วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

คนวิกลจริตที่พูดอยู่คนเดียว คิดอะไรอยู่ และทำกรรมอะไรมาจึงเป็นเช่นนั้น

ผู้ถาม : เป็นเรื่องที่คุยกันในรถกับแฟนค่ะ คือมีอยู่ครั้งหนึ่งขับรถ ระหว่างติดไฟแดง ก็เห็นเหมือนคนบ้าเดินมาแต่ไกล แล้วเขาก็คุยอยู่คนเดียว ทะเลาะอยู่กับใครสักคนหนึ่ง ก็เลยคุยกันในรถว่า ในหัวเขาคิดอะไร หรือว่า การที่เขาหยุดทะเลาะกับใครสักคนอยู่คนเดียวนี่ เขามองเห็นใครไหม

 

เลยอยากจะทราบว่า เขาทำกรรมแบบไหนมา หรือว่า เขามีความคิดอะไรในหัวถึงโอเคเหมือนกับว่าเขาถึงขนาดประมาณนี้ค่ะ

 

ดังตฤณ : เคยมีคนที่สงสัย แล้วก็พยายามทดลองแบบเป็นรูปธรรม จับต้องได้เลย

 

คือเขามีข้อสงสัยว่า ระหว่างคนดีๆ ที่บอกว่าเป็นคนปกติ เป็นคนที่จิตเหมือนกับ อยู่ในสภาพธรรมดาทั่วไป กับคนบ้า เวลาฝันนี่ต่างกันไหม

 

เขาพยายามค้นคว้าหาคำตอบจากจุดนี้ ปรากฏว่าความฝันของคนบ้า ที่อยู่ในโรงพยาบาล อยู่ในจิตเวช ที่ได้รับการรับประกันจากหมอว่าออกจากโรงพยาบาลไม่ได้

 

ความฝันของเขานี่ ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย คือฝันแบบคนปกติ ไม่ได้ฝันว่าอาละวาดอยู่ในฝันนะ ฝันประมาณว่าเลอะๆ เลือนๆ หรือบางทีก็ฝันเป็นเรื่องเป็นราว

 

อันนี้เป็นคนไข้จิตเวช ในแบบที่ยังพอพูดรู้เรื่องนะ แล้วก็ทำแบบกลุ่มตัวอย่างขึ้นมา เวลาที่เขาสอบถามว่าเมื่อคืนฝันอะไรจำได้ไหม เวลาเล่าออกมานี่ก็เหมือนกับคนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่มีอาการอาละวาดอยู่ในความฝัน ไม่มีอาการว่าตัวเองเป็นคนบ้า ฉันเป็นคนบ้าแล้วพูดไม่รู้เรื่องนะ

 

อันนี้สะท้อนอะไร สะท้อนให้เห็นว่า ที่คนๆหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นบ้า ก็คือสามารถพูดจารู้เรื่อง ในขณะที่คนที่เป็นบ้า มีอาการที่ไม่ปกติทางสังคม มีอาการแปลกแยก มีอาการที่อยู่ร่วมกับสังคมอื่นๆ เขา แล้วไม่สมูท (smooth) คือมีอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอาละวาด เรื่องอารมณ์ที่ผันผวน เคมีในสมองไม่สมดุลหรืออะไร แล้วก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา ก็เลยต้องอยู่โรงพยาบาลบ้า

 

แต่โดยสภาพจิตใจแล้วถ้าเทียบกัน โดยเอาความฝันมาเป็นตัวตั้งนี่ คนธรรมดาปกติกับคนบ้า ไม่ได้แตกต่างกันเลย

 

เรามาตีความเป็นอะไรได้ มาตีความเป็นรูปแบบ หรือลักษณะของความฟุ้งซ่าน จะไม่ได้แตกต่างกัน

 

คนที่คิดอะไรยุ่งเหยิงแบบเพ้อเจ้ออยู่ในหัว ที่ท่านบอกว่า อาการเพ้อเจ้อนี่เป็นเป็นมุสาวาทชนิดหนึ่งนี่ ก็คือมีลักษณะคล้ายๆ คนบ้า คิดแบบไม่ยั้ง พล่ามอะไรอยู่ในหัว แล้วก็พยายามที่จะผลักดัน ให้สิ่งที่ในหัวพล่ามอยู่ไม่หยุดนี่ ออกมาทางปากให้คนเขาได้ยินได้ฟัง

 

ก็ไม่แตกต่าง เป็นจุดเริ่มต้น เป็นสัญญาณอ่อนๆ ของความเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง พูดจาแบบเหมือนคนบ้า

 

ทีนี้ ถามว่าคนที่เขาถึงขั้นหลุดไปแล้ว แล้วก็พูดกับลมๆ แล้งๆ ราวกับว่ามีใครอยู่ในอากาศจริงๆ ลักษณะความคิดของเขานี่ ก็คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ  คล้ายๆ กับคนที่พูดพล่ามเพ้อเจ้อ ไม่บันยะบันยัง ไม่หยุด ความคิดในหัวนี่จะออกแนวแบบว่า ควบคุมตัวเองไม่ได้ที่จะให้หลุดปากอะไรออกไป หรือว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ที่จะให้ทำท่าทำทางในแบบปกติ หรือไม่ปกติ

 

บางที คือแยกไม่ออก .. แยกไม่ออกว่าทำท่าทำทางแบบหนึ่งนี่ คนเขามองว่าปกติ หรือว่าเพี้ยนไป

 

ตัวเองนี่ ณ เวลาที่มีความรู้สึกนึกคิดแบบนั้นนี่นะ รู้สึกเป็นปกติ ปกติของตัวเอง แต่ไม่รู้ตัวว่า นั่นแหละเพี้ยนไปแล้ว สำหรับสายตาของคนอื่น

 

ถามว่าพวกนี้ทำกรรมอะไรมา ก็อย่างที่บอกนะ เพ้อเจ้อบ่อยจนกระทั่งเหมือนกับ เผลอไปทำบาปหนักๆ พูดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พูดลบหลู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าผู้ทรงคุณ ไปใส่ร้ายเขา คือนึกว่าเขาเป็นอย่างนั้น นึกว่าเขาเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องเอาหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ไปพยายามพูดพล่าม ให้คนเชื่อว่าผู้ทรงศีลนี้ไม่ดีจริง

 

อย่างในสมัยที่พระพุทธเจ้าท่าน เคยเสวยพระชาติเป็นฤาษี ท่านก็บอกว่ามีอยู่ชาติหนึ่งนะ ที่ท่านใส่ร้ายฤาษีด้วยกัน แล้วก็เลยทำให้ท่านถูกใส่ร้ายคืนในชาติต่อๆ มา แม้ในชาติสุดท้าย ก็ถูกนางจิญจมาณวิกาใส่ร้าย อะไรแบบนี้นะ

 

การใส่ร้ายผู้ทรงคุณนี่มีผลหลายระดับ ไม่ใช่แค่โดนคนใส่ร้ายคืนอย่างเดียว บางทีมีผลทางจิตใจ ทำให้จิตใจนี่พล่านไป

ถ้าหากว่า ผู้ที่เราใส่ร้ายเป็นผู้ที่ทรงศีลทรงธรรมจริงๆ จะมีผลให้จิตใจฟุ้งซ่านจัด

 

อย่างจะมีข้อหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การด่าทอหรือว่าติเตียนพระอริยเจ้า ด้วยวาจาที่รุนแรง ด้วยความคิด ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยโทสะ ผลที่ทันตาคือ ทำให้ฟุ้งซ่านจัดเหมือนเป็นบ้า

 

เพราะว่าความคิด เวลาที่ไปทุ่มลง ในการประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีล ก็ เหมือนกับ เอาโคลน เอาอะไรที่สกปรกไปแปดเปื้อน ผ้าที่สวยๆ ที่ขาวสะอาดให้มีมลทินใช่ไหม

 

โลกภายนอกเป็นอย่างนั้น จิตใจภายในก็เป็นเช่นนั้นเช่นกัน

 

คือจิตไม่สามารถสะอาดขึ้นมาได้ มีแต่ความสกปรก และหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสกปรก พอหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสกปรกมากๆ จนคุมตัวเองไม่ได้ ก็หลุดจากสภาพที่แค่พล่ามเพ้อเจ้อเฉยๆนี่ ดิ้นไปพล่ามเพ้ออยู่ข้างในหัวตลอดเวลา จนกระทั่งควบคุมตัวเองไม่ได้

 

ถ้าให้ผลในชาติอื่นๆ ก็จะมาในรูปแบบของ การที่ชีวิตบีบคั้นด้วยปัญหาหรือว่าปัจจัยประดังประเด อะไรเข้ามาในแบบที่ทำให้จิตหลุด ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันรอบด้านได้ ก็เลยเกิดอารมณ์เหมือนกับเป็นบ้าขึ้นมา

 

นอกจากเรื่องของการประทุษร้ายด้วยวาจา ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องของการเป็นบ้า ก็คือเสพสุรายาเมา

 

ผลของการเสพสุรายาเมา หรือเสพยาอี ยาบ้า ยาอะไรก็ตามชนิดหัวราน้ำ  ชนิดที่ไม่สนใจเรื่องสติ ก็มีผลให้ได้เป็นบ้าเหมือนกัน

 

อันนี้ อยู่ในเรื่องของผลลัพธ์การผิดศีลนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับศีลข้อห้า เกี่ยวกับเรื่องของสุราเมรัยนะครับ ถ้ากินมากๆ แล้วถ้าไม่เป็นบ้าในชาตินี้ ก็มีสิทธิ์เป็นบ้าชาติหน้าได้นะ

 

จะมีคนประเภทหนึ่ง ที่ถูกชะตาขีดไว้ตั้งแต่เริ่มเลยว่า เกิดมานี่นะ รู้สึกหนักๆ หัวรู้สึกคิดอะไรดีๆไม่ออก รู้สึกเหมือนกับว่าฟุ้งซ่านจัด ควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วก็อาจจะออกแนวแบบว่า พอคิดนี่ คิดอะไรดีๆ คิดไม่ออก คิดออกแต่เรื่องชั่วๆ นะ คิดออกแต่เรื่องชั่วร้าย

 

แล้วก็บางทีไม่ใช่เกิดผล กับคนที่อยู่บนเส้นทางของความเลวอย่างเดียวบางทีคนดีๆ ที่อยู่บนเส้นทางดีๆ แต่พลาด เคยไป ..ในอดีตชาตินี่ เคยอยู่บนเส้นทางของขี้เมาหัวราน้ำ แล้วก็เคยอาละวาด เคยใช้อารมณ์แบบคนเมานะ ไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น ทำให้คนอื่นเขาอยู่ไม่เป็นสุข

 

ลองนึกถึงคนขี้เมา ทำอะไรบ้าง เอะอะโวยวาย เหมือนกับพูดจากับใครไม่รู้เรื่อง รบกวนจิตใจเขา เขาบอกว่าเมาแล้วให้ไปนอน ไม่ยอมนอนนะ จะตะบี้ตะบันพูดต่อ ให้เขาเกิดความทุกข์ได้ ให้เขาเกิดความรู้สึกว่า ข้านี่เป็นใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางจักรวาลให้ได้

 

ประเภทนี้เกิดใหม่ ก็จะมีลักษณะความคิดที่ควบคุมไม่ได้เหมือนกัน หรือ อย่างในชาตินั้นเองนะ ไม่ต้องเกิดไหม บางทีพอเมาไปมากๆ เมาดิบบ้างเมาสุกบ้าง ก่อเกิดอาการที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือว่ามีโทสะรุนแรง ยิ่งแก่ตัวลง สภาพแบบนี้ ก็ยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆนะ

________________

คนวิกลจริตที่พูดอยู่คนเดียว เขาคิดอะไรอยู่คะ และทำกรรมอะไรมาจึงเป็นเช่นนั้น?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์

วันที่ 10 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=01E7JRHoWcU

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น