ตอนที่
๒๗. บทพิสูจน์
หลังจากนั่งทอดทัศนาความงามของเอราวัณชั้นเจ็ดนานนับชั่วโมง
กับทั้งชักภาพได้เกินครึ่งร้อย สองหนุ่มสาวก็ชวนกันกลับบ้าน
ขาลงจากน้ำตกใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นเกือบสองเท่า
เพราะแรงดึงดูดโลกช่วยหนึ่ง และไม่แวะพักถ่ายรูปเหมือนขาขึ้นหนึ่ง
จึงยังเหลือเวลามากพอจะกลับถึงกรุงเทพฯเสียก่อนดึกเกินงาม
ระหว่างนั่งมาในรถ
ลานดาวดูภาพถ่ายจากจอเล็กของกล้องตั้งแต่ต้น นับแล้วเป็นรูปหล่อนเสียเกือบ ๘๐
เปอร์เซ็นต์ เพิ่งทราบว่าถูกชักไว้โดยไม่รู้ตัวหลายหน หันหลังบ้าง หันข้างบ้าง
“ถ่ายเสียเยอะแยะเลย จะเอาไปทำอะไรนักคะ?”
“เอาไปเลือกรูปสวยที่สุด อัดขยายตั้งไว้ในจุดเด่นที่สุด ดีไหม?”
ลานดาวยิ้มเบะ
นัยน์ตาเหลือบมองทีละช็อตอย่างยิ่งรู้มากขึ้นว่าเขาหลงใหลรูปร่างหน้าตาหล่อนกว่าที่คิด
อมฤตไม่เคยเผลอโลมเลียมหล่อนด้วยสายตาเหมือนชายอื่น
แต่ภาพถ่ายอันเป็นผลงานของเขาฟ้องหลายสิ่ง ทั้งมุมมองเชิงศิลป์ที่ละเอียดอ่อน
และทั้งมุมมองเชิงใคร่ที่สะท้อนความอยากรู้อยากเห็นเยี่ยงบุรุษเพศทั้งหลาย
“รูปนี้โป๊ไปอ้ะ ขอลบนะคะ”
“ไหน… แต่งตัวออกมิดชิด มีโป๊ได้ด้วยหรือ?”
“ก็ยกไม้ยกมือ
เปิดช่องลอดแขนเสื้อเข้าไปเห็นตลอดใต้ช่วงแขนถึงเสื้อในเลยน่ะค่ะ พี่แตรเล่นแอบถ่ายจากด้านข้างไม่ให้จ๊ะรู้
กำลังเลี้ยงตัวบนขอนไม้ข้ามน้ำอยู่ มิน่าล่ะ ชอบล่วงหน้าไปก่อนเราเป็นระยะ…
อยากเก็บเอาไว้ดูมากหรือไง?”
แกล้งหันไปทำตาเขียวเสียงเข้มเล็กๆ
แต่ความจริงแค่นึกสนุกอยากเห็นปฏิกิริยาของเขาเท่านั้น
“ฮึ้ย!” อมฤตร้องเสียงสูงอย่างเกรงว่าหล่อนจะมองเขาเป็นพวกชอบสะสมภาพหวิว
“พี่ถ่ายไปเรื่อยนั่นแหละ ก็อาจติดอะไรมาบ้าง”
“อย่าดีกว่า มีทั้งซูมใกล้ซูมไกล ส่อเจตนาชัดเลย… ลบล่ะนะ
สงสัยมีอย่างนี้หลายรูป ขืนปล่อยให้เอาไปอัดขยายคงไม่ได้การ”
ชายหนุ่มทำท่าเสียดาย
แต่ก็อนุญาตโดยดี
“เอาเถอะ เพื่อความสบายใจของจ๊ะ เซ็นเซอร์ได้ทุกภาพที่เห็นว่าเสียหาย”
ลานดาวเบะปากยิ้ม
ชม้ายตาแลคนรักด้วยแววซุกซน
“อ๊ะ… ช่างเถอะ ถึงยังไงต่อให้เพ่งจนตาทะลุก็เอาของจริงไปไม่ได้”
พูดยั่วแค่นั้นอมฤตคงรู้แล้วว่าสำหรับเขา
ความจริงหล่อนไม่อินังขังขอบแต่อย่างใดเลยกับภาพแพลมเนื้อหนังพอหอมปากหอมคอ
“หิวไหม?”
“นิดหน่อยค่ะ แต่กินขนมกับน้ำที่เบาะหลังนี่ก็พอ
ไว้ถึงกรุงเทพฯค่อยว่ากันมื้อใหญ่ทีเดียวดีกว่า… พี่แตรถ่ายรูปเก่งจัง
อย่างกับมืออาชีพแน่ะ ไปเรียนมาหรือเปล่า?”
“ก็อาศัยความรู้เก็บเล็กประสมน้อยมาตั้งแต่เด็กแหละ อ่านเยอะ ฟังเยอะ
หัดเยอะ ยิ่งถึงยุคของกล้องดิจิตอล ลั่นชัตเตอร์กันไม่ต้องยั้ง
ไม่ต้องเสียดมเสียดายฟิล์มแบบนี้ เลยยิ่งสนุกใหญ่”
ลานดาวยังเพลินพิศภาพถ่ายที่มีตนเป็นนางเอกเด่นไปเรื่อย
รู้สึกว่าเวลาคนเรามีความสุข
ภาพถ่ายจะเป็นหลักฐานบอกความสดชื่นทรงพลังชีวิตเหนือธรรมดาอย่างเหลือล้น
หล่อนเคยเต็มใจยิ้มมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่เห็นตนเองยิ้มสวยขนาดนี้
ยิ้มเพราะปีติปรีดาในรักนั้น มิใช่เพียงริมฝีปากแยกจากกัน ทว่าประกายตา
ความผุดผ่องในใบหน้า และท่วงทีอันเกิดจากองค์ประกอบทั่วองคาพยพ
ยังร่วมกันแย้มยิ้มบรรเจิด ฉายแรงหฤหรรษ์แห่งวิญญาณเต็มดวงอีกด้วย
“เอาไว้ไปถ่ายตามทะเล ตามถ้ำ ตามที่แปลกอื่นกันอีกเยอะๆนะคะ”
ชวนอย่างมาดหมายจะเอาความสะสวยของตนและฝีมือของเขาไปแต้มแต่งที่โน่นที่นี่
ให้เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องประดับโลก
ความสามารถเชิงวิจิตรทัศน์ของอมฤตเร่งให้หล่อนหลงรูปตนเองแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าอยากได้แบบไม่ธรรมดา แตกต่างจากคนอื่น ก็อยู่ระหว่างทางผ่านนี่แหละ
ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีด้วย”
หญิงสาวทำตาโตฉงน
“เอ๋… มีด้วยหรือคะ?”
“มีซี่”
ลานดาวนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใกล้เคียงเช่นถ้ำพระธาตุ
ซึ่งพอรู้มาว่าภายในเป็นหินงอกหินย้อยลัดเหลี่ยมเพริศพราย
แต่คิดไม่ออกว่าจะแตกต่างจากคนอื่นได้อย่างไร
ในเมื่อใครต่อใครน่าจะยิงกล้องจนปรุไปทั่วทุกจุดกันหมดแล้ว
“เป็นภูเขา น้ำตก ถ้ำ หรือว่าโบราณสถานเอ่ย?”
อมฤตส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอก มันเป็นที่ที่รถวิ่งผ่านเลย ผู้คนมองเฉยกันมากที่สุด”
หญิงสาวหันออกไปนอกกระจกรถอย่างเริ่มรู้
“ทุ่งนาเหรอ?”
“ถูกต้อง! ไม่ค่อยมีใครสังเกตความเขียวขจีของทุ่งนาข้างถนนกันเลย
แล้วจะมีสักกี่คนที่นึกไปได้ถึง ว่าภาพสาวสวยกับนาเขียวสดจะแปลกตาน่าทึ่งขนาดไหน”
นางแบบคนสวยทำหน้าพิกล
“จะดีหรือคะ?”
“ถ้าจ๊ะเต็มใจ ก็จะเห็นทีเดียวล่ะว่าตอนอาทิตย์ใกล้ตกดิน
ท้องนาเป็นฉากประกอบภาพได้เลอเลิศไม่แพ้แหล่งท่องเที่ยวใหญ่ๆเลย
เพียงแต่น้อยคนจะนึกครึ้มลงไปถ่ายรูปกัน
นี่ถ้าเผอิญชาวบ้านตัวดำๆขี่จักรยานเก่าๆผ่านมา แล้วให้จ๊ะนั่งซ้อนท้าย
เอามือข้างหนึ่งโบกผ้ายิ้มใสใส่กล้องนะ เก็บไว้ดูแปลกตากันชั่วลูกชั่วหลานทีเดียว!”
อมฤตโน้มน้าวใจเก่ง
หล่อนฟังแล้วชักเริ่มคล้อยตาม
“แล้วจ๊ะต้องย่ำลงไปในนาชาวบ้านหรือเปล่า
เดี๋ยวได้เจอเด็กเอาลูกชุบปาหัวหรอก”
ชายหนุ่มหัวเราะเอิ๊ก
“ทำไมต้องเป็นลูกชุบ?”
“เคยผ่านไปเห็นลูกชาวไร่ชาวนายืนกินกันข้างทางน่ะค่ะ
เลยติดตาว่าพวกนี้ชอบกินลูกชุบ”
เขาหัวเราะขำอีก
ลานดาวมีความฝังใจหรือมุมมองประหลาดๆที่ขยายออกมาแล้วฟังไม่เหมือนใครอยู่เรื่อย
คงเพราะหล่อนเป็นคนในชนชั้นบนที่ไม่ค่อยสัมผัสคนชั้นล่าง
เห็นนิดเห็นหน่อยก็จำเฉพาะส่วนนั้นไว้และเหมาว่าเหมือนกันหมด
“ไม่ต้องย่ำนาหรอก
เรายืนกันบนคันนาหรือบนทางดินที่เห็นผืนนาเขียวเป็นฉากหลังก็พอ
จะให้พี่ปูพรมรอรับจ๊ะนวยนาดลงจากรถก็ได้นะ เอาไหม?”
ลานดาวยิ้มมุมปาก
“เอาก็เอา น่าสนุกดีเหมือนกัน ผิดนักเจอควายก็ขี่ควายเข้ากล้อง”
“กล้าเร้อ?”
“กล้าดิ้ เดี๋ยวคอยดู ถ้าเจอนะ
จะแอ๊กท่านอนฟังวิทยุเอเอ็มบนหลังควายให้พี่แตรถ่าย”
คนถือพวงมาลัยยิ้มกว้างขึ้นและหัวเราะหึๆ
สอดส่องเลือกนาทั้งฝั่งซ้ายและขวา เจาะจงเอาแบบมีผืนนาติดกันหลายแปลงหน่อย
กับทั้งมีทางพอที่รถแล่นสะดวก
สุดท้ายก็เลี้ยวซ้ายตรงทางเข้าแห่งหนึ่งที่เห็นนาเขียวกว้างยาวถูกใจ
ขณะนั้นใกล้สนธยาเยือน เริ่มเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีส้มระบายขอบฟ้าเรื่อแสดแดงเย็นตา
อมฤตหยุดรถกึกตั้งแต่อยู่ปากทาง
“ม่ะ… ลงมือเลย”
“บนไหล่ทางเนี่ยนะ?”
“ก็เริ่มจากจุดนี้ก่อน เห็นนาเหมือนกัน เดี๋ยวพี่จะข้ามฟากไปยืนฝั่งโน้น
ถ่ายรูปจ๊ะทำท่าเหมือนยืนโบกรถเมล์ ฉีกยิ้มกว้างๆ
ทำหน้าเหมือนคนกำลังจะออกท่องเที่ยวเดินทางไกล”
เขาบอกแนวคิด
ลานดาวฟังแล้วทำหน้ามุ่ย
“อายอ้ะ”
“ไหนเมื่อกี้เพิ่งคุยว่าควายยังกล้าขี่ ให้ยืนข้างถนนทำท่าโบกรถแค่นี้อาย?”
ลานดาวขมุบขมิบปากบ่นพึมพำกับตนเองอยู่ครู่ก่อนลงจากรถเหมือนคุณหนูถูกบังคับให้ทานยาขม
เกิดมาไม่เคยนึกเลยว่าจะต้องมายืนโพสต์ท่าข้างถนนอย่างนี้
แต่ด้วยเพราะเห็นฝีมือตากล้องมาทั้งวัน
จึงค่อนข้างเชื่อมั่นสายตาอันแหลมคมของเขา ดังนั้นเมื่ออมฤตข้ามถนนและตะโกนสั่งให้ฉีกยิ้ม
โบกไม้โบกมือเหมือนเรียกรถในจังหวะที่ถนนว่าง ลานดาวก็ให้ความร่วมมือ
พอถูกถ่ายหลายช็อตเข้าก็เริ่มชิน และไม่เห็นว่าน่าขวยเขินอันใด
ใครๆคงนึกว่าหล่อนเป็นนางแบบมาถ่ายรูปตามคอนเซ็ปต์นิตยสารแฟชั่น
อย่างมากมองแวบเดียวรถก็ต้องเคลื่อนผ่านไปแล้ว
อมฤตชักภาพได้จนพอใจ
ก็เดินข้ามฝั่งกลับมาหา พอลานดาวเห็นรูปที่เขาถ่ายถนัด ทั้งซูมใกล้ซูมไกล
ทั้งอาศัยถนนเป็นเส้นนำสายตา
ประกอบกับกิริยาโบกมือเรียกรถแบบต่างๆที่ล้วนประดับยิ้มสดใสคล้ายสาวยิปซีเร่ร่อน
ก็นึกชอบใจ และชื่นชมฝีไม้ลายมือของแฟนหนุ่มยิ่งขึ้น
สายตาช่างประดิษฐ์องค์ประกอบของเขาแม่นยำกับสีสันสวยงามเสมอ
สองหนุ่มสาวขึ้นรถ
อมฤตขับลึกเข้ามาประมาณ ๓๐๐ เมตรแล้วหลบลงไหล่ทางจอดรถ ดับเครื่องสนิท
ไม่ปรากฏการสัญจรใดๆให้เห็น นอกจากรถที่วิ่งกันบนทางหลวงแล้ว
บริเวณนั้นหาความเคลื่อนไหวอื่นใดไม่ได้เลย
อมฤตพยักหน้าชวนลานดาวลงจากรถอีกครั้ง
คราวนี้หญิงสาวลงจากรถด้วยแววหวาดเล็กๆ เพราะรอบด้านเปลี่ยวเงียบ
แม้ห่างจากถนนหลวงเพียง ๓๐๐ เมตรก็คล้ายภยันตรายอาจมาเยือนตรงไหนใดก็ได้
หล่อนเป็นผู้หญิง และถูกพ่อแม่กำชับมาตั้งแต่อยู่อนุบาลเรื่องปลอดภัยไว้ก่อน อย่าไว้ใจทาง
อย่าวางใจคน คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล
ตำแหน่งใดห่างไกลจากความช่วยเหลือจงอย่าได้เฉียดใกล้
ภัยของสตรีเพศทุกวันนี้ร้ายแรงเกินกว่าจะประมาทแม้สักขณะจิต
เดินอยู่บนฟุตบาทดีๆมันยังกล้าฉุดกันดื้อๆ
แล้วนี่กลางท้องนาเปลี่ยวเวิ้งว้างแถมใกล้โพล้เพล้ จะให้หล่อนสบายใจอย่างไรไหว
แต่กลับลำตอนนี้ก็ใช่ที่
กลัวอมฤตหาว่าขี้ขลาดตาขาวขึ้นสมอง ในเมื่อเห็นอยู่แท้ๆว่าไม่มีใครป้วนเปี้ยน
แถมทางหลวงก็ใกล้แค่วิ่งเท้าเปล่านาทีกว่า หญิงสาวจึงจำกล้ำกลืนก้อนขมลงคอ
เปิดกระเป๋าถือดูความเรียบร้อยของเครื่องช็อตไฟฟ้าแสนโวลต์ที่พ่อของหล่อนหาซื้อพร้อมใช้เส้นสายขอใบอนุญาตพกพาให้
เพื่อความอุ่นใจแก่ลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจยามอยู่นอกรั้วบ้าน
แล้วลานดาวก็ยืดอก
พยายามเดินอย่างผึ่งผายเหมือนปกติตามหลังอมฤตไปยังตำแหน่งที่เขาเลือก
ลมแรงพัดมาปะทะผมปลิวจนต้องเอามือข้างหนึ่งรวบ แต่พอตั้งท่าจะรัดเกล้าอมฤตก็ห้ามไว้
โดยบอกว่าปล่อยยาวดูเข้ากับธรรมชาติดีอยู่แล้ว
มุมกล้องแรกเล็งไปทางตะวันตกเพื่อจับอาทิตย์ชิงพลบกลมเด่นเป็นเครื่องประดับฉาก
พออมฤตอวดผลงานให้เห็นทางจอ LCD ลานดาวก็แทบหายกลัวสถานที่เป็นปลิดทิ้ง
ความเขียวของนาข้าวยามเย็นเป็นฉากอันน่าอัศจรรย์ดังเขาพรรณนาไว้จริงๆ
ด้วยความฉลาดเล่ห์ในการใช้กล้องของอมฤต
หล่อนดูเหมือนเทพธิดาที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยความอ่อนโยนอลังการแห่งสนธยากลางท้องนามหาศาล
ชักภาพตรงไหนดูสดใสสวยแจ่มไปหมด
พอเวลาผ่านไปพอคุ้นสถานที่
จึงเริ่มเต็มใจเดินท่อมๆตามหลังเขาไปทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งลัดเลาะบนสันคันนาเพื่อเอาตัวไปยืนประดิษฐานกลางแปลงข้าว
แล้วซุ่มซ่ามเหยียบพลาดรองเท้าจมโคลนเลอะเทอะก็ไม่บ่นสักแอะ
อาทิตย์โรยแสง
แต่ยังพอเห็นหน้าตากันถนัด อมฤตจุใจแล้วจึงชวนกลับ
ซึ่งลานดาวก็พยักยิ้มยินดีอย่างว่าอะไรว่าตามกัน
ย่ำดินมาเกือบถึงรถ
ทันใดนั้นคู่รักทั้งสองก็แว่วเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งมาจากป่าละเมาะซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปกว่าสองร้อยเมตร
ทีแรกฟังไม่ถนัดนัก
แต่พอเหลียวหน้าแลไปทางต้นเสียงที่เห็นอุดมด้วยต้นตาลและดงกล้วย ก็ได้ยินเกือบชัด
“ช่วยด้วย!” และถัดมาอีกอึดใจยิ่งแผดแหลมก้อง “อย่า!!”
แล้วเสียงก็หายไป
ซึ่งอาจจะมีมือดีมาอุดปาก หรือไม่ก็ถูกทำให้แน่นิ่งไปด้วยวิธีอำมหิตบางประการ
ชาวกรุงผู้เป็นอาคันตุกะแห่งท้องนามองตากัน
แค่ยินเสียงก็พอเดาถูกว่าอะไรเป็นอะไร ฝ่ายอมฤตยังสงบนิ่ง
แต่ลานดาวทำหน้าตื่นเลิ่กลั่ก
“เรียกตำรวจดีไหม พี่แตร?”
หล่อนเสนอความเห็นลิ้นพันเล็กน้อย
อมฤตส่ายหน้า
“ไม่มีประโยชน์หรอก กว่าจะหาเบอร์เจอ กว่าจะคุยบอกตำแหน่งแหล่งที่เสร็จ
และกว่าตำรวจจะยุรยาตรมาถึง ผู้หญิงก็คงโดนทำร้าย แล้วก็อาจถึงชีวิต…”
ลานดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก
“แล้วทำไงคะ? นี่พี่แตรคงไม่…”
อมฤตหยิบกุญแจรถส่งให้คนรัก
“จ๊ะขึ้นรถแล้วล็อกทุกประตูให้สนิทนะ
ถ้าเห็นใครโผล่มาท่าไม่ดีก็ขับรถหนีไปเลย ไม่ต้องห่วงพี่ พี่เอาตัวรอดได้”
ฟังจบลานดาวถึงกับปากคอสั่นระริก
มือไม้อ่อนเปลี้ย หน้าซีดเหมือนจะเป็นลม
“ไม่รู้พวกมันมีกี่คน พะ… พี่แตรอ้ะ อย่าเลย ไม่เอาค่ะ”
ขอร้องพลางเกาะแขนหน่วงเหนี่ยวเขา
อมฤตเบนหน้าเล็งแลไปทางป่าละเมาะ
แตะเข้าถึงกระแสจิตของผู้เป็นเจ้าของเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
สัมผัสความอึดอัดทรมาน กระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอด และร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
จิตของเขาเข้าถึงใจกลางความรู้สึกอันสุดเลวร้ายนั้นแจ่มชัดราวกับเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง
จากนั้นจึงวางอุเบกขา
ปิดตากำหนดจิตรู้คลื่นจิตแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์ในเชิงเป็นเหตุแห่งความทุกข์ร้อนของหญิงนางนั้น
เห็นในห้วงมโนทวารเป็นเจตจำนงประทุษร้ายอันก่อขึ้นจากความหื่นกาม
ปรากฏเหมือนเมฆหมอกดำทะมึน แล้วสามารถจำแนกได้ว่ามีกลุ่มคลื่นดำมืดอยู่ประมาณ ๓ กระแส
ไม่น่าจะเกินนั้น
ชั่งน้ำหนักมือเท้าและพลกำลังแห่งตนยามนี้
ชายหนุ่มรู้สึกว่าน่าจะรับมือพวกนั้นไหวหากมีเครื่องทุ่นแรงสักชิ้น จึงลืมตาขึ้น
พูดพลางเหลียวรอบตัวเพื่อหาอาวุธธรรมชาติ
“มันมีกันแค่สามคน และน่าจะตัวใหญ่อยู่คนเดียว พวกนี้ไม่พกอาวุธแค่ด้วยความตั้งใจทำเรื่องโฉดอย่างเช่นโทรมหญิงหรอก
อย่างมากก็ชกกันดิบๆ พี่พอไหว”
แล้วเขาก็สลัดแขนจากการเกาะกุมของลานดาวเบาๆ
เดินตรงไปฉวยท่อนไม้ยาวประมาณหนึ่งเมตรถนัดมือมาจากข้างทาง
เหมือนมีใครจงใจทิ้งไม้พลองเข้าสนามศึกไว้ให้เขาคว้ามาใช้โดยเฉพาะ
“พี่แตร!!”
ลานดาวร้องเสียงหลง
ดักหน้ายื้อยุดฉุดมือห้ามเขาไว้
“จ๊ะไม่ให้พี่แตรไป! ยุ่งเรื่องชาวบ้านทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกับเราซักหน่อย??”
“สัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัยภายในสิบนาทีนี้… พี่ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ รับรอง”
“แล้วถ้าเป็นล่ะ?”
ชายหนุ่มเหลือบตาลงมองคนรักด้วยแววสงบเยือกเย็นดังเดิมด้วยความเข้าอกเข้าใจ
“ยังไงพี่ก็ดูดายไม่ได้…”
“ห่วงคนอื่น แล้วไม่ห่วงจ๊ะเหรอ??”
ต้องเค้นเสียงตะโกนกว่าจะหลุดจากลำคอได้เพียงแหบพร่า
หายใจหอบเหนื่อยราวกับวิ่งไกลมาหลายกิโลเมตร
เพราะเริ่มตระหนักว่าเขากำลังจะเอาจริงโดยที่หล่อนไม่อาจเหนี่ยวรั้ง
“จ๊ะขึ้นรถ… จำไว้นะ ถ้ามีใครมาใกล้ ให้ขับหนีไปเลย”
กล่าวจบก็ยัดกล้องถ่ายรูปใส่มือหล่อน
แล้วออกวิ่งอย่างปราดเปรียวดุจกระทิงหนุ่มพุ่งลงสนามแข่งประลองฝีเท้ากับมัจจุราช
เพียงครึ่งนาทีเศษก็ล่วงหายเข้าเขตป่าละเมาะอันเป็นที่มาของเสียงขอความช่วยเหลือ
กลิ่นอายอันตรายร้ายแรงเหมือนจ่อลนอยู่ใต้จมูกแค่นี้เอง
ลานดาวขึ้นรถปิดประตูล็อกแน่นหนา ตัวสั่นงันงก มือไม้ไม่เป็นอันหยิบจับอะไรถูก
ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปทางป่าละเมาะที่อาจเป็นแดนประหารของชายชาญผู้หาญกล้า
ชายผู้ทนสงสารหญิงอื่นไม่ได้ ชายผู้ลืมห่วงใยความปลอดภัยในหญิงคนรักของตนเอง!
หายใจหายคอครู่หนึ่ง
ก่อนคว้าเครื่องช็อตไฟฟ้าจากกระเป๋ามากำแน่น เมื่อครู่ตอนเขาฉวยท่อนไม้เข้ามือ
ใจหนึ่งแวบคิดว่าอาวุธประจำกายของหล่อนน่าจะเป็นประโยชน์กับอมฤตบ้าง
แต่อีกใจหนึ่งก็นึกว่าเอาไว้รักษาความปลอดภัยของตนเองน่ะดีแล้ว เมื่อเขาปลีกตัวไปช่วยคนอื่น
จะมีพระเอกที่ไหนเสนอหน้ามาปกป้องหล่อนกันเล่า?
กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ
เม้มปากเพ่งเล็งเครื่องกำเนิดไฟแสนโวลต์ในมือ
ผีห่าซาตานตนใดไม่ทราบดลให้หล่อนหวนระลึกถึงถ้อยคำของอมฤตเมื่อก่อนเที่ยงวันนี้
“ความรักอาจเริ่มต้นมาจากความซึ้งใจช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
หรืออาจเริ่มต้นจากความหลงใหลเสน่ห์ของอีกฝ่าย
ความรักฉันหญิงชายจะไม่มีตัวตนขึ้นมาลอยๆโดยปราศจากสาเหตุ
สิ่งที่วัดว่าความรักนั้นแท้หรือเทียม คงต้องใช้ใจเราเองเป็นอันดับแรก
ถามตัวเองง่ายๆว่ารักนี้แน่นแฟ้นลึกซึ้งขนาดไหน จากนั้นปล่อยให้เหตุการณ์ระหว่างอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันเป็นตัวยืนยัน
ว่ารักเราชนะกระทั่งความกลัวตายไหม”
ตอนนี้คิดไม่ออก
นิยามของรักเริ้กเลิศหรูอะไร
ยอมรับอย่างหน้าชื่นว่ากำลังกลัวลานจนเหงื่อกาฬแตกโทรม
เคยนึกหมิ่นท่านผู้หญิงผู้เลอโฉมและแสนฉลาดกาจกล้าของประธานาธิบดีเคเนดี้
ที่เห็นสามีถูกยิงในตอนท้ายของรถเปิดประทุน
แทนที่จะผวาเข้ากอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กลับเตลิดลนลานหนีอย่างประสาทเสีย
ช่างไม่มีแก่ใจพิสูจน์ตำนานรักหวานชื่นที่ร่ำลือระบือไกลในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเอาเสียเลย
ทว่ามาถึงบทพิสูจน์ของตนเอง
หล่อนชักนึกเห็นใจผู้หญิงทั้งโลก พวกผู้ชายทำไมถึงชอบเสี่ยงภัย
ทำตัวเป็นพระเอกแบบไอ้มดแดงหรือกาโม่กันนัก
พอความเดือดร้อนตกมาถึงหญิงผู้อยู่เคียงข้างก็ไม่ยักปกป้องได้
ช่วยไปทำไมคนไม่รู้จักที่โดนข่มขืน? รับรองว่าไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนยอมลงข่าวสดุดีแน่ เว้นแต่ตัวจะตาย
เขาจะทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วได้อะไรขึ้นมา? หรือว่าหล่อนเลวเกินกว่าจะเข้าใจ
แล้งน้ำใจเกินกว่าจะเข้าถึงมุมมองระดับเขา? คิดอย่างไรก็ไม่เห็นเหตุผลพอเพียงเลยกับการวิ่งทื่อเข้าไปเสี่ยงตาย
ท้าทายพญายมเช่นนี้
จาคะ…
คำนั้นผุดขึ้นในหัวอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
หล่อนเกือบเลิกใส่ใจคำนี้ของหมอดูอุปการะไปแล้ว
กระทั่งมันหวนกลับมาอีกเมื่อเห็นพฤติกรรมของแฟนหนุ่มถึงสองครั้งสองคราในวันเดียวกัน
เช้าครั้ง เย็นหน
เมื่อเช้ายังพออนุโมทนา
ร่วมมีใจยินดีกับอมฤตได้อย่างเต็มอก เพราะเขาแค่พาคนตาบอดข้ามถนนง่ายๆ
หล่อนเพียงรอในรถเฉยๆโดยไม่เดือดร้อนประการใด แต่คราวนี้ไม่เช่นนั้น
เพราะมันอาจหมายถึงความพลอยฟ้าพลอยฝน ถ้าพวกใจเหี้ยมรังแกผู้หญิงเสร็จ
ฆ่าหนุ่มกรุงลูกคางใสตาย แล้วนึกถึงรถที่นำเขามาตายถึงนี่
ก็คงพลอยให้หล่อนโดนหางเลขไปด้วย
คนเรามีจาคะมากมายก่ายกองทำไมนักหนา
เสียสละกำลังกายกำลังใจเพื่อรักษาคนไข้ยากจนมาตลอดชีวิต
เสียสละเวลาส่วนตัวพาคนตาบอดข้ามถนนเมื่อเช้า ท่าทางคงยังไม่อิ่มใจเพียงพอ
ถึงได้คิดเอาชีวิตทั้งชาติมาเข้าแลกแจกจ่ายให้ใครอีกในเย็นนี้
คิดสารพัด
เริ่มกล้าเอานัยน์ตาไปจดจ้องป่าละเมาะด้วยความร้อนใจเหลือจะกล่าว
หล่อนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย อาจเพราะตำแหน่งปัจจุบันอยู่เหนือลม
ประกอบกับการนั่งอุดอู้ในรถปิดกระจกทุกบาน จินตนาการจึงทำงานเต็มที่
ล้วนแล้วแต่เป็นภาพเลวร้าย กลัวเขาถูกแย่งไม้ไปฟาดหน้าเขาเอง กลัวเขาถูกแทงด้วยมีด
เตลิดไปจนกระทั่งกลัวเขาโดนจับขึงพืด ควักนัยน์ตาออกมาบี้เล่น
โทษฐานสอดเสือกในกิจธุระอันไม่ใช่กิจของตน!
ปิดหน้าร้องไห้ด้วยมือไม้สั่นเทา
พยายามเปลี่ยนความคิดตัวเองให้เป็นบวก
นึกว่าเขาวิ่งไปถึงที่เกิดเหตุแล้วประเคนไม้ลงบนกะโหลกเหล่าร้ายจนหมอบราบใน ๑๐
วินาที หรือถ้าใครขืนฮึดสู้ เขาก็ชกหมัดตรงเข้าหน้า เตะเจาะยางให้เสียหลัก
กระแทกเข่าเข้าสีข้างศัตรูจนตัวโย้
แล้วชูแขนหมอนั่นขึ้นพาดคอเพื่อหมุนตัวหักด้วยศอกกลับดังกร๊อบ
แต่ให้ตายเถอะ!
ภาพโม้ๆพวกนั้นมันมาจากหนังแอ็กชั่นที่จัดฉาก
จัดลำดับกำกับคิวบู๊ไว้อย่างดีว่าจะให้พระเอกชนะอย่างไรด้วยท่าไหน
แต่มนุษย์จริงๆมีมือมีเท้า ต่อให้สองคนร่างสันทัด
ก็โค่นยักษ์ปักหลั่นได้ถ้าร่วมมือกันบ้อมบ์ดีๆ
นี่อมฤตไม่ใช่คนสูงใหญ่ล่ำสันสักเท่าไหร่ แถมปรี่เข้าประจัญบานใจกลางทัพอย่างไม่รู้เขารู้เรา
แม้แต่จำนวนคนร้ายก็ไม่ทราบแน่ สถานการณ์จะยิ่งแย่ขนาดไหน?
เงยหน้าขึ้น
จ้องฝ่าความมลังเมลืองของบรรยากาศใกล้พลบ แดดหรี่ลงเต็มที
และหล่อนก็ภาวนาให้เกิดปาฏิหาริย์ ปรากฏร่างของอมฤตเดินออกมาจากป่าละเมาะเบื้องหน้า
จะให้ต้องทำบุญทดแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักกี่วัดก็ยอม ไม่ควรเลย…
หล่อนสังหรณ์อยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องไม่ดี
ไม่น่าตามใจเขาลงมาถ่ายรูปในสถานที่เฮงซวยอย่างนี้เลย
ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร
แต่มือก็เหมือนกดปุ่มเลื่อนภาพถ่ายบนจอ LCD ไปเรื่อยโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งบังเอิญก้มลงพบรูปเดี่ยวของเขาที่ถ่ายไว้เมื่ออยู่บนน้ำตกเอราวัณชั้นเจ็ด
เห็นใบหน้าอันเป็นที่รักแล้วสะอึกอึ้ง
เพราะหล่อนจำความคิดของตัวเองขณะกดชัตเตอร์ได้อย่างแม่นยำ
แน่ใจว่ารักเขามากพอจะแลกกับทุกสิ่ง
ยิ้มซึม
ยืนยันกับตัวเองว่าแลกได้กับทุกสิ่ง… ยกเว้นชีวิตของหล่อนเอง
ถ้าหากร่วมเป็นร่วมตาย
เผชิญสถานการณ์เลวร้ายมาด้วยกันจะไม่ว่าเลย
แต่นี่เขาวิ่งเอาชีวิตไปทิ้งให้ใครก็ไม่รู้
จะหวังให้หล่อนเอาชีวิตอันมีค่าตามเข้าไปทิ้งอีกคนอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!
ยกมือปิดหน้าร้องไห้ซ้ำ
ใบหน้าและรอยยิ้มของเขาเปี่ยมเสน่ห์รัดรึง เขาเป็นคนดี
เป็นผู้ชายคนแรกที่หล่อนมอบหัวใจให้เต็มดวง
กับทั้งเคยปฏิญาณว่าจะทำทุกสิ่งเพื่อรักษาเขาไว้
ชะงักกับความคิดของตัวเอง…
จะทำทุกสิ่งเพื่อรักษาเขาไว้ แล้วตอนนี้หล่อนทำอะไรบ้างนอกจากนั่งนึกด่า
นึกค่อนขอดเขาต่างๆนานาในใจ?
เหมือนอีกวิญญาณหนึ่งเข้าแทรกแทน
ความห่วงใยอมฤตเอ่อท้นอกราวกับการทะลักล้นของสายน้ำยามทำนบเขื่อนแห่งความพรั่นพรึงแตกทำลายลง
ลานดาวตั้งหน้ามองตรง บิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง หล่อนจะไปที่นั่นเพื่อช่วยเขา
ไม่ใช่ตั้งใจวิ่งไปกระโดดเหวตายสักหน่อย!
สับเกียร์กดเท้าเหยียบคันเร่ง
รถพุ่งพรืดออกจากที่ราวกับธนูแล่นจากแล่ง
ระยะทางถึงป่าละเมาะกินเวลาเพียงไม่กี่วินาทีสำหรับรถยนต์
ลานดาวเบรกเอี๊ยดเมื่อถึงที่หมาย มองไปมีแต่ดงกล้วยรกทึบ ใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
แต่พริบตาเดียวก็สงบลง เปลี่ยนเป็นดีเดือดเลือดพล่านขึ้นมาแทน เปิดประตูรถผาง
ก้าวลงมาพร้อมกับเครื่องช็อตไฟฟ้าในมือราวกับนางเสือดาวเตรียมเผชิญหน้าคู่อาฆาต
เงียบสนิท
ไม่มีส่ำเสียงอะไรเลยอย่างน่าแปลก หญิงสาวมองความมืดในดงกล้วยอย่างลังเล
ฉากจริงปรากฏอยู่เบื้องหน้า จะก้าวขาออกไปขาก็แข็ง เพราะเกิดคำถามในหัวอีกแล้ว…
นี่มันหน้าที่หรือกงการอะไรของหล่อนหรือ? พ่อแม่จะต้องเสียใจขนาดไหนหากหล่อนเอาชีวิตมาทิ้งกับผู้ชายหน้าใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่อาทิตย์?
นึกเถียงตัวเองขึ้นมาอีกว่าครั้งหล่อนคิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาหัวใจ
เคยมีสักครั้งไหมที่ถามตัวเองว่าพ่อแม่จะต้องร้องไห้เสียใจแค่ไหน? คำถามที่ผุดขึ้นในหัวยามนี้ล้วนผลักดันออกมาจากความขลาด
เห็นแก่ความปลอดภัยของตนเอง หาใช่ด้วยเหตุผลหรือความห่วงใยบุพการีแต่อย่างใดเลย
จะพลีชีพเพื่อชายที่ตนรัก
ช่างน่าละล้าละลังอย่างนี้เองหนอ เมื่อเข้าใกล้ปากประตูมรณาเพียงแค่เอื้อม ก็แทบไม่หลงเหลือความกล้าหาญหรือความอหังการในรักแท้อยู่เลยแม้แต่น้อย
ขาสั่น
มองข้างหน้าผ่านม่านน้ำตาพร่าพราย สั่งให้ตนเองก้าวออกไป
แน่ใจว่าสมองสั่งการเช่นนั้นแล้ว แต่เข่ากลับอ่อนเปียกด้วยความรักตัวกลัวตาย
ต้องทรุดลงนั่งพับเพียบปิดหน้าสะอื้นฮักเสียเฉยๆ อ่อนแอจนไม่กล้าแม้แต่จะร้องเรียกพี่แตรของหล่อน
เพราะเกรงคนร้ายได้ยินและแห่ออกมากระทำย่ำยีตนเสียเดี๋ยวนั้น หล่อนเป็นผู้หญิง
ร่างกายบอบบาง มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะเลือกเอาความปลอดภัยของตนเองไว้ก่อน
ใครจะมาโทษได้ว่างอมืองอเท้ารอเวลาเก็บศพคนรักไปบำเพ็ญกุศล ในเมื่อเขาเลือกของเขาเอง…
ฝ่ายอมฤต
เมื่อวิ่งมาถึงเขตป่าละเมาะก็เบาจังหวะการเคลื่อนไหวลง ด้านนอกเป็นดงกล้วย
ด้านในเป็นไม้ใหญ่เช่นตาล
ลมพัดตึงได้ยินเสียงใบไผ่ไหวกราวจนกลบเสียงการต่อสู้ขัดขืนหรือการกระทำใดๆด้านในไปเสีย
นายแพทย์หนุ่มประสาทตื่นพร้อม
ไม่รู้สึกกลัว ไม่แม้หวั่นว่ากำลังจะเข้าเผชิญภัยอันใด
เพราะทะนงในพลกำลังและศิลปะการต่อสู้ของตนหนึ่ง
กับทั้งเห็นพวกรุมข่มขืนผู้หญิงเป็นฝูงชายหน้าตัวเมียหนึ่ง หาความน่าพรั่นไม่ได้
เขาเดินทื่อเข้าเขตดงกล้วยด้วยความสงบกายใจราวกับกำลังก้าวเข้าไปสั่งข้าวผัดมากินแก้หิวก็ไม่ปาน
เดินลึกเข้าไปเกือบ
๓๐ เมตร จึงได้ยินเสียงชายคนหนึ่งดังออกมาจากเงาสลัว
“นิ่งๆนะอีณี ดิ้นมากกูฆ่ามึงจริงๆ… ไอ้ปั้น ไอ้โอ่ง มึงปล่อยได้
ไปยืนดูต้นทางคนละมุม”
อมฤตย่องกริบมาใกล้ตำแหน่งอุบัติกามโฉด
จึงเห็นร่างชายสามคนชุมนุมยงโย่ยงหยกอยู่กับร่างเด็กสาวคนหนึ่งบนพื้น
“ช่วยกดแขนกดขาไว้อย่างนี้ไม่ดีเหรอะพี่มิ่ง?”
“ไม่ต้อง!” ชายกลัดมันผู้ถูกเรียกว่า ‘พี่มิ่ง’ ตวาดหนักๆ
“อีณีตัวเล็กนิดเดียว ปากก็อุดแล้ว มึงจะต้องมาช่วยกูทำไมวะ กูบอกให้ไปดูต้นทาง
เร็ว!”
อมฤตเห็นเหยื่อสาวเป็นเด็กอายุน่าจะไม่ถึง
๑๕ เสื้อของเธอถูกกระชากทึ้งจากร่าง และฉีกเอาริ้วหนึ่งมามัดปากไว้แน่นหนา
เขาต้องขบฟันนิดหนึ่งระงับอาการเลือดขึ้นหน้า ด้วยนิสัยทนเห็นใครถูกรังแกไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กไม่มีทางสู้ตัวแค่นี้ เสียงขานชื่อ ‘อีณี’ ของไอ้มิ่งบอกถนัดทีเดียวว่าเป็นคนรู้จักมักคุ้น
หรืออาจกระทั่งเป็นญาติสนิทที่เคยไว้เนื้อเชื่อใจกัน
แต่บัดนี้ไม่เห็นแก่ความเป็นคนรู้จัก หรือแม้เห็นแก่ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
คงเหลือไว้แต่สัญชาตญาณเถื่อน รู้สึกว่าร่างหญิงเป็นวัตถุสนองความใคร่ถ่ายเดียว
ความจริงลำพังหัวโจกคนเดียวก็เอาเด็กอยู่หมัดสบายๆอยู่แล้ว
แต่สันดานคนคิดขืนใจผู้หญิงจะคล้ายกันอย่างหนึ่ง คือชอบชวนพรรคพวกมาร่วมสนุกด้วย
เพื่อความคึกคัก และไม่รู้สึกว่าตนเองทำชั่วร้ายอยู่โดดๆ ยังมีผองเพื่อนร่วม
‘เห็นด้วย’ และคอยช่วยหนุนหลังกันเป็นทีม หรือบางทีก็เพื่อการแก้แค้นบางอย่าง
ได้รุมแล้วสะใจนัก ไม่รู้ใครสั่งสอนไว้จากไหน
อย่าหวังให้สำนึกเลยว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่อ่อนแอกว่าตน
ลูกสมุนทั้งสองแยกย้ายออกมาจากเขตปฏิบัติกามอย่างเสียดาย
คนหนึ่งไปทางทิศตรงข้าม อีกคนมาทางเขา โดยไม่เฉลียวว่ากำลังจะต้องเจ็บตัว
พัวะ!
เมื่อเข้าระยะ
อมฤตหวดท่อนไม้เข้าคอหอยหมอนั่นถนัดถนี่ กะน้ำหนักไม่ให้เป็นอันตรายมากนัก
แต่ก็แรงพอจะทำให้ตาเหลือกถลน กุมคอไอโขลกตัวงอเป็นกุ้งฉับพลัน
และโดยไม่ปล่อยให้เสียจังหวะ อมฤตสับไม้เข้าขาพับหนุ่มนาเคราะห์ร้ายเต็มเหนี่ยว
เป็นผลให้ทรุดฮวบลงกราบธรณีทันที
เจ้านั่นเป็นเด็กเมื่อวานซืน
ผอมเหมือนจิ้งเหลน ไม่น่าพะวงด้วยนัก
อมฤตจึงปล่อยให้ดิ้นตีแปลงกุมคอหอยด้วยความปวดแสบปวดร้อนอยู่ตรงนั้น
แล้วตั้งหน้าตรงเดินปรี่เข้าหาชายฉกรรจ์ที่คร่อมร่างสาวก่อน
ทั้งร่างอมฤตโชนพลังรุกหนักแน่นดุจยมทูตจะมากระชากวิญญาณ
“เฮ้ย! ใครวะ?”
มันลุกยืนอย่างตกใจ
อมฤตไม่ตอบคำถาม เดินมาถึงก็ฟาดไม้เข้าใบหน้า กะให้ฝ่ายนั้นยกแขนซ้ายปัดป้อง
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น
แล้วเขาก็ใช้อีกจังหวะหนึ่งหวดเข้าเอวซ้ายที่เปิดโล่งอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ
ยังผลให้มันร้องโอ๊กสุดเสียง และเมื่องอตัวมาด้านซ้าย ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความกรุณาก็ตวัดท่อนไม้ขึ้นสับลงบนต้นคอขวาที่ช่วยเอียงเหมือนขอรับประเคนอยู่
เสียงหวดขวับๆๆสามครั้งติดกันรวดเดียวอย่างมีจังหวะจะโคน
แถมดังเสมอกันฟังดูเป็นมืออาชีพดีแท้ อมฤตยิ้มเยือกเย็น
ไม่นึกอยากทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับเดนมนุษย์พรรค์นี้นัก
เมื่อเห็นทำขาถ่างๆเหมือนท้าทาย จึงสนองให้ด้วยการเตะผ่าหมากตุ้งใหญ่
โดนห้องเครื่องจังเบอร์ชนิดสะดุ้งลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตทีเดียว
พอเจ้าแห่งคณะหน้าตัวเมียโก้งโค้งคำนับให้
เขาก็คิดสับไม้ลงท้ายทอยเพื่อให้หลับสบาย
ทว่ายังไม่ทันลงมือหางตาก็เห็นเงาร่างปราดเปรียวพุ่งเข้าใส่จากอีกทาง
จึงต้องสะบัดหลังมือหวดไม้ไปก่อนแบบไม่ต้องรู้ว่าจะเข้าจุดไหน ได้ยินแต่เสียงผัวะใหญ่
แต่แลกกันทันทีนั้นเขาเองก็ถูกกระโดดถีบสีข้างเสียหลักเข้าให้เหมือนกัน
และเจ้ากรรม โชคไม่ดีเลยที่เขาเซหลุนๆไปเจอรากไม้ ทำให้เท้าพลิก
เจ็บแปลบขึ้นมาเหมือนถูกเข็มแทงอย่างแรง
อมฤตกัดฟันทน
ได้ยินเสียงบุกเข้ามาทางเบื้องหลังก็กลับลำสะบัดไม้สวนขึ้นไปเป็นมุมสูง
เก็งตำแหน่งให้เข้าหน้า ซึ่งก็แม่นยำราวกับมีตาหลัง
เจ้าหมาลอบกัดร้องอ๊ากลั่นทุ่งเพราะสันไม้เข้าครึ่งปากครึ่งจมูกจั๋งหนับ
ได้โอกาสคราวนี้เขาสะอึกเข้าประชิด ยิงหมัดซ้ายตุ๊ยยุ้งข้าวสุดสปริง
ส่งให้ชายโฉดรายที่สามงอตัวทำความเคารพคล้ายเลื่อมใสในตัวเขายิ่ง อึดใจเดียวก็นั่งแปะกับพื้นอย่างต้องการทบทวนความผิดที่ผ่านมาทั้งหมดในชีวิตนานๆ
นายแพทย์หนุ่มอยากให้เรื่องจบๆ
ตรงเข้าไปพาเด็กสาวออกจากเขตนรกในละเมาะไม้เสียที แต่คนไม่ใช่ขี้หมูขี้แมว
หนุ่มกระทงรายแรกที่โดนเขาซัดกระเดือกจนหมอบเริ่มตั้งหลักลุกขึ้นไหว และคว้าก้อนหินเหมาะมือได้
วิ่งเข้ามาปาใส่เขาเหมือนนักขว้างจักร ซึ่งก็แม่นเป้าพอสมควร
คือโดนกลางอกเขาปั้กใหญ่ ทำเอาอมฤตมืออ่อนเท้าอ่อนปล่อยไม้ตกพื้น
ทรุดลงเข่าทิ่มดินทันทีด้วยความจุกแอ้ด เพราะหินไม่ใช่ก้อนเล็กๆ
แถมน้ำหนักปะทะอันเกิดจากแรงเขวี้ยงยังหนักหน่วงเอาเรื่อง
เจ้ากะหร่องแรงเยอะก้มคว้าหินขึ้นอีกก้อนหนึ่ง
คราวนี้เดินทื่อเหมือนผีดิบเข้าหาด้วยความตั้งใจมากระแทกหน้าและกะโหลกเขาให้ยุบคามือ
แม้จิตแพทย์หนุ่มยังอึดอัดเจ็บร้าวไปตลอดทั่วทั้งช่องอก
ก็ยังสัมผัสถึงความเลือดเย็นจากจิตของเพชฌฆาตได้ถนัด ซ้ำร้ายหางตาเห็นลูกพี่นักเลงโตตั้งหลักเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ถึงกะโผลกกะเผลกอย่างไม่หายเจ็บจ้อน
ก็มีความกระหายเลือดในอากัปกิริยาให้สำเหนียกได้ชัด
อมฤตอัดลมหายใจเต็มอก
สะกดความเจ็บที่เท้าและอกไว้ด้วยพลังอุเบกขาซึ่งมีติดตัวมานาน
ใจชื้นขึ้นเมื่อพบว่าสติอันคมชัดและพลกำลังคืนมาอย่างรวดเร็วทันการณ์ในวินาทีเป็นวินาทีตาย
แต่ยังคงแสร้งก้มหน้าซึมหงอย
ทำตัวหงิกงอหมดสภาพเพื่อล่อให้สองทรชนก้าวเข้าใกล้เขามากพอ กระทั่งกะระยะหวดไม้ถูก
จึงอาศัยความมือไวดุจจงอางฉกไม้จากพื้น ฉวยขึ้นกำและหวดเข้าหลังมือคนถือหินเพียะ
หมอนั่นร้องจ๊าก ปล่อยหินทิ้งเอามือกุมมืออย่างสุดเจ็บปวด อมฤตดีดตัวขึ้น
สองมือจับโคนไม้แน่นแล้วกระดกสับเฉาะลงกลางกระหม่อมศัตรูเต็มแรงแบบซามูไรเผด็จศึก
เจ้าตัวแสบสะเทือนสะท้านร่างชาทั้งแท่งด้วยความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากบาล
และในเสี้ยววินาทีก่อนร่างตรงหน้าจะล้มลงเหมือนตุ๊กตา อมฤตก็ย่อตัวลงต่ำเพื่อตั้งหลักบิดซ้ายสวิงไม้เหมือนตั้งใจตีลูกเบสบอล
ผิดแต่เป้าครั้งนี้คือเดนมนุษย์ร่างเบิ้มที่เขากำหนดรู้ตำแหน่งแต่แรก
และคำนวณการเคลื่อนไหวโจมตีต่อเนื่องจากเหยื่อรายที่หนึ่งไว้แล้ว
ไอ้มิ่งร้องโอ๊ะ
ปัดป่ายและพยายามค้อมตัวเอาหลังและไหล่เป็นโล่ป้อง ลีลาหวดไม้ของชายแปลกหน้าว่องไวปุบปับเกินกว่าจะเดาทางถูก
นึกว่าฟาดสูงกลับฟาดต่ำ นึกว่าฟาดต่ำกลับฟาดสูง
เบนหน้าด้านซ้ายหลบดันโดนเข้าเสี้ยวหน้าด้านขวา
พยายามทุ่มตัวเข้าคลุกวงในฝ่ายนั้นก็ถอยฉากเบี่ยงหลบแบบเอาเถิดเจ้าล่อรอดตัวทันเสมอ
เลยโดนตีทั่วจนน่วมยิ่งกว่าถูกฝูงต่อรุมต่อยทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง
เจ็บชาระบมช้ำไปหมด นึกอยากหันหลังโกยอ้าวหรือแกล้งนอนหมอบกระแตรำไร
แต่อึดใจต่อมาก็ฮึดสู้ ยอมเจ็บด้วยการใช้สองมือรับ และพยายามยื้อแย่งไม้จากเขา
แพทย์หนุ่มยิ้มนิ่มๆอย่างตระหนักว่ากำลังสู้รบปรบมือกับคนสมองน้อยกว่าหลายขุม
เขาถอยเท้าขวาซึ่งยังดีอยู่ไปปักหลักมั่น
แกล้งกระชากไม้เหมือนท้าประลองกำลังชักเย่อ ซึ่งก็ได้ผล
เจ้าคนตัวโตพยายามกระชากกลับ อมฤตเลยปล่อยมือให้เอาไม้ไปตามสบาย
ทำให้คนชอบแย่งผงะเสียหลักไปข้างหลัง ขาไขว้เป็นพัลวัน
หนุ่มจากเมืองกรุงใช้พริบตานั้นเองวิ่งตามมาสปริงตัววาดเท้าเต็มวง
หวดเต็มตีนโพละเข้ากกหูคนกำลังสาละวันเตี้ยลงอย่างแม่นยำ
หมอนั่นออกอาการปวกเปียกร่อแร่เหมือนนกปีกหัก ลงนอนแผ่หลาอ้าปากค้าง
เบิ่งตานับดาวเดือนที่วิ่งสะพัดใกล้หน้าดุจเกลียวน้ำวน หูอื้อฟังอะไรไม่ได้ยินไปเลย
อมฤตล้มตัวลงทิ้งศอกปักลิ้นปี่เพื่อยุติความเคลื่อนไหวของจอมโฉดให้สนิท
ฝ่ายนั้นมือกางตีนกาง จะเด้งก็เด้งขึ้นมาไม่ถนัด
เพราะถูกน้ำหนักตัวของนักมวยปล้ำสมัครเล่นกดอยู่ ทรมานทรกรรมยิ่งนักแล้ว
หางตาเห็นไวๆว่ามีวัตถุวิ่งเข้าหน้า
อมฤตจึงสะบัดหลบด้วยสัญชาตญาณ แต่ช้าเกินไป เจ้าคนที่เขาตุ๊ยท้องลงไปกองชั่วคราวเมื่อครู่นั่นเอง
ที่บัดนี้ลุกขึ้นมาเล่นงานเขาอีกระลอกด้วยหลังเท้า
แม้เข้าไม่เต็มหน้าถนัดถนี่เพราะหลบได้บางส่วนก็ยังทำเอาผงะหงายมึนงง
จับต้นชนปลายไม่ติดไปชั่วขณะ ต้องเอาตัวรอดเฉพาะกาลด้วยวิธีม้วนตัวหนีหลายตลบ
แต่ม้วนตัวหรือจะเร็วสู้คนวิ่ง
เจ้าของบาทาลูบพักตร์กระโดดมาดักแล้วเตะฉีดยาเข้าที่ศีรษะเขาอีกครั้งราวกับเห็นเป็นลูกฟุตบอล
เดชะบุญอีกครั้งที่โดนเพียงเฉี่ยว หัวรองเท้าไม่เจาะเข้าเป้าจังๆ
แต่หมอนั่นก็ไวทายาด พออมฤตนอนหงายไม่เป็นท่าก็ซ้ำด้วยการกระทืบยอดอกเต็มแรง
“อยากเก่งนัก ตายเถอะมึง!”
ยังดีที่น้ำหนักเท้าหนุ่มนาไม่เท่าช้างกระทืบ
แค่กระตุ้นให้พลังระลอกสุดท้ายของเขาปะทุขึ้นราวกับมีวิชาไสยศาสตร์เข้าช่วยไม่ต้องม้วยมรณา
อมฤตพลิกตัวหลบมีดที่ปักลงหมายพุงตน ฉิวเฉียดแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
เขาลุกขึ้นแบบขาไขว้เป๋ไปเป๋มา พยายามหันหน้าเข้าหาปรปักษ์รายเดียวที่เหลืออยู่ด้วยการคุมสติให้เห็นและรับรู้ความเคลื่อนไหวชัดๆ
การถูกเตะเข้าหน้าและเข้าหัวสองหนซ้อน
แม้ไม่เต็มตีนก็มีผลให้สูญเสียการทรงตัวและการควบคุมกายบางส่วน
คงอีกพักกว่าสติสตังจะคืนเข้าที่ ขืนสู้มือเปล่าขณะนี้คงเสียท่าถูกแทงไส้ไหล
จึงฝืนเต้นฟุตเวิร์กหลอกล่อและหลบเลี่ยง พร้อมกับสะบัดหน้าไล่ความมึนงง
อัดลมหายใจเข้าปอดหลายๆครั้งเพื่อปลุกประสาทให้ตื่นเต็มอีกหน
ชายชั่วคนสุดท้ายยิ้มย่ามใจเมื่อเห็นเขาฟุตเวิร์กไปฟุตเวิร์กมาแล้วออกอาการขาปัดเหมือนจะล้มเสียเอง
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอมฤตลืมว่าตนเท้าซ้นจากการสะดุดรากไม้
มันไม่รอให้เขาตั้งหลักได้ใหม่ ปราดเข้าจ้วงแทงสุดกำลัง
อมฤตเบี่ยงหลบซ้ายอย่างหวุดหวิด พยายามทรงร่างไม่ให้ล้ม
เพราะล้มคราวนี้อาจไม่ได้ลุกขึ้นมาเห็นหน้าแฟนอีกเลย
มือมีดไวพอใช้
เมื่อจ้วงพลาดก็ดึงตัวปาดแขนกลับในระยะประชิดอย่างรวดเร็ว ปลายมีดเฉี่ยวช่วงท้องหนุ่มกรุงควากเป็นแผลยาว
อมฤตสะดุ้งเฮือกเพราะรู้ตัวว่าโดนมีด แต่แค่ชาที่ท้องและยังยืนหยัดได้เป็นปกติ
แสดงว่าแผลไม่ฉกรรจ์
จึงแข็งใจใช้สองฝ่ามือตบบ้องหูมือมีดเต็มแรงก่อนที่มันจะจ้วงซ้ำเข้าที่สีข้างเขาทันเพียงเสี้ยววินาทีเดียว
คนเจอบ้องถึงกับอ้าปากเซ่อไป ตาเหลือกขึ้นข้างบนคล้ายตกใจเห็นผีโขมดโผล่
นั่นเองอมฤตไม่รอช้า
ขบกรามกรอดระดมแจกหมัดเท้าเข่าศอกรัวเข้าใบหน้าและลำตัวฝ่ายตรงข้ามไม่นับ
ชนิดไม่คำนึงถึงความสวยงามของแม่ไม้มวยไทยหรือจะออกลายมวยวัดมั่วซั่วอย่างไรก็ช่าง
ครั้งนี้เหมือนต่อยกับคนเป็นอัมพาต
แม้มันเซไปติดต้นไม้และพยายามม้วนตัวปิด เขายังตามไปถลุงต่อแบบรัวยิบ
เพราะด้วยน้ำหนักปะทะจากกำลังกายยามนี้
ไม่มีความมั่นใจหลงเหลืออีกแล้วว่าจะสยบมันได้เพียงด้วยการยิงหมัดเท้าเข่าศอกเพียงครั้งสองครั้ง
กระทั่งได้จังหวะสอยคางโป้งสุดท้าย
ส่งคนเลวชาติให้ทรุดรูดลงด้วยลักษณาการสลบเหมือด หน้าตาแตกยับ ปากปลิ้นเป็นครุฑ
นั่นเองอมฤตจึงลงกองกับพื้นบ้าง จุกเสียดแน่นไปทั้งลิ้นปี่และเหมือนจะหายใจไม่ออก
ต้นไม้ใบหญ้าปรากฏเหมือนปีศาจยืนกวักมือเรียกไปพบยมบาล
หากทรชนตัวใดตัวหนึ่งปาฏิหาริย์ลุกขึ้นมาได้อีกในยามนี้ อมฤตก็ตั้งใจว่าจะยอมนอนนิ่งให้มันเอาชีวิตไปโดยไม่อิดเอื้อนแล้ว
ครู่ใหญ่ต่อมาชายหนุ่มก็รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายหยัดยืนขึ้นใหม่อีกครั้ง
พยายามลืมความเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจและความปวดเสียวบาดแผลที่ท้องซึ่งเริ่มทวีตัวยิ่งขึ้นทุกขณะ
เวลานั้นจวนมืดสนิทเต็มที เขาควรสะสางทุกอย่างให้สะอาดเสร็จสิ้นโดยเร็ว
เด็กสาวซึ่งนอนบนพื้นใต้ต้นไม้ใหญ่ยังคงอยู่กับที่
ดูท่าหล่อนพยายามขยับเคลื่อนไหวเหมือนกัน แต่คงถูกชกท้องและต่อยหน้าขาอย่างแรง
จึงยังมีอาการง่อยเปลี้ยเสียขาไม่สร่าง อันเป็นธรรมดาของกายเปราะบางอย่างหญิง
“ลุก-ไหว-ไหม?”
อมฤตถามเสียงขาดเป็นห้วงๆ
เกิดมาก็เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่เหนื่อยจนหน้ามืด สติจะดับรอมร่อ
เห็นเด็กสาวผู้เกือบกลายเป็นเหยื่อกามรายล่าสุดทำหน้าเหยเก
หยัดร่างยืนขึ้นแบบซวนเซ และกอดอกปิดบังช่วงบนที่บัดนี้เปลือยเปล่าท้าสายตา
ยังไม่มีเสียงใดเล็ดลอดผ่านปากให้ได้ยิน
เมื่อเด็กยืนได้
ชายหนุ่มก็ค่อยเบาอกและใจชื้น พลอยให้โปร่งโล่งและมีกำลังวังชาขึ้นบ้าง
เคลื่อนตัวไปถอดเสื้อออกจากเดนคนใกล้สุด แล้วเดินไปยื่นให้หล่อน
“ใส่เสื้อเสีย”
เขาค่อยพูดเป็นคำขึ้น
หายใจหอบถี่น้อยลง เด็กสาวปฏิบัติตาม หันหลังใส่เสื้อ
พอเสร็จก็กลับมาทำหน้าเหยให้เขาอีก
“อายุถึงสิบห้าหรือเปล่า?”
อมฤตสัมภาษณ์
เด็กสาวส่ายหน้า
“รู้จักบ้านของคนพวกนี้ไหม?”
หล่อนผงกหัว
ชายหนุ่มถอนใจเฮือก กวาดสำรวจร่องรอยบนพื้น
เด็กคงถูกฉุดกระชากลากถูมาทางด้านหลังป่าละเมาะขณะเขาถ่ายรูปลานดาวเกือบจะเสร็จพอดี
นับว่าเด็กยังไม่ถึงคราวเคราะห์หนัก
ใครจะรู้ว่าพวกหมาหมู่สามชายรุมหนึ่งหญิงจะชั่วช้าขนาดคิดฆ่าปิดปากหรือไม่
“บอกทางไปโรงพยาบาลกับโรงพักที่ใกล้ที่สุดได้หรือเปล่า?”
เหยื่อกามพยักหน้าอีก
“งั้นดีแล้ว เดี๋ยวเราไปแจ้งตำรวจกัน ถ้าพวกนี้ติดคุกหัวโต
น้องก็จะได้ไม่ต้องกลัวภัยข้างหน้า”
หน้าซีดเซียวเริ่มแสดงอาการคลายจากความตระหนกระทึก
ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
“เงียบก่อนเถอะ อยู่กับพี่แล้วไม่ต้องกลัว แฟนพี่รออยู่ข้างนอก
เดี๋ยวเราไปเอาตำรวจมาจัดการพวกมันกัน วันหลังน้องจะไม่โดนอย่างนี้อีกแล้ว”
ด้านนอกป่าละเมาะ
สายลมพัดมาระลอกหนึ่ง ลานดาวขนลุกเกรียว อุปาทานว่าใครกำลังเคลื่อนมาทำร้าย
จึงตะลีตะลานลุกขึ้นพรวดพราดด้วยเจตนากลับหลังหันเปิดประตูก้าวขึ้นรถเพื่อขับหนี
ทว่ายินเสียงคุ้นเสียก่อน
"จ๊ะ…"
เงาร่างของเขา
ชายที่หล่อนรัก อมฤต…
"พี่แตร!"
ร้องขานชื่อเขาก้องแทบไม่รู้สึกตัว
แย้มยิ้มอั้นอึ้งตะลึงตะไลด้วยแรงปรีดาอัดอกจนเหมือนตัวพองเป็นสองเท่า
พอแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง ก็ถลาไปหาเขา และใช้กำลังทั้งหมดกระชับกอดอมฤตไว้ทั้งตัว
“มานี่ทำไม?”
ชายหนุ่มดันไหล่หล่อนออกแล้วขมวดคิ้วถาม
มีแววห่วงใยระคนประหลาดใจครามครัน
อมฤตนึกฉงนตั้งแต่เมื่อครู่ที่ได้ยินเสียงรถวิ่งมาจอดขณะกำลังจะออกจากป่าละเมาะแล้ว
“ก็มาช่วยพี่แตรน่ะสิคะ” ลานดาวตอบทั้งน้ำตานองหน้า ขยับมือให้เขาดู
“จ๊ะมีเครื่องช็อตไฟฟ้า”
พูดจบก็สังเกตเด็กสาวบ้านนาที่ซ่อนหน้าอยู่เบื้องหลังเขาแบบผ่านๆ
ไม่รู้สึกอยากใส่ใจนัก ค่าที่เป็นต้นเหตุจูงคนรักของหล่อนเข้าสู่อุ้งหัตถ์มฤตยู
หล่อนเมินจากทางนั้นกลับมาสังเกตสารรูปของคนรักแล้วอุทานลั่นด้วยความตกใจเมื่อเห็นแผลยาวที่ช่วงท้อง
“นี่พี่แตรบาดเจ็บหรือคะ? ตายจริง!”
“ฮื่อ!… ยังไม่ตายน่า” เขามีแก่ใจทำเสียงดุตลกๆบรรเทาความห่วงใยของหล่อน
“โดนปาดตามแนวขวางน่ะ หนังพี่หนา ไม่โดนถึงตับไตไส้พุงหรอก แต่เดี๋ยวอาจจะเลือดออกจนตายสมพรปาก
ถ้าจ๊ะไม่รีบพาพี่ไปส่งโรงพยาบาล”
“ค่ะ… ไปกันเลย” สายตาลานดาวมองกราดเข้าไปในป่าละเมาะหวาดๆ “ว่าแต่พวกนั้น?…”
“อยู่ในนั้นแหละ แต่น้องณีรู้บ้านช่องพวกมันหมด”
วาดแขนไปทางเบื้องหลัง
เอามือจับศีรษะเด็กสาวเป็นเชิงแนะนำไปในตัว
“เดี๋ยวแจ้งความให้ตำรวจจัดการทีหลังได้”
“อย่างนั้นรีบขึ้นรถเถอะค่ะ”
อมฤตเปิดประตูท้ายพยักหน้าให้เด็กเข้าไปนั่ง
ตนเองเดินอ้อมมาที่นั่งข้างคนขับ
พอลานดาวสตาร์ทเครื่องออกรถก็บอกด้วยสติที่หรี่ลงเต็มแก่
“จ๊ะฟังน้องณีบอกทางไปโรงพยาบาลนะ ห่างจากนี่ราวสิบกิโล จากนั้นย้อนมาส่งน้องณีที่โรงพัก
จ๊ะช่วยพูดกับตำรวจให้ด้วย เด็กกำลังขวัญเสีย อาจยังพูดไม่ออก”
“ณีแจ้งความเองได้ค่ะ เมื่อกี้ยังไม่หายจุก เลยพูดไม่ออก”
เด็กสาวบอกมาจากด้านหลังเสียงแหบๆปนสะอื้น
หล่อนขวัญเสียอย่างแรงเหมือนเพิ่งผ่านฝันร้ายที่สุดในชีวิตก็จริง
แต่ไม่เปราะบางขนาดยากจะเรียกสติกลับคืนเมื่อสถานการณ์บังคับ
อมฤตกลอกตาไปทางขวาเล็กน้อย
เงี่ยสดับถ้อยคำของผู้ที่เพิ่งได้รับการช่วยเหลือจากเขาแล้วโล่งอก พวกนักฉุดคร่าคงได้รับกรรมที่สาสมตามตัวบทกฎหมาย
และทำให้แผ่นดินละแวกนี้สูงขึ้น ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงมากขึ้น
“ดี… บอกตำรวจให้ละเอียดนะ”
ลานดาวฟังข้อความโต้ตอบระหว่างคนรักกับเด็กสาวแปลกหน้าแล้วเกือบโพล่งว่าอย่างนี้หย่อนลงสถานีตำรวจให้จัดการเรื่องราวเอาเองดีกว่า
หล่อนจะได้พาเขาไปหาหมอทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาย้อนไปย้อนมา
แถมขึ้นโรงพักคงเรื่องมากน่าดู ตำรวจคงตามไปสอบปากคำอมฤตที่โรงพยาบาลอีก น่าหงุดหงิด
ไม่อยากยุ่งยากเลยจริงๆ
ทว่ายั้งคำที่อยู่ในใจเอาไว้
ด้วยเกรงจะทำให้อมฤตเห็นความแล้งน้ำใจของตน
เขาถึงขนาดทุ่มทั้งชีวิตไปช่วยงัดเอาเด็กนี่ออกมาจากปากจระเข้
แล้วกะแค่ให้หล่อนสงเคราะห์ต่ออีกหน่อยส่งเด็กถึงมือตำรวจ หากทำไม่ได้
เมื่อไหร่ถึงจะปรับคลื่นจิตคลื่นใจให้เสมอกับอมฤตไหว?
ทั้งสามเงียบเสียง
กลิ่นอายสถานการณ์เลวร้ายยังลอยกรุ่น
สำหรับอมฤตเพลียเสียจนหมดความสามารถจะลืมตาต่อ จึงเอนพนักลงราบ
และขอให้น้องณีช่วยใช้สองมือกดแผลที่หน้าท้องแทนตนเพื่อห้ามเลือดแบบพอประทะประทัง
กำชับอีกสองสามคำให้เด็กเคราะห์ร้ายบอกทางกับลานดาวและให้การกับตำรวจดีๆ
อมฤตก็ผล็อยหลับลงสนิทด้วยความรู้สึกว่าชีวิตมาฝากอยู่ในมือที่ตนวางใจแล้ว
ปล่อยให้ความเงียบระหว่างลานดาวกับน้องณีดำเนินไปโดยไม่มีใครขัดแทรกกระทั่งถึงโรงพยาบาล
ลานดาวเขย่าแขนปลุกชายหนุ่มเบาๆ
อมฤตลืมตาขึ้นด้วยความหนักอึ้งราวกับยักษ์มานั่งทับไว้ทั้งตัว
เลือดเริ่มซึมออกเปรอะเสื้อด้านหน้าเป็นดวงใหญ่
กำลังวังชาหายเกลี้ยงเหมือนถูกอะไรดูดไปหมดร่าง เขาลงจากรถด้วยท่าทางสะเงาะสะแงะ
ลานดาวกับน้องณีจึงเข้าช่วยประคองปีกคนละข้าง
บุรุษพยาบาลเห็นเข้าก็รีบนำรถเข็นมารับอย่างเร่งด่วน
เมื่อส่งอมฤตถึงมือหมอปลอดภัยแน่แล้ว
ลานดาวก็พาเด็กสาวกลับขึ้นรถ โดยชี้ให้ฝ่ายนั้นเปิดประตูตอนหลังเอาเอง
ก่อนสตาร์ทเครื่อง
หญิงสาวเปิดไฟกลางเพดาน หันมามองคนนั่งหลัง ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เป็นมิตรนัก
ตอนนี้อมฤตไม่อยู่ หล่อนอยากพูดหรืออยากทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวเสียภาพลักษณ์แต่อย่างใด
ร่ำๆจะพ่นสักคำให้หายคันคะยิกเช่น ‘นังตัวซวยเอ๊ย!’
แต่พอเห็นความสงบเสงี่ยมเจียมตน สีหน้าท่าทางเงียบหงิม ใสซื่อ เนื้อตัวผอมบาง
ไม่มีพิษมีภัยกับใคร ก็เลยด่าไม่ลง ได้แต่ถามกระชากๆ
“โรงพักต้องย้อนกลับไปทางเดิมเหรอ?”
“ค่ะ”
“ทีหลังระวังๆหน่อยสิ อย่าเดินล่อตะเข้ตอนตะวันใกล้ตกดินอย่างนี้อีก”
เด็กสาวก้มหน้าไม่โต้เถียง
แต่ด้วยความที่พักหลังลานดาวเริ่มจับกระแสใจคนเป็น
ก็เห็นว่าเด็กเงียบอย่างมีความคิดแย้ง มีความอึดอัดแน่นอกแน่นใจ อยากอธิบายเหตุผล
แต่สู้เก็บงำอย่างมีมารยาท กับทั้งทราบว่าหล่อนกำลังอารมณ์ขุ่น
ไม่พร้อมจะรับฟังที่มาที่ไปใดๆ
ลานดาวถอนใจเฮือกใหญ่
พารถย้อนทางกลับตามคำบอกของตัวต้นเหตุให้คนรักหล่อนได้แผล
ตลอดทางมีแต่ความคิดในทางอกุศลกับเด็ก
สงสัยว่าทำไมอีนี่หนีพ่อแม่มาเดินเล่นตอนใกล้ค่ำ หรือว่าจะโดนญาติล่อลวงมาเสียเอง
เผลอๆอาจไปให้ท่าเขาก่อน พอเขาจะเอาจริงขึ้นมาก็ร้อง หมูจะหาม อมฤตเอาคานเข้าไปสอดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ยิ่งคิดยิ่งอยากหยุดรถหันกลับไปตบสั่งสอนเสียที
เอาให้ปากเจ่อแลกกันกับความบาดเจ็บเปล่าๆปลี้ๆของแฟนหนุ่ม
ทำฟุดฟิดย่นจมูกเหม็นสาบ
เพราะเสื้อที่เด็กใส่ส่งกลิ่นฉุนอย่างแรง จึงปิดแอร์ กดเอากระจกไฟฟ้าลงจนสุดทุกบาน
เพื่อเปิดให้ลมตีเข้ามาแทนกลิ่นเต่า ไม่เกรงใจว่าคนนั่งหลังจะรู้สึกอย่างไร
นับว่าบุญเท่าไหร่แล้วไม่ยกมืออุดจมูกให้ดู
น่าโมโหน้อยเมื่อไหร่กับการต้องทนเหม็นอย่างเปล่าประโยชน์เพื่อเด็กเลี้ยงควายคนหนึ่ง
แต่พอทั้งรถปลอดโปร่งขึ้นด้วยแรงลมราตรีปะทะ
กับหอมกลิ่นบริสุทธิ์ของบรรยากาศไร่นาข้างทาง ลานดาวก็ค่อยอารมณ์รื่นขึ้น
เมื่อมาถึงหน้าสถานีตำรวจนำรถเข้าจอดแล้ว
จึงหันชวนเด็กลงจากรถด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองกว่าเดิม
“มา… น้อง”
นั่นเองจึงเห็นเด็กสาวขดตัวคุดคู้อยู่ในสภาพน่าสงสาร
เงี่ยหูฟังดีๆก็รู้ว่ากำลังร้องไห้กระซิก ลานดาวกะพริบตาปริบๆ
หัวใจอ่อนยวบลงอย่างประหลาด
ที่ผ่านมาหล่อนเห็นตัวซวยอะไรตัวหนึ่งที่ปราศจากความหมาย ปราศจากชีวิตจิตใจ
หรือกระทั่งปราศจากตัวตนในมิติเดียวกัน ทว่าบัดนี้สายตาหล่อนเห็นมนุษย์คนหนึ่ง
มีเลือดเนื้อ มีลมหายใจ มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนึกคิด อีกทั้งมีความเป็นเพศอ่อนแอเช่นเดียวกับหล่อน
ก็บังเกิดความเวทนาจับหัวใจ
เอื้อมมือแตะเข่าน้องณีอย่างจะถ่ายทอดความอบอุ่นปรารถนาดีให้
“ฝันร้ายผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ ณียังโชคดีกว่าลูกผู้หญิงอีกมาก
ที่โดนย่ำยีโดยไม่มีใครช่วยทัน”
ถ้อยคำและน้ำเสียงปลอบโยนนั้น
นุ่มนวลจนแม้ลานดาวเองยังแปลกใจ เป็นนาทีแรกที่รู้สึกถึงความสูงส่งในตน
มิใช่ฝืนแสร้งจงใจให้เป็นไปแต่อย่างใด
เห็นออกมาจากภายในว่ารอบบริเวณเปลี่ยนแปลงไปด้วยข่ายรัศมีความปรานีจากใจ
มีความปลอดภัย มีความปกปักรักษา มีความน่าอยู่สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย
กับสำเหนียกชัดว่าตนสามารถเผื่อแผ่กระแสความสุขน่าอบอุ่นใจเข้าประโลมจิตอีกฝ่ายให้สงบสบายกว่าเดิม
และสามารถเห็นร่องรอยอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมคือเสียงร้องไห้ขาดช่วงไปแทบทันทีทันใด
อย่างนี้กระมัง
ที่เรียกว่าการ ‘แผ่เมตตา’ ใจมีสุขแล้วส่งสุข ใจมียิ้มแล้วส่งยิ้ม
ด้วยความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขและยิ้มตาม เป็นกระแสพลังที่ถ่ายทอดถึงกันได้จริง
เกิดผลจริง รู้ได้ด้วยใจ
เด็กสาวมองหล่อนนิ่ง
จนลานดาวต้องเปิดไฟกลางเพดานรถอีกครั้งเพื่อคุยกัน
“พร้อมจะให้การกับตำรวจหรือเปล่า น้องณี?”
ก่อนหน้านี้ลานดาวไม่เชื่อเลยว่าตนมีน้ำเสียงการุณย์ได้ขนาดนั้น
สัมผัสทีเดียวว่าเด็กสาวรู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ
“พร้อมค่ะ”
“ดีแล้ว งั้นเราไปกัน”
“พี่คะ…”
ลานดาวเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม
เด็กสาวอึกอักอยู่ครู่ ก่อนพนมมือค้อมศีรษะในลักษณะกราบอย่างอ่อนช้อย
“ขอบพระคุณในความกรุณา ทั้งพี่และแฟนของพี่
หนูจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้ตลอดไป”
แล้วเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นสบผู้อาวุโสกว่า
นัยน์ตาส่องแววรู้คุณเป็นประกายกล้า ยังผลให้ลานดาวสะอึกอั้น
เห็นดวงหน้าบริสุทธิ์ซื่อในวัยแรกแย้มแล้วจุกแน่นในลำคอ เต็มตื้นไปทั้งทรวงอก เพิ่งวินาทีนั้นเองที่หล่อนเข้าซึ้งถึงหัวใจและจิตวิญญาณของอมฤต
ผลตอบแทนที่เขาหวังจากการช่วยคนอื่น
คือการมีโอกาสใช้ตาเนื้อทั้งสองข้างมองใครบางคนหรือหลายๆคนพ้นจากความเดือดร้อนทรมานด้วยน้ำมือเขา
เขาทำจนฝังเข้าไปในดวงกมล หาใช่เพื่อผลประโยชน์ตอบแทนอันชาวโลกพึงหวังเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือเกียรติยศชื่อเสียงใดๆ
บังเกิดกระแสสงบเย็นรินๆในหัวใจด้วยความตีบตื้นยากจะพรรณนา
หล่อนนั่งงอมืองอเท้าอยู่บนรถ หวาดกลัวและนึกตำหนิเขาสารพัด
บัดนี้กลับได้มาเป็นผู้ใช้สายตารับผลแทนเขา
ดุจตัวแทนรับรางวัลยามเจ้าของที่แท้ไม่ว่างมาด้วยตนเอง ใจหนึ่งปลาบปลื้มยินดี
แต่อีกใจก็นึกละอายอย่างแรง
น้องณีกล่าวต่อมาอีกเมื่อเห็นลานดาวเอาแต่นิ่งอั้นไม่พูดไม่จา
“เหมือนหนูตายแล้วเกิดใหม่ ถ้าไม่ได้แฟนพี่ช่วยไว้ก็อาจเป็นศพไปแล้ว
เพราะน้ามิ่งกำลังมีเรื่องแค้นเคืองกับที่บ้านหนูอยู่ หนูจะขอบคุณความดีของแฟนพี่ทุกคืน”
ใช่…
อมฤตช่างแสนดี ดีเสียจนหล่อนไม่เข้าใจ ถ้าคิดในแง่เป็นคุณกับตนเอง
หากเขาช่วยคนอื่นที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าได้
ก็ต้องสามารถปกป้องและช่วยหล่อนผู้เป็นคนรักได้เช่นกัน
กับทั้งน่าจะยิ่งยอมทุ่มกายถวายชีวิตให้กว่ากันด้วย
วันนี้หล่อนไม่ได้ทำผิดอะไร
ก็แค่เพิ่งเรียนรู้ว่าใจตนยังไม่ถึงเขา วัดแล้วยังห่างไกลอยู่อีกมากเท่านั้น…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น