วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๒๓. สัมผัสที่ ๖)

ตอนที่ ๒๓. สัมผัสที่ ๖


เย็นนี้ลานดาวขอยืมหนึ่งในสองของรถพ่อมาขับชั่วคราว ความจริงหล่อนนัดพบกับอมฤตในร้านอาหารของห้าง แต่บังเอิญเหลือเกินที่พอหล่อนจอดเสร็จ ก็เห็นรถอมฤตกรายมาจอดตาม เยื้องห่างไปเพียงสิบเมตร ลานดาวเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา ยกมือไหว้และยิ้มทัก

"สวัสดีค่ะพี่แตร แหม... ดวงสมพงศ์ดีจริง ขนาดนัดกันแท้ๆยังมาเจอในที่จอดรถอีก"

อมฤตพยักหน้า ยกมือรับไหว้ตอบขณะปิดประตู

“สงสัยต่อให้ขี่ช้างในป่าก็เจอกันอยู่ดี”

หญิงสาวหัวเราะแล้วหยอด

“น่าอุ่นใจดีนะคะ จะได้ไม่ต้องพลัดหลงกันนานนัก”

ต่างยอมรับว่ากำลังตกอยู่ภายใต้การดูแลของบางสิ่ง ซึ่งก็คงเป็นพลังแม่เหล็กแห่งกรรมสัมพันธ์ที่ดึงดูดให้โคจรมาพบกัน ณ จุดใดจุดหนึ่งในระหว่างที่ต่างคนต่างตระเวนสุ่มเรื่อยเปื่อยบนแผ่นดินเวิ้งว้างไพศาล

เดินเคียงกันเข้าห้าง ลานดาวเล่าว่า

“สมัยเรียนมัธยม จ๊ะมีประสบการณ์เหลือเชื่ออยู่อย่าง คือเดินไปไหน ไม่ว่าในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียน ก็มักเจอแต่เพื่อนต่างห้องคนหนึ่ง ทีแรกทักกันไปทักกันมายิ้มๆ แต่พอถี่เข้า ก็ราวกับมีเพื่อนคนนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกเสมอ จ๊ะเลยชวนเป็นเพื่อนซี้ซะ”

“ทุกวันนี้ยังคบ หรือยังบังเอิญเจอกันอยู่หรือเปล่า?”

“เปล่า…”

แล้วก็สะดุดกับคำตอบของตนเอง เพราะเมื่อครู่สามารถสัมผัสถึงพลังลึกลับที่ดึงดูดผู้คนมาพบกัน บัดนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปในอดีตก็สัมผัสถึงแรงผลักไร้ตนที่จับทุกคนแยกจากกันด้วย ห้วงคำนึงนั้นก่อให้เกิดความสลดเงียบเหงาวังเวงขึ้นมาครู่หนึ่ง ความช่างจินตนาการของลานดาวทำให้เห็นตนเองกับอมฤตนั่งสบตา ชนแก้วและเอ่ยต่อกันว่า… ‘แด่ความไม่เที่ยง’

กะพริบตาถี่ๆ ปรับสติมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อสัมผัสความอุ่นใจจากการใกล้ชิดกับอมฤตก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม

“วันนี้พี่แตรดูหน้าใสจัง”

อมฤตเบนหน้าใสๆมายิ้มตอบเปิดเผย

“เพราะดีใจที่เจอจ๊ะนั่นแหละ”

หญิงสาวยิ้มเขินโดยไม่เสแสร้ง ขณะนั้นทั้งสองเริ่มเข้าเขตห้าง ซึ่งอยู่ในช่วงที่ฝูงชนกำลังเดินขวักไขว่ลายตา การปรากฏตัวของอมฤตกับลานดาวคล้ายดาวเด่นสองดวงที่ฉายรัศมีแรงสูงเสมอกัน เป็นการเข้าคู่จับตาใครต่อใครที่เผอิญเหลือบมาเห็นได้ชะงัด

ผู้ที่มีความมั่นใจในรูปสมบัตินั้น เวลาเดินอยู่ท่ามกลางหมู่คนมักรู้สึกถึงรัศมีโดดเด่นเตะตาประจำตนเสมอ บางคนก็ลอบชำเลืองอยู่เนืองๆว่ามีใครสนใจมองตัวเองมากน้อยแค่ไหน บางคนก็เกร็งๆด้วยความแหยกับการถูกจับจ้อง แต่บางคนเช่นลานดาวจะชินกับการเดินเชิดเป็นนางพญา พาตนเองฝ่าความเชี่ยวกรากของกระแสตามหาชนมาเนิ่นนาน เพราะรู้ตัวมาตลอดว่าตนเป็นดาราโดยกำเนิด อย่างไรก็ต้องเป็นเป้าสายตาใครต่อใครแน่ยิ่งกว่าแน่อยู่แล้ว

ทว่าคราวนี้อาจต่างจากครั้งไหนๆอยู่บ้างก็ตรงที่หล่อนลอบสังเกตรอบข้างเป็นระยะ อย่างจะเทียบว่าระหว่างอาการตาลุกจากหนุ่มๆที่มีมายังตน กับประกายปิ๊งๆจากสาวน้อยสาวใหญ่ที่มีมายังอมฤต อย่างไหนน้ำหนักมากกว่ากัน

สิ่งที่พบจากการสังเกตตลอดทางเดินยืดยาวคือความเสมอภาค ระหว่างหล่อนกับเขาไม่มีใครเด่นกว่าใคร ถึงจุดหนึ่งลานดาวจึงเลิกแยแสสายตาหนุ่มๆ แต่ยิ้มมุมปากครึ้มใจกับประกายอิจฉาในตาสาวๆทั้งหลาย นึกอยากควงแขนเขาเพื่อรุนไฟในตาชาวบ้านให้โชนแรงขึ้น แต่ก็ทราบว่าควรเป็นอีกพักหนึ่งกว่าจะถึงเวลาแสดงความสนิทกับเขาขนาดนั้นในที่สาธารณะ

ตลอดทั้งวันนี้หล่อนระมัดระวังกระทั่งความคิดของตนเอง มิให้คิดถึงเขาประเจิดประเจ้อนัก เพราะตระหนักแล้วว่าอมฤตสามารถล่วงรู้กระทั่งวาระจิตยามห่าง รู้สึกไม่ยุติธรรมเอาเลยที่ปล่อยให้เขารู้เอาฝ่ายเดียว มุ่งมั่นอยู่เงียบๆว่าวันหนึ่งจะรู้แบบเขาให้ได้บ้าง

มานั่งในร้านที่นัดกันไว้ หลังจากสั่งอาหารเสร็จก็แย้มยิ้มสบตากันเปิดเผย เหมือนพร้อมจะพูดกันได้ตรงไปตรงมาทุกเรื่อง

“มองอะไรคะ?”

ลานดาวแกล้งแหย่

“ถ้าห้ามมองก็บอก จะได้เข้าใจกติกา”

“ป่าว… ถามดูเจ๋ยๆ เห็นมองอยู่นาน นึกว่าจะสอนอะไร แต่ก็ไม่เห็นสอนซักที”

“วันนี้ไม่ได้นัดมาสอน แค่ชวนมากินข้าว”

หญิงสาวขบจะงอยปากเบาๆก่อนเอ่ย

“จ๊ะน่าจะรู้มานาน เวลาพี่แตรมองใคร เหมือนอ่านคนนั้นอยู่ตลอดเวลา”

“ก็ไม่เสมอไป บางทีแค่มองด้วยความอยากมอง”

ลานดาวหลิ่วตานิดหนึ่ง

“จ๊ะเคยโดนจ้องเอาๆอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เหมือนโดนพี่แตรมองอย่างนี้เลย”

“ต่างกันยังไง?”

คนถูกถามแค่หัวเราะแล้วยิ้มทอดตาสบเขาไม่วาง คิดในใจตอบคำถามเขาชัดๆ ยอมรับชัดๆว่าอยู่กับชายอื่นหล่อนรู้สึกคล้ายเป็นแม่มดที่อาจสาปใครต่อใครให้ตะลึงค้างจังงังเป็นก้อนหิน แต่กับเขา หล่อนเหมือนจะกลายเป็นฝ่ายโดนพ่อมดสาปเข้าบ้าง เต็มใจยอมรับว่าอำนาจครอบงำหัวใจของเขาสูงเหนือหล่อน

“คิดอะไรอยู่เหรอ? สายตาพิกล”

“ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้คะ? จ๊ะคิดตอบที่พี่แตรถามว่า ‘ต่างกันยังไง’ น่ะค่ะ”

“คิดยาวๆซับซ้อนขนาดนี้พี่อ่านไม่ออกหรอก”

เขาสารภาพตามตรง ลานดาวยิ้มเฉียง

“ได้การล่ะ ต่อไปนี้เวลาคิดอะไร จ๊ะจะคิดยาวๆเข้าไว้ พี่แตรจะได้ไม่รู้”

และนั่นก็เป็นความรู้ใหม่อีกประการหนึ่ง แต่ละขณะคนเรามีห้วงความคิดสั้นยาวต่างกัน อย่างเช่นถ้ามองคนที่เกลียด จะมีกระแสความรู้สึกชิงชังส่งออกไป ชนิดที่คนทั่วไปก็ทราบได้โดยไม่ต้องฝึกอ่านวาระจิตกัน และขณะมองใครด้วยความชัง ในหัวอาจมีคำด่าสั้นๆอยู่ ซึ่งตรงนี้หากใครมีสัญชาตญาณสัมผัสจิตดีๆก็อาจรู้ว่าด่าอะไรทำนองไหน เพราะภาษาจิตสื่อได้ผ่านความรู้สึกตรงๆอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องฝึก

ธรรมชาติปิดบังไม่ให้คนรู้ความคิดกัน นับเป็นการให้เลือกทำกรรมหลายหลาก ถ้าคิดร้ายแล้วยังไม่พูด ก็ไม่ต้องระคายกัน ไม่ต้องผูกเวรกันซึ่งๆหน้า แต่ถ้าคิดร้ายแล้วพูด อันนี้คือเลือกแล้วว่าจะมีเวรต่อกันแน่

ความรักฉันชายหญิงก็เช่นกัน อาจเลือกว่าจะให้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแบบเล่นแง่อุบไต๋บางอย่างไว้ในใจ หรือจะปล่อยให้กระโดดโลดเต้นออกมาเป็นคำพูดแบบไม่อ้อมค้อมอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น ลานดาวเคยรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างมนุษย์ เห็นมีกำแพงหลายชั้นกั้นขวางใจแต่ละฝ่ายไม่ให้เข้าถึงกันจังๆ แต่ชั่ววินาทีนี้นึกสนุกอยากให้กำแพงทุกชนิดระหว่างหล่อนกับผู้ชายตรงหน้าทลายลงสิ้น เหลือแต่หัวใจที่สัมผัสและสื่อสารถึงกันโดยตรง

คิดเช่นนั้นแล้วก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้จริงไหม…

“เป็นไปได้ที่เราจะสื่อสารกันตรงๆด้วยใจ”

นั่นคือคำพูดของเขา ที่ทำให้ลานดาวเปิดตากว้างอย่างยินดี จะเพราะอ่านใจหล่อนออกหรือเพราะจังหวะของบทสนทนาจูงให้เขาเผอิญพูดตรงใจก็ตามที

“คงสนุกนะคะ”

“ต้องอาศัยการฝึกและการยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย”

“จ๊ะยินยอม”

หล่อนกล้ารับ

“พอทำได้จริง อาจไม่สนุกอย่างคาดก็ได้”

“ท่าทางพี่แตรประสบการณ์เยอะ สงสัยเคยเจอเรื่องน่าเข็ด… เคยฝึกโทรจิตกับใครไหมคะ?”

“เคย… แต่ก็ตกลงร่วมกันว่าจะเลิก”

“ผู้หญิง?”

“ทั้งหญิงทั้งชาย ไม่ใช่แบบแฟนหรอก เพื่อนๆในกลุ่มนักปรจิตน่ะ”

ลานดาวยิ้ม

“ขั้นแรกต้องทำยังไงคะ ถึงจะมีโทรจิตได้?”

“อยากฝึกกับพี่แน่เหรอ?”

“ค่ะ!”

“การสื่อสารทางจิตเป็นเรื่องน่าสนุกตอนเริ่ม แต่พอเข้าลึกไปจริงๆ จะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่มากนะ เอาง่ายๆ จ๊ะไว้ใจพี่มากพอจะเปิดเผยความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นในโลกรู้ไหม? แบบที่ออกปากพูดได้ราวกับไหลออกมาจากความคิดในหัวตรงๆ แม้แต่ความรู้สึกผิดที่สุด อยากซ่อนเร้นที่สุด”

หญิงสาวย่นคิ้ว เหลือบลงต่ำ นิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนช้อนตาขึ้นสบกับเขาแน่วนิ่ง

“คิดว่าได้นะคะ”

อมฤตอมยิ้ม

“ทดลองซิ”

เขาไม่คาดหวังเท่าใดนัก เพราะเพิ่งรู้จักกันแค่สองวัน อย่างมากลานดาวคงเล่าเรื่องห้าแต้มดาษๆ ประเภทวิ่งหน้าตื่นจะเข้าห้องน้ำแล้วสะดุดขาตัวเองล้มป้าบเศษสตางค์กระจายเกลื่อน ทว่าถ้อยคำที่ผ่านริมฝีปากคู่งามในเวลาต่อมาถึงกับทำให้ชะงักอึ้ง

“ความรู้สึกผิดที่สุดในชีวิตของจ๊ะคือการอยากมีเซ็กซ์กับพี่เอิน จ๊ะเคยรักพี่เอินแบบชู้สาวและอยากแย่งเขามาจากสามี แต่ก็ลงเอยด้วยดีเพราะพี่เอินห้ามใจได้”

อมฤตนิ่งไปพัก ก่อนเอ่ยในเชิงชมที่ลานดาวกล้าเปิดเผยขนาดนั้น

“ไม่เลว…”

“พี่แตรอ่านใจคนออก น่าจะพอรู้เรื่องนี้เองอยู่แล้ว”

“ไม่นะ… ต้องย้ำว่าอย่ามองพี่เป็นประเภทนักล้วงตับ ชอบแกะจดหมายหรือเปิดไดอารี่ชาวบ้านอ่านก่อนได้รับอนุญาต ถ้าทำอย่างนั้นไม่นานความรู้เห็นทั้งหลายจะเสื่อมหมด แถมต้องเจอเคราะห์ร้ายอันเป็นแรงสะท้อนกลับจากพฤติกรรมละลาบละล้วงคนอื่นด้วย พี่อาจเห็นด้วยตาเปล่าว่าจ๊ะสนิทสนมกับเอินในแบบแปลกๆ แต่ไม่นึกว่าถึงขนาด… นั้น”

“ก่อนเจอพี่แตร จ๊ะกับพี่เอินตกลงกันได้แล้วล่ะค่ะ ว่าจะเปลี่ยนจากความรักแบบเห็นแก่ตัวมาเป็นความรักที่เอื้ออาทรบริสุทธิ์ใจต่อกัน เพราะฉะนั้นเลยเหลือแค่ร่องรอยความผูกพันแน่นแฟ้นเกินพี่น้องนิดหน่อย แต่ไม่ขนาดหึงหวง…”

หญิงสาวหลุดปากออกมาหน่อยหนึ่งก่อนนึกได้ว่าเป็นเรื่องเข้าเนื้อ อมฤตยิ้มละไม ยกขาไขว่ห้าง กอดอกเอามือจับคาง จ้องลึกลงไปในตาลานดาว

“อะไรเป็นเครื่องวัดว่าเลิกหึงหวงแล้ว?”

นั่นเป็นอีกบททดสอบหนึ่ง ลานดาวเม้มปาก แค่คิดตอบก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า แต่เมื่อครู่ตัดสินใจแล้วว่าสามารถเปิดเผยความลับได้โดยปราศจากซอกเร้นใดๆกับเขา จึงรักษาความตั้งใจด้วยการรอให้สงบ หมดอาการหน้าแดงแล้วกล่าวเสียงเรียบสนิท

“จ๊ะเคยพาเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งมา แบบว่า… จะแสดงละครให้พี่เอินนึกว่าจ๊ะมีแฟน พี่เอินก็ทำตาแดงๆให้เห็น นั่นเป็นเรื่องในอดีต แต่ระหว่างทางกลับจากหัวหิน พี่เอินให้ลองอธิษฐานขอพบใครสักคนที่ใช่ แล้ว… แค่อีกไม่กี่นาทีต่อมาพี่แตรก็ปรากฏตัว วันนี้โทร.คุยกัน พี่เอินถามจ๊ะว่าพี่แตรใช่คนที่จ๊ะรอมานานหรือเปล่า จ๊ะบอกว่าใช่… พี่เอินยินดีใหญ่”

กัดฟันพูดจบก็จ้องเขา นัยน์ตามีแววเครียดเล็กๆ

“จ๊ะเป็นผู้หญิง แต่ต้องเป็นฝ่ายเปิดเผยหัวใจตัวเองก่อนพี่แตรซึ่งเป็นผู้ชาย… ก็หวังว่าจะได้รับความยุติธรรมนะคะ ถึงตาพี่แตรไขความลับให้จ๊ะฟังบ้าง”

ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนัก สีหน้าเฉยแบบซ่อนยิ้ม

“ชีวิตพี่ไม่มีความลับชนิดที่เป็นความรู้สึกผิด แต่อาจมีเรื่องซุกซ่อนในใจอยู่บ้าง เอาแบบที่สมน้ำสมเนื้อกับความลับที่จ๊ะเปิดเผยกับพี่นะ… แรกสุดที่เจอกับเอิน พี่ก็หลงรักทันที ยอมรับว่าหลงรูป เพราะเหมือนนางในฝันที่แสวงหามานาน อีกอย่างใจสัมผัสรู้ว่าเอินเป็นหมอ และเป็นหมอออกมาจากความคิดอยากช่วยคนอื่นเหมือนกับพี่เสียด้วย… แต่พอเอินพูดถึงสามี ขอโทรศัพท์พี่เพื่อเรียกให้สามีขับรถมารับ ใจพี่ก็ตัดทันทีนะ นี่เป็นเรื่องก่อนหน้าจ๊ะฟื้นจากสลบ”

ลานดาวเสียวหัวใจแปลบปลาบชนิดฝืนยิ้มไม่ออก

“มีเรื่องเล่าให้จ๊ะฟังแค่นั้นหรือคะ?”

อมฤตยิ้มอย่างคนถือไพ่ใบสุดท้ายในมือ รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการได้ยินอะไร

“สำหรับความรู้สึกที่พี่มีต่อจ๊ะ… เบื้องแรกเลยคือเห็นว่าจ๊ะสวยเกินเหตุ เป็นความสวยชนิดก่อปัญหายุ่งยากใจทั้งกับจ๊ะเองและคนรอบข้าง สวยแบบที่นึกว่าคงคุยกันคนละภาษากับพี่ เลยไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่พอมองเต็มตาก็เห็นต่างไป มีความคุ้นเคยเป็นกันเองและนึกเอ็นดูสนิทใจมาก ยิ่งพอจ๊ะฟื้นความจำ ทำให้พี่เห็นความฉลาดเจรจา ก็ยอมรับว่าชักเริ่มหลง”

พักจิบน้ำสานตาตรง ส่องแววหวานทอดถึงหญิงสาวอย่างไม่ปิดบังที่จะประกาศใจพิศวาส ลานดาวกะพริบตาทีหนึ่ง มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นเมื่อทราบแน่ว่าใจตรงกัน หล่อนไม่หลบเลี่ยงสายตาของเขา และทอแววชนิดเดียวกันตอบรับ ซึ่งก็แปลว่านับแต่วินาทีนั้นความสัมพันธ์กระชับมากขึ้นเกิน ‘คนเพิ่งรู้จัก’ แน่แล้ว

ตกลงคือทุกอย่างเป็นไปตามคำอธิษฐาน ลานดาวอดสงสัยไม่ได้ว่าหล่อนเจอเขาตามแรงสัจจวาจา หรือว่าแท้จริงต้องเจอกันอยู่แล้ว แรงกรรมเลยบันดาลใจให้อธิษฐานเช่นนั้นกันแน่ เหมือนเลือกไพ่เพื่อดูดวง ที่แรงกรรมอาจดลใจให้หยิบไพ่ตรงกับชะตาในปัจจุบันออกมา

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยบอก ไม่อย่างนั้นจ๊ะคงรู้สึกว่าตัวเองใจง่ายอยู่คนเดียว นี่ถือว่าเราทำลายกำแพงที่จะเป็นตัวขวางโทรจิตระหว่างกันแล้วใช่ไหมคะ?”

“ก็แค่ส่วนหนึ่ง”

“ต้องทำไงอีก?”

อมฤตพักเงียบครู่หนึ่งเพราะบริกรนำจานอาหารมาวาง แล้วกล่าวตอบหลังพนักงานเดินจากไป

“เหมือนเล่นวิทยุสื่อสาร ต้องฝึกจูนคลื่นให้ตรงกัน หัดส่งและหัดรับสัญญาณเรียกของกันและกัน… ว่าแต่ตอนนี้ทานข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะชืดเสีย”

ลานดาวขัดใจขึ้นมาเล็กๆ รู้สึกถึงความระคายแล่นเป็นริ้วๆในอกทีเดียว แต่ยังฝืนระบายยิ้มน่ารักและหยิบช้อนส้อมเริ่มลงมือรับประทาน หากเป็นเด็กใจร้อนเหมือนเมื่อก่อนอาจเรียกเช็กบิล ขอให้เขาพาไปหาที่เงียบๆเพื่อรับบทเรียนแรกทันที เพราะหล่อนหิววิชากว่าหิวข้าวมากนัก

“เสียดายจัง ไม่น่านัดทานข้าวเลย น่าจะนัดให้พี่แตรสอนโดยเฉพาะ”

“ความหงุดหงิดขี้โมโห ขี้รำคาญเก่ง ทำให้คลื่นจิตไม่สะอาดรู้ไหม อย่างนี้ต่อให้สั่งสมพลังไว้มากแค่ไหนก็ดึงไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่หรอก”

ลานดาวสะอึกที่ถูกติง แต่ก็ข่มใจและคลายหัวคิ้วที่ขมวดอยู่เล็กๆออก

“ค่ะ ต่อไปนี้พี่แตรช่วยเตือนจ๊ะด้วยนะคะ จ๊ะจะพยายามขัดเกลาตัวเอง”

“แน่รื้อ? จ๊ะน่ะเหมือนม้าพยศ เคยแต่ร้องฮี้ๆๆมาตลอด อยู่ๆจะให้ยอมถูกแส้เฆี่ยนเป็นลาซื่อเงียบๆหงิมๆได้ยังง้าย…”

พอถูกเปรียบเป็นม้าร้องฮี้ๆๆ หญิงสาวก็เหลือบจ้องเขาด้วยตาวาบวาว แต่แล้วก็เท่าทันว่านั่นคือการแกล้งยั่วโมโหเพื่อดูปฏิกิริยาจากหล่อน จึงเสชวนเขาทานข้าว แล้วหยิบช้อนตักอาหารใส่ปากเคี้ยวด้วยสีหน้าเป็นปกติ แถมส่งยิ้มหวานให้อย่างดีอีกด้วยเมื่อเห็นอมฤตจับตามองหล่อนนิ่ง

“แบบฝึกหัดมีอยู่ทั่วไปในโลก” อมฤตกล่าวเสียงเรียบ “นี่รู้ทันว่าพี่แกล้งยั่วใช่ไหมล่ะ เลยไม่โกรธ แต่ตอนคนอื่นเขาทำให้เราโกรธจริงๆก็ต้องรั้งตัวเองให้ทันอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าทำได้ตลอด กำลังจิตถึงจะเดินเรียบ ยิ้มแผ่เมตตาหลังโกรธอย่างนี้แหละดี ทีแรกอาจฝืนแสร้ง แต่พอทำบ่อยก็กลายเป็นของจริงไปเอง”

“ค่ะ!”

ใจลานดาวยังรู้สึกต้านอยู่บ้าง เพราะไม่เคยยอมให้ใครสั่งสอนแบบดัดนิสัยอย่างนี้มาก่อน แต่อมฤตเป็นใครคนหนึ่งที่ดีพอจะยอมลงให้ จึงไม่ฝืดฝืนมากนักกับการถูกขนาบ

“บางทีมองคนอื่นอาจเห็นง่ายขึ้น มองตัวเองอาจลำบากกว่าอีก”

“ยังไงคะ?”

“จ๊ะลองชำเลืองผู้หญิงโต๊ะข้างๆเรา สาวเสื้อแดงน่ะ ซ้ายมือของจ๊ะ”

ลานดาวทำทีมองไปทางขวาครู่หนึ่ง ก่อนกวาดตาไปทางซ้าย เห็นสาวน้อยเสื้อแขนกุดกำลังนั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางกำลังอยู่ในระหว่างถกเคร่งเครียดเข้มข้นกับแฟน อารมณ์แรงจัดแต่มีการศึกษาพอจะไม่บ๊งเบ๊งในที่สาธารณะ ชำเลืองเพียงอึดใจเดียวก็หันกลับมาหาอมฤต

“มองแล้วค่ะ”

บอกอย่างจะให้เขาระบุว่าต้องทำเช่นใดต่อ

“เห็นอะไรบ้าง?”

“เห็นคนสวยกำลังเอาแต่ใจตัว แฟนเธอกำลังกลุ้มใหญ่ จ๊ะบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ฝ่ายชายไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรง เพียงแต่ไม่อาจสนองความต้องการบางอย่างของ แต่จะให้จ๊ะเปรียบเทียบกับตัวเองเดี๋ยวนี้หรือคะ? จ๊ะยังไม่ได้เกเรอะไรซะหน่อย”

“ถ้าเห็นแค่นั้น ก็ไม่ใช่ที่พี่อยากให้เห็นแล้วล่ะ”

ลานดาวเลิกคิ้วสูงอย่างฉงน

“อยากให้จ๊ะเห็นอะไร?”

“รอเดี๋ยว…”

เขาบอกพลางตักอาหารใส่ปากเป็นคำแรก ซึ่งพอเขาให้รอ ลานดาวก็รอ

“เอาล่ะ ลองหันไปดูใหม่ แค่แวบเดียวพอ แล้วไม่ต้องคิดอะไรนะ”

ลานดาวทำตาม เอียงหน้าชำเลืองซ้ายเพียงแวบเดียวแล้วสะบัดกลับมายิ้มให้อมฤตนิ่งๆโดยไม่คาดการณ์ล่วงหน้า ทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี ทำตามคำสั่งทุกประการโดยปราศจากเงื่อนไข

“บอกพี่ง่ายๆ ห้ามคิดเพิ่มเติมมากไปกว่าแค่ที่รู้สึกนะ บอกซิว่าเขาทุกข์มากขึ้นหรือน้อยลงกว่าเมื่อกี้?”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างถึงบางอ้อ

“น้อยลงค่ะ อาการอึดอัดคับแน่นเบาบางลงมาก”

“ถูกแล้ว… คราวนี้ไม่ต้องมองเขาแล้วนะ มองในโต๊ะเรานี่แหละ ใช้ใจแทนตาดูบ้าง ลองทำเหมือนเงี่ยหูฟัง ‘สัญญาณภาพที่หายไป’ โดยเปรียบเทียบกับสองสามวินาทีก่อนที่จ๊ะเห็นว่าเขาทุกข์น้อยลงน่ะ ระลึกถึงความรู้สึกของเขาที่ตรงนั้น แล้วถามตัวเองว่าตอนนี้ต่างไปอีกหรือยัง?”

ลานดาวเพ่งมองแก้วตรงหน้า ย่นคิ้วนิดหนึ่ง พยายามตรึกนึกตามเขาสั่ง แต่ก็ถูกทักท้วง

“จ๊ะเพ่งเสียจนอุดอู้คับแคบแล้ว กลายเป็นกำแพงขวางความรู้ทางใจไปแล้ว จำไว้ว่าเราจะรู้อะไรได้ต้องไม่เพ่งแรงขนาดนี้ เหมือนจ๊ะเปิดหูรับฟังสิ่งที่พี่พูดได้ครบทุกถ้อยกระทงความเพราะไม่ได้เอาแต่เพ่งแก้วเพ่งโต๊ะทื่อๆ แต่มีใจสบายพอจะเปิดรับฟังเป็นปกติ เอ้า! ถอนใจทีหนึ่งยาวๆ แล้วทำเหมือนเงี่ยหู ‘ฟังความรู้สึก’ ของเขาสบายๆ”

ลานดาวระบายลมหายใจยาว เปรียบเทียบแล้วรู้สึกโปร่งเบากว่าเมื่อครู่มาก จากนั้นจึงนึกถึงทุกข์ของสาวเสื้อแดงซึ่งยังคงมีร่องรอยให้จำได้ว่าเบากว่าที่เห็นแรกสุด แต่พอกำหนดใจรับรู้อยู่ครู่เดียว ก็สำเหนียกถึงแรงบีบคั้นหนักหน่วงขึ้นมาอีก กระทั่งต้องเหลียวไปตรวจสอบว่าของจริงตรงกันหรือไม่ ปรากฏว่าเจอสาวคนนั้นทำหน้าหงิกหน้างอใส่แฟนใหม่จริงๆ และน้ำหนักความกดดันที่เห็นด้วยตาเปล่าก็เทียบเท่ากันกับที่เห็นด้วยใจพอดีเป๊ะ

ลูกศิษย์สาวยิ้มใสให้คุณครูอย่างจะบอกว่ารู้แล้ว ทำได้แล้ว

“นี่แปลว่าต่อให้จ๊ะอยู่ห่างไปพันไมล์ ก็ยังสามารถตรวจทราบร่องรอยคลื่นจิตของเขาได้ ขอเพียงรู้จักหรือจับสัญญาณจิตเขาเป็นหลักตั้งต้นแค่หนเดียว อาจผ่านภาพหรือเสียงใช่ไหมคะ?”

“ของมันก็แบบเดียวกับที่จ๊ะทำได้ทางโทรศัพท์เมื่อคืนนั่นแหละ พอรู้แนวสักครั้ง คราวต่อๆไปก็ง่าย แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งละความสนใจจากผู้หญิงข้างๆนี่… กินข้าวไปตามปกตินะ แต่สังเกตระดับความทุกข์ของเขาสักพัก”

ลานดาวพยักหน้า ทานข้าวเรื่อยๆ แต่พฤติทางใจก็เหมือนเหลียวหน้าไปชำเลืองสาวน้อยอารมณ์บูดด้านข้างไม่ขาดสาย ระมัดระวังไม่ให้คลื่นความคิดของตัวเองเข้าแทรกแซง เหลือไว้แต่ใจเปล่าๆที่เฝ้าดูความเคลื่อนไหวภายนอกตนเองอย่างเดียว

เห็นความทุกข์ ความอึดอัด ความบีบคั้นที่เข้มข้นขึ้นเป็นพักๆ แล้วโรยตัวหรี่ลงเป็นความขุ่น บางทีอาการเหมือนยิ้มหรือหัวเราะเล็กๆเมื่อได้รับคำปลอบถูกใจ แต่แล้วก็เหมือนลูกคลื่นที่เรียบสงบครู่เดียวก็โยนตัวขึ้นสูงใหม่ สลับกันแล้วๆเล่าๆ หนักมากบ้าง หนักน้อยบ้าง พอเห็นด้วยใจ ไม่มีภาพประกอบนานเข้า ลานดาวก็รู้สึกขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เห็นอารมณ์สุขทุกข์ของมนุษย์เป็นสิ่งไร้แก่นสาร ขึ้นแล้วลง ลงแล้วขึ้น สลับกันอยู่แค่นั้น หาความสงบสุขคงเส้นคงวาไม่ได้เลย

ดังนั้นความสนุกที่เห็นใจคนขึ้นๆลงๆโดยไม่ต้องหันหน้ามองจึงแผ่วลงอย่างรวดเร็ว เพียงสิบนาทีลานดาวก็หมดความอดทน

“พอหรือยังคะ?”

อมฤตพยักหน้า

“สติของจ๊ะเดินเรียบดีนะ เวลาตั้งใจโฟกัสกับอะไรเป็นเรื่องเป็นราว”

“เหรอคะ” ยิ้มสดชื่นที่ได้รับคำชม “การรู้อารมณ์คนอื่นอย่างนี้เรียกว่าเป็นพลังจิตได้หรือเปล่า?”

“สำหรับพี่ นี่เรียกว่าเป็นจิตสัมผัสมากกว่า เพราะใช้สติธรรมดาๆของคนทั่วไปก็ได้ ไม่ต้องอาศัยพลังจิตพิเศษที่ไหน เพียงแต่คนทั่วไปไม่รู้วิธี เอาแต่คิดๆฟุ้งๆสนองความอยากของตัวเองกัน เลยดูเหมือนน่าอัศจรรย์ถ้าเห็นใครทำได้ ความจริงแค่เอาใจเขามาใส่ใจเราเสียหน่อยก็มีสัมผัสตรงนี้กันทั้งนั้นแหละ”

“ค่ะ… เกิดมาเพิ่งสังเกตนะคะ ว่าเวลาคนเราเป็นทุกข์ มันจะอึดอัดแน่นอก แล้วก็มีอะไรหมุนๆวิ้งๆในหัว เป็นรูปความคิดที่จับไม่ติด อย่างนี้เองถึงเกิดอาการ ‘พูดไม่รู้เรื่อง’ เพราะมันมีแต่แรงดันขับคำพูดอย่างใจตัวเองออกมาด้วยพายุอารมณ์ แล้วก็ซ้ำวนขึ้นๆลงๆอยู่กับที่ ก้าวต่อไปไหนไม่รอด สิบนาทีที่จ๊ะเฝ้าดูอยู่ ไม่เห็นอะไรใหม่เลยนอกจากคลื่นทุกข์แบบเก่าๆ อัดแล้วคลายเป็นห้วงๆ”

ลานดาวเรียนรู้เร็วว่าเขาต้องการหยิบยื่นสิ่งใดให้ และทันทีที่อมฤตฟังลานดาวพูดจบ เขาก็นึกพิศวาสหล่อนขึ้นมาจับจิต แน่ใจว่าสามารถรักหล่อนได้เต็มหัวใจในกาลต่อไป

“นี่แหละ ถ้าเราแยกจิตออกมาสัมผัสอารมณ์โกรธของตัวเองได้อย่างนี้ เลิกเข้าข้างตัวเองเสียได้ ในที่สุดก็จะเห็นความโกรธเป็นสภาพไร้สาระ ไร้แก่นสาร ไม่น่าอุ้มมันไว้กับตัว ถ้าขจัดอุปสรรคขัดขวางพลังจิตที่สำคัญประการแรกนี้สำเร็จ การฝึกขั้นต่อๆไปก็จะง่าย”

ลูกศิษย์สาวพยักหน้าน้อยๆอย่างเข้าใจซึ้งไปถึงก้นบึ้ง บังเกิดความปลอดโปร่ง สุขสบายขึ้นอย่างประหลาด คล้ายสลัดของหนักบางชิ้นหลุดจากขั้วของใจไป เห็นจริงขึ้นมาปุบปับฉับพลันว่าความเห็นแก่ตัวของคนเราเป็นสิ่งน่ากลัว ทำให้จิตใจคับแคบ และก่อเรื่องเดือดร้อนได้สารพัด เริ่มต้นจากใจตนเองก่อน แล้วแพร่กระจายสภาพบีบคั้นไปถึงคนใกล้ชิดเป็นอันดับต่อมา

“เดี๋ยวไปต่อที่ไหนดี?”

อมฤตถามขณะกำลังทานขนมหวาน เพื่อให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเลือกสถานที่เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าต้องเงียบสงบ เอื้ออำนวยกับบทเรียนต่อไปของหล่อน ลานดาวนึกถึงบ้านตนเอง แต่คิดอีกทีอยากเปิดตัวอมฤตอย่างเป็นทางการให้ดูหรูหน่อย จู่ๆโผล่เข้าบ้านให้พ่อแม่เห็นโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เดี๋ยวจะเหมือนเพื่อนโหลๆทั่วไปเท่านั้น

ครั้นนึกถึงบ้านมาวันทาก็ค้านตนเองอีก คิดว่าไหนๆอุตส่าห์เกิดเหตุบังคับให้ตัดใจจากทางนั้นได้ แถมมีชายที่ถูกใจมาชดเชยแล้ว ก็ควรห่างกันเสียเลย มาคบกับอมฤตให้สนิทสนมแล้วค่อยหวนกลับไปหามาวันทาอีกครั้งด้วยรูปแบบความรู้สึกใหม่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจะดีกว่า

“คิดไม่ออกค่ะ พี่แตรเลือกก็แล้วกัน”

“โรงพยาบาลของพี่ไหม พี่เปิดห้องรับรองเล็กๆได้”

“ตกลงค่ะ”

“งั้นเราไปด้วยกัน เดี๋ยวพี่กลับมาส่ง”

ปกติลานดาวมักผูกขาดการสนทนาในรถ คือถ้าหล่อนอยากคุย หล่อนจะพูดจ๋อยๆไม่หยุด หยอดมุขยั่วให้คนขับหลงใหลหล่อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามถนัด แต่ถ้าหล่อนอยากเงียบและมองข้างทางฟุ้งซ่านเล่นคนเดียว ก็จะเปิดเพลงดังๆกลบเสียงอีกฝ่าย ถามคำตอบคำ หรือทำเป็นหูทวนลมไปเลย

ทว่าเคียงข้างอมฤตในรถของเขาช่างเป็นความแปลกใหม่ หล่อนต้องนั่งเงียบทบทวนการทำสมาธิ โดยมีเขาบอกบทให้ว่าตั้งจิตแบบไหนถูก แบบไหนผิด แถมหล่อนสัมผัสกระแสพลังที่แผ่มาช่วยส่งเสริมอีกต่างหาก อมฤตทำได้หลายงานในคราวเดียวโดยทุกงานดีหมดอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

“สมาธิแบบสงบพักไม่ใช่แค่การเตรียมจิตให้พร้อมใช้งาน แต่ยังเป็นการป้องกันผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ เช่นต่อไปหากจิตเราไวเกินเหตุ ไปรับรู้คลื่นกระทบจากภายนอกโดยไม่ตั้งใจจนเกิดความรำคาญ ก็สามารถใช้สมาธิที่มีคุณภาพตัดจิตกลับมาอยู่กับขอบเขตความเคลื่อนไหวของกายหรือใจตัวเองแทน”

เขาสอนหล่อนไปเรื่อยเหมือนน้ำไหลนิ่ง แม้แต่ระหว่างเดินจากที่จอดรถเข้าอาคารโรงพยาบาลก็ไม่เว้น

“เราใช้ทุกเวลามาฝึกจิตได้หมด อย่างตอนนี้แทนที่จะปล่อยใจให้ฟุ้ง เป็นการกระจายพลังออกไปเปล่าประโยชน์ แค่จ๊ะตั้งใจรักษาจังหวะเดินให้สม่ำเสมอ รู้จุดกระทบระหว่างเท้ากับพื้นไปเรื่อยๆ สมาธิก็เกิดขึ้นได้”

แพทย์หนุ่มขอกุญแจห้องรับรองจากเคาน์เตอร์ แล้วพาลานดาวมานั่ง มันเป็นห้องขนาดย่อมที่มีเพียงโซฟา โต๊ะเล็ก กับตู้เย็นขนาดย่อม แต่ทั้งสองไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เมื่อนั่งเรียบร้อยก็เข้าเป้าทันที

“เพื่อติดต่อกันด้วยจิต ก่อนอื่นต้องตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจิตเราสองคนจะเหมือนวิทยุสื่อสารที่จูนคลื่นไว้ตรงกัน พร้อมจะรับสัญญาณเรียกจากอีกฝ่ายทันที ตามธรรมชาติแล้วการที่คลื่นจิตของสองคนจะเชื่อมต่อกันง่าย ต้องอาศัยความสนิทชิดเชื้อเป็นพาหะ และความสนิทจะเกิดขึ้นได้เร็วถ้าไม่มีกำแพงระหว่างกันแต่ต้น ซึ่งเราก็ช่วยกันกรุยทางไปพอสมควรแล้ว ตอนนี้จ๊ะควรมั่นใจว่าสามารถสื่อจิตกับพี่ง่ายๆได้บ้างแล้ว”

ลานดาวตั้งใจฟังทุกคำ แววตาแน่วนิ่งประกาศว่าพร้อมจะทำตามเขาสั่งทุกประการ

“พี่จะเป็นฝ่ายเรียกก่อน จ๊ะจะได้เข้าใจว่าตอนถูกเรียกจากพี่ ความรู้สึกเป็นอย่างไร… พร้อมนะ”

“ค่ะ”

“หลับตา ทำใจสบายๆ อย่านึกถึงพี่ อย่านึกถึงใครหรืออะไร แล้วดูผัสสะที่กระทบจิต รู้สึกอย่างไรเอาแค่นั้น อย่าตื่นเต้น แล้วก็อย่าคิดต่อ”

นักเรียนพลังจิตปิดตาลง แต่เพราะเพ่งรอว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตนมากเกินไป จึงกลายเป็นเกร็งเครียด จิตใจมืดตื้อไปหมด อมฤตหยั่งรู้เช่นนั้นก็แนะ

“ยืดตัวนั่งตรงก่อน เอาใหม่เลยนะ ทำจิตสบายไม่ใช่เพ่งรอปรากฏการณ์อะไรแบบนั้น นึกถึงลมหายใจที่เป็นสุขสบายให้ได้สักสองสามครั้ง… นั่นแหละ อย่างนั้น สังเกตนะว่าใจสบายแตกต่างกับใจอึดอัดยังไง ภาวะปลอดโปร่งอย่างนี้ถึงพร้อมจะรับสัญญาณเรียก ทำนองเดียวกับฟ้าเปิด คลื่นวิทยุก็ผ่านสะดวกไปถึงเครื่องรับโดยไม่เจอพายุฝนรบกวน… คราวนี้ดูที่ใจตัวเองนะว่าเกิดอะไรขึ้น”

ในความปลอดโปร่งสบายของจิต ลานดาวสำเหนียกได้ถึงคลื่นกระทบบางอย่าง หากเปรียบเทียบเป็นรูปธรรมคงเหมือนกำลังมองท้องฟ้าเวิ้งว้าง ฉับพลันก็เห็นสายฟ้าแลบไกลๆ ทว่าในสายฟ้านั้นมิได้แฝงอยู่ด้วยการคำรนคำรามคุกคามขวัญเหมือนฟ้าผ่าในธรรมชาติ หล่อนรู้สึกถึงความสะเทือนที่นุ่มนวล อ่อนโยน อบอุ่น เกิดขึ้นวาบหนึ่งแล้วพักไปประมาณ ๕ วินาที ค่อยวาบขึ้นใหม่อีกครั้ง

“รู้สึกยังไง”

อมฤตถามหลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที ลานดาวลืมตาตอบ

“เหมือนมีรอยแยกเล็กๆเป็นแสงวาบเลือนราง พร้อมกลุ่มพลังอุ่นๆ พอผุดขึ้นครั้งหนึ่งจะหายไปประมาณ ๕ วินาทีแล้วกลับมาใหม่ อย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ?”

ชายหนุ่มยิ้มพึงใจ เพราะตรงกับที่ตนส่งไป

“สัมผัสภายในอาจต่างไปเรื่อยๆ มโนภาพจะเป็นฟ้าแลบหรือแสงวาบอย่างไรไม่สำคัญ แต่ละครั้งทั้งจิตพี่และจิตจ๊ะจะเป็นตัวแปรให้เห็นต่างไปเรื่อยๆ จุดสำคัญขอให้จ๊ะรับรู้ได้ว่ามีสัญญาณเรียกเกิดขึ้น และมีระยะห่างที่แน่นอน ไม่ใช่ความบังเอิญเท่านั้นพอ”

“ค่ะ”

“การส่งสัญญาณเรียกเป็นเบสิกอันดับแรก เมื่อกี้จ๊ะรู้สึกถึงสัญญาณจากจิตพี่ ก็คือจิตเราเชื่อมเข้าหากันแล้ว คราวนี้พัฒนาขึ้นอีกหน่อย ลองแยกแยะให้ออกว่าพี่คิดถึงเลขไหน จิตที่คิดถึงเลขหนึ่งๆจะบอกความเป็นเลขนั้นโต้งๆ เพียงถ้าใจเราเปิดรับคลื่นจิตของอีกฝ่าย ก็จะบอกเลขได้ตรงกับที่เจ้าตัวนึกทันที… เอ้า! ลองซิ ตอนนี้พี่นึกแล้ว เลขจะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 9”

ลานดาวเพ่งมองอมฤตงงๆ พยายามดูว่าเขานึกเลขใด ซึ่งเมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้า

“อย่างนี้เรียกว่าจ๊ะคิดของจ๊ะเอง ดูดีๆนะ อาการของจิตเรากำลังนึกสุ่มเลขขึ้นมา ถ้าทายก็เรียกว่าเป็นการ ‘เดา’ ไม่ใช่ ‘สัมผัสรู้’ จ๊ะต้องเปลี่ยนอาการของจิตใหม่ ก่อนอื่นเคลียร์ตัวเองให้ว่าง จากนั้นค่อยสัมผัสกระแสจิตพี่ จะรู้สึกถึงอาการที่พี่นึกเลขตรงๆอยู่เลขหนึ่ง อันนั้นแหละ ถ้าแปลออกก็คือหมายเลขที่อยู่ในใจพี่”

พอหญิงสาวรู้วิธีก็ลองใหม่ แต่ก็ย่นคิ้วลังเล

“ที่จ๊ะรู้สึกคือมันเอียงซ้ายหรือเอียงขวา อันนี้คือเอียงไปทางซ้าย หมายถึงเลขน้อยๆหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ที่รู้สึกเอียงนั่นแหละคือ ‘ความลำเอียง’ ในใจเราเอง จะเป็นขนาดใหญ่เล็ก จะเป็นปริมาณมากหรือน้อย เหล่านั้นคือ ‘อคติ’ ทั้งสิ้น หากจิตเราตั้งอยู่กลางๆ ปราศจากอคติ มีแต่ความรับรู้ตรงไปตรงมา ก็จะเห็นว่าเลขในใจของอีกฝ่ายมันตั้งอยู่โต้งๆนั่นแหละ คลื่นจิตของคนกำลังนึกเลขจะล็อกเป็นสัญญาณภาพ หรือฉายสัญลักษณ์ที่ปราศจากการคำนวณคะเนมากน้อยอะไรเลย”

“เข้าใจแล้วค่ะ พี่แตรนึกเลขใหม่นะคะ”

อมฤตพยักหน้า รักษาสายตาตรง เป็นอาการใบ้ว่ากำลังนึกแล้ว ลานดาวกำหนดใจไว้ตรงที่รู้สึกว่าเป็นกลาง จับคลื่นนิ่งอันเป็นอาการแน่วนึกจากจิตอมฤตแล้วตาสว่าง เพราะเหมือนเห็นเลข 4 ปรากฏเด่นขึ้นเต็มตัวเขา คล้ายลายน้ำในอากาศ หรือหมอกควันในลมนิ่ง

“เลขสี่ใช่ไหมคะ?”

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ลานดาวกับเขาสามารถสื่อกันทางจิตได้จริงดังคาด

“ใช่! ลองอีกเลขนะ… อ้ะ”

ลานดาวใจเต้นแรงเมื่อทราบผลว่าตนถูก เกิดความระส่ำระสายจนจำเป็นต้องปิดตา ระลึกถึงลมหายใจอันเป็นที่สบายสองสามครั้ง กระทั่งเห็นว่าใจไปอยู่กับสุขพอจะนิ่งได้จึงเปิดตาใหม่ วางใจไว้ที่รู้สึกว่าอยู่ตรงกลาง ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา ไม่เพ่งหน้าเพ่งหลัง เปิดรับคลื่นนิ่งจากอมฤตใหม่ ซึ่งก็สัมผัสได้ว่าเขาช่วยขยายคลื่นให้แรงเป็นพิเศษ เหมือนเครื่องส่งวิทยุที่กระจายคลื่นด้วยกำลังขยายมหาศาล

“เลขเจ็ดค่ะ เบ้อเริ่มเลย”

“ถูก!”

อมฤตให้การรับรอง ซึ่งลานดาวก็ตบมือดีใจหัวเราะร่า

“สนุกจังค่ะ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะทำอะไรอย่างนี้ได้”

เมื่อหมดอาการนึกเลข จิตเขาก็แปรไปเป็นอีกอย่าง คือนิ่มนวล ตั้งนิ่งสบาย ลานดาวรู้สึกเหมือนจิตตนสามารถสัมผัสคลื่นอันละเอียดอ่อนของอมฤตได้ชัดกว่าเดิมมาก

“จ๊ะเคยทายเลขกับเพื่อนดูเล่นๆ ไม่เคยทายถูกเลย ที่แท้เหมือนมีเส้นผมบังภูเขาอยู่นี่เอง”

“ธรรมดาคนเราจะคิดอะไรแบบเพ่งๆบีบๆ ขอบเขตของจิตจะคับแคบอยู่ในหัว หรือเค้นออกมาทางหน้าผาก… จะทำให้ดูนะ อย่างนี้ จ๊ะลองทายซิว่าพี่คิดเลขอะไร”

อมฤตเพ่งคิดเลียนแบบจิตคนธรรมดา ซึ่งปราศจากความเปิดกว้างสบายของจิต ลานดาวกำหนดดูแล้วเข้าใจทันที

“ชัดเลยค่ะ เพราะคนเรามีจิตบีบๆอย่างนี้ เลยทำให้คิดสับสนไม่เป็นระเบียบ… ว่าแต่นี่พี่แตรกำลังคิดถึงเลขเก้าหรือเปล่าเอ่ย?”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

“เลขหนึ่ง”

ลานดาวได้อ๋ออีกครั้ง คุณภาพการส่งสัญญาณเป็นปัจจัยช่วยให้สำเร็จหรือกดให้ล้มเหลวด้วย ถ้าสติดี มีความเปิดสบาย รู้สึกคงที่ในความเป็นอิริยาบถปัจจุบันครบเครื่องทั้งหัว ตัว แขน ขา กำลังจิตก็เหมือนพร้อมใช้งานเต็มสภาพ เหมือนเมื่อครู่หล่อนเห็นเลขเต็มตัวเขา ก็เพราะจิตเขาใหญ่ครอบกายนั่นเอง แต่เมื่อเขาเพ่งคิดคับแคบ ก็เหมือนเห็นตัวเลขเล็กจิ๋ว แถมอัดแน่นเสียจนอ่านไม่ออกบอกไม่ถูก ประกอบกับที่จิตของหล่อนยังไม่เป็นกลาง เต็มไปด้วยอุปาทานด้วย

“ให้จ๊ะเป็นฝ่ายส่งบ้างได้ไหมคะ?”

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนกอดอก

“เอาสิ ลองดู แค่ลืมตาคิดอย่างนี้แหละ เอาให้ชัดๆเหมือนมีตัวเลขปรากฏในใจเราสักสองวินาทีเท่านั้น”

หญิงสาวนึกเลข 2 ซึ่งทันทีนั้นอมฤตก็ทักเปรี้ยง

“สอง!”

ลานดาวขนลุกที่ปลายแขนและต้นคอ หัวเราะดีใจอย่างเห็นเป็นความบันเทิงที่หาจากไหนอื่นมิได้ หล่อนเปลี่ยนไปนึกเลข 9 ซึ่งชายหนุ่มก็โพล่งขึ้นอีกทั้งที่นึกได้เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที

“เก้า!”

“ฮี่ๆ เก่งจัง จ๊ะส่งไม่ได้เข้มข้นชัดเจนอย่างพี่แตรซักหน่อย ทำไมอ่านออกแม่นยำและรวดเร็วขนาดนี้คะ?”

“สัญญาณจากจิตที่คิดเลขนั้นแปลง่ายจะตาย”

“ถ้านึกเป็นหมายเลขโทรศัพท์พี่แตรจะเห็นไหมนี่?”

“ไม่ไหวหรอก เว้นแต่จะนิ่งและมีคุณภาพรับรู้มากๆด้วยกันทั้งคู่”

“งั้นกว่าจะสื่อสารแบบคุยกันทางจิต คงต้องฝึกซับซ้อนน่าดูสิคะอย่างนี้”

“พอจ๊ะสามารถรับสัญญาณเรียก กับแปลเลขจากพี่ถูก จิตเราจะเชื่อมติดและสามารถสื่อสารเล็กๆน้อยๆได้เอง เหมือนมีเสียงของอีกฝ่ายกระซิบในหัว ลองสังเกตดีๆ ส่งภาษาพูดออกมาจากจิตนั้นง่ายกว่านึกเลขหลายตัวพร้อมกันนะ”

“น่าจะทำอย่างนั้นได้เร็วๆ อยากรู้จังว่าเป็นยังไง”

“ถึงเวลานั้น จ๊ะก็อาจได้ยินเสียงพี่บอกอะไรบ่อยๆจนรำคาญ”

“เช่นอะไรคะ?”

ชายหนุ่มยิ้มละไม หรี่ตาลงและส่งกระแสอ่อนโยน สื่อความคิดชัดเจนว่า…

“พี่รักจ๊ะ”

ลานดาวช้อนตาสบ สายตาแบบนั้นไม่ต้องมีญาณรู้ใจก็ทายถูก แต่หล่อนแกล้งไก๋เสีย

“อย่างนี้คือสารภาพว่าหมั่นไส้จ๊ะ อยากตีเข่าซักอั้กหนึ่งหรือเปล่า?”

อมฤตหัวเราะดังๆด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย

“ทายอย่างนี้สงสัยเราต้องฝึกร่วมกันให้มากๆ”

สองหนุ่มสาวประสานตาแนบนิ่ง ในห้วงเวลาแห่งความผูกพันแน่นแฟ้นอวลกลิ่นอายหรรษา ทั้งโลกประหนึ่งฝัน เหลือสายใยสัมพันธ์ระหว่างกันเท่านั้นที่เป็นจริง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น