ตอนที่ ๑๑. รู้ตัว
เปิดตาขึ้นเต็มตื่นในยามเช้าอันว่างเปล่าและเงียบเชียบ
พลิกกายเชื่องช้า
วาดท่อนแขนให้ผิวเนื้อไล้ฟูกนิ่มละไมราวกับกวาดหาสิ่งยึดเหนี่ยวไม่ให้เคว้งคว้าง
แต่ที่พบคือความราบเรียบว่างเปล่า ปราศจากวัตถุในฝัน
ปราศจากวัตถุในโลกความจริงใดให้ไขว่คว้า จึงหยุดสงบตะแคงหน้าน้ำตาซึมกับหมอน
แสงสว่างแห่งรุ่งสางกับไอฉ่ำเย็นในห้องนอนเคยปลุกหล่อนจากความหลับใหลสู่การลืมตาตื่นสบาย
ทว่าครั้งนี้ทุกอย่างต่างไป ลานดาวพบตนเองทอดร่างสะอื้นเงียบ
เช้านี้อาจแปลกที่สุดในชีวิต เสมือนสิ่งรอบตัวที่เคยช่วยกันบันดาลรอยยิ้ม
กลายเป็นท่อนหินต้องคำสาปคุมขังหล่อนให้ติดอยู่กับความเหงาเศร้าหดหู่ดุจเดียวกับคุกทะมึน
ความทรงจำ…
หากไร้ความทรงจำ คงไม่มีที่เก็บภาพบาดใจ ไม่มีหนามแหลมทิ่มแทง
ไม่มีส่ำเสียงหลอกหลอนในหัว คนเราอาจหนีการไล่ล่าของสัตว์ร้ายด้วยกำลังขา
หรือแหกคุกหลบอาญาได้ด้วยเล่ห์กลพิสดาร
แต่ใครเล่าจะหลุดพ้นจากการเกาะกุมของความทรงจำแห่งตนได้ด้วยกำลังกายหรือเล่ห์กลอันใด?
ยอดสุดของหลังคาโลกไม่มีอะไรต้องกลัวนอกจากความเหงา
และที่ยอดสุดของความเหงาไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนและความอยากตาย
คนอื่นอาจใช้เวลาในการนอนซมหลายวัน หรือเป็นแรมเดือนแรมปีกว่าจะทนเจ็บไม่ไหว
แต่สำหรับหล่อนผู้ไม่เคยมีภูมิต้านทานทุกข์ เพียงสองสามชั่วโมงก็เพียงพอแล้วต่อการสิ้นสุดความอดทน
สิ่งที่เคยหวาดกลัวในส่วนลึกเดินทางมาถึงแล้วกระมัง? คำทำนายของหมอดูอุปการะ!
สัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ลานดาวสะดุ้งไหวเล็กน้อย
ชายตามองไปทางต้นเสียงด้วยแววละห้อยหงอยอย่างรู้ว่านั่นจะไม่ใช่เสียงอรุณสวัสดิ์ทักทายจากมาวันทา
ปล่อยให้สัญญาณดังอยู่หลายครั้ง ตั้งใจจะไม่รับ
แต่แล้วก็เปลี่ยนใจลุกขึ้นหยิบกระบอกโทรศัพท์จากแป้น คิดว่าการได้คุยกับใครสักคนอาจช่วยให้สภาพแช่จมซมซานบรรเทาบ้าง
“สวัสดีค่ะ”
“นี่โจ๊กพูด”
ครั้งนี้ลานดาวนึกดีใจอย่างประหลาดที่ได้ยินเสียงสดใสของเพื่อนหนุ่ม
หล่อนถือกระบอกไร้สายติดตัวมานอนคุยบนเตียง และตอบรับด้วยหัวใจนิ่มนวลกว่าเคย
“สวัสดีค่ะโจ๊ก”
“เอ๊ะ!
นั่นใคร? เสียงนุ่มนิ่มเหมือนนางชี ช่วยตามจ๊ะมาคุยหน่อย”
ลานดาวหัวเราะออกมาได้
วิธีพูดเล่นทักทายของเพื่อนหนุ่มช่วยปลุกสติให้กระเตื้องขึ้น
“จ๊ะเอง”
“จริงเหรอะ? งั้นสงสัยเพิ่งเข้าห้องพระสวดมนต์แผ่เมตตาให้พวกเปรต
สุ้มเสียงถึงปรานีผิดปกติ”
หญิงสาวหัวเราะขำอีก
พยายามแต่งเสียงให้เข้าร่องเข้ารอย
“คนเพิ่งตื่นนอนก็ซึมเซาบ้างสิเธอ…
โทร.มามีอะไรหรือเปล่า?”
“ขอเบอร์มือถือยายเอ๋ยหน่อยซี
มีแต่เบอร์เครื่องเก่า น้องที่ชมรมเขาตามหาตัวกัน แม่นี่นัดไม่เป็นนัด”
ลานดาวบอกเบอร์เพื่อนสาวไปเพราะเห็นว่าคงเป็นธุระด่วน
“เธอต้องโทร.เองนะโจ๊ก
อย่าให้คนอื่น เดี๋ยวเอ๋ยมาว่าฉัน
ที่เปลี่ยนเครื่องนี่เห็นว่าเพราะหลบใครบางคนอยู่”
“โอเค
ขอบใจมาก แค่นี้ก่อนนะ”
“เดี๋ยว…”
“หือ?”
“วันนี้ว่างหรือเปล่า?”
นนทกานต์ชะงักไป
ใจเต้นระทึกขึ้นมาปุบปับ
“กำลังอยู่ที่ชมรม
แต่สองสามชั่วโมงคงเสร็จ”
“งั้นทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม?”
ความจริงมีนัดกับพรรคพวก
แต่อารามดีใจได้รับการชักชวนจากลานดาวทำให้ยอมเบี้ยวทันที
ตอบรับหล่อนโดยไม่มีการคิดหน้าคิดหลังหรือลำดับความสำคัญกับนัดเก่าแต่อย่างใดทั้งสิ้น
“ที่ไหนดีล่ะ?”
“มารับจ๊ะหน่อยแล้วกัน
แล้วค่อยคิดทีหลัง”
นนทกานต์มาถึงก่อนเที่ยง
ลานดาวปรากฏตัวยืนต้อนรับเขาในชุดเสื้อยืดแขนกุดกับกางเกงยีนรัดรูป
อวดผิวเนียนงามกับสัดส่วนไร้ที่ติซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก
ชายหนุ่มลงจากรถมาไหว้พ่อแม่ของลานดาวพอเป็นพิธีครู่หนึ่งก็ชักชวนกันออกจากบ้าน
“หิวไหม?”
ถามไถ่หญิงสาวอย่างเอาใจใส่ขณะบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง
“ก็เรื่อยๆ”
“กินที่ไหนดี?”
“ในเมืองชักเบื่อ
ไปบางแสนกันเถอะ ชมชายฝั่งแกล้มอาหารทะเล เปลี่ยนบรรยากาศมั่ง”
นนทกานต์เลิกคิ้วสูงอย่างสุดฉงน
เพิ่งดูดวงประจำวันในหนังสือพิมพ์กรอบเช้า
ถูกทำนายทายทักว่าวันนี้ลาภหายหรือได้แห้วอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไฉนจึงพลิกกลับตาลปัตรกลายเป็นฤกษ์มหาเฮงไปเสียนี่
“อารมณ์ดีอะไรมาเนี่ย?”
“ตรงข้ามเลย
กำลังเซ็งสุดขีดต่างหาก”
ชายหนุ่มหัวเราะ
ความจริงเขาถามให้กลับขั้วไปอย่างนั้นเอง
ดูหน้าเพื่อนสาวก็รู้ว่าจืดกว่าทุกวันในรอบปีที่ผ่านมา
เกือบนึกน้อยใจที่ตนเองเป็นได้เพียงตะกร้าทิ้งอารมณ์เซ็ง แต่พอคิดใหม่
แค่มีโอกาสเห็นเรียวแขนเปลือยกับท่อนขาสลักเสลาในยีนรัดรูปของลานดาวตั้งครึ่งวันอย่างนี้ก็สุดคุ้มแล้ว
จะด้วยฐานะอะไรก็ช่างหัวเถอะ
“โจ๊กยังไปหาหมอดูอุปการะอยู่หรือเปล่า?”
หญิงสาวถามเหมือนโปรยข้อสนทนาฆ่าเวลาเล่นเมื่อรถแล่นออกมาได้ไม่นานนัก
“ก็ไปอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้แกกลายเป็นคนดังแล้วจ๊ะเอ๊ย คนเก่ายังมาหา
แถมคนใหม่มาเพิ่มอีกเพราะปากต่อปาก ล่าสุดเราต้องรับบัตรคิวเลยนะ เชื่อเขาเลย
นี่เห็นสิ้นเดือนจะย้ายไปเปิดสำนักเป็นหลักแหล่งแล้ว”
“คงเพราะมีลูกค้ารายใหญ่อย่างเธอเยอะน่ะซี
พาสาวไปช่วยอุดหนุนพ่อหมอกี่คนแล้วล่ะ?”
“ฮี้!
สาวเสิวอะไร้”
นนทกานต์อ้อมแอ้มเสียงหนีบ
ลานดาวฟังทีเดียวรู้เลยว่าหล่อนแซวแม่น จึงหยิกต่อ
“พาไปบ่อยๆเถอะ
แกคงทายว่าเป็นเนื้อคู่เข้าสักคน”
ชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน
“โจ๊กก็ชักนึกเลื่อมใสหมออุปการะเพิ่มขึ้นทุกทีนะ
ไม่ใช่ทายแม่นอย่างเดียว เจอแต่ละทีเหมือนไปให้แกเขี่ยผงออกจากตา
ขูดสนิมออกจากความคิดเราทีละนิดทีละหน่อย”
ลานดาวทอดตามองไกลและยิ้มเนือย
“ผงในตาแบบไหน
ยกตัวอย่างซิ”
“ผงแบบจ๊ะนั่นแหละ!
ล่าสุดกำชับซ้ำว่าอย่าหวังลมๆแล้งๆ พูดทำนองว่าชาตินี้ไม่มีวันได้แอ้มหรอก”
นนทกานต์เล่าไปเรื่อย
ทว่ายังผลให้นัยน์ตาหญิงสาวทอประกายของกระรอกที่ถูกชี้โพรงขึ้นมาแวบหนึ่ง
เป็นอารมณ์ของคนเคยหวังนักหวังหนาว่าจะมีสักครั้งที่หมอดูอุปการะทำนายทายทักผิดพลาดจังๆ
“เขาพูดคำนี้เลยหรือ?”
เพื่อนหนุ่มหัวเราะแหะๆ
สารภาพว่า
“ก็ไม่เชิงหรอก
ฉันพูดให้เป็นภาษาวัยสะรุ่น ถ้าจะเอาเป๊ะๆ คือพอฉันถามแวะเวียนมาเกี่ยวกับเธอ
หมออุปการะก็บอกว่าถ้ายังเก็บความหวังไว้
เท่ากับยอมรักษาทุกข์ส่วนหนึ่งไว้อย่างเปล่าประโยชน์
แกชี้ให้เห็นว่าฉันหลงรูปมากกว่าอย่างอื่น และถ้าลงว่าหลงผู้หญิงที่ความสวย
ก็แปลว่ากำลังหลงความดีในอดีตของเขาซึ่งเราสู้ไม่ได้ หลักการอันดีคืออย่าสู้ในสนามที่ต้องแพ้เพราะเป็นรองเกินไป”
ลานดาวนิ่วหน้าหน่อยๆ
“ไม่เข้าใจ…
หลงแต่ความสวยแปลว่ากำลังหลงความดีในอดีต เป็นยังไง?”
“อ๋อ…
แกอธิบายทำนองว่าคนเราสวยไม่ใช่เพราะฟลุก
ไม่ใช่เพราะมีใครลำเอียงให้คุณสมบัติติดตัวเรามาเปล่าๆ
ของทุกอย่างมันมีเหตุในตัวเอง อย่างชาติก่อนเธอมีจิตใจงดงาม ทำดีมีศีลสัตย์
วิญญาณก็เคลื่อนมาครองอัตภาพที่สอดคล้อง กรรมเก่าส่งมาสู่กำเนิดที่สุขุม
และคุมรูปให้สวยสมน้ำสมเนื้อกับความดีเดิมนั้นจนกว่าจะหมดแรงส่ง
แกให้มองหาความดีในชาตินี้ของจ๊ะด้วยสายตาของมิตรที่คิดเกื้อกูลกันยิ่งๆขึ้น
แล้วทุกอย่างจะลงเอยในทางมงคล ทั้งปัจจุบันและอนาคต”
“แล้วชาตินี้ในสายตาของเธอ
ฉันมีความดีอะไรบ้าง?”
“จ๊ะน่ะเหรอ
อือม์ ก็เป็นคน…”
นนทกานต์พยายามตอบทันทีแบบเอาใจ
จะได้เป็นการแสดงว่าสายตาของเขาสอดส่องและแลเห็นความดีของหล่อนอยู่เสมอ
ถามปุ๊บตอบได้ปั๊บไม่ต้องเสียเวลาขุดค้นจากซอกหลืบความจำใด ทว่าพอพูดสามคำแรก
ก็เกิดอาการตีบตัน ไม่ทราบจะสรรคำยอที่ตรงตามจริงอันใดมากล่าวให้เร็วทันปากที่โพล่งนำเป็นสายฟ้าแลบไปแล้ว
“เป็นคน…”
พอเขาซ้ำคำนำเดิมแบบแผ่นเสียงตกร่อง
ลานดาวก็โบกมือขึ้นลง
“เอาล่ะๆ
ช่างเถอะ… อย่างกับถูกบังคับให้ฝืนอมแตงโมไว้ทั้งลูก ทีหลังพูดสบายๆเหอะนะ
นึกไม่ออกก็บอกว่านึกไม่ออก ฉันรับได้
ที่ถามไม่ใช่เพราะอยู่ในอารมณ์อยากฟังคำสรรเสริญเสียหน่อย”
นนทกานต์รู้สึกขายหน้าแปลกๆที่ค้นหาคำตอบไม่เจอ
อาจเพราะมัวพุ่งเป้าจะเอาความดีชนิดล้ำเลิศประเสริฐศรีมายกยอให้ฟังเป็นที่ชื่นใจ
ประโลมให้อุ่นใจว่าชาติหน้ามีจริงก็ต้องสวยอย่างนี้อีก
ความจริงถ้าเพียงแต่จะเขี่ยๆความดีของลานดาวชนิดดาษๆออกมากองก็คงได้หลายอยู่
ทว่านี่ช้าเกินไปแล้ว จะคุ้ยออกมาก็คงเหมือนแกล้งเอาใจกันแบบบื้อๆไร้รสนิยมเปล่า
จึงเล่าเรื่องที่คุยกับหมออุปการะต่อเพื่อกลบเกลื่อนอาการคิดช้าของตน
“โจ๊กถามหมออุปการะเรื่องคู่แท้ด้วย
ว่าเพราะกรรมอะไรจึงทำให้หญิงชายกลายเป็นคู่แท้ถาวร หมออุปการะบอกว่าคู่แท้ถาวรไม่มีหรอก
มันขึ้นอยู่กับว่าเราเคยทำบุญมากับใคร หรือติดหนี้ใครไว้บ้าง
สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย
ถ้าชาติใกล้ทำบุญกับใครมากก็อยู่เย็นเป็นสุขกับคนนั้นยืดหน่อย
แต่หากติดหนี้ใครไว้เยอะก็ต้องทนสภาพเหมือนเข้าคุกร่วมกับเขานานปีเช่นกัน
เสร็จแล้วพอตายจากก็ทางใครทางมัน
เว้นแต่ระหว่างอยู่ด้วยกันได้ร่วมบุญหรือก่อบาปไว้เสมอกันอีก
ก็มีสิทธิ์ไปพบกันใหม่ในปรโลกด้วยแรงดึงดูดของบุญและบาปนั้นๆ”
ลานดาวถอนใจ
อย่างหล่อนมีสติรู้จริงได้แค่ว่าลมหายใจเดี๋ยวนี้เป็นขาออกแน่ๆเท่านั้น
ให้รู้ล้ำไปในอนาคตกาล หรือรู้ย้อนกลับไปยังอดีตชาติล้วนบอดสนิท
โดยเฉพาะการเวียนว่ายตายเกิดและเหตุผลต้นปลายเกี่ยวกับกรรมเวรทั้งหลาย
หญิงสาวแค่ตระหนักว่าตนเองไม่รู้ ขณะเดียวกันก็เกลียดการจำใจเชื่อคนที่อ้างว่ารู้
โดยหล่อนไม่มีสิทธิ์พิสูจน์เท็จจริงด้วยสติสัมปชัญญะของตนเองเลย
“ฟังเรื่องเวียนว่ายตายเกิดกับบุญทำกรรมแต่งแล้ววังเวงแฮะ
สติสตังแบบมนุษย์ธรรมดาเราทำได้อย่างมากก็เพียงสมัครใจเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ
ส่วนถ้าให้พิสูจน์ด้วยตาทิพย์หรือหูทองของสำนักไหน
ก็ลือกันว่าเพี้ยนมากเพี้ยนน้อยทั้งนั้น”
“งั้นก็เลือกเชื่อหลักง่ายๆสิ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอะไรได้อย่างนั้น ถ้าภพชาติคล้อยตามกฎนี้
เราก็ได้ชื่อว่าเลือกเชื่ออย่างมีเหตุผล แต่ถ้าภพชาติไม่คล้อยตามกฎนี้
เราก็ยังได้ชื่อว่าเลือกเชื่อด้วยมโนธรรมประจำใจของมนุษย์
ไม่ใช่เชื่อด้วยสัญชาตญาณสัตว์ร้ายที่เห็นผิดเป็นชอบและพร้อมบูชาความชั่วเป็นสรณะ”
นนทกานต์แปลกใจตนเองที่สามารถท่องคำของหมอดูอุปการะพูดได้เกือบทุกคำ
กับทั้งแปลกใจที่ลานดาวสงสัยแบบเดียวกับเขา และเคยไถ่ถามหมอดูอุปการะไว้ก่อนแล้ว
หรือว่าที่แท้คนเราสงสัยเกี่ยวกับตัวเองเหมือนๆกันหมด?
“มันก็ไม่หมูนักหรอกนะ”
ลานดาวขัดคอ “แค่บอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฟังเหมือนง่าย
แต่พอลองเจาะลึกไปในรายละเอียด ใครบ้างตัดสินถูกว่าแค่ไหนเรียกทำดี
จัดเป็นการเมตตากรุณากัน ใครชี้ได้แม่นๆว่าแค่ไหนเรียกทำชั่ว
เข้าข่ายจองเวรเบียดเบียน”
“เผอิญฉันถามหมออุปการะข้อนี้เหมือนกันแหละ
แกบอกมาสั้นๆแค่ว่าเครื่องวัดอย่างง่ายคือใจ ทำอะไรเป็นประจำแล้วโล่งอก
หรือกระทั่งเกิดปีติโสมนัสกับพฤติกรรมนั้นๆเพราะเห็นชัดว่าเป็นไปเพื่อเกื้อกูลทั้งตัวเองและคนอื่น
ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง อย่างนั้นคือกรรมดี รายละเอียดเป็นอย่างไรไม่สำคัญกว่าใจในขณะก่อกรรมและรับกรรม”
ลานดาวหรี่ตาเล็กน้อย
ทำเสียงเหมือนพาดพิงบุคคลสมมุติอื่นไกลตัว
“อ้ะ!
อย่างพวกเกย์ พวกเลสเบี้ยนล่ะ รักเพศเดียวกันก็ทำให้หัวใจพองโต
เกิดปีติโสมนัสเหมือนกัน แถมอยู่ร่วมเพื่อเกื้อกูลกันฉันคนรักได้ถนัดขึ้น
เราจะเอาอะไรไปตัดสินว่าใจที่ยอมเป็นรักร่วมเพศนั้นคือการก่อกรรมดีหรือกรรมชั่ว
บางประเทศหรือบางศาสนาพิพากษาไว้ว่าเป็นบาปผิดอย่างมหันต์
ต้องลงทัณฑ์สถานหนักทีเดียว โทษฐานกวนสังคมให้เกิดความวิปริต
หรือข้อหาเบากว่านั้นหน่อยคือไม่ยอมทำตามกติกาสากลของพระเป็นเจ้าผู้สร้าง”
นนทกานต์ทำหน้าครุ่นคิด
“อือม์…
ใครจะว่าอย่างไร มีบทบัญญัติไว้กว้างหรือแคบแค่ไหนไม่รู้นะ
แต่เท่าที่รู้จักและมองพวกรักร่วมเพศด้วยตาเปล่า โจ๊กว่างานนี้เป็น ‘การรับกรรม’
มากกว่า ‘การก่อกรรม’ เพราะรักร่วมเพศยืนพื้นอยู่บนความชอบใจ
ไม่ใช่ยืนพื้นอยู่บนเจตนาเลือกเอาลอยๆว่าข้าจะเป็นรักร่วมเพศ
เปรียบเทียบแล้วคงคล้ายกับที่ไม่มีใครชอบกินแอปเปิ้ลแล้วได้รับคำชมว่าประเสริฐ
ไม่มีใครรังเกียจองุ่นแล้วโดนหาว่าชั่วช้า
เขาแค่ลองลิ้มผลไม้แต่ละอย่างแล้วเกิดความถูกใจหรือไม่ถูกใจ
มนุษย์ที่ไหนล่ะเจตนาสั่งให้ตัวเองรักหรือเกลียดอะไรได้?”
“สรุปคือกรรมชั่วบางอย่างดลใจให้เราชอบในสิ่งที่ไม่ควรชอบ
หรือชอบเพื่อทนทุกข์ทรมานในภายหลังอย่างนั้นหรือ?”
นนทกานต์หัวเราะตาใส
เพราะไม่เคยได้ยินคำนั้นมาก่อน เมื่อคิดตามแล้วก็เห็นจริง
กรรมชั่วบางอย่างอาจดลใจคนให้ชอบในสิ่งที่ไม่ควรชอบ ชอบแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์
ความทรมานเพียงถ่ายเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงดึงดูดทางเพศน่าจะเป็นหมากกลล่อให้ติดกับง่ายที่สุด
“น่าจะใช่นะ
แม้แต่ความชอบใจก็เป็นเครื่องมือเล่นงานเราได้
อย่างบางคู่เจอกันก็เห็นแต่แรกแล้วว่าไปไม่รอดแน่ ทั้งเกิดลางร้ายสารพัด
ทั้งอึดอัดหรือขนลุกเมื่ออยู่ใกล้กัน แต่ก็ทนแรงดึงดูดไม่ไหว
มีอันต้องได้ถึงเนื้อถึงตัวกันรวดเร็วผิดปกติ แล้วก็แยกกันไม่ขาดตั้งแต่นั้น
ทนทุกข์ทรมานสาหัสร่วมกันเป็นปีหรือเป็นชาติกว่าระฆังหมดยกจะดังขึ้น
อย่างนี้ถ้าไม่ใช่เพราะบาปเวรแต่หนหลังดลใจหรือเป็นกาวยึดให้แปะติดกัน ก็ไม่รู้จะโทษอะไรดีกว่านั้น”
“แปลว่า…
ลงถ้ากรรมเก่าจะให้ผล อย่างไรเราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับเคราะห์กรรม
และงอมืองอเท้ารอจนกว่ากรรมเก่าจะหมดแรงส่งใช่ไหม?”
“อันนี้ยังไงไม่รู้นะ
แต่เรามองโลกด้วยตาเปล่า เราว่าเคราะห์กรรมมีอยู่สองประเภท
ประเภทแรกคือเข้าจู่โจมถึงตัวแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดหาทางหนี
เช่นกำลังอ้าปากจะงับข้าวอยู่ดีๆ ตึกดันถล่มครืนลงมาเพราะวิศวกรโกงวัสดุก่อสร้าง
อย่างนี้ต้องปล่อยเลยตามเลย
ในเมื่อกรรมเก่าเขาจะมาขอลดอายุหรือทำให้บาดเจ็บพิการด้วยการส่งเราไปติดอยู่ในตึกนั้นเวลานั้น…
“แต่ประเภทที่สองจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาแบบเปิดโอกาสให้ตั้งสติ
เตรียมตัวหลบหนีหรือป้องกันผ่อนหนักเป็นเบา
เช่นกรรมเก่าดลใจให้ชอบเล่นพนันและต้องหมดตัวเพราะการพนัน ถ้าชาตินี้กัดฟันทน
ไม่เล่นเสียอย่าง แบบเดียวกับขี้ยายอมลงแดงตายดีกว่ากลับไปเป็นทาสยา
กรรมที่ต้องหมดตัวเพราะการพนันจะมาทำอะไรเราได้ยังไง…
“เราว่าในโลกความเป็นจริง
มนุษย์ประสบเคราะห์กรรมที่พอทนสู้ไหวมากกว่าเคราะห์กรรมประเภทหมดสิทธิ์รับมืออย่างสิ้นเชิง
แต่เรื่องของเรื่องคือคนเรามักปล่อยเลยตามเลย
ไม่ทำอะไรสักแอะแม้กระทั่งฝืนใจสู้กับตัวเอง
หรือพอเชื่อเรื่องกรรมก็เชื่อแค่อิทธิพลของพลังลึกลับจากชาติปางก่อน
แล้วแทบเลิกศรัทธาพลังที่เปิดเผยให้หวังได้ในชาตินี้
ยิ่งฟังหมออุปการะแจกแจงกรรมเก่ากรรมใหม่ของเราที่เราเองลืมไปแล้ว
ก็ยิ่งเห็นจริงว่ากรรมเก่าอาจทำหน้าที่สร้างฉากละครตอนแรก
แต่กรรมใหม่ก็สามารถเป็นตัวกำหนดว่าจะให้เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงตอนจบได้อย่างไร”
หน้าผากของลานดาวคลายจากอาการตึงเล็กๆ
เมื่อจับใจความสำคัญได้ว่า ถ้าให้สตินำหน้าอารมณ์เสียอย่างเดียว
กรรมเก่าทำหน้าที่ได้มากสุดก็แค่ยั่วยวนให้หลงผิด
โดยเราไม่จำเป็นต้องถลำตัวเห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี หรือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
เรื่องเลวร้ายส่วนใหญ่ในชีวิตคนอาจไม่เกิดขึ้น
ขอเพียงไม่ตามใจตัวเองเกินขอบเขตทำนองคลองธรรมเท่านั้น
คำพูดของนนทกานต์มักพาหล่อนออกจากกรงขังทางความคิดได้อยู่เรื่อย
เขาจึงมีความน่าเข้าใกล้ น่าให้เวลาเสวนา
แม้ถูกจัดไว้เป็นม้านอกสายตาที่ไม่มีแรงพอจะวิ่งมาถึงเส้นชัย
ก็ทำให้หล่อนแวะเวียนสายตามาชมด้วยความสนใจลักษณะเด่นอยู่เสมอ
ลักษณะเด่นของผู้ชายในบางครั้งก็ชักใยหรือไขลานให้กลจักรทางเพศทำงานได้เหมือนกัน
ลานดาวค่อยๆรู้จักตนเองมากขึ้น และพบว่าสำหรับหล่อนแล้ว
วาจาของชายเร้าใจได้มากกว่ารูปร่างหน้าตา
หลายครั้งใกล้ชิดกับหนุ่มเซ็กซี่สุดๆแล้วรู้สึกจืดชืดอย่าบอกใคร
แต่ยืนชมจันทร์อยู่เดียวเปลี่ยวกายแล้วกลับปรารถนาอ้อมกอดจากนทกานต์ขึ้นมาได้
เคยงุนงงกับเหตุผลต้นปลาย แต่เมื่อสังเกตตัวเองบ่อยๆขณะอยู่กับผู้ชายแต่ละคน
ก็พอเข้าใจชัดขึ้นทุกที
นั่นคือหล่อนจะไม่ยอมเป็นของผู้ชายไอคิวต่ำกว่าตนเองเด็ดขาด!
นนทกานต์ดูอ่อนแอ
ซื่อๆเซื่องๆตอนอยู่ในอารมณ์หลง กับทั้งขาดความมั่นใจในรูปโฉมและฐานะ
แต่กะพริบตาทีเดียว พอให้โอกาสเขาแสดงสติปัญญา
ด้วยความเชื่อมั่นว่าหล่อนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เขาก็แปลงร่างเป็นหนุ่มอีกคนที่คมคาย ดูอบอุ่นน่าฝากใจขึ้นมาได้ทันทีเหมือนกัน
คำพูดหลายต่อหลายคำของเขาฝังอยู่ในส่วนลึกและส่วนตื้นของความทรงจำไม่รู้เลือน จึงนับว่าเขามีความฉลาดทางวาจาเป็นเสน่ห์
เป็นความเซ็กซี่ และเป็นเหตุผลที่หล่อนเลือกอยู่ด้วยในยามเคว้งคว้างสุดทนเช่นวันนี้
หล่อนอาจมีเวรกับเขาอย่างหนึ่ง
คือเลี้ยงเหมือนม้าใช้เอาไว้ขี่หลัง
เวลากำลังอารมณ์ร้ายหาที่ระบายไม่ได้ก็ไปลงเอากับเขา หรืออีกทีก็เลี้ยงไว้เป็นหินลับเขี้ยวเสน่ห์
แบบเดียวกับแม่มดที่ต้องหมั่นซ้อมใช้เวทมนต์กันลืม
ไม่ทราบเป็นโรคจิตชนิดใดเหมือนกัน
ดูเหมือนหล่อนสนุกสนานเป็นพิเศษกับการแกล้งทรมานเขา
เห็นหน้าเศร้าๆที่ยังคงจงรักภักดีไม่เสื่อมคลายแม้ถูกทำทารุณสารพัดแล้วสะใจพิลึก
ชีวิตเหมือนอิ่มเอมเปรมสุขยิ่งกับการมีเขาไว้เป็นลูกบอล นึกอยากอุ้มก็อุ้ม
นึกอยากเลี้ยงก็เลี้ยง นึกอยากเตะก็เตะ
แรงเบาแค่ไหนก็เห็นยังทนมือทนเท้าอยู่ในสภาพเดิมเสมอ
คบกับหล่อนเขาเป็นฝ่ายสูญเสียมาตลอด
หล่อนอาจต้องชดใช้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้เขาเป็นฝ่าย ‘ได้’ เสียบ้างกระมัง…
ลานดาวมองเหม่อออกไปนอกรถ
ครู่หนึ่งก็พึมพำถามอีก
“แล้วเธอว่าพวกหญิงรักหญิงที่อยู่กินกันจริงจังนี่น่ารังเกียจไหม?”
“อือม์…”
นนทกานต์เม้มปากตรองโดยปราศจากการเฉลียวคิดว่าเป็นเรื่องใกล้หรือไกลตัวแต่อย่างใดทั้งสิ้น
“ใจหนึ่งก็สงสาร อีกใจก็รู้สึกแปลกๆนะ จะบอกว่ารังเกียจไหม… คงไม่ถึงขั้นนั้น
เป็นผู้หญิงยังดี ไม่ถูกด่าเท่าไหร่ เห็นคลอเคลียหยาดเยิ้มแบบแฟนแล้ว
สมัยนี้อาจจะแค่ทำให้ยิ้มมุมปากหน่อยๆ เพราะภาพไม่ชวนคลื่นไส้นัก
แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็อาจเคราะห์ร้าย สังคมจะพากันส่งสายตารังเกียจโดยไม่ต้องนัดหมาย
มีแต่คนสนิทที่ได้รู้จัก ได้พูดคุย ได้เห็นแง่มุมอื่นๆในชีวิตของเขา
ภาพของความเป็นมนุษย์ที่น่าเห็นใจถึงจะปรากฏชัดกว่าภาพของรักร่วมเพศที่ทำอะไรน่าสะอิดสะเอียน”
“ลองแจกแจงให้ฉันฟังได้ไหมว่าทำไมรักร่วมเพศถึงน่ารังเกียจ?”
จนแล้วจนรอดนนทกานต์ก็ไม่สำเหนียกความขรึมผิดปกติในน้ำเสียงของเพื่อนสาวอยู่นั่นเอง
นั่นเป็นธรรมชาติของเขา เวลาได้รับโจทย์ให้คิดก็คิดไป และมักให้คำตอบได้ดีมากด้วย
แต่พอไม่ต้องคิดก็จะขาดความสังเกตสังกา และบ้ารักไปตามแรงขับของวัย
“เรื่องของเรื่องคือมันฝืนธรรมชาติ
อะไรที่ฝืนธรรมชาติย่อมก่อความรู้สึกผิดปกติ ความรู้สึกผิดปกติอาจจี้เส้นให้ขำ
หรืออาจทำให้มวนท้องอยากแหวะ
สำหรับหญิงกับหญิงนั้นกวนความรู้สึกให้ปั่นป่วนน้อยหน่อย
เพราะเป็นเพศที่ไม่ต้องเปลี่ยนบุคลิกมากนัก
ถึงแม้กิริยาวาจาแข็งโป๊กยังไงก็พอเห็นได้ในหญิงทั่วไปอยู่แล้ว
อีกอย่างเพศหญิงมีธรรมชาติน่าหลงใหล หากถูกหลงโดยเพศเดียวกันก็นับว่าแปลกน้อย
ทางโหราศาสตร์ระบุด้วยซ้ำว่าดาวประจำดวงของผู้หญิงบางคนส่งกระแสให้เจ้าตัวทรงเสน่ห์
มีอิทธิพลแม้กับเพศเดียวกัน อย่างจ๊ะไง
น้องปีหนึ่งปีสองกรี๊ดกันอย่างกับแข่งเป่านกหวีด
ทั้งที่เธอก็ไม่เคยมีมาดทอมบอยกับเขาเลย แค่เท่กว่าเลดี้หน่อยเดียว”
ลานดาวเบนหน้าไปลอบยิ้ม
ใจชื้นอย่างประหลาดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสน่ห์ของตนมีอิทธิพลต่อผู้หญิงด้วยกัน
โดยอาศัยหลักฐานแวดล้อมเป็นตัวเป็นตนมาชี้ได้มากมาย
“แล้วชายกับชายล่ะทำไมถึงน่ารังเกียจ?”
ประโยคคำถามนั้นยิงมาเพื่อไม่ให้นนทกานต์รู้สึกว่าหล่อนสนใจปัญหาหญิงรักหญิงเป็นพิเศษ
“อือ…
ชายกับชายนี่ถ้าออกแนวตุ๊ดแนวแต๋วก็ซวยเลย
เพราะบุคลิกจะถูกปรับให้กระตุ้งกระติ้งผิดแผกจากธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด
ธรรมชาติในรูปกายของเพศชายไม่ค่อยมีส่วนนุ่มนวลให้นึกอยากอะลุ้มอล่วยหรือทำใจรับได้เท่าไหร่
โจ๊กคิดว่าหากกรรมร้ายๆเกี่ยวกับเรื่องทางเพศอยากเล่นงานใครแรงสุด
ก็จะเลือกจังหวะที่กำลังเป็นชายนั่นแหละ ทุกข์ถนัดกว่าจังหวะเป็นหญิงมากนัก”
“ก็จริงนะ
เป็นหญิงโชคดีกว่าชายหน่อย ในกรณีที่มีความเบี่ยงเบน”
“หญิงรักหญิงโชคดีกว่าชายรักชาย
แต่ก็โชคร้ายกว่าหญิงรักชายตามธรรมชาติวันยังค่ำ”
หญิงสาวเอียงหน้าอิงศีรษะกับบ่าของพนัก
นัยน์ตาซึมเศร้าลงอีก
“เธอว่าฉันเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากไหม?”
อยู่ๆหล่อนก็นึกอยากเปลี่ยนเรื่อง
“จะให้ตอบแบบเพลาๆหรือแบบเอาขวานจาม?”
หญิงสาวหัวเราะ
ก่อนตอบหนักแน่นเพื่อสื่อว่าต้องการตามนั้น
“เอาขวานจาม!”
นนทกานต์หัวเราะหึหึ
“จ๊ะรู้ตัวเองอยู่แล้วนี่
แต่ก็ถือว่าปกตินะ ความเอาแต่ใจเป็นของคู่กันกับความสวยอยู่แล้ว
ยิ่งสวยระดับเธอยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้เรื่องอื่นใดในโลกกับใครเขาหรอก
ที่เห็นเป็นอันดับหนึ่งคือความอยากหรือไม่อยากเอาอะไรเท่านั้น”
ลานดาวปิดตาลง
ถามตนเองเงียบๆว่าถ้อยคำของนนทกานต์เป็นความจริงในทุกสถานการณ์หรือไม่
หากขัดกับศีลธรรม หล่อนจะยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่มากน้อยเพียงใด?
รถแล่นเรื่อยบนทางด่วนข้ามจังหวัดพักใหญ่
สองหนุ่มสาวก็มานั่งทานอาหารทะเลที่ร้านริมหาดบางแสน
ลานดาวมองขอบฟ้าไกลลิบตาอย่างเหม่อลอยมากกว่าร่วมจ้อไปกับเพื่อนชาย
ช่างเป็นวันที่แตกต่าง หล่อนเคยนั่งรถนนทกานต์ด้วยอัตตาของเจ้านาย
เคยผูกขาดการสนทนาหันเหทิศทางไปตามใจตนเอง
แต่วันนี้หล่อนเห็นเงาร่างตนเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เป็นฝ่ายรับฟัง
เป็นฝ่ายคิดตามเกือบตลอด
ฝ่ายนนทกานต์จ้อเอาๆไม่ต่างจากปลากระดี่ได้น้ำ
เขานึกในใจว่าการเป็นเพื่อนสนิทกับคนสวยก็ดีอย่างนี้
มีโอกาสฟลุกคล้ายถูกเลขท้ายสามตัวโดยไม่คาดฝันเข้าได้เหมือนกัน
และถ้าให้แลกจริงๆระหว่างควงลานดาวเที่ยวทะเลกับถูกเลขท้ายสามตัว
เขายอมเสียเลขท้ายสิบงวดดีกว่าเสียโอกาสมากับหล่อน!
นนทกานต์ไม่รู้ตัวเอาเลยว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะต้องลืมเรื่องเลขท้ายสามตัวลงสิ้น
ในเมื่อเจอโชคระดับลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหวดเข้าใส่เต็มเหนี่ยวเสียแล้ว!
“โจ๊ก…”
ลานดาวหันจากทะเลมาพูดกับเขาแบบปลงใจหลังใคร่ครวญครั้งสุดท้าย
“จำบังกะโลที่พวกเรากับเพื่อนๆเคยมาค้างคืนกันเมื่อหลายเดือนก่อนได้ใช่ไหม? เลยไปห้าร้อยเมตรนี่น่ะ จ๊ะเหนื่อย แล้วก็อยากขับไปงีบพักสักสิบนาที
เดี๋ยวโจ๊กช่วยเดินตามไปทีหลังได้หรือเปล่า หาเอาแล้วกันว่าจ๊ะจอดรถไว้หลังไหน
เคาะประตูเรียกแล้วจะมาเปิดให้”
ชายหนุ่มตกตะลึงจนข้าวหล่นจากปากหลายเม็ด
มองหน้าเพื่อนสาวเหมือนนักมวยเจอหมัดตรงเต็มเบ้าตา กลืนข้าวก้อนโตเกือบไม่เคี้ยว
และเพื่อความเชื่อมั่นว่าไม่หลอกตัวเองด้วยความเข้าใจผิด นนทกานต์ก็เอ่ยตะกุกตะกัก
“จ๊ะนั่งรถมาเหนื่อย
โจ๊กก็ขับรถมานาน น่า… น่าจะยิ่งเหนื่อยกว่า ถ้าเอ่อ… ของีบอยู่ข้างๆจ๊ะมั่ง แต่หลายชั่วโมงหน่อยจะว่าอะไรไหม?”
ลานดาวหลบตาไปทางอื่นขณะกระซิบตอบเหมือนต้องการให้ตั้งใจอ่านเพียงริมฝีปาก
“ไม่ว่า…”
แล้วก็แบมือขอกุญแจรถอย่างเงียบเชียบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น