ผู้ถาม : ขอถามเกี่ยวกับสภาวธรรม คือนั่งสมาธิอยู่ แล้วเห็นเป็นแสงสีขาวอยู่เต็มหน้า พอเห็นสักพักก็ดูจิต เห็นกิเลส เห็นโทสะ เห็นโมหะ ก็มองพิจารณาดูไปเรื่อยๆ ในแสงสีขาว แต่ไม่ได้เข้าไปเพ่งหรือไปดูอะไรในแสงสีขาวที่สาดมาเต็มหน้า .. อยากจะถามว่าแสงนั้นคืออะไรครับ
ดังตฤณ : เขาเรียกว่า ‘โอภาส’
ถ้าเป็นภาษาทางธรรม ภาษาของนักปฏิบัติ เรียกว่าโอภาส
ซึ่งความสว่างแบบสปอตไลท์นี่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ กับทุกคนที่ใจเริ่มเปิดนะครับ
ใจที่เริ่มจะไม่ถูกครอบงำอยู่ด้วยความคิด
จัดเป็นอาการปรุงแต่งชนิดหนึ่งของจิตนะ จะเรียกว่าเป็นแสงจากจิตก็ได้
จะเรียกว่าเป็นความปรุงแต่ง เป็นสภาวะธรรมชาติ ที่ฉายเข้ามาถึงจิตก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ามองออกมาจากมุมไหน
อย่างถ้าหากว่า เรารู้สึกถึงจิตอยู่ แล้วจิตสว่าง
จิตเต็มดวง จิตมีความตั้งมั่นอย่างนั้น ก็ชัดเจนว่าเป็นแสงของจิต เป็นแสงกุศล หรือว่ามหากุศลที่เบ่งบานออกมานะ
แต่ถ้าหากว่า เรานั่งอยู่แล้วรู้สึกเหมือนกับว่า
มีแสงส่องมาจากตรงหน้าอย่างนี้ก็เป็นภาวะของธรรมชาติ เป็นสภาวะของแสงสว่างนะครับ ที่มาปรุงแต่งให้จิต
เห็นเป็นความสว่างอยู่ตรงหน้า จะเป็นความสว่างตรงหน้า หรือเป็นความสว่างที่ฉายออกมาจากใจกลางจิตก็ตาม
ให้มองเป็นสภาวะ ที่เป็นกุศลหรือมหากุศลนะครับ
ซึ่งมีประโยชน์ตรงที่ทำให้จิตของเรา
มีความเปิด มีความกว้าง มีความสามารถที่จะรู้เห็นอะไรได้ตรงตามจริง มีความสามารถที่จะรู้เห็นอะไรแบบที่ใจฟุ้งซ่านนี่
รู้เห็นไม่ได้ หรือว่าไม่สามารถรู้เห็นด้วยแก้วตา ไม่สามารถรู้เห็นด้วยแก้วหูนะ
อย่างเช่น เวลาที่คุณจะพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องโทสะ
หรือเรื่องอะไรมาก่อน ก่อนหน้าที่จะเกิดแสงสว่างแบบนี้ ก็จะย้อนกลับมาแล้วก็ทำให้เรามีความเห็น
ที่กระจ่างชัดขึ้น
อย่างเช่น เดิมเวลาเราพิจารณาโทสะ ในขณะที่เรากำลังลืมตาตื่นอยู่
เป็นปกติอยู่แบบนี้ เราจะพิจารณาได้แค่ว่า โทสะมีความร้อนในอกขึ้นมา ทำให้เกิดความพลุ่งพล่าน
ทำให้กล้ามเนื้อของเราเคร่งเครียด
แต่เวลาที่อยู่ในนิมิต เราเห็นโทสะเป็นอีกแบบหนึ่ง
จะมีรูปของโทสะ เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดโทสะ หรือว่าเหตุการณ์ที่เราแสดงโทสะออกไป แล้วมองว่าโทสะเหล่านั้น
ภาพเหตุการณ์เหล่านั้น เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วผ่านไป จริงๆ แล้วไม่น่าเอาใจของเรา
ให้ไปโดนคลอกในไฟโทสะแบบนั้นเลย
พอเราถอนออกจากสมาธิไป แล้วเกิดเหตุการณ์ยั่วยุให้เกิดโทสะอีก
ก็จะมีใจส่วนหนึ่งที่เป็นสติ บอกเราว่าลักษณะของโทสะ ที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนี้
เป็นแค่ของชั่วคราว จริงๆแล้วเราไม่ต้องยอมถูกคลอกก็ได้
อันนี้คือประโยชน์ที่จะได้จากนิมิตสมาธินะครับ
คือต่อไปนะครับถ้าเกิดแสงสว่าง ผมแนะนำอย่างนี้ ให้มองว่านี่เป็นสภาวะชั่วคราวภาวะหนึ่ง
ที่เกิดขึ้นในสมาธิ มีประโยชน์นะ
บางคนนี่ถูกแนะนำมาว่า ถ้าเจอแสงสว่างให้ตัดทิ้ง
เจอแสงสว่างอย่าไปสนใจ เจอแสงสว่าง จะเป็นเครื่องขวางทางเจริญสติ จริงๆแล้ว ไปดูได้เลยพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เยอะเลยนะครับ
เกี่ยวกับเรื่องของโอภาส
คือขอแค่เราไม่หลงไป ว่าจะเอาโอภาสไปใช้ดูโน่นดูนี่
นอกกายนอกใจ ก็จะมีประโยชน์ทั้งสิ้น
ถ้าหากว่าสว่างขึ้นมา สว่างโพลงขึ้นมาเฉยๆ
แล้วยังไม่มีอะไรปรากฏ เราไม่ต้องไปเร่งให้อะไรปรากฏทั้งสิ้น เราดูความสว่างไปนั่นแหละ
ด้วยการทำไว้ในใจเฉยๆ ว่าความสว่างนี้เป็นของชั่วคราว เมื่อปรากฏขึ้นมา ดูซิว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน
ถ้าหากว่าจะอยู่นานสามนาที ก็ให้อยู่ไปสามนาที ถ้าหากจะอยู่ไปสามชั่วโมง ก็ให้อยู่ไปสามชั่วโมง
ถ้าหากว่าจะอยู่ไปเป็นวันก็ให้อยู่ไปเป็นวัน ไม่ต้องไปขับไล่
แค่ทำไว้ในใจเท่านั้นว่า ความสว่างนี้เป็นหนึ่งในความไม่เที่ยง
ที่เราจะอาศัยรู้ชัดๆ อาศัยดูชัดๆ แล้วถ้าหากว่าความสว่างนี้ จะพาอะไรมาให้เราดูอีก
อย่างเช่นที่คุณว่า แล้วเราได้มองเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ
อันนี้ก็คือ ประโยชน์อีกส่วนหนึ่งของความสว่าง ที่จะเกิดขึ้นเอง
เราไม่ได้ไปพยายามบีบคั้นให้เกิดขึ้นนะ
ผู้ถาม : บางทีนั่งไปเหมือนจิตไปพักผ่อน ดับไปเลย
แล้วตื่นขึ้นมาใหม่ แล้วก็เห็นแสงสว่างแล้วก็พิจารณาอย่างที่บอกตอนแรก
ช่วงที่หลับไปคืออะไรครับ
ดังตฤณ : อันนั้นเป็น ‘ภวังค์’
คำว่าหลับ คำว่าภวังค์ หมายถึงว่า เราไม่รู้อะไรเลย
ภวังค์มีสองแบบ ที่ผมเอามาใช้ง่ายๆ นะครับ คือภวังค์หลับ
กับ ภวังค์สมาธิ
ถ้าหากเป็นภวังค์หลับ จะหายไปเลย ตื่นขึ้นมาอีกทีงัวเงีย
กับภาวะสมาธิ จะหายไปวูบหนึ่ง แล้วกลับหงายขึ้นมาเป็นจิตที่สว่าง
จิตที่ตั้งมั่น
ลักษณะนี้เป็นลักษณะธรรมชาติของจิตนะ จิตของเราโดยเดิม
มนุษย์ทั่วไปนะครับตอนฝึกสมาธิ จะเป็นจิตคิดๆ นึกๆ จิตฟุ้งซ่าน ซึ่งโดยกระบวนการธรรมชาติ
ต่อให้เป็นพระอรหันต์ คือพอจะเปลี่ยนจากจิตแบบคิดๆ เป็นจิตที่เป็นสมาธิ จะมีอาการวูบ
จะวูบเล็กๆ เหมือนตกหลุมอากาศนิดเดียว หรือว่าจะวูบใหญ่ๆ แล้วกลับหงายขึ้นมา คล้ายกับกะลาที่คว่ำอยู่
แล้วหงายขึ้นมาเจอท้องฟ้าแบบนี้ ขึ้นอยู่กับคน
ถ้าวูบลงไปใหญ่ๆ แสดงว่ากำลังสมาธินี่ยังอ่อนอยู่
ก็เลยวูบนาน แล้วกว่าที่จะได้ฤกษ์รวมตัว
จิตรวมแล้วหงายกลับขึ้นมา
แต่ถ้าหากว่าคว่ำเล็กๆ แล้วก็กลับหงายขึ้นมาเลย อันนี้เรียกว่ากำลังสติ
กำลังสมาธินี่เริ่มอยู่ตัวนะครับ
ทีนี้คุณก็แค่สังเกตเฉยๆ ไม่ต้องไปพยายาม ยิ่งพยายาม
ยิ่งอยาก ..ยิ่งไม่ได้นะ
เรื่องสมาธินี่ เราแค่สังเกตเฉยๆ ว่าเราทำสมาธิแบบนับหนึ่งสองสามไปทุกครั้ง ไม่ได้มีความคาดหวัง
ไม่ได้มีตัณหา ไม่ได้มีความอยากว่าจะกลับไปสมาธิอีกเร็วๆ
เอาแค่ว่าเราเดินเข้าสมาธิแบบนั้น ด้วยตามลำดับ หนึ่ง
สอง สามอย่างไรเราจำได้นะ นั่งหลับตาไป แล้วเห็นอะไร เห็นลมหายใจ หรือว่าเห็นท่าทางก่อน
ถ้าเห็นท่าทางก่อน นั่นเรียกว่ามีฐานของสมาธิที่ดีนะครับ
เห็นว่าท่านั่งอยู่นี่ ต้องหายใจเข้า ต้องหายใจออก
และพออยู่กับท่านั่งไปได้สองสามลมหายใจ ก็มีปรากฏชัดขึ้นมา มีการกระเพื่อมออก มีการกระเพื่อมเข้า
ซี่โครงมีการขยายออก แล้วมีการยุบเข้ามา แล้วเห็นสายลมหายใจชัด
ถ้าหากว่านิมิตของเรา เราจำได้แม่น ตรงนี้ให้สันนิษฐานว่ากำลังของเราเริ่มเยอะ
แล้วพอเข้าสู่ภาวะที่คุณว่ามา สังเกตดู แค่สังเกตเฉยๆ จะรวมเร็วจะหายไปวูบเดียว
แล้วก็พลิกกลับมา หงาย กลายเป็นเปิด ..จิตเปิด
แล้วแสงสีขาว หรือว่าความสว่าง จะมาจากข้างหน้าก็ตาม
หรือว่าออกมาจากเบื้องลึก ใจกลางของจิตก็ตาม ไม่ต้องให้ความสำคัญ ให้ความสำคัญแค่ว่า
ความสว่างนั้นอยู่ได้นานแค่ไหน
เราดูไป ดูไปด้วยอาการทำใจว่าความสว่างอยู่ได้นานแค่ไหน
อยู่ได้กี่ลมหายใจ หรือว่าลมหายใจอาจจะไม่ชัดแล้ว เราก็ดูไปว่า ดูอย่างนั้น ดูด้วยความเพลิดเพลิน
ดูด้วยความสบายใจด้วยความรู้สึกว่า ฉันเห็นแสงสว่างอยู่นะ เพื่อที่จะได้ดูจุดจบของมัน
ว่าจะลงเอยเสื่อมอย่างไร หรือถ้าหากว่าความสว่างนั้น จะฉายอะไรให้ดูอีก ก็ดูไป
หน้าที่ของเราแค่ดู ด้วยความเข้าใจว่าการประมวลทั้งหมดนี้
สภาวะที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นแค่ของชั่วคราวอย่างหนึ่งนะครับ
____________________
ถาม : นั่งสมาธิเห็นแสงสีขาวสาดมาเต็มหน้า
อยากรู้ว่าคืออะไรครับ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์ ตอน ความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องช่วยชีวิต
วันที่ 1 พฤษภาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=3o7q06pbEdI
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น