วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

การมีสติตามรู้ในการใช้ชีวิตประจำวัน

ดังตฤณวิสัชนา
ณ ณัฐชญาคลินิก

ครั้งที่ ๙
๑๔ กันยายน ๒๕๕๖

รับฟังทางยูทูบ: https://www.youtube.com/watch?v=rlzcWg15MCU&feature=youtu.be


คำถามที่ ๕

ผู้ถาม : สวัสดีอาจารย์ตุลย์นะคะ ก็ตอนนี้คนที่พยายามจะเจริญสติมือใหม่อยู่นะคะ ก็ในชีวิตประจำวันนี่เท่าที่สังเกตตัวเองก็คือ จะมีสติแล้วก็รู้ลักษณะของจิตใจของเราในช่วงเวลาที่ จะเป็นอย่างเช่น ทุกข์ สุข ตกใจ กลัว โกรธ หรืออะไรอย่างนี้นะคะ แต่ว่าจริงๆแล้วนี่ในชีวิตประจำวันเรา เราจะมีช่วงเวลาที่มันนิ่งๆ ทำงานแล้วต้องโฟกัสค่อนข้างเยอะกว่า แล้วก็รวมจนถึงตอนใกล้จะนอนอย่างนี้น่ะค่ะ ก็อยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ตุลย์นิดหนึ่งว่า เราจะมีวิธีที่จะมีสติตามดูให้ได้อย่างไรให้มากขึ้นในชีวิตประจำวันน่ะค่ะ

ก่อนอื่นเลิกตั้งเป้าไว้แบบนี้นะ คนส่วนใหญ่นี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศฆราวาสนี่ ขืนไปตั้งเป้าว่าเราจะเจริญสติเป็นหลัก มันจะกลายเป็นไปบังคับตัวเองให้ทำงานสองอย่างพร้อมกัน แล้วมันหนักทั้งคู่ ทั้งทางโลกและทางธรรม

เป้าที่ถูกต้องคือเราจะทำเท่าที่จะทำได้ เราให้มันค่อยๆเจริญขึ้น เห็นมันเจริญขึ้นวันต่อวัน เดือนต่อเดือน ปีต่อปี ด้วยความรู้สึกไม่มีอาการรอ ไม่มีอาการคาดหวัง คืออย่างถ้าบวชเป็นพระบวชเป็นชีเลยนี่ มันจะมีเวลาเต็มที่ ถ้าวัตรปฏิบัติดีๆนะ ว่าตกลงกันตั้งแต่วันบวชว่านี่ที่บวชเข้ามาไม่ได้หวังอะไรอย่างอื่นนะ มาทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งอย่างเดียว หน้าที่มีอย่างเดียว หน้าที่หลักที่เป็น Priority ที่เป็น Major จริงๆนี่มันคือการพยายามทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง เพราะฉะนั้นตามลักษณะท่าทาง ลักษณะการทำงานแบบพระที่แท้จริงนี่ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้คือการนั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม เดิน นั่ง พอเดินเสร็จมานั่ง มานั่งเสร็จก็กลับไปเดินใหม่ พระบางรูปที่พระพุทธเจ้าท่านยกย่องว่าขยัน ท่านเดินจงกรม นั่งสมาธิสลับกันวันละเกือบ 20 ชั่วโมง เกือบ 20 ชั่วโมงนะ คือคำนวณเอาจากที่ท่านพูดถึงยาม ยามต้น ยามปลาย ยามกลางอะไรต่อมิอะไรนี่นะ มันเกือบ 20 ชั่วโมง ทำงานหนักมาก แต่หนักแบบพระ คือทำงานในแบบที่ว่าจิตใจจะไม่ไปข้องเกี่ยวกับสิ่งยั่วยวน หรือว่าสิ่งที่มันจะมารบกวนให้เราไข้วเขว

ฉะนั้นการเจริญสติของพวกท่านมันจะอยู่ในขอบเขตกายใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งเดินทั้งนั่งสลับกัน คือไม่ได้มาเดินจงกรมกันในแบบสักแต่เดินนะ ท่านเจริญสติจริงๆ รู้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ภายในขอบเขตการเคลื่นไหวของร่างกายนี้ แล้วก็เกิดความเคลื่นไหวทางใจแบบไหนขึ้นในแต่ละขณะ แบบนั้นเรียกว่าการเจริญสติเต็มพิกัด แบบนั้นนี่มันหวังผลได้ ว่าสติจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงบรรลุธรรมภายในเจ็ดวัน บางคนภายในเจ็ดเดือน บางคนภายในเจ็ดปี เป็นเพราะว่าท่านได้ทำกันเต็มที่ ไม่มีสิ่งรบกวนภายนอก เข้ามาทำให้ไขว้เขว แต่ของเรานี่ ดูอย่างง่ายๆนะ พอเหมือนกับเราต้อง นี่เป็นหมอหรือเปล่านี่

ผู้ถาม : ไม่ใช่ค่ะ ทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ

นี่คนเมื่อกี้บอกเป็นหมอใช่ไหม มาด้วยกันใช่ไหม แต่ไม่ใช่หมอนะ คือเหมือนกับเราต้องพยายามที่จะทำอะไรให้ถูกต้อง ทำอะไรให้มันตรงกับเวลาอะไรทำนองนี้ คือจิตของเรามันจะออกแนวนั้น ออกแนวแบบว่า เออ! ทำให้เป๊ะ ทำให้เสร็จ ทำให้ดี แล้วก็เหมือนกับถ้าไม่เสร็จ หรือว่าไม่ดีตามที่เราตั้งใจนี่ จิตของเรามันจะไม่หยุดฟุ้งซ่าน มันคล้ายๆกับจะมีอาการฝืนตัวเองอยู่ตลอดเวลา เข้าใจไหม อาการฝืนตรงนั้นมันมีลักษณะหนาแน่นของอารมณ์ๆหนึ่ง คือความปั่นป่วน ความยุ่งเหยิงทางใจที่มันไม่หยุดคิด

ทีนี้เราไปมองว่า อารมณ์แบบนั้นนี่มันไม่ใช่สติ มันเป็นสิ่งที่ โดยคำนิยามนี่ว่าเราสติอ่อน แล้วก็เผลอนาน แต่ที่ถูกก็คือว่าในฐานะของฆราวาสมันต้องมีความยุ่งเหยิงแบบนั้นเป็นธรรมดา นี่คือมุมมองที่ถูกต้องแล้วนะ เริ่มเข้าสู่มุมมองที่ถูกต้อง แล้วไอ้ความยุ่งเหยิงนั้น เมื่อเกิดขึ้นเราสามารถสังเกตได้เรื่อยๆว่ามันไม่เท่าเดิม ในโอกาส ในจังหวะที่มันเหมาะสม ในเวลาที่เราไม่ต้องไปหันหน้าเข้าไปหางาน ในเวลาที่เราเปลี่ยนอิริยาบถไปเข้าห้องน้ำ ไปเข้าห้องครัว ไปดื่มนั่นดื่มนี่อะไรอย่างนี้ ไปพักผ่อน เราสามารถสังเกตได้ว่านี่มันหนาแน่นมาแค่ไหนแล้ว หายใจทีก็สังเกตที หายใจอีกทีแล้วดูว่ามันแตกต่างไปไหม นี่เรียกว่าเจริญสติแบบฆราวาส มันไม่ใช่ไปเจริญสติในลักษณะของความคาดหวังว่าสติของเราจะต่อเนื่องเป็นพืด

เห็นไหมนี่คือมุมมองที่ถูกต้องซึ่งปฏิบัติได้จริง แล้วก็มันจะก้าวหน้าโดยวัดจากอาการที่ว่าเราสามารถยอมรับตามจริงว่าอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์ที่มันปั่นป่วนนั่นมันกำลังแสดงความไม่เที่ยงให้ดูอยู่เป็นทีละลมหายใจ ในจังหวะที่เรามีเวลาดู นี่ตรงนี้คือมันจะหมดความรู้สึกอยากที่มันผิดทาง หมดความคาดหวังที่มันเป็นไปไม่ได้ พอหมดความคาดหวังที่มันเป็นไปไม่ได้ปุ๊บ มันกลายเป็นการปฏิบัติจริงแล้วก็กลายเป็นการรู้จริง กลายเป็นการรู้สึกว่ายอมรับได้แค่นี้พอแล้ว แล้วเวลาที่สติเจริญขึ้นนี่มันไม่ใช่แค่ว่าเราเห็นแล้วก็ยอมรับได้เป็นขณะๆว่าฟุ้งซ่านมากฟุ้งซ่านน้อย มันจะเจริญขึ้นในแบบที่ว่าจิตใจของเรานี่ไม่ไปหมกมุ่น บางที่ของเรายังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ตกค้าง หรือว่า ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัวหรือว่าเรื่องหน้าที่การงาน พอหมกมุ่น นึกออกไหม มันจะรู้สึกเจริญสติไม่ออก มันไม่รู้ว่าสติอยู่ตรงไหนแล้ว

แต่เมื่อเรามีความสามารถยอมรับมความไม่เที่ยงของอาการฟุ้งซ่านได้ มันจะเหมือนใจห่างออกมาจากอาการฟุ้งซ่าน เหมือนกับไอ้อาการหมกมุ่นทั้งหลายนี่เป็นแค่ของหลอกๆ เหมือนแค่การปรุงแต่งจิตที่มันผุดขึ้นมา มันมาหลอกใจเรามันมาล่อใจเรา ตอนนี้มันไม่เหมือนอย่างนั้น มันเหมือนเป็นตัวเรา เหมือนกับอาการหมกมุ่นนั่นแหละเป็นตัวเราเองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลีกอะไรคนทั้งโลกนี่ยังหลีกเลี่ยงได้ หนีได้ แต่หลีกเลี่ยงตัวเราเองนี่มันเป็นไปไม่ได้เลย

ทีนี้พอแต่ก่อนเรามองว่าความหมกมุ่นนั้นเป็นตัวเรา มันก็หมกมุ่นอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็หาทางออกไม่เจอ แต่เมื่อมีความสามารถในการยอมรับตามจริงเป็นขณะๆว่าฟุ้งซ่านมากฟุ้งซ่านน้อย แต่ละลมหายใจไม่เท่ากัน ในที่สุดพอเริ่มเกิดอาการหมกมุ่น ความหมกมุ่นก่อตัวขึ้นมานี่เราจะรู้สึก คือรู้สึกเองไม่ใช่บังคับให้รู้สึกนะ ไม่ใช่ไปตั้งใจมองให้มันเป็นอย่างนั้นนะ จะรู้สึกขึ้นมาเองว่าอาการหมกมุ่นมันก่อตัวขึ้นมา จากความไม่มีอะไรเลย คือจิตมันไปประหวัดนึกถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไปตรึกนึกถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา เสร็จแล้วความหมกมุ่นนั้นมันก็ก่อตัว ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ บางทีมันอารมณ์แบบว่า พูดกันไม่รู้เรื่องไม่จบหละ อะไรแบบนี้นะ


แล้วบางที คือของเราจะเป็นพวกที่ว่ามีความรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลแล้ว คือไม่ใช่แบบผู้หญิงที่ใช้แต่อารมณ์อะไรทำนองนี้ แล้วข้ออ้างตรงนี้มันจะมีแรงดันให้เรารู้สึกว่า ไม่ได้ ต้องพูดให้จบ ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง แล้วฉันจะพยายามทำความเข้าใจ แต่จริงๆแล้วข้างในมันยังแบบเดียวกับคนทั่วไป ที่พอหมกมุ่นแล้วมันพร้อมที่จะทำความเข้าใจก็จริง แต่อีกอารมณ์หนึ่งนี่มันมีอารมณ์ไม่ยอมอยู่ข้างในลึกๆ พอจะนึกออกไหม บางทีเราเข้าใจแล้วมันหมือนจบนะ แต่บางทีไอ้ความไม่พอใจ ยังไม่ได้อย่างใจนี่มันก็ยังคาอยู่ ทีนี้ถ้ามองโดยอาการที่ว่าไปนี่ แล้วเรารู้สึกว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านจริงๆแล้วมันมีให้ดูว่าไม่เที่ยง ทุกอย่างจะต่างไป สมมติว่าพูดจบ เจรจาจบไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัวหรือว่าเรื่องทางธุรกิจนี่นะ มันจะไม่มีความคาใจเหลืออยู่แต่ไม่ใช่ไปตั้งใจให้มันไม่คาใจนะ มันไม่คาใจเอง เข้าใจพ้อยท์นะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น