ดังตฤณ : ถ้าเอาแบบตามสูตรของพระพุทธเจ้า ท่านให้แผ่เมตตาบ่อยๆ ณ ขณะก่อนจะหลับ
คนที่แผ่เมตตาก่อนนอน
ใจจะเบา ใจจะแผ่ออก คือ คำว่าแผ่เมตตา ต้นทุนต้องมีความสุข ความสุขมาจากไหน
ความสุขมาจากการที่ใจคิดไม่อยากเบียดเบียนคนอื่น ไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง
แต่ตรงข้าม อยากจะให้ตัวเองมีความสุขอย่างไร ก็เผื่อแผ่ความสุขแบบนั้นไปให้คนอื่น
มีความสุขจากการไม่เบียดเบียน มีความสุขจากการรินน้ำใจให้คนอื่นอย่างไร
ก็อยากให้คนอื่นได้รับความสุข ได้รับความเบาของจิต กระแสใจของเรา
เราทำตัวเป็นเขตปลอดภัยด้วยการรักษาศีล ทำตัวเป็นทานน้ำใจ รินไปให้ท่วมโลก ให้โลกนี้เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ ความรู้สึกอยากแบบนั้น ความรู้สึกปรารถนาแบบนั้นนั่นแหละ เรียกว่า #แผ่เมตตา
เราทำตัวเป็นเขตปลอดภัยด้วยการรักษาศีล ทำตัวเป็นทานน้ำใจ รินไปให้ท่วมโลก ให้โลกนี้เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ ความรู้สึกอยากแบบนั้น ความรู้สึกปรารถนาแบบนั้นนั่นแหละ เรียกว่า #แผ่เมตตา
แผ่เมตตา
แผ่กรุณา เมตตาคืออยากให้คนอื่นมีความสุข มีความปลอดภัย แผ่กรุณาหมายความว่า
อยากลงมือช่วย อย่างถ้ากระแสใจของเราอิ่ม เต็ม ท่วมท้นด้วยความสุขแล้ว
ก็อยากให้กระแสที่แจ่มชัดนี่แผ่ออกไปจริงๆ แล้วก็ทำให้โลกรอบๆ
ตัวเต็มไปด้วยคลื่นความสุข ซึ่งจะไม่ใช่แค่คิดๆ นะ จะรู้สึกจริงๆ เลย รู้สึกสัมผัสได้จริงๆจังๆ
ถ้าหากเคยมีประสบการณ์อยู่กับคนที่เขาได้ถึงอัปปมัญญาสมาบัติ หรือว่าแผ่กระแสเมตตา กระแสสุขไปได้กว้างๆ จะรู้สึกเลยนะว่า อากาศรอบตัวต่างไป สว่าง เย็น มีความสบาย มีความรู้สึกที่แสนดี อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า พระอรหันต์อยู่ที่ไหน ที่นั่นก็เป็นสวรรค์
เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่ากระแสใจของท่านมีแต่ความรู้สึกเป็นสุข โล่ง ไม่มีความทุกข์อยู่เลย แล้วก็มีแต่ความปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้มีความสุขแบบเดียวกับท่านบ้าง อันนั้นเป็นเมตตาของแท้ เมตตาที่บริสุทธิ์มากๆ แล้วก็ไม่มีตัวตนเจือปนอยู่เลยนะครับ
นี่แหละที่เป็นที่มาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าแผ่เมตตาเป็นประจำจนกระทั่งใจมีความสุข แล้วก็ปรารถนาการไม่เบียดเบียน อย่างก่อนนอน คน มนุษย์เมืองนี่ คิดอยู่ไม่กี่เรื่อง คิดถึงคนที่อยากได้ กับคิดถึงคนที่อยากให้มีอันเป็นไป สองอย่างนี่แหละ แล้วถ้ามีหลายๆ คืนที่คนที่เราอยากให้มีอันเป็นไป มาอยู่ในใจเราบ่อยๆ ก็หลับไปพร้อมกับนรกทางใจ มีแต่ความอยากให้คนอื่นเป็นทุกข์ ความอยากให้คนอื่นเป็นทุกข์นั่นแหละ คือทุกข์ในอกของเราอย่างแท้จริง เป็นทุกข์ที่ใกล้ตัวที่สุด เป็นอาวุธที่เราใช้ทิ่มแทงตัวเองได้หนักหน่วงกว่าศัตรูมาทำร้ายเราเสียอีกนะ
แต่ถ้าหากว่าใจของเราเต็มไปด้วยความไม่เอาบาป เต็มไปด้วยความไม่เอาความอาฆาตพยาบาท อย่างนี้คนที่มีความสุขเป็นคนแรกก็คือ ตัวเราเอง ใจของเราที่ปลอดโปร่ง ใจของเราที่ยิ้มอยู่ข้างใน ใจของเราที่รู้สึกสบายอยู่ข้างใน ใจของเราที่มีความรู้สึกอยากจะให้คนอื่นมีความรู้สึกไปเท่ากับเรา มีความสุขไปพร้อมๆกับเรา ใจแบบนั้นแหละ ถ้าก่อนนอนเกิดใจแบบนั้นขึ้นได้ ก็หลับอย่างมีความสุข ก็หลับแบบที่คุณคาดหวังนั่นแหละ คือหลับสนิท
ถ้าหากเคยมีประสบการณ์อยู่กับคนที่เขาได้ถึงอัปปมัญญาสมาบัติ หรือว่าแผ่กระแสเมตตา กระแสสุขไปได้กว้างๆ จะรู้สึกเลยนะว่า อากาศรอบตัวต่างไป สว่าง เย็น มีความสบาย มีความรู้สึกที่แสนดี อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า พระอรหันต์อยู่ที่ไหน ที่นั่นก็เป็นสวรรค์
เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่ากระแสใจของท่านมีแต่ความรู้สึกเป็นสุข โล่ง ไม่มีความทุกข์อยู่เลย แล้วก็มีแต่ความปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้มีความสุขแบบเดียวกับท่านบ้าง อันนั้นเป็นเมตตาของแท้ เมตตาที่บริสุทธิ์มากๆ แล้วก็ไม่มีตัวตนเจือปนอยู่เลยนะครับ
นี่แหละที่เป็นที่มาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าแผ่เมตตาเป็นประจำจนกระทั่งใจมีความสุข แล้วก็ปรารถนาการไม่เบียดเบียน อย่างก่อนนอน คน มนุษย์เมืองนี่ คิดอยู่ไม่กี่เรื่อง คิดถึงคนที่อยากได้ กับคิดถึงคนที่อยากให้มีอันเป็นไป สองอย่างนี่แหละ แล้วถ้ามีหลายๆ คืนที่คนที่เราอยากให้มีอันเป็นไป มาอยู่ในใจเราบ่อยๆ ก็หลับไปพร้อมกับนรกทางใจ มีแต่ความอยากให้คนอื่นเป็นทุกข์ ความอยากให้คนอื่นเป็นทุกข์นั่นแหละ คือทุกข์ในอกของเราอย่างแท้จริง เป็นทุกข์ที่ใกล้ตัวที่สุด เป็นอาวุธที่เราใช้ทิ่มแทงตัวเองได้หนักหน่วงกว่าศัตรูมาทำร้ายเราเสียอีกนะ
แต่ถ้าหากว่าใจของเราเต็มไปด้วยความไม่เอาบาป เต็มไปด้วยความไม่เอาความอาฆาตพยาบาท อย่างนี้คนที่มีความสุขเป็นคนแรกก็คือ ตัวเราเอง ใจของเราที่ปลอดโปร่ง ใจของเราที่ยิ้มอยู่ข้างใน ใจของเราที่รู้สึกสบายอยู่ข้างใน ใจของเราที่มีความรู้สึกอยากจะให้คนอื่นมีความรู้สึกไปเท่ากับเรา มีความสุขไปพร้อมๆกับเรา ใจแบบนั้นแหละ ถ้าก่อนนอนเกิดใจแบบนั้นขึ้นได้ ก็หลับอย่างมีความสุข ก็หลับแบบที่คุณคาดหวังนั่นแหละ คือหลับสนิท
หลายคนมีความสามารถแผ่เมตตาก่อนนอน
แล้วใจไม่มีอะไร มีแต่ความว่างจากอกุศล มีแต่ความว่างจากการพยาบาท มีแต่ยิ้มน่ะ
ยิ้มอย่างเป็นสุขอยู่ พอหลับไปจิตก็รวม เหมือนเป็นสมาธิอ่อนๆ หรือเป็นสมาธิขั้นดีๆ
เลยที่แผ่ออกไป สรุปเหมือนคล้ายๆอุปจาระสมาธิแบบนั้น แต่เป็นความสุขอย่างใหญ่
เป็นปีติอย่างใหญ่ในแบบที่ไม่ได้ตื่นอยู่ แต่ว่ามีความรู้ตัว ตัวนี้ที่จะหลับสนิทของจริง คือเราจะรู้ตัวเองเลยนะ
ตาไม่กลอก ตราบเท่าที่มันอยู่ในห้วงความสุขอย่างใหญ่แบบนั้น จะไม่ฝัน จะหลับสนิท
หลับสนิทมีหลายแบบ หลับสนิทแบบบไม่รู้เรื่องรู้ราว แบบนั้นคือเข้าภวังค์เต็มๆ แต่หลับสนิทในแบบที่จิตมีความสุข มีความเบา มีความสบาย ไม่มีภาพนิมิตอะไรรบกวนจิตใจ มีแต่ความรู้สึกอยากยิ้มอยู่ตลอดเวลา นานเท่าขณะที่เราหลับอยู่ ตัวนี้แหละที่เป็นหลับสนิทแบบพุทธนะครับ!
หลับสนิทมีหลายแบบ หลับสนิทแบบบไม่รู้เรื่องรู้ราว แบบนั้นคือเข้าภวังค์เต็มๆ แต่หลับสนิทในแบบที่จิตมีความสุข มีความเบา มีความสบาย ไม่มีภาพนิมิตอะไรรบกวนจิตใจ มีแต่ความรู้สึกอยากยิ้มอยู่ตลอดเวลา นานเท่าขณะที่เราหลับอยู่ ตัวนี้แหละที่เป็นหลับสนิทแบบพุทธนะครับ!
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ผิดศีลในฝันบาปไหม?
5 มกราคม 2562
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น