ผู้ถาม : สวัสดีค่ะ มีคำถามเกี่ยวกับคนที่ถูกรางวัลที่หนึ่งทุกงวด เป็นเรื่องจริงนะคะ มีคนหนึ่ง ถูกรางวัลที่หนึ่งทุกงวดจนเขาไม่ต้องทำงานอะไรเลย
ดังตฤณ : หมายถึงว่า เลขท้ายรางวัลที่หนึ่ง
ถูกรางวัลเลขท้ายอย่างนั้นใช่ไหม
ผู้ถาม : น่าจะเป็นรางวัลที่หนึ่ง เป็นล้านเลยค่ะ
ได้ทุกงวด จนเขาไม่ต้องทำงาน มีเงินเยอะมาก จนเขาเบื่อ แล้วก็ไปซื้อหวยเลขศูนย์หลายๆ
ตัว แล้วงวดนั้นก็ก็ออกศูนย์หลายตัว เขาก็ถูกรางวัลอีก
เขาไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร ก็มีคนนะนำให้ไปซื้อบิทคอยน์
(Bitcoin)
ซึ่งตอนนั้นราคายังไม่ขึ้น จนทุกวันนี้บิทคอยน์เหรียญละประมาณเกือบสองล้าน
เลยอยากจะถาม คนแบบนี้เขาต้องทำบุญมาแบบไหนคะ
ดังตฤณ : คือกรณีแบบนี้นี่ เป็นกรณีเฉพาะ
แต่ขอบอกโดยรวมนะว่า พวกที่ได้ลาภลอย
แบบที่ คือไม่ใช่ได้แค่ครั้งเดียว แต่ได้เป็นประจำ
แล้วไม่ใช่จำกัดเฉพาะว่า จะต้องเป็นหวยหรือลอตเตอรี่
เท่าที่มีปรากฏอยู่ในโลกจริงๆ นี่ ลาภลอยมีอยู่หลายประเภทนะ
ประเภทที่นึกไม่ถึงว่า ปีนี้จะยกระดับชีวิตได้อย่างไร
เพราะชีวิต ก็มีเหตุปัจจัยแบบเดิมๆ
ปรากฏว่า มีญาติ บางทีร้อยวันพันปี ไม่ได้เจอหน้ากัน
แต่ว่ามาตายดับไป
แล้วรายชื่อของผู้ได้รับมรดกพึงมีพึงได้ ก็เป็นตัวเอง
อย่างนี้ก็เยอะนะ ไม่ใช่น้อยเลย เพราะว่าคนตายทุกวัน
บางที ผู้ตายอาจจะไม่มีคนใกล้ชิด หรือว่า ไม่ได้จำเพาะเจาะจงไว้
ว่าจะบริจาคให้กับองค์กรสาธารณะกุศลตรงไหนอะไรต่างๆ
ก็จับพลัดจับผลูแบบส้มหล่น ไปสู่มือคนที่โชคดีได้
อันนี้ก็ เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่เป็นประจำ
ทีนี้ พูดถึงคำว่า ‘ลาภลอย’
สำหรับคนที่ได้เป็นประจำ หรือว่า ที่เคยพบมาก็มีจริงๆ นะ
อย่างเดินเข้าห้างพอดีเลย ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย
แต่ปรากฏว่าห้างเขาจับรางวัลพอดี แล้วเข้าไป ณ เวลานั้น
ได้รางวัลไปเที่ยวมัลดีฟ ฟรีๆ เลย อย่างนี้ก็มี
แล้วก็ไม่ใช่แค่ได้ลาภลอยประเภทนี้อย่างเดียว
เหมือนกับญาตินี่ ได้ไปสี่สิบล้านเรื่องที่ดินอะไรอย่างนี้
ก็เคยเห็น เคยเจอมา
ทีนี้ พูดถึงแบบกว้างๆ นะ พวกที่ได้ลาภลอยบ่อยๆ ได้ลาภลอยเป็นประจำ
ก็คือพวกที่เคยทำทานมาเยอะ แล้วเป็นการทำทานแบบพิสดาร
(กว้างขวาง) มาก
ไม่ใช่แค่ทำบุญ เอาถังสังฆทานไปถวายวัด
หรือว่าหยอดเศษเงินลงกะลาขอทานอะไรแบบนั้น ไม่ได้มีแค่นั้น
แต่มีเรื่องใจ ขอให้ดูที่ใจเป็นหลัก ว่าแต่ละคน
มีความมุ่งหมายอย่างไร
หรือว่าชีวิตของตัวเองนี่ อยู่บนเส้นทางแบบที่จะให้อะไรกับใครแบบไหน
จะมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง มีอยู่จริง ที่เคยเห็นมานะ
แล้วก็เป็นข่าวด้วย
เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกอยู่เรื่อยๆ ด้วยนะ
ประเภทที่ตั้งตน ด้วยเจตนาเป็นลาภลอยของผู้อื่น
คือบางคนนี่ รวยแล้วก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร แล้วก็ตัดสินใจว่า
จะให้ชีวิตของตัวเองที่มีฐานะมั่งคั่ง ที่มีเงินล้นเหลือ
ได้เป็นลาภลอยของผู้อื่น
คือตั้งไว้ในใจประมาณอย่างนี้ แล้วก็ทำจริงๆ ในแบบที่ว่า
ใช้ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิต เป็นลาภของผู้อื่น
นับตั้งแต่ ไปสร้างโรงเรียนให้เด็ก ไปสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์
โดยที่ไม่คาดหวังเรื่องหน้าตา หรือว่าเรื่องใครจะมาชื่นชมอะไรทั้งสิ้น
แค่มีความสุขที่จะทำ
คือบางคนนะ สร้างโรงเรียนเหมือนกัน แต่ว่าด้วยความตั้งใจจะลงทุน
หรือว่าจะเอาใบอนุโมทนาบัตร มาหักภาษีอะไรแบบนี้
นี่มีความตั้งใจที่แตกต่างกัน
แต่ถ้าสร้างโรงเรียนเหมือนกันเป๊ะเลยนะ ใช้เงินเท่ากันเป๊ะเลย
แต่ด้วยกำลังใจ ที่อยากจะให้เด็กๆ ที่อยู่ไกลปืนเที่ยง
ได้รับให้ผลประโยชน์จากทรัพย์สมบัติของตัวเอง
อย่างนี้ ผลแตกต่างกันมากเลยนะ
แล้วก็ คนที่ตั้งจิตว่า จะให้ตัวเองเป็นลาภลอยของผู้อื่น
ส่วนใหญ่จะไม่ได้โยนเงินไปเฉยๆ ส่วนใหญ่จะลงแรง ลงสมอง
ลงเวลา ลงไปกับการช่วยเหลือ
ตัวที่ตั้งใจจะช่วย ทั้งทรัพย์สิน ช่วยทั้งแรงงาน
ช่วยทั้งสมอง
ช่วยทั้งในเวลาอะไรต่างๆ นี่เข้าไปเต็มๆ
เอาชีวิตของตัวเองทุ่มเข้าไปเต็มๆนี่ จะมีพลังมหาศาล
เหมือนกับ คุณลองนึกถึงใครสักคนที่คุณเคยเจอนะ
ที่เขาตั้งใจให้กับใครจริงๆ
จะรู้สึกถึงประกายบุญที่ออกมาเต็มรอบ ที่ออกมาแก่กล้า
แล้วก็มีความรู้สึกได้เลยว่า นี่เขาอยากให้จริงๆ
เขาทุ่มลงมาทั้งชีวิตนะ
ตัวนี้คือสัญญาณบอก หรือว่าร่องรอยที่ กรรมบุญสำเร็จในแบบที่เต็มรอบ
แก่กล้า แล้วประกายของประกายรัศมีบุญนี่ เต็มดวง
ถึงขั้นที่คนสามารถรู้สึกได้ว่า คนๆนี้นี่ ตั้งใจให้จริงๆ
ตัวนี้แหละคือ ทาน ‘ทานบารมี’
ที่เหมือนกับมีความชัดเจน
มีความแตกต่างจากทานทั่วๆ ไปของคนที่ทำกันนะ
เวลาที่ทานประเภทนี้ให้ผล เลยให้ผลหนักแน่นมาก
ให้ผลแบบที่ว่า ขีดชะตามาตั้งแต่เริ่มเกิดเลย
ว่า
พอโตขึ้นจะโชคดี จะมีคนเกื้อกูล ต่อให้ไม่มีคนเกื้อกูล
ก็มีเทวดามาดลบันดาลอะไรให้
อย่างในพระไตรปิฎกก็มีนะ ประเภทที่เกิดมา ไม่รู้จักคำว่าไม่มี
แม้กระทั่งว่าคุณแม่อุตส่าห์จะสอนนะ ว่าโลกนี้บางทีไม่ได้อย่างใจเสมอไป
อุตส่าห์ตั้งชื่อขนมว่า ‘ขนมไม่มี’
ขนมไม่มี ที่อุตส่าห์เอาจานเปล่าไปให้ เอาจานเปล่าไปเสิร์ฟ
เปิดฝาออกมา กลายเป็นขนมทิพย์ เทวดาบันดาลให้
เลยติดใจขนมไม่มี แบบนี้ก็มี .. ในพุทธกาลก็เคยบันทึกไว้
จะเรื่องจริง หรือไม่จริงอะไรอย่างไร บางทีเราไม่สามารถพิสูจน์ได้
แต่ปัจจุบันนี้ คุณก็คงเห็น บางทีมีข่าว อย่างที่คุณเล่ามา
บางคน เจอเรื่องอะไรที่พิสดาร แล้วไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่เชื่อ
เพราะไม่เกิดขึ้นเป็นปกติกับคนทั่วไป ไม่เป็นสาธารณะ
คนดวงดีนี่ ส่วนใหญ่นานๆ ดวงดีที
แต่จะมี บางประเภทที่ ดวงดีอยู่ตลอดเวลา มีคนส่งเสริม
มีคนเกื้อกูล หรือไม่ก็มีเทวดาฟ้าดิน หรือชะตาของตัวเอง
ยัดอะไรมาให้มากมายก่ายกอง
พวกนี้แหละ ที่เคยทำกรรม เคยทำบุญในแบบที่แตกต่าง
ในแบบที่ไม่เป็นสาธารณะ ในแบบที่ไม่เห็นในคนทั่วไป
คำตอบ สรุปแล้วก็คือว่า เคยทำทานในแบบที่เอาตัวเอง
ตั้งใจเลย ว่าจะให้ตัวเองนี่เป็นลาภลอยแก่ผู้อื่น
คือใครเจอตัวเองนี่ คนนั้นจะต้องโชคดี
ใครที่เข้ามาหา คนนั้นจะต้องได้สิ่งที่ต้องการนี่
ตั้งจิตไว้ประมาณนี้
ผู้ถาม : ขอถามเสริมนิดหนึ่งนะคะ คือถ้าสมมติว่า
เราไม่ได้มีทรัพย์มากมาย เหมือนอย่างมหาเศรษฐี
แต่ว่าถ้าเวลามีใครเดือดร้อนมา เราให้คำปรึกษา
หรือว่า ช่วยทางใช้กำลังกาย แต่ว่าไม่ได้ช่วยเรื่องเงิน
แบบนี้ถ้าเราทำทั้งชีวิต เมื่อบุญเผล็ดผล
จะเป็นอย่างไร
ดังตฤณ : ตรงนี้ เป็นโอกาสที่จะทำความเข้าใจเลย
คือว่า คำว่า ‘ทาน’ ตั้งต้นที่จิต เรียกว่า ‘ทานจิต’
ทานจิตนี่ มีผลให้ ถ้าถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผล
ก็มีผลให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ ได้รับความช่วยเหลือ
หรือไปเกิดในท้องพ่อท้องแม่ที่มีฐานะดีนะ
คำว่า ทานจิต ตั้งต้นออกมาจากความอยากช่วย
เห็นคนอื่นลำบากแล้วอยากช่วย
อย่างที่พี่เคยเห็นเรา (ผู้ถาม) ก็เคยมีจิต คิดอยากช่วยคนโน้นคนนี้มา
อันนี้ก็เป็นลักษณะของทานนะ
บางที ไม่ใช่มาในรูปแบบของการให้เงิน
หรือบางที ไม่เกี่ยวข้องกับเงินทองเลยด้วยซ้ำ
แต่เกี่ยวข้องกับการที่แค่ว่า
เราอยากเห็นใครสักคน ที่เขากำลังลำบากอยู่
ได้มีการปลดเปลื้อง สภาพของความทุกข์ สภาพของความยากลำบาก
ให้มีความสบายขึ้น หรือมีชีวิตที่สบายขึ้น
บางทีมาในรูปของความคิด เราเห็นคนบางคนนี่ คิดไม่เป็น
คิดวน
แล้วก็หาทางออกไม่เจอ รู้สึกว่าชีวิตนี่
คล้ายๆ เราเห็นด้วยตาเปล่าเลยนะว่า เขาติดคุกทางความคิดอยู่
คล้ายมีอะไรมาครอบเขา แล้วเราอยากช่วยยกถัง ที่ครอบหัวเขาขึ้นมา
ให้เขาลืมตาอ้าปากได้ ให้เขาเหมือนกับตาสว่างได้
นี่! แค่นี้นะ เอาแค่ความรู้สึกอยากช่วย
นี่เรียกว่า
ทานเริ่มต้นแล้ว แต่ยังไม่ครบวงจร
ถ้าครบวงจร ก็คือว่า เราช่วยพูด บางทีนี่ออกแรงเป็นชั่วโมงๆ
แล้วก็ซ้ำๆ หลายวัน
คนที่มีโอกาสใกล้ชิดกับชีวิตเรา
ที่เราสามารถจะคุยกับเขาได้เรื่อยๆ แล้วเราช่วยสำเร็จ
คือตรงนี้เป็นเงื่อนไขด้วยนะ
เราอยากช่วย แล้วเราสามารถช่วยได้สำเร็จ
ทำให้ความคิดของเขาดีขึ้น ทำให้สภาพจิตใจของเขา
จากที่โดนปิดขังอยู่ในคุกแคบๆ คุกมืดๆ นี่เปิดออก
เหมือนช่วยพาเขาออกมาจากคุกได้
ตัวนี้นี่ก็ถือว่า เป็นบุญกุศล เป็นทานที่ยิ่งกว่าใช้เงิน
หรือบางทีนะ เราคิดดูดีๆ เงินช่วยไม่ได้
เพราะเรื่องของความคิดคนนี่
ต้องใช้ความคิดของอีกคน มาแงะออก
เป็นความคิดที่ดีกว่า เป็นความคิดที่เข้าท่าเข้าทางกว่า
กำลังกาย กำลังสมอง และกำลังเวลาที่เราทุ่มเข้าไปนั่นแหละ
ที่มีค่ายิ่งกว่าเงิน
เงินนี่ เงินกี่บาทกี่ล้านบาทนะ ก็ไม่สามารถที่จะมาช่วยได้
แบบที่เราทุ่มแรงความคิด เวลา แล้วก็กำลังกายไป
สรุปว่า การช่วย หรือการให้ทานนั้น ไม่ได้มีแต่การให้เงิน
การให้เงิน เป็นรูปแบบที่เขาเรียกว่าทรัพยทาน
เป็นการให้ความกินดีอยู่ดี ที่เห็นได้ชัดแล้วก็จับต้องได้ทันที
แต่ว่าทานที่ทำยากกว่าเงิน คือวิทยาทาน หรือธรรมทาน
อย่างวิทยาทาน คนที่สอนคนอื่น ให้มีความรู้ มีอาชีพ
ด้วยจิตคิดเป็นครูจริงๆ คืออยากให้นักเรียนนี่
ได้เอาความรู้ความสามารถ เอาไปเลี้ยงตัวให้รอด
เขาเรียกว่าทำทานอยู่ชั่วชีวิตนะ
ครูประเภทที่อยากให้นักเรียนได้ความรู้จากตัวเอง
หรืออย่างที่เมื่อกี้ พี่บอกไปว่า เขากำลังหลงผิด
แล้วเราไปช่วยเปิดตา ให้เขาลืมตาอ้าปากได้ เขาตาสว่างได้
อันนี้ให้ธรรมทาน
ธรรมทาน ไม่ใช่ หมายถึงจะต้องเอาธรรมะ
ในแบบที่อยู่ในพระไตรปิฎกไปให้เขาอ่านอย่างเดียวนะ
แต่บางที เราแน่ใจว่าเราคิดดีกับเขา แล้วก็มีหนทาง
ที่จะทำให้เขาเจอวิถีชีวิต ที่สว่างขึ้นได้ นี่ก็เรียกว่าเรามีธรรมะอยู่ในตัว
แล้วพอเราสามารถเอาธรรมะตรงนั้น ไปประดิษฐานในใจเขาได้
นี่ก็เรียกว่า ให้ธรรมทานนะ
ให้ธรรมทานนี่ ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ
แต่บอกก่อนนะ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
การถวายตู้พระไตรปิฎกก็ดี หรือว่าการเอาหนังสือธรรมะดีๆ
ที่ตัวเองชอบ
ไปให้ผู้อื่น ก็เรียกว่าธรรมทานเช่นกัน
แต่คุณลองนึกดูนะว่า หนังสือหรือซีดีธรรมะ ที่เรามอบให้ผู้อื่นนั้น
เขาได้อ่าน หรือได้ฟังหรือเปล่า
อาจจะให้ของได้สำเร็จ แต่ว่าให้ธรรมะนี่ไม่ใช่ง่ายๆ
วิธีที่เราจะมั่นใจได้ว่า เราให้ธรรมะเป็นทานจริงๆ
ก็คือว่า
พูดด้วยตัวเอง แล้วก็สามารถเห็นเขา ได้มีความรู้
มีความเข้าใจ
หรือว่ามีดวงตาอีกดวงหนึ่ง ดวงตาอีกคู่หนึ่ง ที่เกิดขึ้นภายใน
แล้วก็ชีวิตเขาแตกต่างไปได้ จากดวงตาที่สว่างขึ้นใหม่
ด้วยดวงตาคู่ใหม่นั้น
ตรงที่เราจะมีความรับรู้ได้จริงๆ ว่า เราให้อะไรกับใคร
ก็คือ ชีวิตเขาต่างไปจากเดิม ด้วยทานของเรา
แบบไหนชนิดใดนะครับ
อย่างบางทีนี่ ถ้าขอทาน .. อันนี้ที่เห็นได้ชัดที่สุด
แล้วคนนึกกันมากที่สุด ว่านี่คือการให้ทานก็คือ ให้เศษเงินขอทาน
ถามว่าชีวิตเขาต่างไปไหม ..
คือถ้าเงินบาท สองบาทของเรา อาจจะไม่ต่าง
แต่ถ้าเราคิดว่า นี่เป็นเงินส่วนหนึ่ง ที่เราทำร่วมกับคนอื่นที่ผ่านทางมาเหมือนกัน
แล้วก็ช่วยให้ชีวิตในวันนั้นของเขานี่อยู่ได้
ให้เขาสามารถ มีกินมีใช้ แล้วก็ดำรงชีวิตต่อได้
นี่ก็คือทานของเราสำเร็จนะ เงินของเราไปเป็นส่วนหนึ่ง
ที่ช่วยให้ขอทานนั้นได้มีกินมีใช้ในวันนั้น
แต่ถ้าหากว่า รูปแบบของทานของเรานะ ทำคนเดียวเลย
ตั้งใจว่า ทรัพย์สินที่เรามีในวันนี้ อย่างอาจจะร้อยบาท
ก็ให้ขอทานคนนี้ เพื่อที่จะได้มีกินมีใช้ชัวร์ๆ ไม่ต้องรอคนอื่น
นี่! เห็นไหม ลักษณะความต่างของทานนี่
เราจะรู้สึกเลยว่า
ให้บาทสองบาทนี่ ยังไม่แน่ว่าเขาจะได้กินหรือเปล่า
ต้องรอคนอื่นมาให้ด้วย
ซึ่งเราก็ตั้งใจอยู่อย่างนั้นว่า เราเป็นคนหนึ่งที่ร่วมไปกับคนอื่นในการให้
แต่ว่า ถ้าเราตั้งใจว่า จะเอาเงินร้อยบาทนั้น
บอกว่า เอ้า! ไม่ต้องนั่งขอทานแล้ววันนี้
ไปซื้อของให้สบายใจนะ
ไปซื้อของกินด้วยเงินจำนวนนี้ แล้วกลับบ้านกลับช่องไปเลย
อันนี้ ก็จะเป็นทานที่ยกระดับขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง
เวลาที่เราได้รับผล เวลาที่บุญเผล็ดผล
ก็จะเผล็ดผล แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องรอความไม่แน่นอน
แต่จะมีผลที่มากระแทกเราจังๆ นะ ได้เต็มๆ คนเดียว
ในคราวเดียว
โดยไม่ต้องรอเหตุปัจจัยอื่น
ทีนี้ อย่างเรื่องธรรมทาน หรือว่าวิทยาทานก็ตาม
ตอนเราเอาไปให้เขา เรายังไม่แน่ใจว่าเขาได้รับ หรือไม่ได้รับ
ทางใจ ทางความรู้ ทางความคิด จนกว่าเราไปพูดกับเขา
แล้วก็ทำให้เขาเกิดความเข้าใจได้
นี่ ตรงนี้ก็กลายเป็น ทาน หรือที่เรียกว่าธรรมทานอีกแบบหนึ่ง
ในแบบที่เราชัวร์เลยว่า เขาได้รับ ธรรมเป็นทานจากเราแน่!
___________________
มีคนที่ถูกหวยรางวัลที่ ๑ ทุกงวด
จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองมหาศาล แม้ไม่ได้ตั้งใจ คนประเภ ทนี้ทำบุญอะไรมาคะ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์
วันที่ 10 เมษายน 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=18eW3N_6Rho
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น