วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ซ้อมตายก่อนตาย หมายความว่าอย่างไร

ผู้ถาม : นานมาแล้ว เคยดูลมหายใจก่อนนอน แล้วจะมีอยู่สองสามครั้งที่สะดุ้งตื่น จากเพื่อนที่ปิดประตูเสียงดังบ้าง หรือรู้สึกว่าเราไม่ได้หายใจ

ไม่รู้เป็นเพราะความผิดปกติของร่างกายหรือไม่ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือกลัวตาย

พอเกิดแบบนี้สองสามครั้ง เลยไม่ดูลมหายใจอีกเลย

 

แต่เมื่อวานนี้ ได้คีย์เวิร์ดจากบทความมรณสติ ที่คุณดังตฤณบอกว่า ลมที่กำลังเข้ากำลังออกอยู่ จะมีอยู่วันหนึ่งที่ออกไปแล้ว แล้วจะไม่เข้ามาอีกเลย

 

ทำให้อยากจะเจริญมรณสติก่อนนอนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เลยอยากเรียนถามว่า การเจริญมรณสติก่อนนอน อาการต้องเป็นอย่างไรคะ

 

ดังตฤณ : เริ่มต้นขึ้นมาด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน

 

อย่าคาดหวังว่า เราจะได้เห็นอะไรแบบพิสดาร หรือว่ามีความตายปรากฏให้ดู เป็นภาพกระจ่างชัดนะ ตั้งความคาดหวังอย่างนี้ แค่นี้ก่อนว่า เราจะค่อยๆ หยอดกระปุก คืนละบาท

 

คำว่าหยอดกระปุกหมายถึงอะไร คือเห็นไปแค่นิดๆ หน่อยๆ พอนะ เอาแบบที่เราสามารถเห็นได้ชัดๆ ตอนนี้เลย เอาแค่ความเห็นว่า นี่นะ หายใจเข้าแล้วถ้าไม่หายใจออก อาจจะเป็นสภาพเดียวกันกับที่เราจะต้องเจอ

 

ไม่ใช่อาจจะหรอก.. แต่ต้องมีภาวะที่ว่า เราหายใจเข้าครั้งสุดท้าย หายใจออกครั้งสุดท้าย แล้วจะไม่หายใจเข้ามาอีกเลยนะ

 

แค่คิดอย่างนี้ว่า วันหนึ่งจะต้องมีภาวะอย่างนี้เกิดขึ้น แค่นี้เรียกว่าหยอดกระปุกแล้ว หรือถ้าคืนต่อๆ มาเกิดความรู้สึกว่า ร่างที่ทอดนอนอยู่อย่างนี้ เป็นท่าเดียวกันกับท่าของร่างกาย ที่ไม่มีวิญญาณอยู่แล้ว แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พอวิญญาณดับไป เราทิ้งร่างนี้ไป มันก็วางเป็นขอนไม้นอนอยู่บนโลกนี้ นอนอยู่บนแผ่นดิน นอนทับแผ่นดินอยู่ โดยที่ไม่สามารถกระดุกกระดิก ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนอะไรอีกนะ

 

แค่นึกถึงภาวะของศพ ไม่ว่าจะเป็นการไม่ได้หายใจอีก หรือว่าท่านอนที่ไม่สามารถกระดุกกระดิกได้อีก เท่านี้ก็จัดว่าเป็นการจำลองภาพความตายขึ้นมาในห้วงมโนทวารแล้ว

 

ซึ่งจิตลึกๆ รู้ว่ายังไม่ตาย แต่จะได้นึกถึงบรรยากาศของภาวะทางกาย และภาวะทางจิตของคนตาย ว่าจะประมาณนี้

 

ทีนี้คือ เรื่องของเรื่อง อย่างหลวงพ่อพุธเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านก็เจริญมรณสติ เจริญสมาธิตามปกตินะ พอคืนหนึ่งท่านนอนไป ท่านก็ได้ดี ท่านก็ได้ดิบได้ดีจากการที่จิตเข้าฌาน พอถึงฌานแล้วนี่ ก็ลอยขึ้นเหนือร่าง แล้วมองย้อนกลับมาเห็นร่างนี่ แสดงความเน่าเปื่อยผุพัง

 

คือนิมิตนั้นนี่ ไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ว่าเป็นภาวะธรรมชาติของกาย ที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้นจริงๆนะ ไม่ใช่ของจริงที่เน่าเปื่อยผุพังเดี๋ยวนี้ แต่เป็นธรรมชาติที่จะต้องเกิดขึ้น แล้วแสดงให้จิตเห็น และจิตของท่านนี่ พอเห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง แล้วก็กลับรวมร่างเข้ามาใหม่ แล้วก็เน่าเปื่อยผุพังอีก ย้อนไปย้อนมาย้อนไปย้อนมา จนกระทั่งจิตของท่านอิ่ม .. อิ่มใน ธรรมชาติภาวะของร่างกาย ที่จะต้องเน่าเปื่อยผุพังเป็นธรรมดา เดี๋ยวก็ต้องเกิดมาใหม่ รวมร่างขึ้นมาใหม่

 

จิตท่านก็พื้นจากความยึดถือ ว่าร่างกายนี่เป็นของท่าน ตรงนี้ก็คือสิ่งที่ท่านเล่าบ่อยมาก ผมไปบวชกับท่าน ก็ได้ยินบ่อยมาก แค่บวชกับท่านสองเดือนแต่ได้ยินบ่อยมาก ท่านเล่าเป็นประจำ เล่าเล่ามาตลอด

 

ทีนี้ อย่างถ้าอยู่ในช่วงเริ่มฝึก ก็ไม่ต้องไปคาดหมายถึงจุดสุดท้ายตรงนั้น เอาแค่ตรงที่เราสามารถรู้สึกได้ ถึงบรรยากาศของสภาพกายสภาพใจ ที่วันหนึ่งจะต้องตาย จะต้องดับ แต่แค่คิดอะไรแค่เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ อย่าไปพยายามทำให้เกิดสมาธิ เพราะว่าไปเพ่งมากๆ เดี๋ยวนอนไม่หลับ

 

ผู้ถาม : แล้วที่เขาบอกว่า ซ้อมตายก่อนตาย หมายความว่าอย่างไรคะ

 

ดังตฤณ : แล้วแต่ใครจะคิดออกนะ ซ้อมตายก่อนตายจริงอะไรต่างๆ ก็เป็นเป็นคำพูดหนึ่ง

 

คือจริงๆ แล้วก็มาจินตนาการเอา คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่มีสมาธิดีพอนะ

 

ทีนี้ อย่างที่บอกก็คือว่า ถ้าเริ่มหยอดกระปุกด้วยวิธีนี้ จะเอาสภาวะทางกายจริงๆ เป็นเครื่องตั้ง เป็นเครื่องอ้างอิง เอาลมหายใจจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องอ้างอิง

 

เพราะฉะนั้น ถ้ามันจะคลี่คลาย จะพัฒนาต่อไปก็จะอิงจากของจริง ไม่ใช่จากจินตนาการ

 

ส่วนใหญ่ที่บอกซ้อมตายก่อนตาย คือมาจากครูบาอาจารย์ใหญ่ ท่านพุทธทาสบ้าง แบบนี้ ซึ่งระดับจิตของท่านก็จะเห็นได้มากกว่าคนปกติทั่วไป แต่ว่าพอมาพูดๆ กัน จริงๆก็คือการนึกเอา จินตนาการเอา

 

ซึ่งบางทีนึกถึงความตายว่า ภาพวันสุดท้ายของตัวเอง จะต้องพรากจากไปจากบุคคลอันเป็นที่รัก ร้องห่มร้องไห้ อย่างนี้ก็คือใช้จินตนาการ ในการนึกถึงภาพความตายที่ไม่เกี่ยวกับสภาพอิริยาบถปัจจุบัน หรือว่าร่างกายในปัจจุบัน หรือว่าลมหายใจในปัจจุบัน

 

แบบนั้น จะเป็นการซ้อมตาย ในแบบที่ใช้จินตนาการของตัวเอง บีบคั้นหัวใจตัวเองเฉยๆ โดยที่บางทีอาจจะไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรเท่าไหร่

 

แต่ถ้าหากว่า เราใช้สติที่รู้อยู่กับอิริยาบถปัจจุบันเป็นตัวตั้ง เวลาที่ร่างกายนี้แสดงนิมิตให้จิตเห็น แสดงขึ้นมาในห้วงมโนทวาร จะรู้สึกอีกแบบหนึ่งเลยคือเวลาที่ถอนออกมาจากสมาธิแบบนั้น หรือว่านิมิตแบบนั้น จะรู้สึกว่าการยึด หรือว่าการถือไว้แบกไว้ ว่ากายนี้จะต้องเป็นของฉัน กายนี้จะต้องไม่จากไป กายของคนอื่นจะต้องอยู่กับฉัน เป็นที่รักของฉันตลอดไปอะไรนี่ เป็นเรื่องไร้สาระ จะรู้สึกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ จะออกมาจริงๆนะ เหมือนกับแต่ที่ใจเรารู้สึก ที่คุณเล่าให้ฟังว่าลมหายใจที่หายไป จะต้องดับไปเป็นเรื่องธรรมดา

 

จิตเราจะเข้าถึงความเป็นธรรมดา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรพิสดารเกิดขึ้น ตรงข้ามให้อะไรที่ปรุงแต่งพิสดารทั้งหลาย จะหายไปจากใจเราต่างหาก

 

ผู้ถาม : แล้วตอนที่จิตเข้าภวังค์หลับ เราจะต้องมีความรู้สึกถึงลมหายใจที่ค่อยๆ หรี่หายไปไหมคะ

 

ดังตฤณ : ตอนที่หลับ ก็คือหลับ การที่เราหลับ แล้วเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกถึงลมหายใจ ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์สตินะ

 

เครื่องพิสูจน์สติ คือจะต้องเกิดขึ้นระหว่างที่เราลืมตาตื่น

____________________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์ ตอน ความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องช่วยชีวิต

วันที่ 1 พฤษภาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=6MvIbJlXuxk

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น