วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

13 เจ็บป่วย ทุกขเวทนาทางกายหนัก โทสะเกิดตลอด รู้สึกเอาตัวไม่รอด

ผู้ถาม : ก่อนหน้านี้ ผมไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าแยกธาตุแยกขันธ์ได้ออโต้ระดับหนึ่ง

 

แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีบททดสอบเข้ามา คือ ผมตื่นขึ้นมาเจอว่าเกาต์ขึ้นที่ข้อเท้าขวา ก็เจ็บหนักมาก ยาที่บ้านก็หมด และเพราะกลัวโควิดเลยไม่ได้ไปฉีดยา ก็สั่งยามาแต่ก็ต้องมีเหตุที่ต้องรอกว่ายาจะมาส่งอีกเป็นชั่วโมง ซึ่งปกติไม่นานขนาดนั้น

 

ระหว่างที่รอยา ก็คิดเสียว่า ไหนๆ ก็จะใช้สภาวธรรมให้เกิดประโยชน์ ก็นอนหลับตาและจำลองสถานการณ์ว่า ถ้าเราจะต้องตายด้วยการมีทุกขเวทนาจะเอาตัวรอดไหม ก็ลองทดสอบตัวเอง นอนดูแยกธาตุแยกขันธ์ไป แต่พบว่า พอเจออาการที่เจ็บเหมือนมีหอกแหลมเผาไฟร้อนๆ ทิ่มข้อเท้าเราเป็นระยะไปเรื่อยๆ นอนดูก็เห็นความโกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆ อยู่กลางอก เหมือนไฟแดงๆ เป็นภาพประมาณนั้น

 

ดังตฤณ : ขอแทรกนิดหนึ่งครับ ตรงที่เห็นแดงๆ ที่แหลมๆ นั่นเรียกว่าเป็นนิมิตนะ ซึ่งนิมิตนั้น .. ดีมาก

 

คือถ้าเห็นเวทนา โดยความเป็นนิมิตได้ เหมือนกับที่หลวงปู่ดุลย์ท่านเคยพูดนะว่า การที่เราจะเข้าถึงความปล่อยวางได้ง่ายๆ มีวิธีก็คือว่า ให้เห็นจิตเห็นการปรุงแต่งของจิต เสมือนตาเห็นรูป

 

ตัวนี้ .. ถ้ามีเวทนาตรงนี้ขึ้นมาชัดเจนแล้ว แล้วเราเห็นได้ชัดแบบที่เมื่อกี้เราอธิบายมาว่า เหมือนอะไรแดง เหมือนอะไรแหลมๆ (ผู้ถาม : เหมือนเปลวไฟสีแดงครับ) ดีมาก จะบอกแค่นี้ว่าดีมาก

 

ผู้ถาม : ขอบคุณครับ .. ผมก็เลยดู แล้วผมเจอแบบนี้ว่า พอเราเจอทุกข์เวทนาแบบหนักๆ คือปวดเกาต์ ถ้าปวดที่ข้อ จะปวดแบบเจ็บสุดๆ เลยครับ แล้วพบว่า พอเจอแบบนี้ เอาจริงๆ พลังฝึกปรือที่เคยคิดว่าเราน่าจะเอาตัวรอดได้ตอนจะตาย มันเอาไม่อยู่ครับ

 

คือจะสลับภาพ เห็นเป็นริ้วบ้าง สักพักเห็นความปรุง เห็นความพยาบาท ความโกรธว่าทำไมคนส่งยาไม่มาสักที เห็นความเริ่มพาลไปเรื่อย

 

ผมก็พยายามจะรักษาอารมณ์ ก็ลองทำสมถะ เพ่งลมหายใจ โดยพุทโธนับหนึ่ง แต่เอาจริงๆ แค่รอบลมหายใจเดียวก็ฟุ้งกระเจิง จนผมทำสักพักได้ไม่ถึงสิบรอบครับ แปดครั้งก็กระเจิง

 

เลยรู้สึกว่า ถ้าตายด้วยอาการนี้จริงๆ จะยากมากที่จะ .. รู้สึกยังฝึกไม่พอครับ อยากขอคำชี้แนะครับ

 

ดังตฤณ : ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ คือถือว่าดีมากเลยนะ

 

โอเคว่า ในเรื่องของกำลังยังไม่พอ แต่ว่าที่เราทำมานี่ เพียงพอที่จะเห็น แล้ว

 

หนึ่งคือ เห็นเวทนา ด้วยความเป็นนิมิตที่ชัดเจน แจ่มชัด ซึ่งสำคัญมาก เดี๋ยวจะพูดให้ฟังว่าสำคัญอย่างไร

 

แล้วสองคือ ได้ความตระหนัก ว่าถ้าตายตอนนี้นี่กำลังสติยังไม่พอ นี่ก็สำคัญมาก ทำให้สังวร ทำให้เกิดสติ ทำให้เกิดความรู้สึกตัวนะว่า เรายังต้องทำต่อ เรามีอะไรที่ต้องพัฒนาอีก ก็จะไม่ประมาท

 

นี่เรียกว่าเป็น มรณสติ แล้ว เป็นมรณสติที่ดีมากๆ ที่ทำให้เรารู้เนื้อรู้ตัว ไม่ประมาทว่า เราเจ๋งแล้ว เราทำบุญมาเยอะแล้ว เราเจริญสติมาเเล้ว

 

ชาวพุทธส่วนใหญ่ เกินครึ่งที่มีความรู้สึกว่าติดลมบน .. (คิดว่า) มีบุญแล้ว ทำเยอะแล้ว .. แต่ไม่เคยไปตรวจสอบเอากับความตาย ว่าถ้าตายนี่ ที่ดีมาทั้งหมดนี่ พอแล้วหรือยัง ไม่ได้ตรวจกัน

 

แต่ตรงนี้นี่ เหตุการณ์นี้นี่มีคุณค่ามาก ทำให้เรารู้ตัวว่า เอ๊ะ! ยังต้องทำอีก ยังมีอะไรที่ต้องสะสมเพิ่ม มีบุญอะไรที่เรายังเข้าไม่ถึง นั่นคือบุญในเรื่องของการภาวนา บุญในเรื่องของการทำให้สติ เจริญขึ้นเหนือกว่าทุกขเวทนา

 

ทีนี้ มาขยายความเมื่อกี้ที่บอกว่า เห็นตัวเวทนาโดยความเป็นนิมิตได้นี่ ดีอย่างไร

 

ปกติ เวลาที่คนคนหนึ่ง เกิดความทุกข์ทางกายอะไรขึ้นมานี่นะ จะหยุดอยู่แค่ตรงที่ว่าเราเจ็บมาก เราเจ็บน้อย มีอาการโหวกเหวกโวยวาย เสียงด่าทอในหัวอะไรต่างๆ แล้วก็ไปกระจุกอยู่แค่นั้น จบอยู่แค่นั้น ไปต่อไม่ได้ หันซ้ายหันขวาไม่ได้ ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ย้อนกลับข้างหลังก็ไม่ได้ อยู่กับความอิหลักอิเหลื่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตรงที่ยักแย่ยักยันอยู่นะ

 

นี่เป็นความทุกข์ทางกายที่คนในโลก พอมาถึงตัวแล้วนี่ ไปต่อไม่ถูก

 

ทีนี้ ถ้าเราเจริญสติมา ทำอานาปานสติมา เจริญสติเห็นว่ามีความทุกข์เกิดขึ้นในแต่ละลมหายใจ มีความต่างกันอย่างไร ตรงนี้ก็เริ่มที่จะเกิด อนิจจสัญญา เกิดความรู้ขึ้นมาว่า จะทุกข์แค่ไหน เดี๋ยวก็ต่างระดับไปได้ เดี๋ยวก็มากขึ้น เดี๋ยวก็น้อยลง

 

หรืออย่างโรคเกาต์นี้ บางทีมากๆๆๆๆ แล้วไม่ลดลงสักทีนี่ เราก็รู้ไปว่ามากๆอยู่ตรงนั้น นาน.. กว่าที่จะลดระดับลง แต่ในที่สุดมันก็ต้องลดระดับลงนะ

 

ถ้าเรามีตัวนี้.. อนิจจสัญญา .. สะสมไป ก็จะช่วยทุเลา จะช่วยบรรเทาเพราะว่าจิตจะเกิดสติ แล้วเมื่อไหร่ที่สติเกิดขึ้นเต็มที่ อาการทางกายจะลดลงเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา

 

ทีนี้ ถ้าเราเคยเจริญสติ เห็นในอานาปานสติว่าลมชัดนะ ทั้งลมเข้า ทั้งลมออก เวลาที่เกิดเวทนาแก่กล้า ก็จะเห็นเป็นนิมิตได้เหมือนกัน

 

นี่บอกว่าเป็นนิมิตอะไรแดงๆ ขึ้นมาหรือว่ามีความแหลม เหมือนหนามแข็งๆ ที่ไปแทงอะไรอย่างนี้ นี่เรียกว่าภาพนิมิตปรากฏในใจแล้ว

 

เวทนาปรากฏโดยความเป็นนิมิต ให้เรารู้สึกได้ ให้เราเห็นได้ด้วยใจ

 

ประเด็นคือ ถ้าเราใช้ประโยชน์จากตรงนี้ เห็นว่านิมิตนั้น มากหรือน้อยแตกต่างไปอย่างไร ก็จะปรากฏเป็นนิมิต เป็นขนาดของนิมิต

 

เดิมทีนี่ เราได้แต่แค่บอกว่าปวดมากปวดน้อย แล้วก็โอยๆ อยู่อย่างนั้น ผสมกันระหว่างความรู้สึกเจ็บปวด กับอาการโวยวายในหัว แต่ตอนที่เริ่มเห็นเป็นนิมิตแบบนี้ ถ้าเราเฝ้าสังเกต อย่างต่อเนื่องนะ ไม่ไปหลงกับเสียงด่าในหัวที่เกิดขึ้นอย่างที่คุณว่า ว่าเมื่อไหร่ (คนส่งยา) จะมาถึงสักทีอะไรต่างๆ

 

นิมิตจะปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสีแดงๆ ไม่ว่าจะเป็นหนามแหลมๆ นะ มันจะมีขนาด ขนาดของสีแดงที่เข้มมากเข้มน้อย มีขนาดของหนามแหลมๆ ที่ใหญ่มากใหญ่น้อย

 

แล้วถ้าเราตามดูนิมิตนั้นไปเรื่อยๆ ไม่ลดละ .. ปกติจะเป็นอย่างนี้ คือตัวทุกขเวทนา จะบีบจิตให้หดเล็กนะ คือพอทุกข์แก่กล้าถึงจุดหนึ่ง มันจะไม่ไหว ไปต่อไม่ถูก จิตจะเล็กเกินกว่าที่จะฝืนตั้งสติได้ ก็จะหลุด แล้วก็มาอยู่ที่เสียงด่าในหัว นี่คือกลไกธรรมชาติของจิต

 

แต่ถ้าเรามีความตั้งมั่นมากพอ คือมีขันติ เป็นขันติแบบไม่กัดฟันกรอดๆ นะ เป็นขันติในแบบที่จะมีอุเบกขา คือดูไปว่า นิมิตร้อนๆ หรือนิมิตแหลมๆ นั่นขยายขนาด หรือว่าลดขนาดลงมาแม้แต่นิดเดียว ก็ให้ตั้งความพอใจไว้ ว่าเราสามารถเห็นขนาดของนิมิต ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้

 

โดยอิงจากทุกขเวทนาที่เกิด ณ ตำแหน่งนั้นจริงๆ นะ ไม่ใช่เราไปคิดย่อขยายขนาดเอาเอง ตามใจชอบนะ

 

ถ้าปวดมาก ก็ขยายมาก ถ้าปวดน้อย มันลดขนาดลง

 

พอเราเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง ถ้าหากจิต เกิดอนิจจสัญญาเต็มรอบ คือมีความรู้สึกว่าไม่เที่ยง เต็มจิตเลยนะ จิตรู้สึกว่านี่เป็นภาวะชั่วคราว  จนกระทั่งมีกำลังสติ กำลังของจิต เหมือนพูดง่ายๆ .. มีพลังจิตขึ้นมานี่ .. จะสั่งได้เลยนะ ยุติตัวทุกขเวทนานั้นได้ เหมือนกับหลุดพลัวะออกมา เหมือนจิตถูกบีบๆๆ ด้วยคีม แล้วเสร็จแล้วคือพอมีกำลังแก่กล้าขึ้นมา กำลังสตินี่หลุดพลัวะออกมา เหมือนคีมพัง บีบต่อไม่ได้ ตัวทุกขเวทนานั้นหายไปเลยนะ คือหายแบบชั่วคราวก็จริง แต่อย่างน้อยก็หลุดรอดมาได้

 

อันนี้เป็นประสบการณ์ ที่คนภาวนาทั่วไปหลายคนเคยประสบ ก็คือว่าถูกบีบคั้นทางกายอย่างหนัก แล้วพิจารณาอาการทางกายที่เกิดขึ้น ที่เป็นทุกข์เหลือเกินเหมือนถูกคีมบีบ จนกระทั่งคีมทนไม่ไหว สติมีกำลังแก่กล้ามากกว่า แล้วก็คีมพัง

 

คือเหมือนกับจิตหลุดออกมาเป็นอิสระ

 

ช่วงนั้น ก็คือช่วงที่ร่างกายหลั่งสารดีๆ ออกมามากเกินปกติ จนกระทั่งทุกขเวทนานั้น ถูกเยียวยาได้ ในทางกายภาพ ก็คือเหมือนกับมียารักษาเกาต์ เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ต้องพึ่งยาภายนอก

 

อาจจะทำไม่ได้ทุกครั้ง แต่ว่าอยู่ในทิศทางที่เป็นไปได้ ที่จะเกิดขึ้น

 

นี่ก็เป็นลูกเล่น หรือว่าเป็นของแถมจากการภาวนา จากการเจริญสติได้ถูกต้องนะ

_______________________

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ จนมีความเจ็บป่วยหนักเกิดขึ้น มีทุกขเวทนาทางกาย เห็นเวทนาทางกาย เห็นเวทนาเป็นนิมิตเปลวไฟสีแดง สลับกับมีโทสะ รู้สึกยังเอาตัวไม่รอด ขอคำนะนำ

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ถามตอบเกี่ยวกับการเจริญสติ

วันที่ 8 พฤษภาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=xhc85teoSdw

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น