ผู้ถาม : ได้ฟังคุณดังตฤณ แล้วก็ไปสมัครคอร์สเกี่ยวกับความตาย ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มาก เพราะสำหรับคนยุคปัจจุบันหลายๆ คนอาจไม่เคยชิน รู้สึกว่าทำไมต้องไปเรียนเรื่องความตาย เพราะยังไม่ได้แก่ หรือว่าอะไร
ก็เลยอยากรู้ว่า ประเด็นที่เราควรเรียนเรื่องนี้
คอร์สนี้ เพราะอะไร
ดังตฤณ : เพราะว่า ชีวิตนี้เหลือแค่นิดเดียวมาตั้งแต่เกิด
คนมักเข้าใจว่าเราเหลือเวลาอีกเยอะ เพราะว่าเราไม่รู้วันตาย
ไม่มีใครรู้วันตาย ก็เลยนึกว่าเหลืออีกเยอะ โดยประมวลเอาจากความรู้สึกถึงพลังชีวิต
คนนี่นะ จริงๆนะ ตัวพลังชีวิต ทำให้เกิดความประมาทอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
หนุ่มสาวมักจะประมาทในวัย มัวเมาในวัย ก็เพราะว่าวัยที่มีความแน่น มีความพร้อม มีความเต็ม
มีความรู้สึกว่าทำอะไรได้มากนี่ จะชวนให้หลงนึกไปว่า ชีวิตยังอยู่อีกนาน
คุณไปดูคนแก่ๆ ที่เรี่ยวแรงนี่แทบจะไม่เหลือแล้ว
หรือว่าขยับเขยื้อนแทบจะไม่ได้แล้ว พวกนี้มักจะเข้าใจว่าตัวเองเหลือชีวิตอีกนิดเดียว
แต่เอาจริงๆอาจจะอีกหลายสิบปีก็ได้ อยู่ไปอย่างนั้นแหละ อยู่ไปแบบทนทรมาน อยู่กับความไม่มีเรี่ยว
ไม่มีแรงนั่นแหละ
เห็นไหมชีวิต ไม่แน่นอน แต่จะรู้สึกว่าสั้นหรือยาว
ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตมีมากแค่ไหน
ทีนี้อย่างคนทั่วไป ก็มักจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาตามพลังชีวิตของตัวเองว่า
ยังขยับเขยื้อน สามารถจะบังคับบัญชาให้มือไม้ ไปหยิบจับอะไรได้ตามประสงค์ ก็เลยเกิดความรู้สึกแบบที่คุณพูดมานี่แหละว่า
.. เรายังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย ทำไมต้องรีบร้อนไปศึกษาเรื่องความตาย
จริงๆแล้ว ความตายไม่บอกเรานะ ว่าจะมาในรูปแก่ตาย
หรือว่าเกิดอุบัติเหตุตาย หรือว่าเป็นโรคภัยตาย
อย่างในปัจจุบันนี่เราอยู่ในสถานการณ์วิกฤติของโลก
ระดับโลกนะ ที่ใครจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ วันไหนก็ได้โดยที่เราเห็นๆกันเลยนะว่า
ไม่ใช่จะต้องรอให้แก่ตายก่อน
แม้แต่เด็กอายุน้อยๆ ติดโควิดก็ตายได้นะ หรือไม่ต้องติดโควิด
วันดีคืนดี หลายๆ คนยุคเรานี่หัวใจหยุดเต้นไปเฉยๆ หัวใจล้มเหลวไปเฉยๆนะ
ได้ยินบ่อยมากเลยประเภทที่บอกว่า ทำงานหนักนะ แล้วก็ลืมเกี่ยวกับภาวะของร่างกายตัวเองว่าไหวหรือไม่ไหว
ได้ยินบ่อยมากเลยว่านั่งทำงานอยู่ดีๆ ฟุบไป แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย คนมาพบว่า
กลายเป็นศพไปแล้วนะ
อันนี้ตรงนี้คือ คำว่า มรณสติ นี่
ท่านให้ระลึกว่า ความตายไม่ได้มาในรูปของการแก่ตายอย่างเดียว แต่มาในรูปอื่นๆได้อีกมากมายมหาศาล
แบบที่ไม่มีนิมิตหมายเตือนล่วงหน้า
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ อย่างถ้าเทวดานางฟ้า จะมีนิมิตหมายเตือนล่วงหน้า
อย่างผิวพรรณอันเป็นทิพย์เหี่ยวแห้งลง มีเหงื่อออกที่รักแร้หรือว่าดอกไม้ในวิมานเหี่ยวแห้งอะไรต่างๆ
อย่างนี้นี่เป็นนิมิตหมายว่ากำลังจะไป กำลังจะต้องระเห็จไปจากทิพยวิมาน
แต่มนุษย์ ไม่มีนิมิตหมายแบบนั้น บางทีหน้าตาผ่องใสอยู่ดีๆ
เพิ่งไปทำบุญมา รถตกเหวตายทั้งคัน อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ถ้าเราศึกษาจากข่าวอย่างเดียว
ข่าวการตายทุกวัน ทุกวี่วัน มาได้สารพัดรูปแบบ
ก็จะกลายเป็นความรู้สึกขึ้นมาแล้วว่า ไม่ใช่อย่างที่สัญชาตญาณของเราบอกนะว่า
เรามีพลังชีวิตแบบนี้อีกนานกว่าจะตาย.. ไม่ใช่
อย่างบางคน ผู้ประกาศข่าวกีฬาบางคน เล่นกีฬาหนักมาก
ร่างกายแข็งแรงมาก แต่ว่าทำงานหนักเกินไป หัวใจหยุดเต้นเฉยๆ แบบนี้ก็มี
ผู้ถาม : ที่ถามเพราะเราเป็นคนดูแลพ่อแม่ค่ะ ก็กลัวว่า
ต้องมีวันหนึ่งที่พ่อแม่เป็นอะไรขึ้นมา เราจะทนความเสียใจได้ไหม คงต้องเสียใจมาก
ก็เลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ไปเรียนเรื่องความตาย
เพราะอยากที่จะรับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ ถ้าวันหนึ่งจะเกิดขึ้น
แต่ก็รู้สึกเป็นเรื่องยากสำหรับการจากคนที่เรารักค่ะ
ดังตฤณ : เรื่องของความรู้สึกที่ไม่อยากพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
จริงๆ แล้ว เป็นทุกข์อันดับต้นๆ ในสังสารวัฏเลยก็ว่าได้นะครับ
ไม่มีใครหรอกที่อยากพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก พระพุทธเจ้าเคยตรัสนะว่า
การที่เราเดินทางเวียนว่ายตายเกิดเป็นอนันตชาติอยู่ในสังสารวัฎ เราต้องเสียน้ำตา
อันเกิดจากการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักอย่างเดียวนี่ ปริมาณน้ำตานั้น มากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่
คือถ้าเราเคยตกลงไปในมหาสมุทร เราจะรู้เลยนะว่า กี่ปีก็ตามผ่านไปนี่
ก็ไปไม่ได้ถึงไหน แต่ว่าน้ำตาของเราที่สะสมมาตลอดอนันตชาตินี่ มากกว่านั่น มากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่
แค่นี้ เราก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้อย่างหนึ่งนะว่า
การที่เราจะต้องพลัดพรากจากคุณพ่อคุณแม่ ที่จะต้องมาถึงวันหนึ่งหนึ่ง
การที่เราจะต้องพลัดพรากจากคุณพ่อคุณแม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก
แล้วก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แล้วก็จะต้องเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เรายังต้องมีเหตุให้เกิด
มีเหตุให้ตายอยู่
เมื่อพิจารณาแบบนี้ ด้วยความรู้สึกว่าที่ ผ่านมานี่เราเสียน้ำตามามากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่อยู่แล้ว
ไม่ใช่เพิ่งจะต้องเสียน้ำตาแค่ .. สมมตินะ พูดถึงนะ เมื่อเราจะพลัดพรากจากบุคคลที่รัก
ถ้าเราเอาภาชนะมารองน้ำตาของเรา เราจะพบว่า อาจจะได้แค่อ่างหนึ่ง ถ้าคนแบบร้องไห้เก่งจริงๆ
ร้องไห้เป็นสิบๆ ปีไม่เลิกเลย ผมว่าอย่างเก่งก็โอ่งหนึ่ง
เทียบได้ไหมกับมหาสมุทรนะ นี่เราเสียน้ำตามามากกว่านั้น
และการเสียน้ำตาเท่ามหาสมุทรทั้งสี่นี่ เสียไปแบบสูญเปล่า แบบจำไม่ได้แล้ว ว่าเราเคยพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
คุณพ่อ คุณแม่ ญาติพี่น้อง สามีภรรยา ลูก มากี่ครั้งกี่หน เราจำไม่ได้
เราจำได้ ระลึกได้เฉพาะคนที่เรายังไม่อยากให้จากไปนี่แหละ
ซึ่งต่อให้เราเป็นคนที่ร้องไห้เก่งที่สุดในโลก ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน
ผมว่า เต็มที่เลยโอ่งหนึ่ง โอ่งใบใหญ่ๆ ถังน้ำขนาดสักห้าร้อยลิตร ไม่เกินนั้นหรอกนะ
หรืออาจไม่ถึงครึ่งหนึ่งของห้าร้อยลิตร ร้องไห้ไปทั้งชีวิต ไม่น่าจะได้ขนาดนั้น
เพราะว่าคนเรา พอร้องไห้ที ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
น้ำตาไหลๆ ออกมานี่ถ้ารวมแล้วนี่ได้ไม่กี่ซีซี (cc)
คิดถึงปริมาณน้ำตาที่จะต้องเสียไป
แล้วเชื่อพระพุทธเจ้า ที่ท่านเคยตรัสไว้บอกว่า
ที่เราต้องเสียน้ำตาให้กับบุคคลอันเป็นที่รัก ที่จะต้องจากกัน วนเวียนอยู่อย่างนี้
มานับอนันตชาติ
บุคคลอันเป็นที่รัก ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ที่เรานึกไม่อยากให้จากไปนี่
เป็นแค่หนึ่งในอนันตชาติ หนึ่งในโกฏิ หนึ่งในล้าน ของบุคคลอันเป็นที่รัก
ที่เคยจากเราไป แล้วเราก็จำไม่ได้แล้ว
นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่เราจะระลึกขึ้นมา แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า
ใจสามารถหนักแน่นขึ้นได้ ใจสามารถที่จะอยู่กับความจริงได้ ใจสามารถที่จะคิดแบบพุทธ
แล้วก็ทุกข์น้อยลงแบบพุทธได้
การที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบไว้อย่างนี้นี่
ไม่ใช่ว่าท่านอุปมาเอาด้วยแบบนั่งเทียน ยกเมฆเอาแบบลอยๆ ตัวเลขที่ไม่มีเหตุมีผลนะ
เวลาพระพุทธเจ้าจะตรัสอะไรออกมาแต่ละคำ
ท่านรู้จริงๆ ด้วยสัพพัญญุตญาณ ท่านประมาณถูกนะว่า น้ำตาที่เสียไปเพราะบุคคลอันเป็นที่รักจากไปนี่
ยิ่งกว่ามหาสมุทรทั้งสี่
และบางทีเรื่องของชีวิต ตายแล้วเกิดใหม่ บางทีจำไม่ได้ว่าคนนี้เราเคยรัก
คนนี้เราเคยเสียน้ำตาเป็นวรรคเป็นเวร พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่า บุคคลที่เราเจอๆ กันในชีวิตนี่
หายากนะที่ไม่เคยเป็นพ่อ ไม่เคยเป็นแม่ ไม่เคยเป็นลูก ไม่เคยเป็นญาติ
นั่นหมายความว่าอะไร หมายความว่า คนที่เราเคยทำร้ายจิตใจเขา
เห็นเขาเป็นคนแปลกหน้า ไปเอารัดเอาเปรียบเขา ไปด่าเขา ไปเห็นเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ดี
เห็นเขาน่าจะย้ายสำมโนครัวออกไปไกลๆ เรา หรือว่าเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้องที่เราเกลียดขี้หน้า
เราอาจจะเคยเสียน้ำตาให้พวกเขา ในฐานะที่พวกเขาเคยเป็นบุคคลอันเป็นที่รัก
เคยเป็นพ่อเป็นแม่ของเรามาก่อนก็ได้
นี่ เรื่องที่พิสดาร เรื่องที่ดูไม่สมเหตุสมผลในสังสารวัฎ
ก็เป็นอย่างนี้
คือเราจำไม่ได้แล้ว ว่าใบหน้าที่เราเห็น ที่เรารู้จักในปัจจุบันนี่
ที่เป็นคนแปลกหน้านี่ เคยเป็นพ่อเป็นแม่เรามาก่อนหรือเปล่า
เราเคยเสียน้ำตาให้คนพวกนั้นมาแค่ไหน ในฐานะคนรักที่จะต้องพลัดพรากจากกันไป แต่มาเจอกันใหม่
อ้าว กลายเป็นคนแปลกหน้า กลายเป็นคนที่มาจ้องระแวงกันว่า ใครจะได้เปรียบ ใครจะเสียเปรียบ
มาเจอกันใหม่อีกที กลายเป็นเจ้านาย
อย่างเจ้านายบางคน เรารู้สึกรักเหมือนพ่อเหมือนแม่
เสร็จแล้วมาทำให้เราผิดหวัง ทำตัวไม่น่าเลื่อมใส หรือบางคน จากศัตรู เปลี่ยนมากลายเป็นมิตร
จากศัตรูที่แทบจะฆ่ากันตาย กลายเป็นสุดที่รัก
พอตายจากกันจริงๆนี่ เกิดจะต้องหลั่งน้ำตาให้
ความตลกของสังสารวัฏอยู่ตรงนี้ ที่เราคิดว่าเราสูญเสียบุคคล
ท่านนี้ไปไม่ได้ ในที่สุดแล้ว ก็ต้องจากกันจริงๆ แล้วก็ที่นึกว่าทำใจไม่ได้ ที่สุดก็ต้องได้
และถ้าเรามองข้ามช็อตไป เดี๋ยวไปเจอกันใหม่ เราก็จำไม่ได้แล้วว่า
เราเคยรัก แล้วเคยเสียน้ำตาให้ท่านมาขนาดไหน
ฉะนั้น คือเวลาที่พิจารณาแบบพุทธ ท่านให้มีเมตตา
แต่ไม่ใช่ให้รักอาลัย แบบทิ้งกันไม่ลง เหมือนกับที่ แม้ว่านางวิสาขา ท่านบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว
แต่ท่านก็ยังไม่สามารถตัดใจ ไม่สามารถตัดอาลัยรักในหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านรักของท่านมาก
พอหลานคนนั้นตายไปนี่ ท่านถึงขั้นร้องห่มร้องไห้ เดินเป๋ไปไม่ถูก ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ไปทูลว่า วันนี้เศร้ามาก หลานตายไป
พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้ามีหลานอันเป็นที่รักแบบนี้ร้อยคนขึ้นมา
แล้วตายไปวันละคนนั้นจะทำอย่างไร นางวิสาขาก็นึกขึ้นได้ ได้สติว่า .. รักหนึ่งทุกข์หนึ่ง
รักร้อยทุกข์ร้อย .. รักในแบบยึดน่ะ รักในแบบที่นึกว่าวันหนึ่งไม่ควรจะตายจากกัน รักแบบนั้นที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์
เราพิจารณาว่า สิ่งที่เรามีอยู่ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีใครครอบครอง
_____________________
ถาม : เพราะอะไรเราจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องความตายคะ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ถามตอบเกี่ยวกับการเจริญสติ
วันที่ 8 พฤษภาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=qbChEgbCa9U
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น