วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สวดมนต์ในห้องพระ รู้สึกสุขมากขึ้น และเลิกกลัวผี

ผู้ถาม : ช่วงหลัง เริ่มสวดมนต์อย่างมีความสุขมากขึ้น เพราะเปลี่ยนที่อยู่ของการสวดมนต์ จากการสวดในห้องนอน ขึ้นไปสวดที่ห้องพระ

 

การขึ้นไปสวดที่ห้องพระ ทำให้จิตสงบมากขึ้นค่ะ ปัจจัยที่ขึ้นไปสวดที่ห้องพระ เกิดขึ้นจากวันสงกรานต์ เพราะเห็นเป็นฤกษ์งามยามดี จะขึ้นไปสรงน้ำพระค่ะ เลยคิดว่าจะขึ้นไปสวดมนต์ข้างบน แต่ตั้งแต่ซื้อบ้านมา ไม่เคยขึ้นไปสวดมนต์ที่ห้องพระเลย ในช่วงเวลา 5 ปี ก็เลยทำให้เกิดความกลัวผี ว่าชั้นบนเป็นชั้นที่เราไม่เคยไปอยู่ ไม่เคยไปอาศัย แล้วได้ยินมาว่า ชั้นไหนที่เราไม่เคยไปอยู่ จะมีจิตวิญญาณมาอาศัยอยู่ ก็เลยเกิดความกลัว

 

ทีนี้ เลยนึกถึงบทความพี่ตุลย์ที่เล่าถึงการ เห็นผี ให้เหมือนกับการเห็นแมว ว่าถ้าเกิดเรารู้สึกว่ากลัวผีเมื่อไหร่ ให้ระลึกถึงได้ว่า เกิดจากความปรุงแต่งของเราเอง ประกอบกับได้รับคำแนะนำจากพี่เบลล์ (แอดมินเบลล์) ว่าทุกครั้งที่กลัวผี ให้ลองแผ่เมตตาให้เขามีความสุข จิตเราก็จะไปมุ่งอยู่กับการให้เขามีความสุขมากกว่าการกลัวผี

 

หลังจากนั้นก็เลยไม่รู้สึกว่า การขึ้นไปสวดมนต์ชั้นบนกลายเป็นอุปสรรค เลยมีความสุขกับการสวดมนต์มากขึ้น อยากขอบคุณพี่ตุลย์ และพี่เบลล์ ที่แนะนำเทคนิคเอาชนะความกลัวผีในใจตัวเองค่ะ

 

ดังตฤณ : จริงๆ ถ้าเราเห็นผีจริงๆนะ ไม่ได้มีอยู่แค่ในห้องพระ

 

บางที อาจอยู่แถวๆ กระถางต้นไม้ บางทีอาจอยู่บนเสาไฟ เสาไฟฟ้า ขึ้นขึ้นอยู่กับว่าวิบากของเขานี่ จะจัดให้เขาไปอยู่ที่ไหน

 

แล้วตัวผีจริงๆ ไม่ได้น่ากลัวเสมอไปนะ คือเปรียบเหมือนมนุษย์น่ะ

 

มนุษย์ร้อยคนนี่ จะมีน่ากลัวจริงๆ สักคนหนึ่งนะ ที่ร้าย ที่ร้ายกาจ ที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทผู้คน หรือว่ามุ่งหวังไม่ดีกับผู้คนนี่ ในร้อยคนนี่มีอยู่แค่คนเดียวที่ร้ายจริงๆ นอกนั้นธรรมดาๆ ไม่ดีไม่ชั่ว เอาแน่เอานอนไม่ได้ ว่าจะทำบุญหรือทำบาป

 

แล้วก็จะมีแค่หนึ่งร้อยเหมือนกัน ที่มีบุญจริงๆ แบบคิดดีกับคนอื่น คิดดีกับชีวิตตัวเองที่จะทำอะไรๆ ให้เป็นสีขาว อะไรแบบนี้

 

เหมือนกันในโลกวิญญาณนี่ ที่เรานึกว่าน่ากลัว ตัวที่น่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่จะเจอง่ายๆ ส่วนใหญ่นี่เป็นตัวกระจิ๊บกระจ้อยนะ เป็นตัวอะไรที่ตลก ในมุมมอง ในสายตาของมนุษย์เรา คือเหมือนเด็กน้อย เหมือนอะไรอย่างนั้น ส่วนใหญ่นะ

 

แล้วก็มีอยู่ทุกที่ คือถ้าเรากลัวสถานที่ใด กลัวสถานที่หนึ่ง นั่นเป็นเรื่องความปรุงแต่งอันเกิดจากการไม่รู้ของเราเอง ถ้าเรารู้จริงนี่ เราจะรู้ว่า ในห้องพระ คือถ้าเป็นห้องพระที่เราไปสวดมนต์บ่อยๆ นอกจากจะไม่ใช่สถานที่ที่น่ากลัวแล้ว ยังเป็นสถานที่เหมือนกับหลุมหลบภัยด้วย เป็นสถานที่ ที่มีความสว่างจ้านะ

 

ถ้าเราไปสวดมนต์ที่ไหนบ่อยๆ ที่นั่นจะมีพวกจิตวิญญาณ ที่เขายังไม่สามารถที่จะทำบุญให้ตัวเองได้ ไม่สามารถเพิ่มบุญให้ตัวเองได้ มาคอย มาคอยรุม มาคอยรับส่วนของความสว่าง เพราะว่าเขาทำของเขาเองไม่ได้กำลังเขาน้อยเกินไปนะ แต่เขาจะรู้ว่าใครทำได้

 

มนุษย์ที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์นี่นะ ที่สวดมนต์แต่ละครั้ง ที่นึกว่าอย่างนั้นๆ เป็นแค่การสวดอีกครั้งหนึ่งนี่ ที่จริงเป็นขุมพลังความสว่าง ที่เขามองว่าเป็นอะไรที่ใหญ่มาก

 

ทุกครั้งที่เขามานั่งฟัง มาร่วมเสพ ร่วมเสวยกระแสเสียงของเรา ที่เปล่งออกไปแบบที่มีสมาธิที่ สดุดีสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเดียว ไม่ได้ขอพร ไม่ได้เป็นคนขี้ขอนี่นะ จะมีพลังความสว่างออกมาเสมอ ต่อให้เป็นคนที่ยังไม่มีสมาธิ แต่สวดอย่างถูกต้อง .. อิติปิโส ภควา อะระหังสัมมา ... ด้วยจิตที่อยากจะถวายเป็นพุทธบูชา ด้วยจิตที่ไม่หวังว่าจะขออะไรจากท่าน แต่หวังว่าจะสดุดี จะสรรเสริญท่านอย่างเดียวนี่ มีพลังความเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่แล้ว

 

พอพวกนี้ มีพลังมากๆ เข้า มีความสว่างเพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน เขาจะมีกระแสความอบอุ่น มีกระแสความสุขที่แผ่ออกมา ซึ่งนั่นแหละ ทำให้หลายๆ คนเข้าใจว่า มีเทวดามาฟัง แต่จริงๆ แล้วนี่ อาจจะเป็นจิตวิญญาณ ที่เราเองนี่แหละ ทำให้เขา ทำให้พวกท่านเหล่านั้น ได้มีความสว่าง ได้มีกระแสรัศมีความอบอุ่นขึ้นมา ได้มีออร่า (aura) ความสว่างขึ้นมา อันนี้เป็นสิ่งที่หลายๆ คน นึกไม่ถึง

 

ห้องพระ ไม่จำเป็นต้องกั้นเป็นห้อง เพราะว่าแต่ละบ้านนี่ มีพื้นที่จำกัดจำเขี่ยแตกต่างกัน แต่ขอให้เป็นที่ประจำ  

 

ถ้าเป็นที่ประจำนะ ที่เราไปเปล่งเสียงแบบเต็มปากเต็มคำ ด้วยน้ำจิตที่จะถวายแก้วเสียง เป็นพุทธบูชา ไม่หวังอะไรเลย นอกจากจะสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ จะเกิดขอบเขต จะเกิดพื้นที่ จะเกิด area ขึ้นมา ที่แน่นอน จะมีแรงดึงดูดชนิดหนึ่งก่อตัวขึ้นมา

 

พอเรามานั่งสวดมนต์ทีไร ก็จะมีเจ้าประจำ ที่เขารู้เรื่องบุญ เขารู้เรื่องว่ารับ แสงจากมนุษย์ รับบุญจากมนุษย์ต้องทำอย่างไร ก็จะกรูกันเข้ามา เขาก็อยู่รอบๆ คือจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นๆๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งพวกเขานี่ จากเดิมที่หน้าตาแบบเลอะๆ เลือนๆ กลายเป็นชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อยๆ

 

ในโลกของจิตวิญญาณ ตอนไม่มีกำลังนี่ หน้าตาจะเลอะเลือน หน้าตาแบบว่า ดูไม่ชัด แต่พอมีกำลังจิตขึ้นมานี่ จะชัดขึ้นๆๆ มีหน้าตาที่แน่นอนอะไรขึ้นมา คือไม่โย้ไปเย้มา

 

พวกเปรตนี่นะ ที่เรานึกว่าน่ากลัว จะต้องมีลักษณะน่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วนี่ยังมีหน้าตาไม่แน่นอน วันหนึ่งเป็นแบบหนึ่ง อีกวันนี่เป็นอีกอย่างหนึ่ง หรือบางวันหน้าตาแบบพร่าๆ มัว แต่บางวันนี่หน้าตาคมชัด

 

เหมือนอย่างมนุษย์ คุณเคยรู้สึกไหมคนบางคนนี่ ตอนจิตฟุ้งซ่าน ตอนจิตแบบว่ากระจัดกระจาย กระเจิดกระเจิง มองไปดูหน้าตาไม่ชัดเลย ดูหน้าตาไม่น่าจดจำ แต่บางวันที่จิตใจของเขาเต็มไปด้วยพลังสติ มีความคม มีความเปล่งประกายสดใส เอ๊ะ ทำไมหน้าตาดูคมชัดผิดปกติ

 

ก็เหมือนกันในโลกวิญญาณ แต่จะปรากฏแบบที่เห็นได้อย่างชัดเจนกว่า คือบางวันถ้าบุญยังน้อยๆ อยู่นี่จะพร่าๆ เลือนๆ แต่บางวันที่เปล่งประกายออกมาจัดๆ ก็จะคมชัด

 

นี่มาจากไหน มาจากการที่เขาอนุโมทนาส่วนบุญของเรา เขาสวดมนต์เองไม่ได้แล้ว จิตตั้งไม่ได้มากพอ คือจิตของพวกเปรตนี่ จะสั้นมาก คือที่จะตั้งใจทำอะไร เหมือนกับเด็กน้อยน่ะ อายุสักสองสามขวบนี่ ให้ไปสวดมนต์โอ้โห ต้องใช้ความพยายาม กว่าจะเปล่งออกมาสองสามคำ

 

แบบเดียวกัน ถ้าคิดจะทำอะไรดีๆ ตอนเป็นเปรตนี่ นึกได้แค่ห้วงสั้นๆ แต่ถ้าหากว่าเริ่มมีกำลัง อย่างนี้บางทีเขาจะมาสวดมนต์กับเราด้วยเลยนะ

 

คือพอมีแรงดึงดูดเป็นตัวตั้ง มีความสว่างจากมนุษย์เป็นตัวตั้งนี่ เขาจะรีบเข้ามาขอเลย มาขอมีส่วนร่วม

 

นี่ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้นะจะรู้เลยว่า พวกเปรตนี้นอกจากไม่น่ากลัวแล้ว ยังน่าสงสารอีก

 

แล้วพอเขาได้ดิบได้ดีจากเราขึ้นมา เขามีความสว่างซึ่งมาจากเราที่เป็นมนุษย์ที่มีกำลังมากกว่าเขานี่ กลายเป็นเหมือนกับเปรตชั้นสูงขึ้น บางทีมาร่วมสวด เรารู้สึกอบอุ่นราวกับว่าอยู่ท่ามกลางเทวดา บางทีมาจากพวกเขานี่แหละ

 

คือถ้าเป็นเทวดาที่มาอนุโมทนา เราจะรู้สึกถึงอะไรที่สูงขึ้นไป เป็นความสว่างที่มาจากด้านสูง แต่ถ้าหากว่าเรารู้สึกถึงอะไรที่ไม่แน่นอน บางทีหนาวๆ บ้าง หรือว่าบางทีอบอุ่นขึ้นมา เป็นวูบๆ อะไรอย่างนี้ ส่วนใหญ่ก็จะ มาจากที่อยู่เรี่ยๆ ดิน ก็มีบางทีเป็นเปรตบ้าง บางทีเป็นจตุมหาราชิกาบ้าง ก็แล้วแต่

 

พูดยาว เพราะว่าหลายคนมีความคลางแคลง หรือมีความหวาดกลัวอยู่จริงๆ กับเรื่องการสวดมนต์ อย่าแปลกใจนะ บางที ทำไมเราถึงกลัวการสวดมนต์ ก็เพราะว่าเรายังไม่ได้สวดเป็นประจำ ยังไม่มีความสว่างของเราไปปักหลัก บางทีก็เลยอาจจะรู้สึกหนาวๆ เยือกๆ เพราะว่าเขาไปรอกันอยู่  ไปดักรอกันเยอะ

 

แล้วรออยู่รอบๆ เราก็ไม่สวดสักที เขาก็เลยให้ความรู้สึกราวกับว่า บริเวณที่เรากั้นไว้เป็นห้องพระนี่ดูน่ากลัว เพราะกระแสเย็นเยือก

 

แต่ถ้าเราสวดบ่อยๆ จะรู้สึกว่าสถานที่นั้น สว่างและอบอุ่นขึ้นมาเรื่อยๆลองไปดูนะ

 

ผู้ถาม : ตอนนี้ก็รู้สึกค่ะ ว่าห้องพระสว่าง และอบอุ่นกว่าเมื่อก่อนค่ะ

 

ดังตฤณ : ทำเป็นประจำนะ สวดเป็นประจำ เราช่วยเขาโดยไม่รู้ตัว และเพื่อที่จะให้มีความรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น ทุกครั้งก็อุทิศส่วนกุศลให้เสียนะ

_____________________

คำถาม : เมื่อก่อนกลัวผี เลยไม่กล้าสวดมนต์ในห้องพระ ช่วงหลังเปลี่ยนจากสวดมนต์ในห้องนอนไปสวดในห้องพระ ทำให้สวดอย่างมีความสุขได้มากขึ้น

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์ ตอน ความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องช่วยชีวิต

วันที่ 1 พฤษภาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=onyRCbVjEWA

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น