วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

โควิดระบาดหนัก กลัวตาย วางใจอย่างไรดี

ดังตฤณยิ่งรักตัวกลัวตาย ช่วงนี้ยิ่งสมควรที่จะ เจริญมรณสติ

ศาสนาพุทธไม่ได้มีแต่คำปลอบใจ

ศาสนาพุทธไม่ได้มีแต่คำสวยๆ ที่จะทำให้คนยิ้มรับกับสถานการณ์

 

ใจ ฝืดจะแย่อยู่แล้ว ศาสนาพุทธไม่เคยบอกว่าให้ยิ้มรับ ยิ้มสู้ หรือว่าต้อนรับกับสถานการณ์เลวร้าย ด้วยจิตใจที่เบิกบานผ่องใส อะไรแบบนั้น ไม่ใช่แบบนั้น พุทธเรา จะให้รู้จักที่จะทำใจให้เข้ากับสถานการณ์ด้วย

 

อย่างเรื่องของ มรณสติ จะเหมาะกับคนที่กลัวตาย

 

ปกติเวลาพูดถึง มรณสติ คนจะนึกถึงเรื่องอัปมงคล ไปนึกถึงทำไม ความตายอะไรต่างๆ เพราะว่าคนเราถูกปลูกฝังมาว่าการมีชีวิตอยู่คือสิ่งที่เป็นมงคล คือสิ่งที่ดี คือสิ่งที่ใช่ ควรจะอวยพรกัน ให้อายุยืนยาว หรือขอให้มีความสุข ขอให้อย่าได้เจอความทุกข์ ขอให้มีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ ซึ่งนั่นสะท้อนถึงความอยากในใจของคน

 

แต่ว่าศาสนาพุทธ ขึ้นต้นมาบอกว่า อย่าไปคาดหวังว่าเราจะได้อยู่ดีมีสุขตลอดไป เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา

 

ประเด็นคือ ทำอย่างไร ใจถึงจะสามารถเผชิญหน้า กับสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย โดยไม่มีความทุกข์มากเกินไป

 

นั่นก็คือ นึกถึงความตายให้ได้แบบที่จะเห็นเป็นเรื่องที่เรียกว่า ธรรมดา ซึ่งจะต้องเกิดขึ้น

 

และยิ่งกว่านั้นคือ เราต้องมีทางเลือกอื่นให้กับจิตใจของเราเอง ว่า ถ้าไม่ได้มีชีวิต แล้วจะมีอะไรดีขึ้นได้ไหม

 

คนยุคใหม่ส่วนใหญ่มองว่า เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องสวรรค์ เรื่องการทำบุญที่จะมีชีวิตให้ดีขึ้นไปกว่านี้ เป็นนิยายปรัมปรา เป็นเพียงคำปลอบใจ เป็นเพียงที่จะให้ได้เกิดความรู้สึกว่า เดี๋ยวมีของดีมากกว่านี้รออยู่

 

แต่จริงๆ แล้วพุทธศาสนา ให้สำรวจจิตสำรวจใจตัวเองว่า เราอยู่ในภาวะแบบไหน สว่าง หรือว่ามืด .. ถ้าหากมีที่ไปหลังความตายอยู่จริงๆ เราก็ไปที่นั่นแหละ

 

คืออย่างการหมกมุ่น หรือว่าเคร่งเครียดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยความรู้สึกว่า กลัวเราจะติดโรค กลัวเราจะติดโควิดแบบคนอื่นเขา กลัวเราจะตายทรมาน แบบที่ได้ยินข่าวกัน หายใจไม่ออกบ้างอะไรบ้าง เพราะนี่ก็เป็นเรื่องที่เกาะกินปอด เป็นจุดเจ็บที่สุดในชีวิตของมนุษย์แล้วแหละ เรื่องหายใจไม่ออก หรือว่าหายใจไม่สะดวกนะ

 

ทีนี้ การที่เราถูกความกลัวครอบงำ หรือว่าเกาะกินหัวใจอยู่นี่ เป็นความทุกข์ที่ชัดเจน ที่นำมาก่อนหน้าอาการหายใจไม่ออก ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นนะ

 

ตรงนี้แหละที่เราจะเห็นประโยชน์จากมรณสติ

 

คำว่ามรณสติ ไม่ใช่นึกถึงความตายที่น่ากลัว ไม่ใช่นึกถึงความตายที่อึดอัดไม่ใช่นึกถึงว่าเราจะติดโควิดกับเขาไหม แต่ให้นึกว่า ถ้าต้องตายไปในนาทีนี้ มีดีอะไรไปตาย

 

อันดับแรกเลยนะสำหรับคนทั่วไป คิดอย่างนี้ก่อนเลยว่า เรามีอะไรดีอยู่บ้าง

 

ถ้ามัวแต่คิดเรื่องการจากพราก มัวแต่คิดเรื่องการตายทรมาน มัวแต่คิดเรื่องว่า สงสัยเรามีชีวิตหลังความตายนี่ จะไม่น่าพอใจเท่านี้ ได้อยู่กับพ่อแม่พี่น้อง ได้อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น ได้อยู่กับสภาพชีวิตที่มีเทคโนโลยีดีๆ นี่นะ ได้บันเทิงกันมากกว่ายุคสมัยใดๆ

 

จะมีแต่ความกลัวที่เกิดจากความรู้อันแคบจำกัด ที่มนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งนี่จะรู้ได้

 

เวลาธรรมชาติเขาออกแบบมา ให้ภพภูมิมนุษย์มีอะไรบ้าง ถ้าคิดแทนธรรมชาตินะ ผมจะบอกว่า ธรรมชาตินี่เขาจำกัด ไม่ให้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ที่มาและที่ไป

 

ให้รู้เฉพาะตรงนี้ เหมือนกับตรงนี้กำลังเป็นความฝันที่อยู่ๆ โผล่ขึ้นมา มีภาพโผล่ขึ้นมา แล้วเขาจะวัดใจเราว่า เราจะตัดสินใจทำอะไรบ้าง ลงกับฉากที่กำลังเป็นอยู่ ฉากฝันฉากนี้นี่นะ

 

คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตกันเรื่อยเปื่อย ตามความพอใจ ไม่ได้คิดเลยว่าหลังความตาย ตัวเองจะต้องเป็นอย่างไรบ้าง เพราะไม่รู้ ธรรมชาติปิดกั้นไว้ ก็โทษกันไม่ได้นะ

 

คือพอถูกปิดกั้นไว้ ไม่ให้รู้ทั้งที่มาและที่ไป มนุษย์คนหนึ่งก็จะทำอะไรตามอำเภอใจอย่างที่อยากจะทำ

 

ทีนี้พอพุทธศาสนาสอนว่า เอาจริงๆ ก็ไม่มีอยู่แค่นี้เท่าที่เห็น แต่มีก่อนหน้านี้ และมีหลังจากนี้ แล้ววิธีที่จะเดินหน้าต่อไป ถ้าหากจะต้องตายไปในวันนี้ นาทีนี้นี่ ก็คือหาอะไรดีๆไว้เป็นที่พึ่ง เหมือนกับคนลอยคออยู่กลางทะเล ถ้าไม่มีห่วง ถ้าไม่มีเรือ ถ้าไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่จะอยู่กลางน้ำให้ได้นี่ ก็จมเปล่าๆนะ

 

ตอนนี้ ภพภูมิมนุษย์นี่ก็เหมือนกับเรือลำหนึ่ง เรือลำเล็กๆ ที่พายลอยอยู่กลางน้ำ ถ้าหากว่าเราไม่เตรียมห่วงยาง หรือว่าไม่ได้สร้างเรือลำใหม่ไว้ ในที่สุด พอเรือลำนี้แตก ก็ต้องตกลงน้ำตายไป แบบที่ว่ายน้ำป๋อมแป๋ม แล้วหาความช่วยเหลือจากใครไม่ได้ เพราะในโลกของวิญญาณ โลกของกรรมวิบาก มีเราเท่านั้นที่ช่วยตัวเองได้ มีเราเท่านั้นเป็นที่พึ่งหลังจากหมดลมหายใจไป

 

อย่าไปเชื่อนะว่าจะมีใครที่อยู่ข้างหลังในโลกนี้ จะมาช่วยเราได้ เพราะการเชื่อแบบนั้น ไม่ใช่แค่การหวังน้ำบ่อหน้านะ แต่เป็นการหวังน้ำที่ไม่มีอยู่ข้างหน้าต่างหาก

 

การที่เราซ้อมนึกบ่อยๆว่า ถ้าต้องตายนาทีนี้มีดีอะไรไปตาย จะมีประโยชน์นะ คือทำให้เราไม่หลง จิตเรามีทิศทางที่ชัดเจนแน่นอนว่า ถึงเวลาขึ้นมาจริงๆนะ จะนึกถึงอะไรเป็นที่พึ่ง

 

ตอนที่จิตมีเป้าหมายชัด มีโฟกัสชัดว่าจะให้นึกถึงอะไร จะมีอาการไม่ซัดส่าย ต่างจากคนที่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อนว่าจะนึกถึงอะไร เวลาที่ไปถึงนาทีนั้น เข้าได้เข้าเข็ม จะกระเจิดกระเจิง แล้วก็ตกตื่นตระหนกนะ

 

คนที่ใกล้ตายนี่ สิ่งที่จะต้องเห็นแน่ๆ คือนิมิต ว่านิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นกรรมนิมิต หรือว่าคตินิมิต

 

ถ้าเป็นกรรมนิมิตหมายถึงว่าสิ่งที่ได้เคยทำมา จะมีความทรงจำย้อนกลับมาแบบพรั่งพรู ตั้งแต่เด็กมาเลย ในชาตินี้ ชีวิตแบบนี้ รูปร่างหน้าตาแบบนี้เคยทำอะไรไว้บ้าง

 

เหมือนกับคุณคงเคยหลับๆ ตื่นๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วเกิดความจำอะไรพรั่งพรูขึ้นมา ในแบบที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ คิดเกี่ยวกับเรื่องโน้น คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเป็นไปทำนองเดียวกัน แต่อันนี้จะมาเป็นภาพเลย ชัดๆเลยนะว่าเคยทำอะไรบ้าง

 

ที่นึกว่าลืมไปแล้ว ฝังไว้แล้วใต้ดินนี่ จะกลับมาแบบที่คุณไม่มีสิทธิ์ไปคัดค้านเลยนะว่า นั่นฉันไม่ได้ทำ แกล้งหลอกตัวเอง แกล้งหลอกคนอื่นแบบที่ตอนยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้นะ จะผุดขึ้นมาแล้วทำให้จิตนี่จำเลย เพราะเวลาท้ายๆ จะมีตัวปรุงแต่งจิตมาประมวลผล ว่าสมควรได้ไปไหน

 

ซึ่งนี่แหละ ก็เป็นที่มาว่าทำไมภาพความจำที่เคยทำๆ มา ถึงได้มาตอกย้ำหัวหมุดที่ตรงนั้น

 

ซึ่งถ้าเราหมั่นนึกถึงบุญ หมั่นนึกถึงกุศล แล้วก็ตั้งใจเลยว่า ที่ทำบุญไปนี่เพื่อให้ตัวเอง ได้ใช้เป็นเครื่องระลึก ว่าเราอยู่บนเส้นทางของความดีงาม อยู่บนเส้นทางสีขาว เวลาที่จะได้เวลานั้นขึ้นมานะ จิตจะเลือกที่จะนึกถึงภาพสีขาว นึกถึงภาพที่ดีๆ ที่มีความสดชื่นนะ

 

หรือถ้าหากว่าบางคน อาจจะไม่ได้มีกรรมนิมิตเกิดขึ้น ก็อาจมีคตินิมิต คือ บางทีสว่างโพลงขึ้นมา เหมือนกับท้องฟ้าสีขาว เป็นท้องฟ้าใหม่เปิดขึ้น แล้วก็รู้สึกถึงความเป็นทิพย์ รู้สึกถึงอะไรที่ดีงาม แล้วแตกต่างจากโลกใบนี้นะ

 

ไม่ใช่แค่ท้องฟ้าสวยๆ แต่เป็นท้องฟ้าที่ มีความงดงามไปอีกแบบ จะเป็นความสว่างจ้าอีกแบบหนึ่ง ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นทิพย์ ที่ให้ความรู้สึกว่า น่าไป อบอุ่นใจนะ

 

อันนี้ก็ได้แก่คนที่ได้ทำบุญมาจนขึ้นใจ ได้ทำบุญมาจนกระทั่งว่า ใจไม่ไปทางอื่น ไม่นึกถึงสิ่งอื่น นึกถึงอะไรดีๆมาตลอด ก็มาย้อนให้ผลตอนใกล้ตายนี่แหละว่า ไม่มีทางเลือกอื่นให้ไปนะ นอกจากฝั่งฟ้าอีกฝั่งหนึ่ง ที่มีอยู่จริง แล้วก็เป็นฝั่งที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่งยวด

 

คติใดคติหนึ่ง ที่ปรากฏขึ้นมา ก่อนที่เราจะตาย จะมาปรุงแต่งจิตของเรา ให้เกิดความยินดี หรือยินร้ายตามนั้น

 

ทีนี้ แทนที่เราจะให้มันมาเองแบบเสี่ยงสุ่ม เหมือนรัสเซียนรูเล็ต (หมายเหตุผู้ถอดเสียง : เกมพนันชนิดหนึ่งที่มีอาวุธปืน เป็นอุปกรณ์การเล่น) ว่าจะโดนท่าไหน ดีหรือร้าย เราซ้อมตายไว้ก่อน

 

นี่แหละตัวนี้ มรณสติก็คือว่า ถ้ารู้ ก็จะได้เปรียบชาวบ้านเขาอีกเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ในโลก ที่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อนนะ

 

วิธีเตรียมก็คือ ถามตัวเองบ่อยๆว่า ตายนาทีนี้ มีดีอะไรไปตาย

 

ถ้าหากว่า นึกออกบอกถูกทันทีว่า ที่เตรียมมาเป็นประจำทุกวัน คือนึกถึงสิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศล ปรุงแต่งจิตให้คล้อยตามไปในกระแสแห่งบุญ ตัวนี้นะ ตอบตัวเองได้ทันทีว่า เรามีดีไปตายแล้ว มีดีไปเป็นที่พึ่งของตัวเอง เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของตัวเองแล้วนะ

 

คุณนึกถึงอย่างนี้ว่า จิตของคนปกติที่ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความระแวง เรื่องความหวาดกลัวสถานการณ์ในปัจจุบันนี่นะ จิตฟุ้งซ่านนี่จะมีอาการบอกตัวเองว่าอย่างไร

 

บอกตัวเองว่า ฉันจะติดไหม ตายแล้วนี่ฉันจะไปไหน จะมีแต่ข้อสงสัย จะมีแต่เรื่องที่ทำให้เกิดความรู้สึกแย่ๆ เพิ่มขึ้น พูดง่ายๆว่าซ้ำเติมตัวเองเข้าไป  สถานการณ์ภายนอกแย่อยู่แล้วนี่ ก็มาซ้ำเติมให้สถานการณ์ภายในยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก ก็ไม่เหลืออะไรดีๆ ให้รู้สึกดี

 

แต่ถ้าหากว่า ถามตัวเองว่ามีอะไรดีไปตาย แล้วตอบตัวเองได้บ่อยๆ จะสงบลงทันที ไม่ต้องไปหาคำปลอบใจ ไม่ต้องไปคิดอะไรดีๆ แบบแกล้งคิด แต่คิดอะไรจริงๆ ที่ดีจริงๆ ว่าฉันมีดี เพราะฉันนี่ได้สวดมนต์ .. สวดมนต์เช้าสวดมนต์เย็น หรือเอาแค่เย็นอย่างเดียวก็ยังดี

 

หรือฉันคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงคุณงามความดีของพระองค์ คิดถึงสิ่งที่เราได้เป็นความสุข แล้วมีความรักในพระองค์ ใจก็จะสงบลงทันทีเพราะว่าลึกๆ รู้ว่าได้ไปดีแน่ แค่มีความเคารพรักในพระพุทธเจ้านะ

 

อันนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองนะ เป็นพุทธพจน์ ไม่ใช่ดังตฤณพูด เป็นพระพุทธเจ้าตรัสนะครับว่า เพียงให้ความเคารพรักในพระองค์ คือพูดง่ายๆ มีศรัทธาในพระองค์ เพียงเท่านี้ ก็ได้เป็นเหตุให้ได้ไปถึงสวรรค์แล้ว

 

ท่านตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏแยกขยายแล้ว บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

 

พอพระพุทธเจ้าตรัสเสร็จ ภิกษุเหล่านั้นก็แสดงความยินดีชื่นชม มาจาก อลคัททูปมสูตรที่ ๒ ลองไปหาดูได้

 

จะเป็นเรื่องดีนะถ้าหากว่าเราได้ไปดูด้วยตัวเอง ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้จริงๆนะ จะมีผลให้ .. คือถ้าหากว่าเราทำไว้ในใจ จะด้วยการสวดมนต์ระลึกถึงพระองค์ก็ตาม

 

อย่างสวดอิติปิโสฯ นี่ ทำไมถึงย้ำนักย้ำหนา เพราะว่า บทสวด อิติปิโสฯ เป็นการสรรเสริญพระคุณ หรือคุณวิเศษของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเมื่อเรามีใจเคารพรัก มีใจศรัทธา ไม่ต้องเข้าใจอะไรมากก็ได้ เอาแค่ว่ามีใจดิ่งไปในศรัทธา แน่วไปในศรัทธาของพระองค์ ก็ทำให้ใจสงบลงได้แล้ว เพราะลึกๆ ของจิตนี่จะรู้สึกว่า ตายเมื่อไหร่ ดีเมื่อนั้น ตายไปกับศรัทธาในพระองค์นี้แหละ

 

นอกจากนั้น คุณควรจะนึกถึงบุญที่ทำมาบ่อยๆ นะ ทั้งบุญที่ทำแล้ว และบุญที่ยังอยากทำอีกนะครับ

_______________________


คำถาม : ในสถานะการแบบนี้ ควรวางใจอย่างไร สติแทบจะเอาไม่อยู่ ต้องสู้กับความคิดฟุ้งซ่านตลอดเวลา จนบางทีก็หลุด บางครั้งก็ระงับทัน ทั้งๆที่รู้ว่าความตายเป็นของธรรมดา แต่ความฟุ้งความกลัวก็ตามติดเป็นเงา ควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ?

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์ ตอน ความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องช่วยชีวิต

วันที่ 1 พฤษภาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=0_mwP5jHslk

 ** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น