ผู้ถาม : ส่วนตัวไม่เคยเจอประสบการณ์เห็นผีชัดๆ แต่มีประสบการณ์ไฟติดเอง วิทยุดับเองเป็นครั้งๆ อยากสอบถามว่า บางทีที่เราขนลุก บ่งบอกหรือเปล่าว่ามีคนมาอนุโมทนากับเรา
ดังตฤณ : อาการขนลุกมีอยู่หลายแบบนะ และนักจิตวิทยาจะอธิบายแบบเป็นวิทยาศาสตร์ได้เป๊ะๆ
เลยนะว่า จริงๆแล้วที่รู้สึกว่าเสียวสันหลัง ขนลุกอะไรขึ้นมานี่ เป็นอาการทางสมอง หรือแบบว่าเป็นอากาศรอบๆ
ตัวปรับเย็นลงกระทันหัน หรืออะไรอย่างนี้
ก็ว่ากันตามที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ เป็นนักวิเคราะห์วิจัย
จะคิดกันได้แล้วก็ยืนยันด้วยหลักฐานรอบตัว
อย่างบางที อุณหภูมิเปลี่ยนไปแบบเฉียบพลัน ก็เกิดอาการเสียวสันหลังขึ้นมาได้จริงๆ
แล้ว อย่างบางที อธิบายได้แบบเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ ว่าทำไมอากาศรอบๆตัวเรา ถึงเปลี่ยนแปลงนะ
มาแบบเป็นวิทยาศาสตร์นะ
แต่หลายๆ สถานการณ์ ก็อธิบายไม่ได้จริงๆ เพราะไม่มีปัจจัยแบบที่เป็นธรรมชาติ
ที่ว่าอุ่นๆ อยู่ดีๆ ทำไมวูบกลายเป็นเยือกขึ้นมา แล้วเหตุการณ์แบบนี้ยืนยันเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้
ก็เพราะว่าเราไม่สามารถไปกะเกณฑ์ว่าจะให้เกิดขึ้น เมื่อนั่นเมื่อนี่ เพื่อที่จะได้เก็บตัวอย่างทดลอง
มาแสดงผลเป็นสถิติแบบวิทยาศาสตร์นะ
ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน ระหว่างคนเชื่อกับคนไม่เชื่อ
หรือว่าคนที่มองเป็นวิทยาศาสตร์ กับมองแบบว่าเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก
ทีนี้ประเด็นก็คือว่า เราจะรู้ได้อย่างไร
ว่าเราเจอเข้าไปจริงๆ.. เรารู้ไม่ได้ .. อันนี้เป็นคำตอบที่ชัดเจนก่อนเลย
ถ้าหากว่า เราไม่มีตาทิพย์ เราไม่ได้มีจิตสัมผัสที่คมพอ
ที่จะแยกแยะออกว่า อันนั้นข้างนอก อันนี้ข้างใน
อย่างนักเจริญสติ พระพุทธเจ้านะท่านสอนอย่างนี้นะ
โดยที่รุ่นหลังๆ เรา ไม่ค่อยสนใจ หรือว่าไม่ค่อยมีใครได้อ่านได้เห็นกัน ก็คือว่า ทุกครั้งที่ท่านให้พิจารณาอะไรก็ตาม
ในส่วนของเรานี่ ให้พิจารณาภายนอกด้วย
คำว่า อย่างลมหายใจนี่เป็นของภายใน และลมหายใจอันเป็นภายนอก
ท่านหมายถึงว่าบุคคลภายนอกที่หายใจ พูดง่ายๆดูลมหายใจของคนอื่น
ถ้าดูลมหายใจของตัวเองออก อ่านลมหายใจของตัวเองได้
อย่างชัดเจน ท่านให้ดูลมหายใจของคนอื่นด้วย
ซึ่งถ้าใครลองทำจริงๆ ก็จะเห็นว่า นอกจากจะเห็นว่าสักแต่เป็นลมหายใจของเรา
ที่เป็นธาตุลม สักแต่เป็นธาตุลม มีอาการพัดเข้าแล้วก็พัดออก ไม่มีบุคคลอยู่ในนี้
.. ก็เป็นธรรมชาติเดียว กันกับที่เราเห็นในลมหายใจของคนอื่นเช่นกันว่า สักแต่เป็นธาตุลมพัดเข้าพัดออก
พอเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตามเข้าไปหมด ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ในเราอย่างไร
ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ของเขาก็อย่างนั้น เพียงแต่ว่าจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันว่า
เบ่งบานออกมาก หรือว่าแค่คับแคบอยู่ในวงจำกัดสั้นแปปหนึ่งก็หายไปแผ่วไปอะไรแบบนี้
โดยเนื้อหา จะเป็นทุกข์เป็นสุขอันเดียวกันนั่นแหละ
แล้วเราก็จะตามเข้าไปได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าของเราอยู่ฝั่งนี้ ของเขาอยู่ฝั่งโน้น
สัมผัสได้ด้วยใจเลย ต่อให้หลับตาอยู่นี่ ก็รู้เลยว่าเขาหายใจอย่างไรอยู่ เป็นหายใจยาว
หายใจสั้น หรือว่าเขากำลังมีความสุข หรือมีความทุกข์ที่แผ่ออกมาให้ใจของเราสัมผัส หรือว่าเขากำลังคิดดี
หรือคิดร้าย
ลักษณะภาวะปรุงแต่ง ที่เป็นกลายเป็นใจเขานี่ อยู่ในห้วงความเป็นกุศลหรือว่าห้วงแห่งความเป็นอกุศล
จะสัมผัสได้
พอสัมผัสได้ชัดแบบนี้ มีสติที่คมชัดพอจะแยกว่า นี่ฝั่งเรานี่
นั่นฝั่งเขา ก็จะ ข้ามเขตของการมองเห็นด้วยแก้วตา หรือประสาทหูไป
จะสัมผัสได้ด้วยว่าแม้ไม่มีบุคคลที่ปรากฏต่อแก้วตา อยู่ตรงหน้า เราก็สามารถ detect ได้ว่ามีอะไรบางอย่าง ที่ให้ความรู้สึกเป็นกุศล
มีความสว่างประมาณไหน อยู่รอบๆตัว
หรือ กำลังมีกระแสเยือกๆ กระแสเย็นยะเยือก ที่เป็นตรงข้ามกับกุศล
อย่างนี้ คุณจะแยกออกว่า กุศลกับอกุศลต่างกันอย่างไร ในตัวเองก่อน แล้วไปแยกออกทีหลังว่า
กุศลกับอกุศลในคนอื่นเป็นอย่างไร
เสร็จแล้วนี่ก็จะไปแยกออกด้วยว่า กุศลกับอกุศลของสิ่งที่ไม่ปรากฏต่อแก้วตา
เป็นอย่างไร มีความเข้มข้น มีความเบาบางแตกต่างกันอย่างไร
จะข้าม ก้าวข้ามไปกับอะไรผิวๆ ที่เป็นอาการขนลุกขนชันอะไรอย่างนี้
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เขาจะไม่เชื่อนะ ว่าอาการขนลุกขนชัน เป็นสัญญาณบอกว่าเราสัมผัสเข้ากับอะไร
แต่เรานี่แหละจะรู้ได้ เป็นปัจจัตตังนะครับว่า ภาวะที่เป็นกุศล
หน้าตาเป็นอย่างนี้ รู้จักตัวเองก่อน แล้วภาวะที่เป็นอกุศลที่ คลุ้งยุ่งเหยิง
มืดบอดด้วยโมหะห่อหุ้มนี่ หน้าตาเป็นอีกอย่างหนึ่ง
รู้จักตัวเองก่อน แล้วสัมผัสเอาจากคนธรรมดาที่อยู่ใกล้ๆ
ตัวว่า กุศลของเขา ก็เป็นแบบเดียวกันกับเรา มีอะไรสว่าง หรือว่าความมืดแบบของเรา ก็เป็นความมืดแบบเดียวกับของเขา
มีความยุ่งเหยิง มีโทสะ มีความร้อน มี ความมืดอะไรบางอย่างที่ครอบงำจิต เราจะสามารถสัมผัสได้
และตรงนั่นแหละ ที่คุณจะก้าวเลยไป สามารถสัมผัสแบบเดียวกัน
กับสิ่งที่ไม่มีรูปร่างหน้าตาให้จับต้อง หรือปรากฏแก้วตานะครับ
ผู้ถาม : อาการขนลุก มักจะเป็นตอนเริ่มสวดมนต์ครับ บางทีสวดคำสองคำ
ก็จะขนลุก
ดังตฤณ : ถ้ามักจะเป็นตอนสวดมนต์นี่
ผมอยากให้สันนิษฐานไว้ก่อน อย่าเพิ่งเอาความจริงนะ อย่าเพิ่งเอาผิดเอาถูก เอาจริงว่า
จริงๆคืออะไร
แต่ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เกิดจากการที่เราตั้งไว้อยู่ในใจ
ว่าถ้าขนลุกขนชัน แปลว่าเราสัมผัสนะครับ
พอมีความเชื่อแบบนี้ บางที..สำหรับบางคนนะ.. อาจจะเกิดการจำลองสถานการณ์ขึ้นมา
คือสมองของคนนี่สั่งได้นะ ด้วยการที่เราตั้งความเชื่อไว้แบบไหน สมองสั่งได้ให้เกิดอาการแบบนั้นๆ
เป๊ะเลย
อันนี้อยากให้ตั้งจิตไว้อย่างนี้ก่อนเพื่ออะไร เพื่อที่จะให้เราไม่ไปกังวลกับช่วงเริ่มต้น
ไม่ว่าจะขนลุกขนชัน หรือเกิดสภาพทางกาย หรือว่าความรู้สึกทางใจอย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะมีสมาธิอยู่กับการสวดอย่างเดียว
ไม่ไปสนใจกับสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ทางกาย
เพราะว่าปรากฏการณ์แบบนี้ พอมีขึ้นแล้วจะเป็นตัวถ่วงนะ
คือใจเรานี่จะมัวแต่พะวง อยู่กับอาการขนลุก หรือว่าอาการถามหาความจริง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี่มาจากวิญญาณรอบตัวหรือเปล่า
หรือมีผีมาขอส่วนบุญหรือเปล่านะ
จิตก็จะไม่โฟกัสอยู่กับสิ่งที่ควรโฟกัส
______________________
คำถาม : ไม่เคยเห็นผี แต่เจอไฟติดเอง วิทยุดับเอง
อาการขนลุกนี่จากสิ่งที่มาอนุโมทนากับเราไหมครับ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
คลับเฮาส์ ตอน ความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องช่วยชีวิต
วันที่ 1 พฤษภาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป :
https://www.youtube.com/watch?v=klNNksWJVY0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น