วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๒๖. ควรค่า)

ตอนที่ ๒๖. ควรค่า


สองหนุ่มสาวพักเสียงกันไปครู่ใหญ่ ก่อนที่อมฤตจะถามลานดาวว่าต้องการฟังเพลงหรือไม่ หล่อนปฏิเสธ และบอกว่าอยากอยู่เงียบๆหรือคุยกับเขามากกว่า ขณะพูดตอบก็ต้องบังคับใจตนเองไม่ให้เผยความรู้สึกที่แท้ ว่าไม่ปรารถนาจะฟังดนตรีแบนๆไร้มิติ เคยฟังเครื่องเสียงรถเขาสองสามหนด้วยความทรมานหูเป็นอย่างยิ่ง แม้พยายามทำใจให้เป็นสุข มันก็ไม่ยอมสุข เนื่องจากตลอดชีวิตโตมากับเครื่องเสียงชั้นดีจนทนไม่ไหวแม้กระทั่งชุดสเตอริโอระดับปานกลางของอมฤต

จากการสังเกต หล่อนพบว่าถ้าเพียงแค่แพลมความคิดเล็กๆ จิตไม่แช่อยู่ในอาการตรึกนึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะไม่ถูกเขาจับได้ง่ายๆ อย่างเช่นหล่อนไม่ชอบเครื่องเสียงประจำรถ แต่ไม่เอาใจไปคำนึงถึงเครื่องเสียง ก็จะไม่มีมูลทางกระแสจิตชี้ให้เขารู้ได้

อย่างไรก็ตาม ลานดาวเริ่มรู้สึกถึงอาการฝืนเล็กๆอันเกิดจากการสั่งสมความเกร็งทีละนิดทีละหน่อย เกิดมาหล่อนไม่เคยต้องระวังความคิดอย่างนี้เลย อยู่กับอมฤตบางครั้งเหมือนใจเขาอยู่กับสิ่งอื่น แต่เอาเข้าจริงพอพูดกันจึงทำให้ทราบว่าเขาเฝ้าสังเกตและติดตามความรู้สึกนึกคิดของหล่อนแทบทุกฝีก้าว ทีบางครั้งอุตส่าห์เพียรส่งตา ส่งใจ พยายามเค้นความคิดให้เขาอ่านและตอบรับ พี่ท่านกลับเฉยเมย สบตาตอบด้วยแววว่างเปล่าเสียนี่

อันที่จริงลานดาวเริ่มมีความสามารถทางจิตเพิ่มขึ้นวันละเล็กวันละน้อยตามชั่วโมงบิน แยกแยะได้ว่าอารมณ์ของคนปกติทั่วไปเป็นอย่างไร มีความผันผวน ผิดแผกแตกต่างขนาดไหนในแต่ละขณะ ทว่ากับอมฤต หล่อนยังจับทางเขาไม่ถูกเอาเลย คลื่นจิตเกิดจากอารมณ์ต่างๆของเขาใกล้เคียงกันไปหมดราวกับตั้งมั่นคงที่อยู่ตลอดเวลา เมื่อถามว่าจิตเขาไม่เคลื่อนจากสภาพนิ่งบ้างเลยหรือ อมฤตก็ตอบว่าเคลื่อนอยู่เรื่อยๆ แต่หล่อนจับไม่ได้เอง ต้องนิ่งให้เท่ากันถึงจะรู้ว่าความเคลื่อนไหวของจิตระดับนี้เป็นอย่างไร

ลานดาวจึงตระหนักว่าตนยังห่างชั้นกับอมฤตอยู่มาก รู้สึกเหมือนหล่อนตัวเปล่าไร้สิ่งปกปิด ปล่อยให้เขาเข้าถึงเบื้องลับเบื้องลึกภายในจิตใจได้ตลอดเวลา นับว่าเสียเปรียบยิ่ง ถ้ารู้วาระจิตกันอย่างเสมอภาคหล่อนคงสบายใจขึ้น นี่เป็นอีกข้อที่ทำให้มองออกว่าเหตุใดการร่วมเรียงเคียงคู่จึงควรมีบารมีด้านต่างๆเสมอกัน

มาถึงถนนกว้างเกือบสี่เลนสายหนึ่งซึ่งเว้นช่วงสะพานลอยห่างกันมาก ลานดาวเห็นชายในแว่นดำคนหนึ่งยืนยกไม้เท้าชี้ฟ้าเป็นการโบกขอทางข้ามอยู่หยอยๆ

ในมุมมองของหญิงสาว หล่อนเกิดความคิดว่าทำไมตาบอดแล้วซ่านัก ริเดินข้ามถนนคนเดียว ถ้าอยากถนอมชีวิตไว้ก็น่าจะยอมเดินไกลหน่อย หาสะพานลอยข้ามให้ปลอดภัยเป็นเรื่องเป็นราว อีกความคิดระลอกต่อมาคือเดาว่าเดี๋ยวขบวนรถราก็คงต้องเสียเวลาจอดให้คนๆเดียวข้ามทาง นับเป็นเรื่องน่าระอาแทน แต่ถ้าปะเหมาะเคราะห์ดีหน่อยมีใครบนทางเท้าช่วยพาอีตานั่นข้ามถนนพ้นๆไปเสียได้ก็คงไม่ต้องชักช้ากันมากนัก

ภาพชายในแว่นดำภาพเดียวก่อความนึกคิดขึ้นสารพัดในชั่วเวลาเพียงสองสามวินาที ตามแต่การปลูกฝังนิสัยดั้งเดิมจะส่งให้คิด ทว่าไม่อยู่ในความนึกคิดเลยคือรถคันของหล่อนนั่นเอง ที่เป็นฝ่ายชะลอลงกะทันหัน แถมหัวรถเบนแอบซ้าย เข้าสู่การหยุดจอดเลยตำแหน่งของชายในโลกมืดเพียงเล็กน้อย ประกาศเจตนาของผู้บังคับพวงมาลัยค่อนข้างชัดเจนว่าจอดทำไม

กะพริบตาปริบๆ เหลียวมองอมฤตก็เห็นเขาเปิดประตูก้าวลงจากรถ และสาวเท้าเดินย้อนกลับไปหาคนตาบอดเบื้องหลังเสียแล้ว

เอี้ยวตัวกลับ มองทะลุกระจกท้าย ได้ทอดทัศนาพฤติกรรมที่ไม่เคยเห็นจากแฟนหนุ่มคนไหนมาก่อน อมฤตตรงเข้าไปโอบไหล่ชายผู้พิการทางการเห็นและกระซิบกระซาบ ซึ่งก็คงบอกว่าจะช่วยพาข้ามฝั่งฟาก ชายตาบอดจึงเงยหน้ายิ้มชื่น แล้วจับที่ต้นแขนบริเวณเหนือข้อศอกของอมฤตด้วยความยินดี ดูแล้วคงได้รับความช่วยเหลือทำนองเดียวกันจนไม่เห็นแปลก แต่ก็ไม่น่าจะบ่อยนัก อะไรบางอย่างในรอยยิ้มของบุรุษพิการบอกหล่อนเช่นนั้น

เป็นเรื่องแล้งน้ำใจของคนบนทางเท้าที่เห็นอยู่เกือบสิบคนในละแวกนั้น จะด้วยความกระดากอายหรือเห็นธุระไม่ใช่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสละเวลาพาผู้มีจักษุประสาทบกพร่องข้ามถนนให้ปลอดภัย กลับจดจ้องกันเฉยๆคล้ายช่วยกันลุ้นด้วยซ้ำว่าจะข้ามรอดหรือไม่รอด

ใครต่อใครมองน้ำใจอันล้นเหลือของคนขับหนุ่มที่อุตส่าห์ขันแข็งหยุดรถลงมาช่วยคนขายลอตเตอรี่ ลานดาวนึกกระดาก และเกร็งๆแทนอย่างไรชอบกล อาจเพราะสายตาคนรอบข้างมองแฟนหล่อนเหมือนกำลังทำสิ่งแปลกประหลาดอยู่ก็ได้ ทั้งที่นั่นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายท้าทายสำนึกรับผิดชอบของคนเห็นแท้ๆ

อมฤตเลือกจังหวะรถขาดช่วงพอเดินสะดวก พาคนตาบอดข้ามถนนไปถึงอีกฝั่งโดยปลอดภัย ฝ่ายนั้นหันมายิ้มแย้มขอบคุณในความมีน้ำใจของเขาครู่หนึ่ง ก่อนชายหนุ่มจะขอแยกตัวเดินตัดถนนกลับมา และเปิดประตูเข้านั่งประจำหน้าที่คนขับต่อ โดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใดมากไปกว่าการมีสีหน้าแช่มชื่นกว่าเดิมนิดเดียว

เมื่อรถเคลื่อนที่ ลานดาวจึงอมยิ้มฝืดๆ เมื่อครู่หล่อนเผชิญหน้ากับความจริงที่ตนเองรู้สึกและนึกคิดเยี่ยงคนธรรมดา มองพฤติกรรมของเขาเป็นสิ่งผิดปกติ เสียเวลา เสียกำลังงานให้กับคนแปลกหน้าบนท้องถนนเปล่าๆ แต่ยามเมื่อการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆผ่านพ้นไปแล้วเช่นนี้ จึงนึกได้ว่าควรร่วมปลาบปลื้ม เห็นเขาประกอบวีรกรรมอันน่าสรรเสริญเป็นพิเศษที่ใครๆก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องควรทำ และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจอยากทำดีตามต่างหาก มิฉะนั้นคงเป็นอย่างหมอดูอุปการะบอกไว้ คือจาคะบารมีของหล่อนจะอ่อนกว่าอมฤตจนไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้

ทว่าคงจงใจเค้นความยินดีมากไปหน่อย เลยกลายเป็นความกระอักกระอ่วนพิกล พอเห็นว่านึกคิดเฉยๆแล้วฝืนนัก ไม่อิ่มใจพอ เลยทำประจบเป็นลูกแมวขี้อ้อนไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด

“ใจดีจังเยย รูปหล่อของจ๊ะน่าปลื้มที่สุด”

ใช้มือหนึ่งเกาะศอก อีกมือหนึ่งลูบต้นแขนเยินยอเขาเสียงเล็กเสียงน้อย เอียงคอไปเอียงคอมา ฟังรู้ว่าพูดเองเขินเอง

“เหรอ… งั้นคราวหน้าถ้าเจอแบบนี้พี่จะจอดให้จ๊ะทำบุญมั่ง”

“อุ๊ย!” ลานดาวหดมือกลับ ยิ้มหุบทันที “ไม่เอาล่ะค่ะ กลัวคนตาบอดเอาไม้เท้าฟาด”

“เราไปช่วยเขา เรื่องอะไรเขาจะมาทำร้าย?”

“นึกว่าจะไปจิ๊กลอตเตอรี่เขาไงคะ”

อมฤตส่ายหน้า หัวเราะเอื่อยๆ

“มองแง่ร้ายซะนี่ คนตาบอดส่วนใหญ่น่ะจิตใจงดงามมากนะ”

“เคยนึกสงสารเหมือนกันค่ะ แค่เราอยู่ในความมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรพักเดียวยังน่ากลัว และชวนให้รู้สึกอับจน ค้นหาอะไรไม่ได้ พวกเขามืดสนิทไปจนตายจะยิ่งกว่านั้นขนาดไหน”

“โลกภายในของพวกเขาไม่ได้มืดสนิทอย่างที่เราเดากันหรอก ประสาทหูกับประสาทกายจะดีกว่าคนธรรมดามาก เมื่อกี้จ๊ะสังเกตหรือเปล่า ขนาดรถบรรทุกห้อตะบึงมาอีกตั้งห่าง เขายังกลัวลาน เขยิบถอยมาชิดขอบถนน การที่ต้องรู้ความสะเทือนอยู่ตลอดเวลาของคนตาบอด ทำให้บางคนมีสัมผัสที่ ๖ เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีกนะ หมอที่ตาบอดบางคนมีตาเอกซเรย์สามารถรู้ความบกพร่องของอวัยวะภายในได้ เพียงให้คนไข้มานั่งตรงหน้าเท่านั้น”

ลานดาวเลิกคิ้วสูง

“มีงี้ด้วย?”

อมฤตผงกศีรษะยืนยัน

“ดวงตาเป็นอายตนะที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกสิ่งได้เร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอายตนะที่บั่นทอนสมรรถภาพของสัมผัสที่ ๖ มากที่สุดเช่นกัน”

หญิงสาวเงียบตรอง มนุษย์อาศัยนัยน์ตาในการรับข้อมูลมาเก็บและประมวลผลมากกว่าอวัยวะอื่นใด กล่าวคือความคิด จินตนาการ ตลอดจนภาพฝันยามหลับ ล้วนอิงความจำทางตาสูงสุด ทั้งโลกจะแปลกเปลี่ยนไปขนาดไหนหากไร้ซึ่งหน้าต่างวิญญาณบานนี้

“เท่าที่จ๊ะเห็น คนตาบอดส่วนใหญ่การศึกษาน้อย นั่งตรงไหนก็นิ่งเงียบสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น ดูไม่มีความทุกข์อะไรมาก เลยเดาว่าเขาปิดการรับรู้อยู่ในขอบเขตเงียบเชียบภายในที่น่าสงสาร… แต่ฟังจากพี่แตร คนตาบอดจะได้สัมผัสที่ ๖ มาชดเชยดวงตาที่เสียไปใช่ไหมคะ?”

“คนตาบอดทั่วไปจะเหมือนกันอยู่อย่าง คือถูกบังคับให้ต้องกำหนดสติสำเหนียกรู้การเคลื่อนไหว ทั้งของร่างกายตนเองและวัตถุอื่นๆรอบตัว ประสาทหูกับสัมผัสทางกายจึงดีกว่าคนปกติ แม้แต่พวกเราเองถ้าลองฝึกเร้าการทำงานของประสาทหูหรือกายสัมผัสมากๆ ก็จะรู้ว่ามีมโนภาพเกิดขึ้นเป็นเค้าเป็นเงา หรือกระทั่งชัดราวกับเครื่องเอกซเรย์ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งลี้ลับพิสดารอะไรเลย”

ลานดาวชักเริ่มกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาจริงจัง

“ที่พี่แตรบอกว่าหมอตาบอดบางคนเห็นอวัยวะภายใน เขาเห็นจริงๆเลยหรือคะ?”

“เท่ากับเครื่องเอกซเรย์ หรืออาจจะยิ่งกว่า!”

“คนตาดีฝึกให้เห็นแบบเขาได้ด้วย?”

“จิตของใครก็ทำได้ทั้งนั้น ขอเพียงแค่รู้วิธี ภายในชั่วโมงเดียวจ๊ะก็เห็นกระดูกตัวเองได้”

“จิตจ๊ะแบบเดี๋ยวนี้ด้วยหรือเปล่า? เช้านี้ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่นะ”

“ลองขยับแขนวาดไปวาดมา รู้สึกถึงอาการวาดแขนชัดไหม?”

หญิงสาวทำตามงงๆแล้วตอบ

“ค่ะ ชัด”

“นั่นแหละ ที่เราต้องการคือสติตั้งต้น แค่สามารถรู้อาการวาดแขนได้เท่านี้แหละ”

ลานดาวยืดตัวตรงทันที

“งั้นเอาเลยค่ะ สอนหน่อยทำไงจะเห็นกระดูกตัวเองได้”

เผอิญถึงช่วงที่ทางเริ่มเป็นเส้นตรงยาว ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิกับการขับมากนัก อมฤตจึงสามารถแบ่งภาคจิตมาสัมผัสและบอกบทให้หญิงสาว

“นั่งสบายๆนะ มองไปข้างหน้าเหมือนจะดูขอบฟ้าพักสายตาเล่น… เอาล่ะ หลับตาลง เหมือนยังมองขอบฟ้าเล่นอยู่อย่างเดิม อย่าเพิ่งคาดหวังจะเห็นอะไรทั้งสิ้นนะ เพราะความคาดหวังนั่นแหละจะทำให้เราเพ่งเล็งผิดๆ เลยไม่เห็นอะไรที่ควรจะเห็นอย่างถูกต้องตามลำดับ”

หญิงสาวพยักหน้านิดๆเหมือนแสดงความรับรู้และเข้าใจ

“เอาสองมือวางไว้บนตัก แล้วยกขึ้นสลับกันช้าๆ ขวาที ซ้ายที ยกแต่ละข้างให้นับเป็นหนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบร้อย ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่อให้จิตมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะต้องตามจับรู้อะไร แค่รู้ความเคลื่อนไหวต่อเนื่องได้ ก็เท่ากับเราจำลองโลกภายในของคนตาบอดขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว”

ด้วยความใจเย็น ไม่คาดหวัง ไม่เพ่งเฉพาะจุด จิตเปิดสบายเหมือนลืมตามองขอบฟ้า ขณะเดียวกันก็มีสติรู้อาการขยับขึ้นลงของแขนแต่ละข้าง เพียงนับไปได้ประมาณ ๑๐ ครั้ง ลานดาวก็เห็นแขนเป็นเค้าเงาเลือนราง

“ความใจเย็นและอาการรู้ความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่วอกแวกนี่แหละสมาธิ ยิ่งตั้งมั่นมาก ก็จะเหมือนมีแต่แขนเคลื่อนไหวอยู่ในความรับรู้เพียงหนึ่งเดียว สังเกตด้วยว่าถ้าทำถูกต้องจิตใจจะปลอดโปร่งขึ้นเรื่อยๆ เอาอันนี้ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก”

เมื่ออมฤตเห็นลานดาวรักษาระดับความรู้ไว้ได้คงที่ก็ปล่อยหล่อนทำไปเงียบๆ แต่เมื่อมีความฟุ้งซ่าน หรือคิดวอกแวกไปทางอื่นก็เตือน

“พอคิดขึ้นมาหรือรู้สึกว่าตาลอกแลก ให้หายใจยาวๆ สบายๆ เรียกความสงบกลับมาใหม่นะ… นั่นแหละ รู้ซ้ำไปซ้ำมาแค่นี้ เดี๋ยวเห็นเองว่าสภาพจิตจะเปลี่ยนแปลงไปในทางพัฒนา เหมือนไฟที่ถูกรุนให้โชนสว่างขึ้นเรื่อยๆ”

พอนับครบร้อยครั้ง ลานดาวก็พบว่าจิตที่สงบเงียบ เอาแต่ตามรู้แขนขยับขึ้นลงซ้ำไปซ้ำมานั้น สว่างเรือง สงบเบา หยากเยื่อทางความคิดฟุ้งลดลงมากจริงๆ ซึ่งการเหนี่ยวนำด้วยคำพูดของอมฤตอาจมีส่วนอยู่ด้วย

“พักแก้เมื่อยสักเดี๋ยวก็ได้ แต่อย่าเพิ่งลืมตานะ สังเกตไหม ตอนนี้พอหายใจเข้าออก จะเหมือนเห็นลมหายใจชัดขึ้น… นั่นแหละ ก็รู้ลมหายใจที่ชัดอย่างนั้นให้ต่อเนื่องไปในระหว่างหยุดพักแขน”

ประมาณสองนาทีผ่านไป อมฤตก็บอกบทใหม่

“ยกแขนสลับ นับถึงร้อยอีกรอบ… คราวนี้ดูนะ ด้วยจิตที่เริ่มสว่างโพลงอยู่อย่างนี้ ลองน้อมนึกตามจริงว่าสิ่งที่ทำหน้าที่เคลื่อนไหวอยู่ แท้จริงคือกระดูกเป็นซี่ๆ มีลักษณะแข็ง เป็นกลไกสำคัญในการเคลื่อนไหว การที่เรารู้อาการเคลื่อนไหวของแขนชัด ก็เท่ากับเรารู้กระดูกชัดด้วย แม้จะยังไม่เห็นเหมือนตาเห็นภาพสี แต่ก็เรียกว่าเห็นด้วยจิตสัมผัสบ้างแล้ว”

อมฤตใช้จิตแนบจิต กำหนดรู้ให้เทียบเท่ากับลานดาวเห็นจากมุมมองภายในของหล่อนเอง กระทั่งแฟนสาวนับไปประมาณ ๒๐ จิตเริ่มปลอดโปร่งมาก มีความหนักแน่นตั้งมั่นสูงขึ้น กระดูกที่มีลักษณะแข้นแข็งเป็นซี่ๆก็เริ่มปรากฏต่อจิตเหมือนวัตถุฉาบฟอสฟอรัสซึ่งกระทบกับอากาศแล้วเรืองแสงขาวขึ้นมารางๆ

“ที่ขาววาบๆนั่นแหละ รักษาอาการเห็นอย่างนั้นไว้ อย่าเพ่งให้มากขึ้น ทำเหมือนปล่อยสัมภาระทิ้งให้หมด เหลือแต่ความไร้น้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันก็ให้มีความรับรู้สืบเนื่อง แล้วจะเห็นชัดมากกว่านี้อีก”

ลานดาวเกือบสับสน เพราะการกำหนดจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผิดนิดเดียวอาจหาทางกลับลำบาก แต่หล่อนก็พบลักษณะของจิตที่ปราศจากการเพ่งบังคับ เหลือแต่อาการรับรู้อันเบาโปร่งสดใสจนได้

อมฤตตามประกบจิตลานดาวนานกระทั่งตนเองก็เข้าสู่สภาวะสมาธิ กระแสจิตเชื่อมต่อกันแนบแน่น ทำให้เขาสามารถใช้จิตช่วยหญิงสาว โดยกำหนดนึกอย่างแรงว่าจงเห็นนิมิตกระดูกท่อนแขนขาวคมชัด

จากมุมมองภายในของลานดาว คล้ายมีกลุ่มพลังภายนอกมากระทบให้เกราะห่อหุ้มจิตถูกกะเทาะทิ้ง หรือกำแพงที่ปิดบังจิตถูกทำลายพังราบ หรือม่านหมอกที่คลุมบังสลายตัวลงสิ้น เหลือแต่ความโปร่งใส เปิดเผยให้เห็นกระดูกปลายแขนสองซีก คล้ายตะเกียบขาโก่งประกบกันไม่สนิท

ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแก่นกลางของแขนตนเป็นอย่างนี้ ลานดาวสะดุ้งสุดตัว ลืมตาโพลงด้วยความตระหนกอกสั่นขวัญแขวนเพราะนึกว่าหล่อนกลายเป็นโครงกระดูกผีไปเสียแล้ว อมฤตเหลียวมองอย่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงกับส่ายหน้าเสียดาย

“จิตแตกกระจายหมด เพิ่งจะได้เห็นของดีแวบเดียว”

ลานดาวยังตกใจไม่หาย กะพริบตาถี่ๆ ยกแขนทั้งสองข้างสำรวจอย่างจะให้แน่ใจว่ายังมีเนื้อหนังห่อหุ้มเป็นปกติ ขมุบขมิบปากเหมือนอยากพูดแต่พูดไม่ออก

“เป็นไง ช็อกเลยเหรอ?”

“จ๊ะฝันไปหรือเปล่าคะ? เมื่อกี้เห็นกระดูกชัดเลย”

“ไม่ใช่ฝันหรอก ถ้าฝึกรับรู้การเคลื่อนไหวของแขนด้วยสติธรรมดา จะแค่รู้สึกว่าแกนกลางการเคลื่อนไหวคือกระดูก แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆกระทั่งเกิดสมาธิปลอดโปร่ง จะเห็นเป็นเงาสว่างรางๆ และถ้าเมื่อไหร่จิตรวมนิ่งเป็นหนึ่ง ก็จะเห็นชัดเหมือนจิตฉายแสงเอกซเรย์อย่างนั้นแหละ เสียดายไม่ทำใจเป็นกลางๆ เลยหลุดเผละ ทั้งที่อุตส่าห์สบโอกาสเห็นได้เร็วอย่างนี้แล้ว”

หญิงสาวยิ้มแห้งๆ กล่าวเสียงอ่อย

“ขออภัยค่ะ มือใหม่… สนุกดี แต่น่ากลัวจัง”

“ของมันอยู่กับตัวเรามาแต่เกิด ไปกลัวทำไม?”

ลานดาวอึกอัก

“สัจจะความจริงนี่ทำไมโหดร้ายนักคะ จะให้รับว่าที่แท้จ๊ะเป็นกระดูกผีหรือ?”

“ผีมันมีกระดูกได้ที่ไหน มีแต่คนนี่แหละเป็นกระดูกทั้งแท่งแล้วไม่ยอมรับกัน… ลองใหม่ไหม อาจจะต้องรวบรวมจิตนานหน่อย เพราะกระเจิงกระจายเสียหายหมดแล้ว เดี๋ยวจะช่วยนำให้เห็นตับไตไส้พุง”

“ม่ะ… ไม่ล่ะค่ะ ขอตัว”

“นี่แหละหนา คนเรา กลัวกระทั่งการเห็นตัวเอง นึกว่าจ๊ะชอบดูอะไรสนุกๆ ไหนอยากรู้ไงล่ะว่าเขาเห็นเป็นเอกซเรย์กันยังไง พอทำได้กลับวิ่งป่าราบเสียนี่”

“ค่ะ ปอดแหก ตาขาว กลัวมาก ยอมรับโดยดี ไม่เป็นไร แค่เห็นตัวเองเป็นกระดูกถือว่าคุ้มค่าไม่เสียชาติเกิดแล้วใช่ไหมคะ?”

“โธ่เอ๋ย… เพิ่งเห็นแค่กระดูกปลายแขน ยังไม่เห็นเป็นโครงกระดูกเต็มรูปด้วยซ้ำ”

“อิอิ เหลือเชื่อเลยว่าของมันเห็นกันได้โจ่งแจ้งจางปางปานนี้ ขนลุกไปทั้งตัวเลย”

“ลองดูใหม่อีกทีไหม คราวนี้ตั้งสติดีๆ เห็นอะไรให้ทำเฉยๆไว้”

อมฤตคะยั้นคะยอ

“ไม่เอาอ้ะ… กัว”

“น่าเสียดายนะ บางคนพยายามจนเลือดกำเดาแทบไหลยังไม่สำเร็จ จ๊ะทำสำเร็จง่ายๆเลยไม่เห็นค่า ไม่ทำต่อให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น”

“พยายามจนเลือดกำเดาไหลยังดี นี่จ๊ะพยายามแล้วฉี่จะราด อายตาย”

อมฤตระบายลมหายใจยาวแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เลิกเซ้าซี้ขัดใจมากกว่านั้น ลานดาวมีศักยภาพที่จะทำอะไรได้มากมาย แต่ทำนิดทำหน่อยแล้วเลิกอยู่เรื่อย โดยเฉพาะในแง่ที่เกี่ยวกับความสามารถทางจิต ถ้าสนใจอะไรหล่อนจะทำได้เร็ว แต่ก็หมดความสนใจและเลิกล้มอย่างรวดเร็วเช่นกัน ตัวอย่างเช่นทำให้เขาสมหวังที่มีหญิงอันเป็นที่รักเข้ามาร่วมฝัน แต่พอร่วมฝันกันแค่สองสามหนลานดาวก็ยุติความเพียรเชื่อมต่อทางจิตยามหลับไปเฉยๆ อ้างเหนื่อย อ้างเพลีย อ้างสมาธิตกต่ำตามเรื่องตามราว

ถึงกาญจนบุรีในเวลาประมาณเก้าโมงเศษ แวะถ่ายรูปที่สะพานข้ามแม่น้ำแควอันเป็นทางรถไฟสายสันติภาพ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายทารุณสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ จากนั้นเข้าไปที่เขื่อนศรีนครินทร์บนแม่น้ำแควใหญ่อันเป็นงานก่อสร้างกำแพงกั้นน้ำสีขาวขนาดยักษ์ด้วยฝีมือมนุษย์ เห็นแล้วบังเกิดความตื่นตาในความยิ่งใหญ่มโหฬาร แลเวิ้งว้างลิบลิ่วชวนพิศวง ดุจผู้สร้างจะประกาศแข่งขันกับความมหึมาแห่งลำน้ำแคว ด้วยความสูงจากรากฐาน ๑๔๐ เมตร ความยาวสันเขื่อน ๖๑๐ เมตร และมีอ่างเก็บน้ำกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่ถึง ๔๑๙ ตารางกิโลเมตร

แหล่งท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาประทับใจเป็นเครื่องชี้ได้ประการหนึ่ง ว่าคนที่มาด้วยกันนั้นมีความหมายเพียงใด ลานดาวเคยเที่ยวไปตามสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันงดงามมาหลายแห่ง กับเพื่อนชายหญิงมากหน้าหลายตา เพื่อพบว่าหล่อนยังมีความเงียบเหงาลึกซึ้งเป็นเงาตามติดตัวไปทุกที่ ยังไม่สมใจ ยังไม่ถูกเติมเต็ม ราวกับชิ้นส่วนแห่งอุทยานทั้งหลายขาดหายสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเสมอ

เพิ่งเมื่อรู้จักกับมาวันทา คนแรกที่ทำให้สถานที่สวยงามกลายเป็นดินแดนชวนฝันสมบูรณ์แบบ ทว่าเหมือนมีเข็มแหลมปักเป็นชนักอยู่ด้านหลังของหัวใจ หวานที่สุด ขมที่สุดปนเปยากจะแยก

แล้ววันนี้อมฤตก็อยู่เคียงข้าง หัวใจหล่อนถูกเติมเต็มถึงที่สุดโดยปราศจากข้อขัดแย้งแสลงอก ขณะทอดตาไปสุดห้วงน้ำกว้างไกล ลานดาวเหมือนสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นล้ำลึกในทุกอณูน้ำที่เสมอกันกับความสุขสงบกลางอกตนเองในปัจจุบัน เงาร่างสูงสมส่วนกับหล่อนเสมือนปีกอีกข้างที่เคยห่างหาย เมื่อกลับมาเข้าคู่จึงรู้ว่ารสแห่งการโบยบินไปในห้วงฟ้าไพศาลนั้นเป็นสุขล้ำลึกปานใด

จอดรถชวนกันเกี่ยวก้อยเดินเล่นบนสันเขื่อนอันทอดตรงเหยียดยาวสุดตา แวะถ่ายรูปตรงจุดนั้นจุดนี้ เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นตากล้องที่สนใจการถ่ายภาพมาก เห็นจากการยอมควักกระเป๋าจ่ายแพงซื้อกล้องระดับมืออาชีพไว้ใช้ และอันเนื่องจากมันเป็นอุปกรณ์ดิจิตอลที่เห็นผลงานจากจอ LCD ได้ทันที ก็ทำให้เห็นความเข้าใจของเขาในเรื่ององค์ประกอบ แสง และเงา ตลอดจนทักษะความแคล่วคล่องในการปรับโฟกัส รูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ และการเลือกซูมอย่างชาญฉลาด ทุกรูปที่ออกมาดูดีเหมือนฝีมือช่างตามสตูดิโอมากกว่าจะเป็นมือสมัครเล่นสามัญธรรมดา

เห็นจากการเลือกมุมเหมาะประกอบการจัดท่านั่งท่ายืนให้หล่อน รวมทั้งการคอยบอกรายละเอียดแม้วิธีชำเลืองตา ความกว้างแคบของการแย้มริมฝีปากให้พองาม ยิ่งฉายว่าเขาสังเกตสังกาและรู้จักเส้นสายรายละเอียดองค์ประกอบในกายหล่อนมากมายเพียงใด ยิ่งกว่านั้นอมฤตยังเป็นตากล้องอุบายจัด บางรูปเพียงเขาสั่งให้เปลี่ยนวิธีนึกคิดนิดเดียว จากยิ้มที่ดูแหยก็กลายเป็นยิ้มชื่น แลสดใสโดดเด่นกว่าเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือไปได้

ชักรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางแบบมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มสนุกกับการโพสต์ท่าเก๋ไก๋ไม่เคอะเขินตามแต่เขาสั่ง ทั้งเอียงหน้าชม้ายตา ทั้งยักเอวอวดทรวดทรงโค้งเว้า ทั้งกระโดดลิงโลดระเริง ย้ายจากมุมนี้ไปมุมโน้น เปลี่ยนจากเขตแห้งไปยังเขตน้ำ ดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างให้หันมาสนใจ อาจนึกว่าถ่ายแบบไปลงนิตยสารกัน

เพลินจนลืมเวลาทั้งตากล้องและนางแบบ สายลมและแสงแดดรอบตัวเหมือนส่วนหนึ่งในสรวงสวรรค์ ลานดาวยิ้มโสมนัสและหัวเราะเริงร่าออกมาจากหัวใจเบ่งบานเกินบรรยาย

“โห! ไม่ถึงสองชั่วโมง กดไปร้อยกว่ารูปแน่ะ”

“มีการ์ดความจำติดมาเยอะ เป็นพันรูปก็ยังพอเหลือเฟือ”

“รู้ค่ะ แต่จะบอกว่าพี่แตรขยันจัง เฉลี่ยแทบนาทีละครั้ง”

“บางจุดชักไว้ถี่ๆเป็นสิบก็มีไง”

“ถ่ายจ๊ะแค่คนเดียว มีพี่แตรแค่สองสามรูปเอง จ๊ะถ่ายเดี่ยวพี่แตรมั่งดีกว่า”

“เดี๋ยวเราย้ายไปน้ำตกเอราวัณค่อยถ่ายพี่บ้างแล้วกัน”

“ค่ะ ไปก็ไป แต่ชักหิวแล้วล่ะ”

มื้อกลางวันเสร็จสิ้นในครึ่งชั่วโมง สองหนุ่มสาวเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติเอราวัณบนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ ห่างจากเขื่อนศรีนครินทร์ไปนิดเดียว

เอราวัณเป็นน้ำตกใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ สายธารหลั่งไหลจากระดับบนสุดถึงล่างสุดลดหลั่นกันลงมา ๗ ชั้นเป็นระยะทางเกือบสองพันเมตร ท่ามกลางป่าเขาเขียวชอุ่มด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยวบนต้นใหญ่ ทั้งกล้วยไม้ป่าบนคาคบไม้ ทั้งไม้ที่ผลัดใบและไม่ผลัดใบ เสียงสาดซ่าของสายน้ำที่ผ่านโขดหินสู่แอ่งเบื้องล่างคลอเสียงเพรียกจุ๊บจิ๊บของนกกลางลำเนาไพร ฟังเสมือนดนตรีดั้งเดิมครั้งเมื่อโลกพิภพเริ่มสร้าง สรรพสำเนียงจ้อกแจ้กของนักท่องเที่ยวกลายเป็นความแปลกปลอมที่แทรกซ้อนได้เพียงน้อย ไม่อาจทำลายบรรยากาศบริสุทธิ์ของพุ่มดงพงพฤกษ์ลงเลย

แต่ละชั้นมีลีลารินไหลอ่อนช้อยและถะถั่งทะลักทลายโครมครืนแตกต่างกัน มาเอราวัณแห่งเดียวจึงได้ชมน้ำตกครบทุกสีสัน และเนื่องจากพื้นที่อยู่ในเขตเงาฝน แม้ฝนพรำลงมาบ้างไม่เป็นอุปสรรคต่อการดั้นด้นลัดเลาะขอบป่าเบญจพรรณเพื่อชมความตระการตานานาชนิดแต่อย่างใด

สองหนุ่มสาวจูงมือและประคองกันขึ้นสูงไปเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปบ้าง พักเหนื่อยบ้างตามชั้นช่องต่างๆ จนกระทั่งลุถึงน้ำตกชั้นเจ็ดอันเป็นยอดสุดแห่งเอราวัณภายในเวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ณ จุดนั้นทุกคนเปิดตาตะลึงลืมเหนื่อยเสมอเมื่อพบกับทิวทัศน์ผาสูง ซึ่งมีโหนกคล้ายพญาคชสารยื่นเศียรเดินออกมาจากภูผา อีกทั้งน้ำสีขาวที่แยกสายไหลบ่าลงมาเป็นสองซีก มองไกลๆคล้ายงาช้าง ราวกับชั้นเจ็ดนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยน้ำมือสถาปนิกผู้ชำนาญออกแบบหินบังคับเส้นทางน้ำ มีเจตนาสร้างม่านขาวงดงามตรึงตาเป็นสองเสี่ยงโดยเฉพาะ

มานั่งเคียงกันแช่เท้าลงในแอ่งน้ำเย็นที่ตีนผา อมฤตโอบเอวลานดาวไว้หลวมๆ พิศวาสเงี่ยฟังเสียงหายใจหอบเหนื่อยของหล่อนมากกว่าเสียงน้ำตกเบื้องบน

“จ๊ะไม่เคยขึ้นมาถึงชั้นเจ็ดเลย เคยมาเอราวัณเมื่อหลายปีก่อน ขึ้นถึงแค่ชั้นสามหรือสี่เอง”

“พี่ไม่เคยมาเลยด้วยซ้ำ ต้องขอบใจจ๊ะที่วันนี้ชวน ข้างบนนี้สวยจริงๆ”

“ถ้าเรามีอย่างนี้ไว้ดูที่หลังบ้านก็ดีเนอะ”

“อือม์… กลับถึงกรุงเทพฯพี่กะจะสั่งเขาย้ายไปให้จ๊ะอยู่พอดี”

ลานดาวหัวเราะ

“เอราวัณนี่ชื่อช้างใช่ไหมคะ?”

อมฤตผงกศีรษะ

“เอราวัณเป็นช้างพาหนะของพระอินทร์ จริงๆแล้วมี ๓๓ เศียร คนมาเห็นชั้นเจ็ดคล้ายหัวช้างกับงาช้างเลยเรียกเอราวัณ”

ชายหนุ่มตอบฉาดฉานราวกับเตรียมข้อมูลอย่างดีเพื่อมาเป็นไกด์ หญิงสาวเงียบนิ่งชั่วขณะ หรี่ตาทอดมองภาพเบื้องหน้าอย่างจะซึมซับทุกสัมผัสประทับลงในความทรงจำตลอดไปไม่ลืมเลือน

“ธรรมชาติสวยเหมือนความฝัน แต่จ๊ะไม่อยากให้นี่เป็นแค่ฝันชั่วคราว เวลาสุขเราอาจมองน้ำตกที่แยกเป็นสองสายโดยเปรียบว่าเหมือนงาช้างของพระอินทร์ แต่ยามทุกข์อาจอุปาทานทึกทักว่าเหมือนม่านน้ำตาตัวเองก็ได้”

“น้ำตกไหลลงมาเป็นทางเดียวและเริ่มแยกเป็นสองแพร่งที่โขดหินนั่น ไม่ใช่ไหลต่างสายไหลต่างทางกันเหมือนน้ำจากสองตามนุษย์เสียหน่อย จ๊ะต้องมีตาหาเรื่องอย่างหนักทีเดียวถึงเห็นแล้วเปรียบเป็นสายน้ำตาได้”

ลานดาวหัวเราะนิ่มๆ

“จริงด้วยค่ะ จ๊ะคงนึกว่าเป็นยักษ์ตาเดียวมั้ง”

“กังวลอะไรกันแน่หรือ บอกพี่ได้ไหม?”

หญิงสาวนิ่งไปนาน ก่อนตอบด้วยท่าทีลังเล

“จ๊ะแค่…”

“แค่อะไร?”

“ตอนกำลังสุขที่สุด เราอาจไม่อยากเสียทุกสิ่งตรงหน้าไป กระทั่งกลายเป็นกังวลมั้งคะ”

อมฤตลูบไล้ชายโครงหล่อนอย่างถนอมปลอบ

“รู้ไหม ส่วนใหญ่คนเราทุกข์เพราะคิด ถ้าเลิกคิดมากก็อาจพบว่าทั้งชีวิตต้องเจอเรื่องเลวร้ายอย่างแท้จริงแค่สองสามหนเท่านั้น”

“แค่เรื่องเดียวที่หนักหนาสาหัสจริง จ๊ะก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทนได้แล้วค่ะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามตรงไปตรงมา

“จ๊ะคิดว่าความรักของเรา ควรค่าแก่การยอมแลกกับทุกสิ่งไหม?”

ลานดาวอ้ำอึ้งเล็กน้อย ไม่อาจหลุดปากตอบรับหนักแน่นทันใดเป็นอัตโนมัติ แสดงความกังขาในตัวเองให้เขาเห็น จึงถอนใจและกล่าวตามตรงแทนที่จะเสแสร้งแกล้งพูดแบบขอไปที

“จ๊ะเป็นคนอ่อนแอ ภูมิต้านทานทุกข์ต่ำ เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็ดิ้นไปดิ้นมา แถมยังมีความอดทนน้อยกับการต่อสู้และการฝ่าฟันที่ยากลำบาก”

“จบปริญญาได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมานี่ไม่ต้องฝ่าฟัน ไม่ต้องเจออุปสรรคยากเย็นบ้างเลยหรือ?”

“การเรียนดนตรีคือสิ่งที่จ๊ะถนัด ไม่ต้องออกแรงมากนี่คะ มันต่างกับ… อีกหลายๆเรื่อง”

“เอาเป็นว่าพี่จะพยายามทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ”

“พี่แตรผ่านโลก เห็นชีวิต และเข้าใจตัวเองยิ่งกว่าจ๊ะมาก… บอกได้ไหมคะว่าที่เรากำลังรู้สึกต่อกันนี้ ความจริงคือ ‘หลง’ หรือว่า ‘รัก’?”

อมฤตคิดอยู่เกือบครึ่งนาที ก่อนเลือกคำตอบที่เหมาะได้

“ความรักอาจเริ่มต้นมาจากความซึ้งใจช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หรืออาจเริ่มต้นจากความหลงใหลเสน่ห์ของอีกฝ่าย ความรักฉันหญิงชายจะไม่มีตัวตนขึ้นมาลอยๆโดยปราศจากสาเหตุ สิ่งที่วัดว่าความรักนั้นแท้หรือเทียม คงต้องใช้ใจเราเองเป็นอันดับแรก ถามตัวเองง่ายๆว่ารักนี้แน่นแฟ้นลึกซึ้งขนาดไหน จากนั้นปล่อยให้เหตุการณ์ระหว่างอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันเป็นตัวยืนยัน ว่ารักเราชนะกระทั่งความกลัวตายไหม”

ลานดาวเบ้ปาก

“จ๊ะว่าจ๊ะรักพี่แตรมากกว่าพี่เอินอีก บางทีพี่เอินมาโอบกอดเราเหมือนแสนรัก แต่บางทีพอเราจะกอดบ้างก็สลัดเหมือนรังเกียจ ไม่สนิทใจอย่างนี้เลย… แต่ขนาดนั้น จ๊ะก็เคยอยากฆ่าตัวตายเพราะพี่เอินมาแล้ว… นั่นเท่ากับรักของจ๊ะรุนแรงเหนือความกลัวตายหรือยังคะ?”

ชายหนุ่มหัวเราะเอื่อยๆ

“จ๊ะไม่ได้คิดฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก แต่อยากฆ่าตัวตายเพื่อหนีความทุกข์ทรมานใจต่างหาก นั่นเป็นการทำเพื่อเอาใจตัวเองนะ ไม่ใช่ทำเพื่อความรัก ไม่ใช่เพราะซึ้งถึงค่าของเอินอย่างถ่องแท้”

หญิงสาวทำหน้าบึ้งหน่อยๆ

“แหม… มุมมองนี่ทำให้อะไรอย่างหนึ่งกลายเป็นตรงข้ามได้เลยนะคะ จ๊ะว่าชีวิตจ๊ะ ถ้าอยู่โดยปราศจากความรัก ก็สู้ไม่มีชีวิตเสียเลยดีกว่า”

“อันที่จริงยอมตายเพื่อความรัก ยังอาจแพ้การยอมมีชีวิตที่ต่างไปเพื่อความรักด้วยซ้ำนะ เพราะกลั้นใจไม่กี่นาทีก็ตายแล้ว ใครต่อใครทำกันมาเยอะ แต่การจะต้องกัดฟันทนทวนกระแส เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นดอกไม้บูชารักนั้น มีสักกี่คนที่ยินยอม”

“ระหว่างเรา… ไม่ได้ต่างกันถึงขนาดต้องเปลี่ยนนิสัยหรือวิถีทางอะไรมากนี่ใช่ไหม?”

อมฤตกุมมือน้อยอย่างจะเผื่อแผ่ความอบอุ่นไปถึงหัวใจฝ่ายนั้น

“เลิกคิดมากเถอะ อยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติ แล้วรอทุกสิ่งบอกด้วยตัวของมันเองว่าต้องการให้เราทำอะไรบ้าง ค่อยดูกันว่าใจเราพร้อมจะทำเพื่อรักได้แค่ไหน… สำหรับที่นี่ วินาทีนี้ ควรให้เป็นเสี้ยวแห่งความทรงจำดีๆระหว่างเราที่ย้อนมาระลึกแล้วเหมือนน้ำใสอยู่เสมอ ไม่เจือมลทินเพียงเพราะวางแผนหรือเก็งอนาคตไกลเกินตัวจนกลุ้มใจเปล่า”

ลานดาวตรองแล้วเห็นตาม จึงสยายยิ้มกระจ่าง ซึมซับความสุขจากภาวะคู่ด้วยใจที่เต็มดวงกว่าเดิม เอนหน้าซบไหล่ และปล่อยตัวให้เขากระชับกอดแน่นขึ้นอีก อ้อมกอดของอมฤตอบอุ่นจนหล่อนปรารถนาจะห่อตนเองเป็นสมบัติแนบกายเขาไปจนชั่วกัลปาวสาน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น