ดังตฤณ : อันนี้นะครับบอกว่า “ปฏิบัติมาถึงจุดที่ความอยากมันหายไป
อยากอยู่เงียบๆคนเดียว” นี่ความอยากมันมาชัดๆเลยบรรทัดเดียวกันนะครับ
ยังไม่ได้หายไปไหนเลย อยากอยู่เงียบๆนั่นก็คือความอยาก
ที่คุณเข้าใจว่าความอยากมันหายไปเนี่ย คือความอยากแบบเดิมๆ
ตัวตัณหาเนี่ยพระพุทธเจ้าตรัสว่า
มีทั้งอยากได้แบบชัดๆเลยที่มันเป็นกิเลสๆ ที่มันเป็นกามคุณ ๕
แล้วก็อยากให้มันหายไป อยากให้ไม่มีตัวตน
อยากให้ไม่มีตัวตนนี่ก็คือวิภวตัณหาชนิดนึงนะครับ
เหมือนกับพวกอสัญญีพรหม
ที่อยู่ในสภาวะสลบเหมือดตั้งแต่ต้นจนจบ อันนี้ก็เพราะว่าเจริญสมาธิในแบบไม่อยากมีตัวตนแล้วได้ฌาน
ได้ฌานในแบบที่จะไม่มีตัวตน
ให้มองนะครับว่า
การอยู่เงียบๆได้เนี่ย มันมีทั้งคุณและโทษ ถ้าหากว่าสัมมาทิฏฐิของเราแข็งพอ
การอยู่เงียบๆคนเดียวดีมาก เพราะมันจะทำให้เราเจริญสติต่อ รู้เห็นกายใจกระจ่างแจ้งมากขึ้นทุกที
จนกระทั่งจิตไม่เอาไม่ยึด คือขอคืนขอสละสิทธิ์ความเป็นเจ้าของกายใจนี้
บอกว่ามันไม่ใช่นี่นา แล้วก็ทิ้งไปได้จริงๆ
อันนี้เป็นการอยู่เงียบๆแล้วก็เพียรตามลำพัง
แต่ถ้าหากอยู่เงียบๆคนเดียว
ไม่อยากสุงสิงกับใครในลักษณะที่ใครจะพยายามติดต่อด้วยแล้วโมโห โอ้ยมารบกวนจิตใจ เห็นเขาเป็นแมลงหวี่แมลงวันมาทำให้เราหมดความสุข
เสร็จแล้วก็ไม่ได้พิจารณาว่า โทสะที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่
ดับไป นี่เป็นเครื่องสะท้อนว่า สติของเรายังไม่เจริญจริง
สัมมาทิฏฐิของเรายังไม่แข็งแรงพอ
------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๒๗
มิถุนายย ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม หากปฏิบัติมาถึงจุดๆหนึ่ง
ความอยากมันหายไป อยากอยู่เงียบๆคนเดียว
ไม่อยากคุย หรือสุงสิงกับใคร?
ระยะเวลาคลิป ๒.๕๖ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=HS78EAPErXM
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น