ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน อธิษฐานพบพระศรีอาริย์ได้จริงไหม?
วันที่ 11
กรกฎาคม 2563
ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน
พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับคืนวันเสาร์สามทุ่ม
สำหรับหัวข้อคืนนี้
ก็เป็นที่สนใจของพุทธศาสนิกชนจำนวนมากทีเดียวนะ เพราะว่าหลายคนรู้ตัวว่า บอกเรื่องที่จะให้ทำทางขั้นได้บรรลุมรรคผล
ภายในชาตินี้ ขอจบกิจ ขอได้เป็นพระอรหันต์อะไรนี่ ไม่ค่อยอยากจะอธิษฐานกันนะครับ
ส่วนใหญ่จะบอกว่า
นับถือพุทธศาสนา ก็ขอนับถือในแบบที่ให้เป็นศาสนาของการได้ไปเกิดใหม่ในที่ๆ
ดีกว่าโลกที่เป็นอยู่นี้ แล้วก็ถ้าเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้ก็ดี
หรือถ้าหากว่าจะต้องมีอันเป็นไป คือตกสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์อีก
ก็ขอให้ได้พบกับพุทธศาสนา
ก่อนอื่นทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า
พุทธศาสนาไม่ได้มีอยู่เรื่อยๆ นะ ของดีไม่ได้มีมาบ่อยๆ นะ ... นานๆ
มาทีนะครับ แล้วก็การที่เราจะประมาณได้ว่า นานแค่ไหน ก็เอาง่ายๆ
นะบางทีต้องเกิดตายกัน บอกเป็นตัวเลขให้เข้าใจง่ายๆ เป็นแสนๆ ชาติก็แล้วกัน
ถ้าใครไม่รู้ว่าแสนชาติเป็นยังไงก็ลองนึกดูแล้วกันว่า
ถ้าสมมติ มีอดีตชาติสักสิบชาติ ที่ผ่านมา ที่เราสามารถระลึกได้
เมื่อชาติที่แล้วเคยเป็นชาวนา ชาติก่อนเคยเป็นกษัตริย์ ชาติก่อนเคยเป็นหมู
ชาติก่อนเคยเป็นนก ไล่ไปนี่ เอาแค่สิบชาตินี่ ปวดหัวแล้วนะ
คือนึกไม่ออกแล้วนะว่ามันจะกินเวลายาวนานแค่ไหน
บอกว่าเกิดสิบครั้งใช้เวลาช่วงพันปี อะไรอย่างนี้
ก็ไปคำนวณเอาไม่ได้กับแสนชาติเลยนะ
แล้วบางชาติ
บางภพนี่อายุยืนนะ อย่างถ้าได้ไปอยู่ในนรก บางแหล่งนี่ก็บอกนะ กรรมบางชนิด
บาปบางชนิดนี่ อยู่ในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ก็มี หรือถ้าได้เป็นพระพรหมบางชั้นนะครับ
ที่มีความละเอียดสุขุมมากๆ ก็ได้อยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์เช่นกัน มีแบบที่สูงสุด
ต่ำสุด ที่ยืดเยื้อยาวนาน
แล้วก็ชั่วกัปชั่วกัลป์หนึ่ง
จะนานประมาณไหน คือบอกไปบางทีนี่เอายกคำพระพุทธเจ้ามานี่ บางทีนึกไม่ออก
จินตนาการยาก เอาเป็นว่าอย่างนี้ คือในแต่ละกัป แต่ละกัลป์ กัปกัลป์ใหญ่ๆ เลย
จะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด อย่างมากที่สุดไม่เกินสิบพระองค์ เอาง่ายๆ
อย่างนี้เลย คือเพื่อที่จะได้เข้าใจนะว่า พุทธศาสนาไม่ได้มีมาเรื่อยๆ นะครับ
ไม่ใช่เป็นศาสนาที่ถูกจองไว้ว่าจะต้องเกิดขึ้นเสมอไป
แล้วช่วงที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะอุบัติ
ทรงมีพระชนม์ชีพขึ้นมา สถาปนา หรือก่อตั้งพุทธศาสนา ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้นะ
ท่านว่าบางกัปบางกัลป์เป็น สุญญกัป หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าไม่มาอุบัติเลยแม้แต่พระองค์เดียว
เพราะว่าการจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ยากมากนะ ต้องบำเพ็ญบารมีกันเรียกว่าเป็นอนันตชาติ
เป็นอสงไขย มหากัป คือพูดง่ายๆ ว่า พระพุทธเจ้านี่เป็นบุคคลประเภทที่ ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้
เพราะอะไร
เพราะว่าการที่ใครสักคนหนึ่งจะเสียสละตัวเอง บำเพ็ญบารมี
จนกระทั่งได้เป็นพระพุทธเจ้าสำเร็จ ต้องลืม ลืม แล้วก็เกิด
แล้วก็ตายอยู่บนวิถีทางที่ตัวเองอธิษฐานไว้ ตอนสมัยที่ได้พบกับพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
แล้วก็เกิดแรงบันดาลใจ อยากจะขนสัตว์ออกจากสังสารวัฏ เหมือนกับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ
บ้าง
นี่นะ
บารมี ณ ขณะที่ชัวร์ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านะ ชาติที่อธิษฐาน
ชาติที่ได้พบกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
นี่จะต้องมีศักยภาพมากพอที่จะบรรลุอรหัตผลแล้วด้วย
พูดง่ายๆ
นะ เสียสละนิพพานของตัวเอง เพื่อเอานิพพานมาให้คนอื่น นับจำนวนไม่ได้
แล้วก็ต้องใช้เวลา บำเพ็ญกันเป็นจำนวนชาติที่นับไม่ได้เช่นกัน
แต่ละชาตินี่ก็ลืมหมดแหละว่าตัวเองเคยอธิษฐานอะไรมา หรือว่าอยู่บนเส้นทางของพุทธภูมิยังไง
จะได้ไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไหนอะไรต่างๆ จะไม่รู้เรื่องเลย
ยกเว้นแต่ว่ามาเกิดในพุทธศาสนาใด พุทธศาสนาหนึ่ง แล้วก็ได้บำเพ็ญเพียรภาวนานะ
จนกระทั่งเกิดฌาน เกิดญาณแล้วก็หยั่งรู้ขึ้นมาว่าตัวเองได้เคยอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้ามานะครับ
แล้วถ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชัวร์ๆ
ก็ต้องได้รับพยากรณ์จาก พระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
คือไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าจะมีประกาศิตนะ
สั่งหรือเสกให้ใครเป็นพระพุทธเจ้าสืบทอดตำแหน่งแทนพระองค์ไป ไม่ได้นะ
คือต้องบำเพ็ญมาเอง ถึงจะได้มีสิทธิ์เป็น
เพราะฉะนั้นนี่
การที่เราฝากความหวังไว้กับพระพุทธเจ้าพระองค์หน้านี่ ก็เอาง่ายๆ เลย
ฝากความหวังไว้กับท่านไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้ท่านเกิดอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ
มีคนอ้างตัวเป็นพระศรีอาริย์มากมาย แต่ว่าที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเราจริงๆ ชาติที่พระศรีอาริย์จะมาอุบัติ
โลกไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่ปัจจุบันนี้ชัวร์ๆ นะ คือศาสนาพุทธของพระโคดมนี่ จะต้องสาบสูญไปก่อน
แล้วอายุของคนเจริญขึ้นมาก อายุยืนมากนะ คือท่านบอกว่า อายุได้
มีอายุขัยประมาณแปดหมื่นปี มนุษย์ยุคนั้น คืออาจจะไม่ใช่ปีแบบที่เรารู้จักกัน 365
วัน ณ ปัจจุบันนี่แหละ แต่เอาเป็นว่า คนจะต้องอายุยืนมากนะ
ที่แน่ใจว่าคงไม่ใช่จำนวนปีแบบทุกวันนี้เพราะอะไร
เพราะว่าที่ตามในพระสูตรเลย บอกว่ายุคของพระศรีอาริย์ พวกเด็กนี่นะ ที่จะโตกันขึ้นมามีคู่ครองได้
ต้องอายุ 500 ปี ซึ่งมันหมายความว่าไม่ใช่ 500 ปีในปัจจุบันแน่นอน คือแก่หงำเหงอะแล้ว
ไปกี่รอบแล้วก็ไม่ทราบ กว่าจะได้มีคู่ครองอะไรแบบนั้น เพราะฉะนั้น สเกลอายุ
เรื่องอายุ อาจไม่ใช่แบบที่เรามาเทียบกันได้ในปัจจุบัน
แต่อย่างน้อยเราได้ทราบนะครับว่า
พระศรีอาริย์ ไม่ใช่จะมาอุบัติในยุคที่เราๆ ท่านๆ กำลังมีชีวิตอยู่ได้
แต่ต้องเป็นอีกยุคหนึ่ง เป็นอีกสมัยหนึ่ง ซึ่งมนุษย์นี่ มีสเกลอายุแตกต่างไปจากนี้
อันนี้ก็เป็นข้ออ้างยืนยัน ใครมาคุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองเป็นพระศรีอาริย์นะ
อย่าไปเชื่อนะ คือถ้าเขามีความพอใจจะประกาศตัวเองว่าเป็นพระศรีอาริย์ก็ตามใจเขา
แต่ว่าไม่ใช่พระศรีอาริย์ในแบบของพุทธแน่นอน
เอ้า
มารู้จักกับพระศรีอาริย์ดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง
คือหลักฐานที่เกี่ยวกับเรื่องของพระศรีอาริย์ มีอยู่ในพระไตรปิฎกจริงๆนะครับ
อยู่ใน “พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เมตไตรย์” สะกดแบบนี้นะ
ที่มีมาในพระไตรปิฎกจริงๆนะครับ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ไว้นะ
ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า คือบอกไว้เสร็จสรรพเลยว่า คุณสมบัติอะไรต่างๆ
ครบตามสเปคที่จะอ้างได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนกับพระองค์ แล้วพระองค์เองนี่
ก็ทรงตรัส ประกาศว่าพระองค์ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว องค์ก่อนๆ
ก็มีมานับได้เท่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร คือนับไม่ได้
พระพุทธเจ้ามีมาเป็นอนันต์นะครับ
แล้วก็ท่านก็ยังตรัสอีกว่า ผู้ที่ไปถึงฝั่งนิพพานยังมีปริมาณน้อยเหลือเกิน
มีอยู่แค่หยิบมือเดียว เรียกง่ายๆ แบบนี้
ก็ลองคำนวณเอาแล้วกันว่า
ในสังสารวัฏ ในอนันตจักรวาลนี้ สังสารสัตว์มีจำนวนมากมายมหาศาลขนาดไหนนะ
พระศรีอาริย์จริงๆ
แล้ว เวลาที่เราสะกด เราสะกดอย่างนี้นะ มี ร.เรือ สระอิ ย.ยักษ์ การันต์นะครับ “พระศรีอาริย์
– พระศรีอริยเมตไตรย” ย่อลงมาจากคำว่า พระศรีอริยเมตไตรย นะ นี้เป็นชื่อสามัญ
แต่ว่าเวลาที่เราจะอ้างอิงกันแบบเป็นทางการ แบบที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไรนี่
ท่านตรัสไว้ เรียกเป็น “เมตไตรย์” เฉยๆ พระนามว่า เมตไตรย์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า เมตไตรย์
แต่เวลาเรามาเรียกกันคนไทยนี่ เราเรียกเป็นพระศรีอาริย์
อันนี้ทำความเข้าใจเบื้องต้น
ทีนี้มาถึงตัวหัวข้อ
ตัว
topic ที่หลายคนก็อธิษฐานในแบบที่ปลงใจ มั่นใจว่าตัวเองนี่
อยากได้ไปเกิดทันยุคของพระศรีอาริย์ อยากได้ไปพบกับพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
อย่างผมเองนี่ตอนเด็กๆ
นี่นะ ตอนวัยรุ่นที่สมัยได้รู้จัก ได้พบกับพุทธศาสนา ช่วงแรกๆ นี่
คือจะมีความปรารถนาแรงกล้ามากเลยว่า แหม เสียดายตัวเองนี่เกิดไม่ทันพบพระพุทธเจ้า
ซึ่งจริงๆแล้ว อาจเคยได้พบก็ได้ แต่ว่าตอนนั้น ไม่มีวาสนามากพอที่จะปฏิบัติตามที่พระองค์สอน
อาจเป็นชาวบ้าน
หรือไม่ก็เป็นฤาษีชีไพร ที่อยู่ตามป่าตามเขาอะไรแบบนี้ แล้วก็เคยมีบุญ
เคยมีวาสนาได้พบพระพักตร์พระองค์จริงแล้ว แต่ก็ลืมไปแล้ว
ถ้าตายมาแล้วมันไม่ได้ไปเจริญรอยตามพระบาทนะในยุคนั้น ก็ต้องมาเป็นคนธรรมดา
ก็นึกว่าตัวเองไม่เคยได้พบพระพุทธเจ้า พระศาสดามาก่อน เหมือนกับอีกหลายๆ ท่าน
นั่งชมอยู่ในที่นี้ ก็อาจเคยได้รับใช้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าเลยก็มี
เคยได้ถวายภัตตาหาร เคยได้ทำสังฆทาน มีพระอรหันต์แวดล้อม ห้อมล้อมแบบเรียกว่าเดินไปไหนนี่สว่าง
โลกนี่เรียกว่าเหมือนมีดวงอาทิตย์มาตั้งเป็นสิบๆ ดวง เป็นร้อยๆ เป็นพันๆ
ดวงอะไรแบบนี้ ก็อาจเคยผ่านกันมาแล้วก็ได้
แต่ก็มาเกิดแบบนี้
มาเกิดแบบที่โอ้โห เสียดาย เกิดไม่ทันยุคของพระพุทธเจ้า ไม่ได้พบพระองค์จริง
ก็มีความปรารถนา อยากจะได้ไปพบกับพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
บางคนนี่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ
ไปพบเพื่ออะไร รู้แต่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีบุญสูงสุดในอนันตจักรวาล
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าได้ไปพบ ก็เหมือนกับว่า ได้ไป มีโอกาสทำบุญ
หรือได้มีโอกาสไปรับบุญ ขั้นสูงสุดในจักรวาลอะไรแบบนั้นนะครับ
แต่ถ้าหากพวกเราได้เข้าใจ
แล้วก็รู้จริงๆว่า พระพุทธศาสนา สอนอะไร ตลอดจนมีความหยั่งเข้าไปถึงแก่นนะครับ
ที่เป็นแก่นคำสอนว่า พระพุทธเจ้า ยังไม่ได้หายไปไหน
ยังมีตัวแทนของพระองค์อยู่กับพวกเรา นั่นคือคำสอน หรือพระสัทธรรมนะครับ ที่พระองค์แจกแจงไว้ดีแล้ว
ท่านบอกว่า นั่นแหละให้เป็นตัวแทนของเรา เป็นศาสดาแทนของเรา แทนตัวเรานะ
คือถ้าหากว่าพระองค์บอก
เอ้าพระสารีบุตร อ้อ พระสารีบุตรท่านดับขันธ์ไปก่อนพระพุทธเจ้านะ
อย่างถ้าจะให้พระอนุรุทธ หรือพระอานนท์ พระอนุรุทธนี่มีตาทิพย์ มีฤทธิ์เป็นเลิศเลย
ส่วนพระอานนท์เป็นพหูสูตร บอกว่านี่ ให้สองคนนี้ เป็นศาสดาแทนเรา
ก็หมายความว่าศาสนาพุทธนี่จะมีศาสดาที่เป็นตัวเป็นตน มีเลือดเนื้อ มีชีวิต
ซึ่งก็ดีในแง่ที่ว่ามีผู้สืบทอด แล้วคนได้กราบไหว้
เป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้ารับรองไว้
แต่ปัญหาคือ
จะต้องสืบทอดไปเรื่อยๆ ต้องมอบหมาย มอบตำแหน่ง ซึ่งพอพ้นจากยุคพุทธกาลนี่
บางทีหาพระอรหันต์ยากนะ แล้วก็ไม่สามารถที่จะชัวร์ได้ว่า เป็นพระอรหันต์จริงหรือเปล่า
เพราะไม่ได้รับการรับรองจากพระพุทธเจ้า คือพอสิ้นพระพุทธเจ้านะ
ศาสนาพุทธต้องตะเกียกตะกายเอาตัวรอดกันเอาเองแล้วล่ะ ไม่มีใครที่จะมารับรอง ยกเว้นแต่เป็นพระอรหันต์ในสมัยนั้น
ซึ่งมีเจโตปริยญาณ สามารถดักใจ สามารถรู้ว่าจิตแบบไหนบริสุทธิ์แล้ว
จิตแบบไหนยังไม่บริสุทธิ์ อันนี้ก็ยังพอเชื่อได้ว่าโอเค
ถ้ารับรองว่าคนนั้นคนนี้ได้บรรลุธรรม ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นจริงสูง
เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ยุคหลังๆ
มารับรองไม่ได้ ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นหลักประกันนะ ยกเว้นแต่ว่าเราได้คลุกคลี
เราได้เห็นปฏิปทา อย่างครูบาอาจารย์ที่เรานับถืออยู่ บอกว่า เออ เห็นกี่ปีๆ
ก็ไม่เคยแสดงกิเลสให้เห็นเลย ไม่เคยมีความโลภ ไม่เคยมีความขัดเคือง
แสดงออกถึงความก้าวร้าวอะไรแบบมนุษย์ปกตินะ
อย่างนี้คนใกล้ชิดก็จะพอรู้สึกเชื่อได้ว่า นี่น่าจะเจริญรอยตามบาทพระศาสดาไปแล้ว
เป็นพระอรหันต์บ้างแล้ว
ทีนี้คือ
เนื่องจากคนเราอยากได้ซุปเปอร์ฮีโร่ หรืออยากได้พระอรหันต์ในสเปค แล้วหาไม่เจอ
ก็ต้องมีการอธิษฐาน อันนี้เป็นสาเหตุสำคัญ คือถ้าได้บุคคลชั้นสูงสุดในพุทธศาสนาได้เลย
คือเป็นพระพุทธเจ้านี่ ยิ่งอิ่มอกอิ่มใจ ก็กลายเป็นว่าเราไม่ได้รู้แก่นในชาตินี้
ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ แล้วตัวแทนพระศาสดาก็ยังอยู่
เลยไปอธิษฐานขอพบพระพุทธเจ้าตัวเป็นๆ พระองค์เป็นๆ ในชาติต่อไปกัน
ทีนี้ถ้าเอาตามในพระคัมภีร์นะ
โจทย์ที่ว่า ทำอย่างไร ได้พบพุทธศาสนาก่อน เอาแค่นี้ก่อน
แค่เราได้ทำบุญใส่บาตรกับพระ เป็นชาติแรก สมมตินะ สมมตินะว่ามีชาติแรก ที่เราได้ทำบุญใส่บาตรกับพระในพุทธศาสนา
นั่นก็เริ่มที่จะปูทางให้ตัวเอง ได้พบกับพระพุทธเจ้าในขั้นสุดท้ายได้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่ากระโดดพรวดเดียวนะ
คืออย่างใส่บาตรชาติแรก
แล้วในชาติต่อๆ มามีโอกาสได้พบพุทธศาสนาอีกก็ทำบุญอย่างเดิมๆ อีก
จากเดิมที่มีวาสนาได้พบแค่พระธรรมดาๆ นะครับ ที่ปฏิบัติอยู่ตามป่าตามเขา หรือว่าพระตามบ้านตามเมือง
ก็เขยิบขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นพบพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
แล้วก็พบพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ไล่ขึ้นไป พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
แล้วก็ได้พบกับพระที่เป็นพระสำคัญ ที่เป็นมือซ้ายกับมือขวาของพระพุทธเจ้า อะไรแบบนี้
อย่างเช่น พระสารีบุตร กับพระโมคัลลานะ อย่างนี้ก็เป็นมือขวากับมือซ้ายของพระโคดม หรือไม่
ก็ได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าอะไรแบบนี้
อันนี้ไล่ขั้นมาจากไหน
มาจากตรงที่ในพระอภิธรรม เคยมีการแจกแจงไว้ ยกตัวอย่างในขั้วตรงข้ามเลย
คือพบพุทธศาสนา หรือว่าพบพระในพุทธศาสนา บุคคลในศาสนานี่
ไม่จำเป็นต้องพบในแง่ดีเสมอไป
อย่างท่านมีการแจกแจงไว้นะว่า
ถ้าเคยได้มีโอกาสฆ่าสัตว์ ก็จะเป็นบันไดให้ได้ฆ่าคนต่อไป ได้ฆ่าคน ก็มีโอกาสได้ฆ่าผู้มีศีลมีธรรม
มีโอกาสได้ฆ่าผู้มีศีลมีธรรม ก็มีสิทธิ์ได้ฆ่าพระอริยะชั้นต้น พระโสดาบัน
มีสิทธิ์ได้ฆ่า พระสกทาคา พระอนาคามี พระอรหันต์
ไปจนถึงได้มีโอกาสทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงขั้นห้อพระโลหิตอะไรอย่างนี้
นี่
ลำดับขั้นมันมีอยู่อย่างนี้ คือถ้าหากว่าเราพูดถึง การได้พบบุคคลในพุทธศาสนา
ไม่ใช่กระโจนพรวดเดียวได้ไปพบองค์ประมุขเลย คือต้องมีขั้นบันไดขึ้นไป
แล้วการที่จะได้พบพระองค์จริงของพระพุทธเจ้า ในครั้งที่ศาสนาพุทธอุบัติ
ก็ต้องเป็นผู้ที่เคยบำเพ็ญบุญบารมี ที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ในทางใดทางหนึ่งมา
ยกตัวอย่างเช่น เคยเป็นเพื่อน เคยเป็นบริวาร เคยเป็นพี่เป็นน้อง เคยเป็นญาติ
เคยเป็นพ่อเป็นแม่ เคยเป็นลูกกันมา นี่ อย่างพวกนี้นี่จะเป็นเขาเรียกว่า inner circle จะอยู่วงใน
ที่มีสิทธิ์ได้พบก่อน
คือจะต้องบำเพ็ญเกี่ยวกับเรื่องของการศาสนาอะไรมาด้วยนะ
ถึงจะโยงกัน ให้เข้ามาเป็นเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
จะได้มาพบกับพุทธศาสนาในแบบที่ได้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าด้วยนะ
นอกจากนั้น
ถ้าไม่ใช่อยู่ในวงในจริงๆ ไม่ได้อยู่ในแวดวงจริงๆ แบบเราๆ ท่านๆ นี่
ที่อาจบุญธรรมดาๆ พื้นๆ นี้นะ ได้มีสิทธิ์เป็นระดับสาวก ที่เป็นเหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองที่มีวาสนา
ได้พบพระพุทธเจ้าโปรดสั่งสอนสัตว์อยู่ หรือว่าได้ไปพบกับพระองค์กลางทาง บิณฑบาต
แล้วก็ได้ใส่บาตรพระองค์อะไรแบบนี้นี่ อย่างน้อยที่สุดจะต้องได้มีการเชื่อฟัง
มีศรัทธา แล้วก็ปฏิบัติตาม ที่พระพุทธเจ้าสอน
อย่างตอนนี้นี่นะ
อยู่ๆ คุณบอกว่าขอไปพบพระศรีอาริย์ แล้วตัวเองทำชั่วทุกประการครบทุกเม็ด ไม่ว่าจะเป็นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ขี้โกง ขี้ปด ผิดประเวณี หรือกินเหล้าเมายาหยำเป แล้วไปอธิษฐานขอพบพระพุทธเจ้านี่
โอกาสที่จะได้เข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์นี่ ต่ำมาก คือถึงแม้ว่าจะเป็นไปตามคำอธิษฐาน
เพราะอธิษฐานทุกวันๆ ทำบุญใส่บาตรอะไรไป ก็อธิษฐานซ้ำๆ อย่างมากจะได้อยู่แค่ห่างๆ
จะได้แค่เห็นอยู่ไกลๆ ลิบๆ ไม่ได้มีโอกาสที่จะไปเหมือนกับสอบถามธรรมจากพระองค์นะ
หรืออีกทีหนึ่งก็อาจได้พบในแบบเป็นลูกน้องพระเทวทัตอะไรแบบนี้
มาทำร้ายพระองค์อะไรอย่างนี้นะ
เพราะอะไร
เพราะว่าการผิดศีลผิดธรรมอยู่เนืองๆ อยู่เสมอๆ ตลอดชีวิต
แล้วอธิษฐานขอพบพระพุทธเจ้า มันเอาร้ายไปพบนะ
คือเส้นทางของกรรมวิบากมันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเราพบนี่ จะดีเสมอไป
สมัยที่พระโคดมยังทรงพระชนม์อยู่นะครับ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี่
คนที่ได้มีโอกาสพบกับพระองค์ ไม่ใช่คนที่ได้ไปดีเสมอไป
อย่างนางจิญจมาณวิกา
อุตส่าห์ปลอมตัวเอง เดินเข้าเดินออกตอนเช้าๆ ตอนค่ำๆ
อะไรอย่างนี้ในวัดที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่นี่ เพื่อให้คนเกิดการจดจำว่า
นางคนนี้ชอบมาตอนดึกๆ แล้วก็ออกมาตอนเช้าๆ ไม่รู้มาทำอะไรแถวนั้น
จนกระทั่งท้องโตขึ้นมาเรื่อยๆ
แล้วเสร็จแล้ว พอถึงกำหนดที่เริ่มท้องแก่ก็มาใส่ร้ายบอกว่า
พระพุทธเจ้าเป็นพ่อของเด็ก ทั้งๆที่จริงๆ ท้องนี่นะ ผูกไว้ด้วยผ้าเฉยๆ
ร้ายขนาดนี้นะ ลองคิดดูแล้วกันว่ากรรมแบบไหนที่นำนางจิญจมาณวิกา ไปพบพระพุทธเจ้าในแบบที่
จะได้ร้ายกับตัวเองแสนสาหัสเลยนะ โดนธรณีสูบเลยนะถ้าตามในพระคัมภีร์บอกไว้
คืออย่างพระเทวทัตนี่
ก็ทำร้ายพระพุทธเจ้าแบบทุกวิถีทาง จะแย่งตำแหน่งศาสดามาจากพระพุทธเจ้าให้ได้
คือมาใช้โลโก้ของเขาไม่พอนะ จะแย่งตำแหน่งอีก จะแย่งบัลลังก์อีก ก็เรียกว่าเราดูแล้วพิจารณา
คือเวลาที่ศึกษาพุทธศาสนานี่นะ แล้วอยากจะอธิษฐาน
ปลงใจว่าจะเอาอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องดูตัวเองด้วยว่า พื้นฐานจิตใจของตัวเอง
ณ ขณะอยากไปพบพระพุทธเจ้านี่ มีเมล็ดพันธ์ของความเป็นอย่างไรที่จะได้ไปเจอ
บางคนอธิษฐานอยากเจอ
แล้วได้เจอจริง แต่ทีนี้ ตอนที่อธิษฐานกำลังครึ่งดีครึ่งร้าย หรือกระเดียดไปทางเลวนี่ เสี่ยงมากนะ
แต่ถ้าหากว่าเป็นพวกที่มีความนิยมในการให้ทาน
มีจิตอนุเคราะห์ด้วยความเลื่อมใส ว่าทานเป็นของดีตามที่พระพุทธเจ้าสอน
แล้วก็ตั้งใจถือสัตย์ ถือศีลตลอดชีวิต อยากรักษาศีลทุกข้อให้สะอาดบริสุทธิ์
ถ้าด่างพร้อยอะไรไปก็พยายามปรับแก้ ไม่ใช่ดูดาย นี่ แค่นี้นะ
ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนด้วยความเคารพศรัทธาในพระองค์
แล้วถ้าหากว่าอธิษฐานขอไปเกิดในยุคของพระศรีอาริย์
หรือว่าพระเมตไตรย์ อย่างนี้ก็จะเป็นผู้มีสิทธิ์
เป็นชาวบ้านชาวเมืองที่ได้อยู่ในศีลในธรรม เกิดในตระกูลที่ดี
เกิดในตระกูลที่จะมีเส้นทางมาพบพระพุทธเจ้า ในทางดี คือมารับธรรมอะไรดีๆ
จากพระองค์
อาจมีสิทธิ์ได้เข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์จริงๆ
หรืออาจเป็นเหมือนกับชาตินี้ คือสิ้นพระศาสดาไปแล้ว แล้วค่อยมาเกิด
แล้วก็ยังมีโอกาสได้ทัน ศึกษาพระธรรมของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
นี่ก็เป็นการต่อภพต่อชาติในแบบที่ โอเคกว่าคนอื่นนะ
คือมีสิทธิ์ได้ถึงซึ่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านะ
แต่ถ้าคุณปรารถนาถึงระดับที่ว่า
อยากจะได้บรรลุธรรมต่อเบื้องพระพักตร์ อันนี้มีตัวอย่าง ที่เราจะสามารถเอามาอ้างอิงได้อย่างเช่น
ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะ
ท่านพาหิยะนี่
ในอดีตท่านเคยบำเพ็ญเพียรในขนาดเอาชีวิตเข้าแลกมา คือไม่ใช่ว่าอยู่ๆ
ท่านอธิษฐานขอให้ได้พบพระพุทธเจ้านะ แล้วท่านก็ได้มาพบกับพระโคดม แล้วก็บรรลุธรรมต่อเบื้องพระพักตร์
ไม่ใช่นะ
ในชาติก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นชาติสุดท้ายที่เป็นท่านพาหิยะนี่
ท่านเคยได้เป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนะ
แล้วท่านกับพรรคพวกเจ็ดคน เห็นว่าพระพุทธศาสนากำลังเสื่อม ไม่มีคนปฏิบัติ ท่านกับพรรคพวกก็เลยไปปฏิบัติ แบบเรียกว่ายอมตาย
ขึ้นเขาไปแล้วไม่เอาอะไรไปเลย บอกว่าจะลงจากเขาได้ มีทางเดียว คือบรรลุอรหัตผล
แล้วก็มีฤทธิ์แล้วเหาะลงมาเพื่อที่จะบิณฑบาต หรือว่าใช้ชีวิตแบบปกตินะ
นี่เรื่องเล่าในคัมภีร์นะ
คือเอาเป็นว่า เราได้เห็นว่าก่อนที่จะมาเป็นท่านพาหิยะนี่
คือเคยปฏิบัติแบบเอาชีวิตเข้าแลกมาก่อน แล้วก็คือในอดีตกาลนานมาแล้วนี่
ก็เคยขอเป็นเอตทัคคะในการบรรลุธรรมเร็วนะครับ คือมีการผูกกันมาหลายทอด
คือมีชาติก่อนหน้าที่โน้นเลย ไกลมากๆ เลยนะ เคยได้พบพระพุทธเจ้า
แล้วก็ได้อธิษฐานขอเป็นเอตทัคคะ มีความเป็นผู้เป็นเลิศในทางบรรลุเร็ว
แล้วก็มาเกิดในยุคที่ท่านเป็นพระท้ายๆ พุทธศาสนา ไม่ได้ทันพระพุทธเจ้า
แต่ก็ได้ปฏิบัติเต็มที่เอาชีวิตเข้าแลก
แล้วก็ท่านนี่เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้บรรลุอรหัตผลนะครับ คือก็แห้งตาย
มรณภาพอยู่บนเขา
ทีนี้พอมาชาติสุดท้ายได้เป็นท่านพาหิยะนี่
คือหลังจากที่ลงมาจากสวรรค์ ลงมาเกิดเป็นท่านพาหิยะ
ก็ยังไม่ได้พบพระพุทธเจ้าทันทีนะครับ
แต่ได้ไปเกิดเป็นชาวบ้านชาวเมืองธรรมดานี่แหละ ที่เรือแตก เสื้อผ้ากระเซอะกระเซิง
ชาวบ้านเห็นรูปร่างดีแต่ไม่นุ่งห่มผ้า นึกว่าเป็นพระอรหันต์ นึกว่าหมดกิเลสแล้ว ก็ยังไปหลอกชาวบ้านต่ออีกนะ
ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จริงๆ จนกระทั่งเพื่อนของท่าน ที่อยู่บนชั้นสุทธาวาสเป็นพระพรหมอยู่
ก็มาเตือนว่าอย่าหลอกลวงชาวบ้านแบบนี้เลย บาปกรรมเปล่าๆ พุทธศาสนาอุบัติแล้ว
พระโคดมอุบัติแล้ว ให้ไปพบกับพระองค์ท่านเถิด
ท่านพาหิยะก็เลยวิ่งนะ
วิ่งเป็นทางไกล ถ้าคิดเป็นระยะทางก็อาจสักประมาณ 120 กิโลเมตร หรือว่า 120 ไมล์
จนได้มาพบพระพุทธเจ้ากลางทาง ก็ขอฟังธรรมเดี๋ยวนั้นเลย ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ในช่วงเช้า
พระพุทธเจ้าก็ได้บอก พาหิยะ ว่า ถ้าจะฟังธรรมนี่ ให้ไปรอที่วัด ตอนนี้ท่านยังบิณฑบาตอยู่
ไม่ใช่กาลอันเหมาะสม แต่ท่านพาหิยะก็ใจร้อนมาก ตอนนั้น คือเคยอธิษฐานขอเป็นเอตทัคคะในทางบรรลุเร็วไง
ก็เลยบอกว่าชีวิตไม่แน่นอน
คือเมื่อข้าพระองค์ได้พบพระพุทธองค์แล้วก็ขอให้ตรัสเทศน์อะไรสั้นๆ
ให้ข้าพระองค์ฟังเถิด
จริงๆ
อรรถกถาก็มาขยายความว่า พระพุทธเจ้าตั้งใจจะตรัสเทศน์อยู่แล้ว
แต่รอให้หายเหนื่อยเสียก่อน ก็เลยเหมือนกับผัดผ่อน แบบเลื่อนไปสามครั้ง บอกว่า
เดี๋ยวไปฟังที่วัดๆ ตรงนี้ไม่เอา เป็นทางบิณฑบาต จนกระทั่งครั้งที่ 3
ท่านพาหิยะยืนกรานขอฟังธรรมเดี๋ยวนี้เลย
พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่า
ถ้าอย่างนั้นเธอจงเห็นว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ของเธอ ไม่ใช่ตัวตน
จนเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน คิดสักแต่ว่าคิด อย่ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน
ด้วยความที่ท่านพาหิยะ
เคยได้บำเพ็ญบารมีมาทั้งในแง่ของ การอธิษฐานการเป็นเอตทัคคะการบรรลุเร็ว
และในแง่ของการเป็นพระ ที่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อที่จะบรรลุธรรมนะ
คือเคยเพียรมาทุกทางจนกระทั่งเอาชีวิตเข้าแลก แล้วได้มาพบพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
ก็เลยได้บรรลุอรหัตผล ณ ที่ๆ ฟังธรรมครั้งแรกนั่นเอง
นี่ก็คือตัวอย่าง
เป็นเคสตัวอย่างที่บอกให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว การพบพระพุทธเจ้ามีหลายแบบเหลือเกิน
พบแล้วไปนรกก็มีนะ อย่างพวกพระเทวทัตกับนางจิญจมาณวิกา
พบแล้วได้ฟังธรรม
ได้ขึ้นสวรรค์ ได้ไปต่อในเส้นทางที่จะเวียนว่ายตายเกิด กลับมาพบพุทธศาสนาอีก หรือในแบบที่ พบแล้วได้บรรลุธรรมแบบท่านพาหิยะก็มี
มีครบเลยทุกอย่าง
อย่างถ้าในชาติปัจจุบัน
คุณเป็นประเภทสำรวจเข้ามา เป็นประเภทที่เอาแต่อธิษฐาน ว่าขอไปพบพระศรีอาริย์
คือไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย ชื่อพระศรีอาริย์สะกดยังไง บางทียังสะกดไม่ถูก
หรือว่าพระศรีอาริย์จะอยู่ในยุคเดียวกับเราหรือเปล่า หรือยุคนู้นอะไรยังสงสัยอยู่
อันนี้เป็นการอธิษฐานแบบมั่วๆ อธิษฐานแบบตามๆ กันมา อธิษฐานแบบว่าเชื่อสืบๆ กันมา
ผลก็คืออาจเรียกว่าได้
บุญถึงแค่ได้ไปอธิษฐานอีก คือไปอยู่ในยุคพระศรีอาริย์จริง
แต่เสร็จแล้วก็ไปเป็นชาวบ้านแบบซื่อๆ อย่างนี้ อธิษฐานซื่อๆเลยว่า ขอให้ได้พบพระพุทธศาสนาไปทุกภพทุกชาติ
ถ้ายิ่งในช่วงที่พระศรีอาริย์เสด็จดับขันธ์แล้วนี่
มาเกิดเป็นชาวบ้านก็อธิษฐานแบบเดิมอีก ว่าขอไปพบพระพุทธเจ้าพระองค์หน้า ที่พระศรีอาริย์ตรัสพยากรณ์ไว้
อันนี้เป็นความเข้าใจแบบที่พยายามทำให้คร่าวที่สุดนะว่า
จะอธิษฐานไปพบกับพระพุทธเจ้าพระองค์หน้านี่ ต้องดูตัวเองด้วยนะ ว่า
อธิษฐานในระดับบารมีแบบไหน เพราะถ้าไม่รู้อะไรเลย การเจริญสติก็ไม่เข้าใจ
แล้วก็มองไม่เห็น อ่านไม่ออกนะครับในเกมของสังสารวัฏ ว่ามีความสืบทอดกรรม
และวิบากอย่างไร อธิษฐานไปก็ได้แต่อธิษฐานอีก แบบเดิมนี่แหละ คือไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนนะครับ
แต่ถ้าหากว่า
เราได้มีความเข้าใจจริงๆนะ ว่า ตัวแทนของพระศาสดายังอยู่ พระธรรมคำสอนยังอยู่
แล้วเราปฏิบัติตามนะครับ นับตั้งแต่การถือศีล ตั้งใจถือศีลด้วยความศรัทธา ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วจริงๆ
นี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่การไม่เบียดเบียน นำไปสู่ความสงบสุข นำไปสู่สันติสุข ผาสุขที่จะทำให้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
ไม่ต้องไปนรกไม่ต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อย่างนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะได้เกิดในตระกูลที่ได้ฟังธรรม
มีสติปัญญา มีอวัยวะครบอีก แล้วก็ได้ไปบำเพ็ญบารมีในระดับของศีลอีก
แต่ถ้าลึกไปกว่านั้น
ชาตินี้มีแก่ใจที่จะได้เจริญสติ อย่างน้อยได้พยายาม ไม่ใช่ไปฟังใครแล้วเกิดความเชื่อตามเขาว่า
โอ๊ย บำเพ็ญไป หรือว่าปฏิบัติธรรมไปก็ไม่บรรลุหรอก ไม่มีสิทธิ์หรอก
สมัยนี้คนปัญญาทราม ถ้าเชื่อแบบนี้ก็ต้องไปเจอมิจฉาทิฏฐิแบบเดียวกันอีกน่ะนะ
คือพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสเลยว่า
ยุคไหนสมัยไหน คนจะปัญญาทรามไม่สามารถบรรลุธรรมได้นะ
ท่านตรัสว่า
ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด ตราบนั้นพระอรหันต์จะไม่สิ้นไปจากโลก
ไม่สูญไปจากโลก ก็ลองดูแล้วกันว่าในยุคปัจจุบัน ยังมีคนมีแก่ใจที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด
หรือเปล่า
ถ้าหากว่ายังมีอยู่ก็อย่าประมาท
อย่าไปเชื่อตามเขาง่ายๆ ว่า สมัยนี้ ปฏิบัติไปก็ไม่ได้บรรลุมรรคผลแล้ว เป็นพวก ทวิเหตุก (หมายเหตุ: ทวิเหตุกบุคคล) ไม่สามารถที่จะมีปัญญาพอจะเห็นพระนิพพานได้
อันนี้เราคุยกันคืนนี้นี่นะ
น่าจะได้เข้ามาสำรวจตัวเองว่า ถ้าปรารถนาจะพบพระพุทธเจ้าจริงๆ
รู้แล้วหรือยังว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงๆ คืออะไรนะครับ
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระโอฐษ์เองนะครับว่า
ผู้ใดปฏิบัติธรรมจนถึงจุดที่พูดง่ายๆ บรรลุธรรม ก็จะได้เห็นว่า พระองค์จริงๆ
ของพระองค์นี่เป็นอย่างไร คือ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
คำนี้ลึกซึ้งมากนะครับ
แล้วถ้าหากว่าเรายังรู้ตัว
มีสติว่า มีโอกาสมีวาสนาได้อยู่ในเขตพุทธศาสนาอยู่นี่ ก็ให้มีความกระตือรือล้นเถอะ
อย่านิ่งนอนใจ อย่านึกว่าเราจะต้องอธิษฐานไปเกิดใหม่ในยุคพระศรีอาริย์เสมอไป
ถึงจะได้บรรลุธรรมนะ!
________________
ถอดความ : เอ้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น