วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

“ความหลง” คืออะไร


ดังตฤณ :  ถ้าในแง่ของการเจริญสตินะครับ ความหลง คือความเพี้ยนของจิต หรือคือการถูกห่อหุ้มไว้ด้วยโมหะ

คำว่า “โมหะ” ถ้าตีความแบบชาวบ้านทั่วไป ก็คือเหมือนกับเป็นเมฆหมอกลวงตา หรือว่าฝ้าหมอกอะไรที่มันเกาะกระจก ทำให้เรามองออกไปเห็นทัศนียภาพภายนอกไม่ได้ ก็เหมือนกับจิตใจที่ถูกโมหะครอบงำ หรือว่าปิดบังไว้ หรือว่าถูกเกาะไว้ จนจิตไม่สามารถมองออกไปเห็นความจริงที่กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา

ยกตัวอย่างเช่น คนที่หลงตัวมากๆ เอาแบบสุดโต่งก่อน หลงตัวขนาดที่ว่าตัวเองเนี่ย ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่ก็จะทำตัวให้เหมือนเจ้าคนนายคน ทั้งๆที่ตำแหน่ง หรือบารมี หรือว่ายศศักดิ์อะไรไม่มีเลย แต่ว่าจะวางเขื่อง เพราะในใจลึกๆ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเจ้าคนนายคน นี่อันนี้ตัวอย่างง่าย

หรือหน้าตาไม่ค่อยดี แต่บอกว่า ฉันจะต้องประกวดนางงามให้ได้ ประกวดเป็นนายแบบตามรายการอะไรต่างๆเนี่ยนะครับ ซึ่งคนเนี่ย เขาเห็นกันทั้งโลกว่า เป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าตัวถูกโมหะครอบงำอยู่หนาทึบ เนี่ยมันมองไม่เห็นนะครับ อันนี้ก็ลักษณะที่เราเห็นด้วยตาเปล่าว่า

หน้าตาโมหะเนี่ย เวลามันแสดงออกมาด้วยกิริยาท่าทางของบุคคลที่มันสำคัญตัวผิด มันเป็นยังไง แต่เจ้าตัวจะเห็นได้ด้วยตนเองนะครับ ก็คืออย่างน้อยเนี่ย ต้องมีข้อเปรียบเทียบ อย่างเช่นคนเคยหลงตัวมากๆ บอกเป็นเจ้าคนนายคน แล้ววันนึงขึ้นมาเกิดมองเห็นว่า ตัวเองเนี่ยจริงๆแล้วก็ต๊อกต๋อยเป็นคนธรรมดาเหมือนกับคนทั่วไป ไม่ได้เป็นเจ้าใหญ่นายโตอะไร แล้วมีจิตอีกแบบนึง ที่มันไม่มีโมหะห่อหุ้ม มันถึงจะมองย้อนกลับไปแล้วนึกออกว่า เมื่อปีแล้วที่มันหลงตัวขนาดนั้นเนี่ย มันเหมือนมีอะไรมืดๆทึบมาๆอุดตันอยู่ มาบดบังจิตไม่ให้เห็นความจริง นี่อันนี้ก็เหมือนกัน

ถ้าเปรียบกับเป็นโมหะ ในแง่ของนักเจริญสติ ตอนแรกเนี่ยทุกคน ร้อยคนเลยเอามาเจริญสติวันแรก มันจะมีความรู้สึกว่า เอ๊ะนี่มันตัวของเราชัดๆ มันก็ร่างกายของเรานี่ แล้วสภาพจิตใจความรู้สึกนึกคิด มันก็ตัวตนของเราชัดๆ มันจะเป็นตัวอื่นไปได้ยังไง มันจะไม่ใช่ตัวตนได้ยังไง มันจะเป็นอนัตตาไม่มีตัวตนไปได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา แล้วเราเป็นใคร มันจะเกิดคำถามมากมายก่ายกอง มันจะเกิดไม่ลงใจให้

ต่อเมื่อเจริญสติไป เอาตามที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นขั้นเป็นตอน อย่างเช่น มองเห็นว่าหายใจเข้า หายใจออก เดี๋ยวก็มีอาการเข้าแบบนี้ เดี๋ยวมันมีอาการออกแบบนี้ เดี๋ยวมันมีอาการหยุดแบบนี้ แต่ละลมเนี่ย มันไม่ใช่ตัวเดิมเลยสักตัวเดียว แล้วบางทีลมเข้าบางลมมันก็ยาว ลมออกบางลมมันสั้น เห็นความไม่เท่าเดิมของลมหายใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดจิตมันแหวกออกจากโมหะแบบเดิมที่เกาะกุมอยู่หนาแน่นว่าเนี่ย เป็นลมหายใจของฉันแน่ๆ เป็นตัวฉันเองแน่ๆที่หายใจ มันกลายเป็นมีความรู้สึกว่า ลมหายใจเนี่ย เป็นแค่ธาตุลม มาจากภายนอกเข้ามาภายในแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวก็ต้องคืนกลับไปสู่ความว่างภายนอก ไม่มีลมหายใจสักลมเดียว ที่เป็นตัวเดิม แล้วที่สูบเข้า สูบออกลมหายใจอยู่เนี่ย ก็เป็นสภาวะร่างกายที่ยิ่งเห็นชัดขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้มากขึ้นเท่านั้นว่า

รูปพรรณสัณฐานแบบนี้เราไม่เคยสร้าง ไม่เคยออกแบบ อยู่ๆเราก็มาตู่ว่า นี่ของเรา ของเรา อันนี้โมหะมันก็หลุดออกไปเป็นชั้นๆ กะเทาะออกไปเป็นชั้น จนในที่สุด ไม่เหลือโมหะเลย เหลือแต่อวิชชาในส่วนลึกของจิต ส่วนของแก่นของจิตว่า นี่แหละตัวฉัน มีตัวฉันอยู่ พอฆ่าอวิชชาขั้นสุดท้ายได้ โมหะก็ขาดหมดเป็นพระอรหันต์ไม่มีตัวตนอยู่เลยในความรู้สึก ในความรับรู้ ในห้วงมโนทวารของพระอรหันต์ไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ อันนี้ก็เป็นคำอธิบายโมหะหยาบสุด ไปถึงละเอียดสุดนะครับ

--------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         “ความหลง” คืออะไร                              
ระยะเวลาคลิป           ๕.๐๖ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=0Fk0RP9KL8Y&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น