพความไม่เป็นทุกข์อย่างนั้นนี่
ถาวรตลอดไป
การที่เราจะไม่เป็นทุกข์ถาวร
เท่ากับเราทำให้คนรอบข้าง แล้วก็คนที่มองไม่เห็นอีกมากมายมหาศาล
ไม่ต้องคอยเป็นทุกข์ไปกับการมีตัวตนของเราด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งนะ
เป็นเรื่องของการที่เอาหน่วยของการกระทบกระทั่ง หน่วยหนึ่ง ย้ายออกไปเสีย
เพราะตราบใดยังมีตัวตน
ตราบนั้นเรายังต้องมีการกระทบกระทั่ง
จักรวาลนี้เป็นจักรวาลของการกระทบกระทั่ง ถ้าหากว่ามีตัวตนของเราอยู่
จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เราหลีกเลื่ยงไม่ได้เลยนะ ที่จะไม่กระทบกระทั่งใคร
อย่างไรก็ต้องมีการกระทบกระทั่ง ยังต้องมีการทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ
ทำให้คนอื่นเสียประโยชน์ ทำให้คนอื่นต้องเสียน้ำตา
ถึงแม้ว่าเราจะได้ทำให้ใครต่อใคร
พอใจทั้งชีวิตเลย รักแสนรักเราอย่างไรก็แล้วแต่ ในวันสุดท้ายตอนเราตายจากไป
เราก็ทำให้เขาเสียน้ำตาอยู่ดีจากความรักความอาลัย
อันนี้ก็เลยเป็นที่มาว่า
ทำไมเมื่อเราสามารถที่จะบำเพ็ญบุญขั้นสูงสุด คือทำวิปัสสนาได้ถูกต้องถูกทาง
แล้วจึงเกิดประโยชน์ยิ่งกว่าการทำทาน แล้วก็การรักษาศีล
ในการทำวิปัสสนา
เราสามารถที่จะให้คำรับประกันอย่างหนึ่งว่า แค่ขั้นเริ่มต้นที่มาเจริญสติ
แบบที่พระพุทธเจ้าสอนนะ ถ้าหายใจเป็น หายใจยาวได้ หายใจสั้น แล้วรู้ได้ เราสามารถคาดหวังว่าจะมีความสุขจากการหายใจเป็น
อันนี้อย่างเอาแค่ทำได้แค่นี้นะ
ทำตอนนี้เลยนี่ ถ้าหากว่าเราหายใจ ตอนหายใจนี่ พองท้องออกมาอยู่แป๊บหนึ่ง
แล้วก็หยุด แล้วก็ให้ท้องยุบลงไปตอนคืนลมหายใจออกมานี่ อันนี้ก็มีความสุขแล้ว
แค่นี้นะ ที่หายใจเป็นนะ อันนี้เราคาดหวังได้
ถ้าหากว่า
เรายิ่งสามารถทำให้ลมหายใจปรากฏชัดกับจิต ถึงขั้นที่เห็นเป็นสายได้ ตรงนี้นี่เราก็จะคาดหวังได้เช่นกันว่า
เราจะสามารถเห็นความคิดเป็นกลุ่มความคิด เป็นกลุ่มเมฆหมอก เป็นกลุ่มสภาวะ ที่ปรากฏขึ้นชั่วคราวในแต่ละลมหายใจ
มันหนาบ้าง หรือว่าเบาบางบ้าง ไม่เท่าเดิม
การเห็นลมหายใจเป็นสายได้
แล้วสามารถที่จะเห็นความคิดนี่ เป็นแค่กลุ่มสภาวะนะ ที่มีความไม่เที่ยง
ไม่เท่าเดิม หนาบ้าง บางบ้างนี่ แค่นี้เราสามารถคาดหวังแล้วนะครับว่า
เราจะเห็นความทุกข์ไม่เที่ยง ถ้าเห็นความทุกข์ไม่เที่ยงได้
ความทุกข์มันเบาบางลงชัวร์ๆ แล้ว
แล้วนอกจากนั้น
ถ้าเรายิ่งปฏิบัติได้ขั้นสูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งเห็นทั้งตัวเลย ทั่วทั้งกายทั่วทั้งใจ
ไม่มีสภาวะใด ไม่มีสภาวะหนึ่ง ที่มันเที่ยงที่เป็นตัวตน อันนั้นก็สามารถคาดหวัง จิตที่ไม่เป็นทุกข์แบบถาวรได้
นี่คือสิ่งที่เราควรคาดหวังในจุดเริ่มต้นนะครับ
ที่จะทำวิปัสสนา
ทีนี้
ถามว่า ถ้าหากกลับมาที่โจทย์นะ เราจะคิดในแง่ของการล้างบาป มันล้างได้ไหม
หากว่าเป็นกรรมนะครับทางความคิด
หรือว่ามโนกรรม ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ แล้วยังไม่ได้ก่อกรรมในแบบที่ลงมือลงไม้
หรือว่าเอ่ยเป็นวจีกรรมไป อันนั้นมีความสามารถที่จะ
เขาเรียกว่าปลดล็อคเงื่อนของกรรมที่จะทำให้ครบวงจรนะครับ
เดี๋ยวให้ดูอีกที
(เปิดคลิปแอนิเมชันประกอบ) อย่างถ้าคุณเห็นว่า ความคิดเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นในหัว
แล้วก็เบาบางบ้าง หนาหนักขึ้นมาบ้าง ฟุ้งซ่านจัด หรือว่าคิดร้าย
เป็นความคิดแบบมืดๆ หรือว่าเป็นความคิดอกุศลหนักๆ แล้วเรามีสติพอที่จะทราบได้ว่า
กลุ่มความคิดเหล่านั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่มีการลงมือที่จะกระทำด้วยมือไม้
ไม่มีการโพล่งออกไปเป็นวาจา เพื่อดุด่าใครหรือว่า ว่าร้ายใคร
ทำให้ใครเกิดความเจ็บปวดหัวจิตหัวใจ แบบนี้เรียกว่า เป็นสติที่เจริญขึ้น
ดับอกุศลกรรม แล้วเปลี่ยนอกุศลกรรมนั้นให้กลายเป็นมหากุศลจิตได้
อันนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในเงื่อนไข
คือในอภิธรรมจะมีบอกไว้นะครับว่า ถ้าหากเกิดเกิดอกุศลจิตขึ้นมา แล้วมีสติ
คือมีสติในทางที่ถูกต้อง รู้ว่านั่นเป็นอกุศล แล้วเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม คือมีสติขึ้นมา
จะกลายเป็นมหากุศลแทน
มหากุศลเพราะอะไร
เพราะว่าอกุศลที่เพิ่งเกิดขึ้น มันยังไม่เกิดเต็มรูป
มันยังไม่แปรเป็นการทำร้ายคนอื่น ทำร้ายโลก เสร็จแล้วนี่ สติที่เกิดขึ้นเห็นว่า
ภาวะตรงนั้นนี่ เป็นแค่ภาวะที่เหมือนหลุมดำ ล่อลวงให้กระโจนลงไป ตกหลุมลงไป
แล้วเราไม่ตก ไม่ตกจริง อันนั้นก็ยกระดับให้จิตที่กำลังจะมืด พลิกมาอีกด้านหนึ่งนะ
พอพลิกก็กลายเป็นสว่าง เป็นด้านตรงข้ามขึ้นมาแทน
อันนี้ก็พูดง่ายๆนะ
ถ้าคุณเจริญสติ หรือว่าทำวิปัสสนาถูกทาง โอกาสที่คุณจะพลิกจากอกุศลจิต เป็นกุศลจิต
มันง่ายพลิกฝ่ามือเลย มันง่ายเหมือนกับเราหายใจเข้าออกนั่นแหละ
ที่บอกว่าหายใจเข้าออกได้ง่ายๆ นี่นะ จริงๆ มันเป็นเหมือนกับ หายใจเข้าออกแบบเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ที่มันง่าย
แต่หายใจแบบที่จะพร้อมมีสติ อันนี้มันยากขึ้นมานิดหนึ่ง
ต้องอาศัยการฝึก แต่พอฝึกได้แล้วสำเร็จแล้ว มันอยู่ตัวนะ
กลายเป็นจิตที่มีความพร้อมจะเกิดสติ แล้วก็ไม่หลงไปกับอกุศลกรรมต่างๆ
นานาที่มันเกิดขึ้น
แล้วถ้าหากว่า
ถึงแม้คุณจะปฏิบัติวิปัสสนา แล้วพลาดนิพพานไป แต่อย่างน้อยก็สามารถปรารถนาได้ทุกสิ่งในอนาคต
อย่างเช่นที่ในหลักฐานนะครับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระนันทะ พระญาตินะครับ
บอกว่า ถ้าเธอปฏิบัติธรรมในศาสนาของเรา พูดง่ายๆ เจริญสติปัฏฐานนั่นแหละ
แล้วเป็นไปอย่างถูกทาง ถ้าหากว่าไม่ได้นิพพาน ไม่เป็นพระอรหันต์ เธอจะปรารถนาอะไร
อย่างนางฟ้า นางฟ้างามๆ เราตถาคตเป็นประกันว่า เธอได้แน่
คือพระนันทะ
ตอนนั้นกำลังอยากได้สาวรูปงาม แต่พระพุทธเจ้าพาไปเห็นนางฟ้าที่สวยกว่านั้นมาก
สวยจนขนาดที่ว่าเห็นมนุษย์ผู้หญิงทั้งโลก เปรียบได้แค่เป็นความงามของนางลิงเท่านั้น
ถ้าเปรียบมนุษย์สวยที่สุดได้แค่ไหน
แล้วมนุษย์ทั่วไปสวยเหมือนนางลิง ก็ประมาณนั้นแหละ ที่มนุษย์สวยเทียบกับนางฟ้า
นางฟ้านี่คือจะทำให้เกิดความหลงใหลได้ปลื้ม พระนันทะนี่อยากได้มากๆนะ พระพุทธเจ้าตรัสเลยบอกว่า
ถ้าปฏิบัติธรรม เจริญสติ พูดง่ายๆ ว่าทำวิปัสสนาอย่างถูกทาง ถึงไม่ได้นิพพาน
ก็จะได้สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายอยากจะได้
อันนี้คือ
ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าจะให้ทำวิปัสสนา ทำกรรมฐานเพื่อหวังสวรรค์ หวังนางฟ้าอะไร
(หมายเหตุผู้ถอดความ
: เป็นอุบายการสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล)
เพราะว่าพระนันทะนี่ หลังจากที่ปฏิบัติวิปัสสนาได้อย่างถูกต้อง
ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลในเวลาไม่เนิ่นช้า เรียกว่า ถึงเราจะมีต้นทางที่เป็นกิเลสๆ
อย่างไรก็แล้วแต่ ขอแค่ว่า เราทำวิปัสสนาถูกทางนี่ มันก็สิ้นทุกข์ได้
นี้คืออย่าปรารถนา
ตั้งความปรารถนาว่า เราจะมาล้างกรรม พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราปรารถนาในปัจจุบันกับอนาคต
นี่มันเป็นไปได้หมด แต่ปรารถนาจะล้างกรรมมันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่า
แม้แต่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ท่านก็ยังต้องเสวยวิบากกันอยู่ดี
แม้ว่าจะเป็นที่หนึ่งในอนันตจักรวาลแล้ว
พระพุทธเจ้านะ ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ไม่มีใครเสมอเหมือนแล้วในอนันตจักรวาล พระองค์ยังต้องเสวยกรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น
ต้องปวดเศียร เพราะว่าท่านเคยเป็นลูกประมง แล้วมีความยินดี ที่พ่อแม่พี่น้องหอบปลาขึ้นมาจากทะเล
ได้ทีหนึ่งเยอะๆ อะไรแบบนี้ เห็นแล้วปลื้ม แล้วปลื้มทุกวันกลายเป็นมโนกรรม
ท่านบอกว่านี่อันนี้ ยังไม่ทันต้องตกปลานะ
เอาแค่เกิดความปลื้มที่เห็นพ่อแม่พี่น้องได้ปลาขึ้นมาเยอะๆ
เป็นเหตุให้ปวดพระเศียรในชาติสุดท้ายได้
อันนี้คือหลังจากเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนะ
เรียกว่าก็ยังถูกวิบากแห่งกรรมตามราวีอยู่ จนแทบจะวันสุดท้ายอยู่แล้ว ก็ยังต้องเสวยวิบากนะครับ
อย่างเช่นที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปบ่อยๆ ที่ท่านกระหายน้ำนี่นะ แล้วใช้ให้พระอานนท์ไปตักน้ำขุ่น
แล้วก็คือท่านเคยเป็นคนเลี้ยงวัว อันนี้ก็ด้วยความปรารถนาดี
เดี๋ยวให้วัวได้ดื่มน้ำสะอาดข้างหน้า ท่านก็เลยมีบุญจากตรงนั้นน่ะ
น้ำที่เหมือนกับขุ่นๆ กลายเป็นน้ำสะอาดขึ้นมา หลังจากที่ใช้ให้พระอานนท์ไปตักสองครั้ง
สามครั้ง
นี่ก็ทำให้เราเกิดความเข้าใจได้
อย่างเป็นสัมมาทิฏฐินะครับว่า วิปัสสนา ไม่ได้มีไว้ล้างบาปล้างกรรม
มันล้างไม่ได้นะ อย่างไรก็ต้องชดใช้ แต่ว่าต้องชดใช้หนักหรือเบา
ขึ้นกับว่ามีบุญมาแทรกแซงแค่ไหน หรือว่ามีบุญมาช้อนแค่ไหน
ถ้าหากว่าเราคาดหวังความสุขในปัจจุบัน
และความสิ้นทุกข์ในอนาคต อันนี้เป็นคำมั่นสัญญาที่วิปัสสนาให้ได้
แต่ถ้าบอกว่าจะล้างบาปที่ผ่านมา
ล้างหนี้ ล้างอะไรต่อมิอะไร ที่เราอยากให้ล้าง กรรมเก่าที่ผ่านมาไม่ได้นะครับ
อันนี้น่าจะเคลียร์นะ
ในแง่ของการตั้งจิตไว้ให้ถูกทางนะครับ ว่าเราจะคาดหวังอะไรจากวิปัสสนาได้บ้าง!
____________
ถอดความ : เอ้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น