วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๗. ส่งวิญญาณ)

ตอนที่ ๗. ส่งวิญญาณ


เมื่อลานดาวพามาวันทามาถึงซุ้มหมอดูนั้น เพิ่งเป็นเวลา ๑๑ นาฬิกาเศษ ห้างเปิดเพียงครู่ใหญ่ ทีแรกเห็นหมออุปการะนั่งอยู่กับลูกค้าเพียงรายเดียวก็โล่งใจ คิดว่ายืนรอพักหนึ่งก็ได้ดู แต่ที่ไหนได้ พอเดินเข้าไปใกล้ ดันมีเด็กหน้าตาประหลาดคนหนึ่งกรากเข้ามาถาม

“มาดูดวงกับหมออุปการะใช่ไหมครับ?”

ลานดาวทำหน้าแปลกใจ

“จ้ะ”

“ช่วยรับบัตรคิวด้วยนะครับ”

“เอ๊ะ! อะไรกัน?”

“มีนัดก่อนพี่ ๑๙ รายครับ ดูได้จำกัดรายละ ๑๕ นาที หมออุปการะพักทานข้าวตอนบ่ายสามโมงตรงหนึ่งชั่วโมง เพราะฉะนั้นคิวนัดที่ ๒๐ ของพี่สี่โมงสี่สิบห้านะครับ ช้าเกินห้านาทีถ้าคนอื่นเผอิญแวะมาในช่วงนั้นก็จะได้คิวของพี่ไปแทน ช่วยเทียบเวลากับผมด้วย ตอนนี้สิบเอ็ดโมงแปดนาที”

ลานดาวนึกว่าหูฝาด มองหน้าเด็กหนุ่มคล้ายเห็นมนุษย์ต่างดาวโผล่มาทักกลางวันแสกๆ อ้ำอึ้งอย่างนึกไม่ถึงว่ามีเรื่องอย่างนี้ในโลกจริงๆ

“ขอดูต่อจากคนนี้ไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้ครับ สิบคิวต่อไปเขามารับบัตรตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อกี้ผมเห็นเดินโต๋เต๋รออยู่แถวนี้เอง”

“แล้วทำไมให้ดูแค่ ๑๕ นาที ปกติต้องครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำถึงจะถูก”

“แขกเยอะครับพี่ ไม่งั้นเดี๋ยวต้องต่อคิวกันข้ามอาทิตย์ พี่จะรับหรือไม่รับครับ?”

เด็กหนุ่มถามอย่างไม่ค่อยมีเยื่อใย เห็นได้ชัดว่าพร้อมจะมอบบัตรคิวต่อให้คนอื่นอยู่แล้ว วัยเขายังไม่ถึงขั้นจะตะลึงหลงรูปโฉมลานดาว พอหล่อนทำหน้าบึ้งตึงจึงรู้สึกรำคาญปนหมั่นไส้มากกว่าอย่างอื่น

“รอก็ได้!”

ตอบห้วนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำแล้วรับบัตรมาแบบกระชากๆ พอเด็กหนุ่มเห็นลูกค้าสาวท่าทางเอาแต่ใจตัวยอมรอก็อธิบาย

“หลายวันมานี้ คนยืนเข้าแถวรอกันเหมือนคิวม้าหมุนในสวนสนุก พี่มาวันนี้ถือว่าโชคดีแล้ว ลุงแกเอาผมมาช่วยแจกบัตรให้ พี่จะได้ไปทำธุระอย่างอื่นก่อน”

“เก่งจริงทำไมไม่ย้ายไปเปิดสำนักโก้ๆเลยล่ะ?”

“ครับ… เดี๋ยวพี่คงได้นามบัตรพร้อมแผนที่จากลุง แกยอมเสียค่ามัดจำล่วงหน้าเปล่าๆ เพราะต้อนรับลูกค้าแบบนี้ไม่ไหว นี่ก็หาบ้านได้แล้ว มีลูกค้ารายหนึ่งยกบ้านเช่าให้อยู่ฟรีหนึ่งปี ผมกับย่าเลยพลอยสบาย”

ลานดาวถึงกับสะอึกเป็นครู่ ทว่าก่อนจะต่อปากต่อคำด้วยความเขม่น ก็มีลูกค้าอีกรายเยี่ยมหน้าเข้ามาจดจ้องมองหมอดูอุปการะ เด็กแจกบัตรคิวจึงขอตัวเลี่ยงไปทางนั้น

เป็นโอกาสแรกที่มาวันทาเห็นอาการคุณหนูอารมณ์ร้ายของลานดาว พอจะเดาได้ว่าเพราะไม่สบอารมณ์หมอดูอุปการะอยู่ก่อนหน้า พอบวกกับการต้องรอนานจึงหงุดหงิดอย่างแรง

“งั้นเราไปเลือกซื้อฟลุตกันก่อน ที่จริงดีเหมือนกัน จะได้จอดรถทิ้งไว้นี่แล้วไปแท็กซี่แทน เพราะแถวเวิ้งหาที่จอดยาก”

มาวันทาชวนด้วยน้ำเสียงประโลม ลานดาวจึงรู้สึกตัว หันมายิ้มหวาน

“ค่ะ… ถ้าเลือกของได้จากเวิ้ง เดินทางไปกลับ รวมกินข้าวกลางวันก็คงเกือบพอดีเวลานัด”

เกือบชั่วโมง สองสาวก็มาเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ในย่านเวิ้งนครเกษม อันเป็นแหล่งรวมร้านจำหน่ายเครื่องดนตรีมานมนาน และโดยมากเจ้าของร้านจะยอมให้ลองเป่าเครื่องลมได้ทุกชิ้น ต่างจากร้านในห้างใหญ่หรือตัวแทนจำหน่ายยี่ห้อดังที่บางทีอิดเอื้อน จนกว่าจะแน่ใจว่าลูกค้าขอลองด้วยเจตนาซื้อจริง

ลานดาวขออนุญาตพ่อไว้แล้วว่าวันนี้อาจใช้บัตรเครดิตเสริมของหล่อนรูดซื้อฟลุตราคาเรือนแสน หลังจากออดอ้อนอยู่สองสามคำในช่วงอาหารเช้า ก็ได้รับอนุมัติวงเงินตามที่ขอมาโดยสะดวกโยธิน ประสาลูกสาวคนเดียวของท่านเศรษฐีที่ถูกตามใจมาแต่เล็ก

นั่นทำให้การเฟ้นหาสินค้าของมาวันทาพุ่งเป้าไปที่ของเกรดดีเป็นหลัก ด้วยความรู้เรื่องวัสดุและการประกอบสร้างเป็นอย่างดีของนักฟลุตสาว ทำให้หล่อนตรวจหลายๆยี่ห้ออย่างละเอียดทุกซอกมุม กับทั้งขอทดลองเป่าเป็นเรื่องเป็นราว มาวันทาชี้ให้น้องสาวฟังเป็นระยะว่าสำเนียงเสียงแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นที่ตอบสนองลมเป่านั้นต่างกันอย่างไร ท่าทีเอาใจใส่ตรวจสอบจริงจัง รวมทั้งเจรจากับเจ้าของร้านเรื่องราคาและบริการหลังการขาย ทำให้ลานดาวเกรงใจกับนึกขอบคุณพี่สาวเป็นกำลัง

ในที่สุดก็เลือกได้ฟลุตเงินเงาวับ งดงามไร้ที่ติ กับทั้งตอบสนองลมได้พลิ้วนุ่มละไมหู หรูหราประมาณเดียวกับเลาของมาวันทา มูลค่าสูงพอจะให้มนุษย์เงินเดือนทั่วไปประทังชีวิตได้ร่วมปี

“ขอบคุณนะคะพี่เอิน”

ลานดาวพนมมือไหว้ด้วยความระลึกว่าเป็นบุญคุณจริงๆสำหรับการคัดเลือกของดีที่สุดให้ คล้ายเครื่องประดับล้ำค่าเหมาะตัวอันถูกกำหนดไว้เป็นคู่ใจตลอดกาล ระหว่างนั่งแท็กซี่กลับมายังศูนย์การค้าเพื่อดูหมอ หล่อนทำเหมือนเด็กเห่อของเล่นใหม่ นั่งซ้อมเป่า นั่งลูบคลำ นั่งเช็ดถูทำความสะอาดฟลุตเรือนแสนไม่วาง ถามตนเองเงียบๆในใจว่าทำไมไม่รักฟลุตเสียตั้งนานแล้ว

สองสาวมาถึงซุ้มของหมอดูอุปการะ ตโมไพรี ตรงเวลา ทีแรกลานดาวตั้งท่าจะแยกไปเดินเล่น แต่มาวันทาเห็นว่าตนอยากรู้แค่เรื่องญาติที่ตาย จึงชวนคู่หูไปนั่งด้วยกันเป็นเพื่อน ลานดาวลังเลอยู่อึดใจ ก่อนคิดว่าดีเหมือนกัน อยากรู้ว่าวันนี้จะทายอะไรผิดอีก

มาวันทาเห็นบุคลิกลักษณะหมออุปการะแล้วนึกเลื่อมใสระคนยำเกรง ก็ยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อมก่อนลงนั่ง แต่ลานดาวเพียงเชิดหน้า นั่งแบบกระแทกหน่อยๆเท่านั้น หมออุปการะมองไปทางคนหน้าตึงยิ้มๆ

“สวัสดีครับ วันนี้มาดูเรื่องอะไร?”

“พาพี่สาวมาดูค่ะ ไม่ได้มาดูเอง”

“อ้อ…”

อุปการะเบนสายตามาทางลูกค้าสาวอีกราย พยักหน้าเป็นเชิงทักทายอีกครั้ง มาวันทาสยายยิ้ม กระแสตาของบุรุษวัยกลางคนตรงหน้ามีความอบอุ่น แต่ก็ชวนให้นึกคร้ามอย่างประหลาด หล่อนอึกอัก ต้องคิดเรียบเรียงคำถามใหม่ทั้งที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย กระทั่งลานดาวชิงบอกเสียเอง เพราะเห็นว่าไหนๆตนก็เป็นฝ่ายเปิดฉากแล้ว

“คุณป้าเขาเพิ่งเสีย อยากให้พี่ช่วยดูหน่อยว่ามีอันเป็นไปอย่างไร พอจะช่วยได้บ้างไหม เพราะก่อนสิ้นใจอาการไม่สู้ดีนัก”

“ชื่อและนามสกุลอะไรครับ?”

ลานดาวทำปากยื่น

“พี่นั่งทางในรู้ได้เองไม่ใช่หรือคะ ทำไมต้องถาม?”

แขวะอย่างลืมตัว ลืมไปว่าอาจเป็นการทำให้อุปการะเสียเส้น หมดอารมณ์ดูให้มาวันทาก็ได้

“ถามเพื่อเอาคำตอบจากปากนั้นง่าย สงวนกำลังไว้ดูเรื่องจำเป็นที่ถามใครไม่ได้ดีกว่าครับ”

อุปการะอธิบายอย่างใจเย็น ไม่มีปฏิกิริยาขุ่นเคืองแม้แต่น้อย นั่นทำให้ลานดาวรู้สึกตัว ครางอ้อออกมาเบาๆแล้วหันไปทางอื่น เปิดโอกาสให้มาวันทาซักเอาเองต่อ

แพทย์หญิงกะพริบตาปริบๆ ได้เห็นนิสัยเสียๆของลานดาวอีกครั้ง คืออาจสร้างบรรยากาศตึงเครียดขึ้นได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เพียงเพราะมีความขุ่นใจเป็นทุน

“คุณป้าของดิฉันชื่อ เพ็ญวสุ ชิดอินทร์ ค่ะ”

มาวันทาให้ข้อมูลด้วยสีหน้าเกรงใจคล้ายอยากขอลุแก่โทษแทนน้องสาวอยู่ในที อุปการะพยักหน้ารับทราบสบายๆอย่างมีเมตตาแบบผู้ใหญ่ที่เข้าใจและไม่ถือสาโลก เขานิ่งเพื่อแตะจิตลงสัมผัสชื่อเพ็ญวสุ ชิดอินทร์ครู่หนึ่งทั้งยังลืมตา แล้วในที่สุดก็กล่าวว่า

“คุณป้าของคุณหมอไปดีแล้วนะ”

กล่าวเพียงสั้นเท่านั้น มาวันทาถึงกับทำหน้างง เหลือบไปมองลานดาวแวบหนึ่ง ซึ่งฝ่ายนั้นก็เบนสายตามามองหมอดูอุปการะด้วยความสนเท่ห์เช่นกัน ค่าที่เรียกมาวันทาว่า ‘คุณหมอ’ ได้เต็มปากเต็มคำ

“เหรอคะ… ท่านไปดีหรือ?”

แพทย์สาวถามเสียงสูง เป็นนัยส่อว่านั่นเป็นคำตอบที่ขัดกับความรู้สึก

“ครับ… มีคนส่งวิญญาณป้าของคุณหมอไปเกิดใหม่แล้ว เปลี่ยนจากสภาพรุ่มร้อนทรมานเป็นเย็นลง”

ชายวัยกลางคนปิดเปลือกตาลงอย่างนุ่มนวล สองสาวซึ่งจับตามองอยู่ถึงกับสำเหนียกได้ถึงความเบิกบาน แน่วนิ่ง ทรงกำลังกว่าปกติของฝ่ายนั้น

เกือบครึ่งนาที อุปการะจึงลืมตาขึ้น

“นับเป็นโชควาสนาของคุณป้า วันสวดศพนั้น มีพระภิกษุรูปหนึ่งตรวจดูวิญญาณคุณป้า เห็นว่ากำลังอึดอัดลำบาก ก็ช่วยสงเคราะห์ กำหนดจิตแผ่เมตตาในระดับอัปปมัญญา คือกระจายความสุขเย็นซ่านไปทุกทิศทางเป็นอนันต์ แล้วเปลี่ยนมาเล็งจำเพาะที่วิญญาณคุณป้า ซึ่งมีอานุภาพสูงมากพอจะปลุกสติให้ตื่นขึ้นระลึกถึงบุญกุศลได้ นอกจากนั้นท่านยังช่วยกำหนดนิมิตกองบุญที่บำเพ็ญมา อุทิศมอบให้ วิญญาณคุณป้าสามารถรับรู้และอนุโมทนา จิตจึงเคลื่อนจากภาวะหยาบ เลื่อนไปสู่ภาวะประณีตขึ้น”

หมอดูอธิบายอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ฟังเป็นหลักเป็นฐาน สองสาวนั่งนิ่งทื่อเป็นครู่ ก่อนที่ลานดาวจะเอียงหน้ามาป้องมือกระซิบ

“มั่วหรือเปล่าก็ไม่รู้ พูดเป็นตุเป็นตะใหญ่”

“ไม่มั่วหรอกครับ”

อุปการะกล่าวอย่างอารมณ์ดี ทำเอาลานดาวสะดุ้งเหมือนถูกเข็มแทง แน่ใจว่าเสียงกระซิบแผ่วขนาดนั้นต้องไม่เล็ดลอดไปถึงหูคนนั่งตรงข้ามเด็ดขาด เพราะอาศัยเพียงลมปากโดยเลี่ยงการใช้แก้วเสียงในคอ แถมยังมีฝ่ามือบังอยู่อีกชั้น

“วัดที่ญาติๆคุณหมอนำศพไปบำเพ็ญนั้นอยู่ริมคลอง เข้าใจว่าคงเป็นย่านชานเมือง คุณหมอไปถามหาภิกษุรูปที่ว่านี้ได้ ท่านชื่อจำรัส มีรูปร่างใหญ่ ผิวคล้ำ หน้าตาดุ พูดจาโผงผางหน่อย แต่จิตใจท่านงดงามมาก หากเล็งไม่ผิด ดูเหมือนท่านจะเป็นพระมหาด้วย… หายากที่ทั้งความรู้สูงและมีจิตตานุภาพอย่างใหญ่ระดับนี้”

มาวันทาหายใจลึก บอกตนเองว่ามาพบผู้วิเศษตัวจริงเข้าแล้ว

“วัดสืบเชตุพนที่พวกเราเอาศพคุณป้าไปบำเพ็ญกุศล ตั้งอยู่ริมคลองจริงๆค่ะ!”

อุปการะผงกศีรษะ

“ใครเอาศพไปบำเพ็ญกับวัดนี้ก็โชคดีหน่อย ท่านมหาจำรัสสงเคราะห์วิญญาณที่พอช่วยได้มานักต่อนักแล้ว”

มาวันทาเกิดความปีติตื้นตันเป็นล้นพ้น พระดีอยู่ใกล้บ้านนี่เอง แต่หล่อนไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย แม้ท่านช่วยสงเคราะห์ญาติหล่อนไปแล้วก็ตาม เนื่องจากท่านทำในสิ่งที่เรียกว่า ‘ปิดทองหลังพระ’ อย่างแท้จริง

“การสวดศพทั่วไปไม่มีความหมายกับวิญญาณบ้างเลยหรือคะ?”

อุปการะส่ายหน้า

“ถ้าไม่มีใครสื่อกับวิญญาณได้ตรงๆก็มีผลน้อย เหมือนสาดน้ำเย็นไปโดนใครก็คลายร้อนลงครู่หนึ่งเท่านั้น เขายังไม่ได้ดื่มน้ำให้หายหิว ไม่มีกำลังวังชาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าสักกี่ก้าว”

“เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าจิตต้องอนุโมทนาบุญด้วย อันนี้ก็เหมือนกับที่เปรียบเป็นการดื่มน้ำด้วยตนเองใช่ไหมคะ?”

“ใช่… ตอนจิตวิญญาณกำลังมืดบอดและทุรนทุรายนั้น ต่อให้เอากุศลกองใหญ่ที่สุกสว่างยื่นไปให้ เขาก็อาจไม่เหลือสติพอจะรับ เปรียบเหมือนคนโดนขึงพืดย่างสดในกองเพลิง กำลังบิดไปบิดมา จะให้กินน้ำคงไม่ถนัด ถ้าคิดช่วยกันจริงๆก่อนอื่นต้องสาดน้ำดับไฟเสียก่อน จากนั้นจึงยื่นแก้วน้ำให้เขา ซึ่งเขาต้องเต็มใจรับเอง ดื่มเองด้วยสัญชาตญาณรู้ว่านั่นคือสิ่งดับกระหาย การรับน้ำนี้ก็คือจิตคิดอนุโมทนาส่วนกุศลของญาติที่ทำให้ตนนั่นเอง แต่ก็มีวิญญาณบาปบางประเภทพอกอกุศลห่อหุ้มไว้หนาเกินเหมือนกันนะ ขนาดเจอคนจูงจิตให้อนุโมทนา เหมือนพยายามเอาน้ำกรอกปาก ยังดื้อด้านสะบัดหนี หรือมองเฉย เพราะกรรมเก่าบิดเบือนนิมิตกุศลให้เป็นนิมิตน่ารังเกียจสำหรับตนไป”

“มิติหลังความตายนี่น่ากลัวจังนะคะ”

บุรุษนักพยากรณ์ผงกศีรษะ

“ถ้าตายแบบถอยหลังเข้าคลอง ก็ต้องรอเวรกรรมหมดแรงส่ง หรือรอคอยความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างเดียว เปลี่ยนแปลงปรับปรุงหรือแก้ไขผิดให้เป็นถูกเหมือนอย่างตอนมีชีวิตไม่ได้ อย่างกรณีญาติคุณหมอ จิตวิญญาณหลังตายยังทุรนทุรายบาปกรรมที่ขี้บ่นจุกจิก เวลาโมโหชอบด่าลูกหลานเจ็บๆ บ่อยครั้งถึงขั้นสาปแช่ง หนักกว่าอะไรคือเอานิสัยชอบด่าทอนั้นไปนินทาว่าร้าย ตั้งวงค่อนขอดพระดีโดยไม่รู้ตัว วจีกรรมอันเผ็ดร้อนนั้นย้อนมาให้ผลก่อนตายคล้ายไฟเผา เพราะจิตผูกยึดกับความสะใจในการด่าเอามันแน่นเหนียวมาก ถ้าขาดคนช่วยก็นับว่าน่าเสียดาย เพราะดั้งเดิมมีจิตเป็นกุศล ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก บริจาคข้าวของ ทำบุญกับวัดมาตั้งแต่สาวๆ”

มาวันทาเม้มปาก หมออุปการะแสดงความรู้จริงอีกครั้ง ป้าของหล่อนเคยดีมาทั้งชีวิต ทว่าตั้งแต่คบหากับญาติธรรมกลุ่มหนึ่ง ท่านก็เริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย เริ่มจากติดพูดยกตนข่มท่าน เห็นใครต่อใครโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่มีความรู้ธรรมะเท่าตน ไม่รู้จักทางสวรรค์นิพพานเหมือนอย่างตน ใครคิดต่างจากตนก็หาว่าเขาบอดใบ้ เป็นบัวในตม หมดโอกาสเจอแสงสว่าง

ที่หล่อนกลัดกลุ้มคือปีท้ายๆ ป้าชอบเอาพระมาด่าเล่นเป็นของสนุก เจอหน้ากันเป็นต้องยกเอาเรื่องพระชั่วมาตั้งประเด็น แล้วลามไปเรื่อยแบบเหวี่ยงแห ชี้ว่าสมัยนี้ไม่มีพระดีแล้ว พอหล่อนพยายามเลี่ยงหรือเปลี่ยนเรื่องก็ไม่หยุด วกกลับมาขุดคุ้ยซ้ำซาก พูดแล้วก็พูดอีกอยู่นั่นเอง อยู่ใกล้แล้วเต็มไปด้วยความเร่าร้อนน่าอึดอัดอย่างที่สุด ใช้อุบายสะกิดให้รู้ตัวอย่างไรก็ไม่ได้ผล ปักใจเชื่ออยู่นั่นเองว่าแค่มีความรู้ธรรมะมากๆก็เป็นปัจจัยเพียงพอให้ไปสู่สุคติ พบพระศรีอารย์ บรรลุธรรมเร็ว

“วันนี้ดิฉันคงต้องไปกราบขอบพระคุณภิกษุที่ช่วยเหลือคุณป้าค่ะ”

“เหมาะแล้วครับ ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง จะเป็นสิริมงคลกับตนเอง แล้วมั่นใจด้วยว่าสิ่งที่ผมบอกไปนั้นเป็นความจริง”

“ขอถามอีกสักข้อได้ไหมคะ?”

“ได้… คุยกันเรื่อยๆจนกว่าเวลาจะหมด อะไรก็ได้”

“บางครั้งเหมือนดิฉันบอกอนาคตได้ถูก คือจะเป็นสังหรณ์วูบๆวาบๆ มักมาในรูปความฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า หรือพอใครเล่าอะไรให้ฟังก็คล้ายผุดความรู้ขึ้นเองว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายไปแบบไหน อยากทราบว่าตรงนี้ดิฉันคิดไปเอง อุปาทานไปเองหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่อุปาทานหรอกครับ เร็วๆนี้คุณหมอก็เพิ่งฝันเห็นวิญญาณซึ่งตายในมือคุณหมอใช่ไหมล่ะ สักอาทิตย์ก่อนนี้เอง”

มาวันทายืดตัวตรง ทำหน้าตื่น ยอมรับหนักแน่น

“ค่ะ!”

“คนทั่วไปจะไม่มีทางแยกออกเลยว่าอันไหนฝันเลื่อนเปื้อนไปเอง อันไหนฝันถึงเหตุการณ์ในอนาคต หรือฝันสื่อสารกับวิญญาณจริงๆ และเพราะไม่รู้ ก็เลยช่วยอะไรใครไม่ได้”

หญิงสาวใจเต้น

“แล้วดิฉันควรจะพัฒนาความสามารถตรงนี้ได้อย่างไรคะ?”

อุปการะเม้มปาก

“เท่าที่ผมเห็นด้วยตาเปล่า คุณหมอน่าจะเล่นกีฬา หรือเล่นดนตรีอะไรสักอย่างที่ทำให้มีลมหายใจแข็งแรง สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดีมาก และด้วยลมหายใจที่ยอดเยี่ยมนั้น ก็ส่งผลให้จิตใจมั่นคงเป็นสมาธิ นั่นเองทำให้มีความสามารถพิเศษทางจิตขึ้นมา ความจริงบรรดาหมอทั้งหลายก็เฉียดๆจะมีความสามารถนี้กันอยู่ โดยเฉพาะพวกหมอศัลย์หรือหมอฟันทั้งหลายที่ต้องจดจ้องละเอียดลออเป็นเวลานานๆจนนิ่ง เสียแต่ว่าในอาการนิ่งแบบหมอ จะมีความเครียด ความกดดัน ทำให้ฟุ้งหนัก กลายเป็นม่านมืดบดบังใจมากกว่าจะทำให้ใสและรู้อะไรดีๆ”

ทั้งมาวันทาและลานดาวนิ่งฟังอย่างสนใจยิ่ง

“สำหรับคุณหมอ คงเพราะมีการเล่นกีฬาหรือดนตรีมาผ่อนคลายความเครียดอย่างสม่ำเสมอ ทำให้กระแสจิตราบเรียบ สุขสดชื่นเป็นประจำ ความสามารถพิเศษก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ว่าจะผลุบๆโผล่ๆหน่อย เพราะ… อือม์… จะว่าไงดี… คือถ้าหากทำสมาธิภาวนาตรงๆ คนเราจะมีจิตที่ปลอดโปร่งบริสุทธิ์ แต่สมาธิในการเล่นกีฬาหรือดนตรีของคุณหมอนั้น มันเจือปนอยู่ด้วยความสนุกในเกม และความหยาดเยิ้มเคลิ้มหลงเสียงดนตรี เวลาจิตตั้งมั่นจึงมีความเอียง หรือความมัวหม่นเคลือบคลุมอยู่มาก”

“สำหรับกีฬา ดิฉันมักจะวิ่งออกกำลังเป็นประจำค่ะ บางครั้งก็วิ่งรอบสนามกีฬาของหมู่บ้าน แต่โดยมากจะวิ่งบนสายพานในห้องนอน นอกนั้นก็มีเล่นแบดมินตันกับเพื่อนสักอาทิตย์ละครั้ง ส่วนดนตรีก็ถูกนะคะ ดิฉันเป่าฟลุตซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ต้องโฟกัสอยู่กับลมหายใจตลอดเวลาทุกวัน”

อุปการะพยักหน้าเนิบนาบ ทอดตาลงต่ำ

“ดีครับ ต่อไปพอเล่นฟลุตเสร็จ ก็ลองนั่งดูลมหายใจอย่างเดียว เหมือนคนมองลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งเล่นๆ แค่หลับตาถามตัวเองว่าขณะนี้กำลังหายใจออกหรือหายใจเข้า ตอนหายใจออกผ่อนคลายยังไง หายใจเข้าสดชื่นแบบไหน หน้าท้องพองหรือแฟบ เอาเท่านี้แหละ แค่สิบนาทีก็จะเปลี่ยนจากสุขหยาดเยิ้มแบบเล่นดนตรี แปรมาเป็นปีติสุขอันเกิดจากความวิเวกในสมาธิ คราวต่อไปอาจพบว่าเมื่อจิตไปสัมผัสเหตุการณ์ล่วงหน้า นิมิตจะคมชัดและมีความแม่นยำสูงขึ้น”

มาวันทาขยับกายอย่างกระตือรือร้น

“อาจารย์คะ” หล่อนเลือกสรรพนามที่ตรงใจ “นี่เป็นความสามารถทางจิตแบบเดียวกับที่อาจารย์ใช้พยากรณ์ให้ใครต่อใครหรือเปล่า?”

อุปการะกะพริบตาเนิบช้าและจุดยิ้มมุมปากหน่อยหนึ่ง

“ก็ทำนองเดียวกัน เพียงแต่บวกมุมมอง บวกความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมและธรรมะเข้าไปด้วย คือไม่ใช่เพ่งจะเอานิมิตบอกอนาคตอย่างเดียวว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เล็งก่อนว่าร่างกายและจิตใจของเขาในขณะนี้ เป็นผลลัพธ์ หรือที่เรียก ‘วิบาก’ อันคลี่คลายมาจากกรรมหลักๆอย่างไร พอจิตเรารู้จักตัวเขาผ่านกรรมของเขา ถ้าเขาถามอะไร เราก็พยากรณ์ออกมาจากความรู้ตรงนั้นถูก”

“แล้วในส่วนของธรรมะล่ะคะ เอาเข้ามาประกอบการดูอย่างไร?”

“คนส่วนใหญ่มาดูหมอเพราะเป็นทุกข์ ผมก็ตอบให้ตามที่อยากรู้อยากเห็น เป็นการคลายทุกข์เบื้องต้น จากนั้นถ้าช่วยได้ ผมก็จะชี้ให้มองลึกลงไปหาต้นเหตุของทุกข์ ใครประกอบกรรมหลักๆอย่างไรเป็นเหตุให้ต้องทุกข์เสมอๆ ถ้าหาเจอแล้วรู้ตัว ละเลิกกรรมนั้นเสียได้ ก็เท่ากับเกาถูกที่คันด้วย ระงับเหตุให้เกิดความคันด้วย ผลคือหายทุกข์ในปัจจุบัน และไม่กลับกำเริบใหม่อีก”

นัยน์ตามาวันทาเป็นประกายเลื่อมใส ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจเอ่ย

“ถ้าหากหนูเป็นทุกข์ มีความอึดอัดคับแค้นใจเพราะการกระทำของคนอื่น ควรทำอย่างไรคะ? ในเมื่อต้นเหตุเป็นบุคคลที่ก่อกรรมกับเรา เขามีนิสัยฝังใจ ยากจะเปลี่ยนแปลง”

“คนเรามักมองว่าความอึดอัดนั้น มีต้นเหตุอยู่ที่คนอื่น ถ้ามองเสียว่าหลายๆครั้ง เราคับแค้นเพราะคิด มีความคิดเป็นเหตุสำคัญของความคับแค้น อันนั้นก็เป็นกรรมของเราเหมือนกัน คือเป็นมโนกรรมที่คิดเพ่งโทษผู้อื่น หากเราเลิกคิด หรือคิดในทางดีแทน ใจก็จะเปลี่ยนจากทุกข์มาเป็นสุข”

“แต่ถ้าเขาต้องติดต่อเกี่ยวข้อง หรือเป็นบุคคลใกล้ชิด ที่ไม่ยุติธรรมกับเรา หรือทำให้เราเดือดร้อนเป็นทุกข์ล่ะคะ?”

“หลายเรื่องในโลกแก้ไขจากข้างนอกไม่ได้ แต่ปรับปรุงดัดแปลงที่ภายในเราเองได้ คนอื่นนั้นต่อให้ตัดแขนตัดขา หั่นร่างกายเราออกเป็นชิ้นๆ เราจำเป็นต้องทุกข์แค่ที่กายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีทุกข์ทางใจเลย โดยมากจะอยู่ในรูปที่คนอื่นทำร้ายเราด้วยปากหรือมือไม้สิบนาที แต่เรามาทำร้ายตัวเองด้วยความคิดเสียสิบชั่วโมง”

มาวันทานิ่งซึมลง แต่ประกายตาคล้ายคิดได้

“กำลังหาทางว่าจะจัดการกับความคิดของตัวเองยังไงใช่ไหม?”

หญิงสาวกำลังย่นคิ้วนึกเช่นนั้นอยู่จริงๆ หัวคิ้วจึงคลายออก

“ค่ะ”

“ที่คลายหัวคิ้วออกมานี่เพราะ ‘ตัวอยาก’ จัดการความคิดหายไปใช่ไหม?”

แพทย์สาวยิ้มปนหัวเราะเล็กน้อย

“ค่ะ”

“ทำไมมันหายไปล่ะ?”

“เพราะอาจารย์รู้ใจแล้วทักหนูสิคะ”

“ถ้าต่อไปเรารู้ใจตัวเอง เห็นความอยากจัดการความคิดของตัวเอง แล้วทักตัวเองง่ายๆเหมือนอย่างที่ผมทักคุณหมอ ก็จะโปร่งเบาได้เช่นนี้เหมือนกัน ตรงที่รู้ตามจริงว่ากำลังอยากนั่นแหละอาการปรากฏของสติ ความอยากจะหายไป เหลือแต่สติรู้ทันวาระจิตตัวเองแทน”

มาวันทาหัวเราะอีกครั้งด้วยความปลอดโปร่งอย่างประหลาด เหมือนความทะยานอยากถูกจับได้เป็นครั้งแรกในชีวิต

“แค่รู้เฉยๆหรือคะ?”

“ง่ายใช่ไหมล่ะ? มนุษย์มีเส้นผมเล็กๆบังตาไม่ให้เห็นภูเขาทั้งลูก มัวแต่งมกันใหญ่ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอตราบใดที่ยังมีเส้นผมบังภูเขาไว้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีทุกข์ไว้รู้ ส่วนเหตุแห่งทุกข์ให้ละ ถ้าเราไม่เพิ่มเหตุแห่งทุกข์เข้าไป ทุกข์ก็หมดแรงเอง แต่นี่พอเราทุกข์เพราะคิด ก็ไปเพิ่มตัวอยากกำจัดความคิดเข้าไปอีก เลยทุกข์ซ้อนทุกข์ หาทางออกจากเขาวงกตกันไม่เจอ ดูไปเรื่อยๆเถอะ ครั้งต่อครั้ง ฝึกสติให้รู้ทันความอยากได้ทันเสียอย่างเดียว จะพบว่า เราไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดก็ได้”

มาวันทาเบาหัวอก บอกตนเองว่าจะระลึกถึงนาทีแห่งความสว่าง ความเข้าใจในแนวกำหนดสติเท่าทันความอยากนี้เรื่อยไป

เหลือบตามองเวลา ความจริงยังเหลืออีกสองสามนาที แต่นึกอยากถามอะไรอีกมาก คิดว่าวันหลังเตรียมมาเป็นข้อๆเลยจะดีกว่าเร่งรีบในขณะเวลาเหลือน้อย

“ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ หนูได้อะไรเยอะกว่าที่คาดไว้มากเหลือเกิน รับหนูไว้เป็นลูกศิษย์ด้วยคนนะคะ… ได้ทราบว่าอาจารย์จะย้ายไปอยู่บ้าน อยากขอที่อยู่ด้วยค่ะ”

อุปการะส่งนามบัตรซึ่งมีแผนที่คร่าวๆอยู่ด้านหลังให้ แล้วมองแพทย์สาวเยี่ยงบิดาผู้มีเมตตาและความอาทรต่อบุตรี

“ผมขอพูดอะไรอย่างหนึ่ง”

มาวันทาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอันน่าอบอุ่นที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง จิตอ่อนน้อมยอมศิโรราบ ค้อมศีรษะลงรับฟังอย่างตั้งใจทันที

“ค่ะ”

“เมื่อใดที่คนเราตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เมื่อนั้นสติปัญญาและความรู้ความสามารถทั้งหลายก็ไร้ค่า เพราะความคิดอ่านทั้งหมดจะถูกนำมาใช้สนับสนุนความหลงผิดหน้ามืดตามัว เราอาจเผลอก่อบาปกรรมได้เท่ากับคนไม่ดีคนหนึ่ง ฉะนั้นถ้าตั้งใจให้สัตย์ปฏิญาณกับตนเองอย่างแข็งแรงไว้ล่วงหน้า คือเป็นตายอย่างไรจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์สะอาด ก็เป็นความอุ่นใจว่าเราไม่มีวันสร้างเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองในภายหลัง”

แพทย์สาวฟังแล้วชะงักค้าง เพราะตลอดชีวิตค่อนข้างเชื่อมั่นในศีลธรรมแห่งตน ว่าไม่เคยมีสิ่งใดด่างพร้อย เหตุใดจึงถูกเตือนเรื่องระวังรักษาศีลเข้าอีก ทว่าหล่อนก็ได้แต่เก็บความฉงนใจไว้ และรับปากกับผู้ที่ตนเรียกแล้วว่าอาจารย์

“ค่ะ หนูจะระมัดระวังเสมอ ขอบพระคุณนะคะ แล้ววันหลังจะขอมารบกวนอาจารย์ใหม่”

ออกจากซุ้มหมอดู มาวันทายิ้มระรื่น เมื่อเหลียวเห็นลานดาวซึมลงจึงทักถาม

“ทำไมหน้ามุ่ยอย่างนั้น?”

คนหน้ามุ่ยเงียบนิดหนึ่งก่อนตอบ

“เปล่าค่ะ เห็นพี่เอินสมใจก็เป็นปลื้มแทน”

“ตอนปลื้มทำหน้าเงี้ยนะ?”

“ค่ะ เป็นสไตล์ของแต่ละคน”

“อ้อ! จริงด้วย ขอบใจมากนะจ๊ะที่พาพี่มา รู้สึกดีมากๆเลย ถือว่าจ๊ะทำให้พี่ได้พบอาจารย์ทีเดียว”

“ศรัทธาขนาดนั้นเลยหรือคะ แค่หมอดู…”

ลานดาวเสียงอ่อย

“ในความรู้สึกของพี่ ท่านไม่ใช่หมอดูเลยนะ ไม่ใช่แค่นั้น…”

เห็นความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างสูงของมาวันทาแล้วลานดาวก็เงียบเสียง จำต้องยอมรับกับตนเองว่าหล่อนกำลังประหวั่นเร้นลับ เพราะถ้าหากหมอดูอุปการะเป็นผู้วิเศษจริง มิแปลว่าเรื่องคู่ของหล่อนจะต้องเป็นไปตามประกาศิตคำทำนายของเขาแน่นอนแล้วหรอกหรือ วันนี้หล่อนอยากได้ยินหมอดูอุปการะปล่อยไก่ ทักทายผิดพลาดอย่างน่าขันมากกว่าจะให้การณ์กลายเป็นตรงข้ามเช่นนี้

“พี่ขอแวะวัดสืบเชตุพนหน่อยได้ไหม? อยากไปกราบพระจำรัส… ถ้าท่านจะมีตัวตนอยู่จริง”

ลานดาวทอดตาไปไกล นั่นเป็นข้อพิสูจน์ชิ้นสุดท้ายว่าหมอดูอุปการะเก่งกาจแบบฤาษีทรงอภิญญาหรือไม่

“ได้สิคะ… จ๊ะก็อยากเห็นเหมือนกัน”


ลานดาวขับรถตามทางที่มาวันทาชี้บอก กระทั่งถึงวัดในชั่วโมงต่อมา

“ท่านคะ…” มาวันทาพนมมือกราบถามพระรูปหนึ่งที่เดินผ่าน “ไม่ทราบว่าวัดนี้มีพระชื่อจำรัสอยู่หรือเปล่า?”

พระในวัยสามสิบรูปนั้นขมวดคิ้วย่น พยายามทบทวน

“จำรัสหรือ? ไม่มีนี่”

ลานดาวซึ่งยืนเงี่ยหูฟังด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆถึงกับตาใส โพล่งออกมาทันที

“นั่นไง… จ๊ะว่าแล้ว มั่วแน่นอน!”

แต่มาวันทายังไม่ละความพยายาม

“ท่านรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ แล้วก็ท่าทางดุหน่อยน่ะค่ะ”

บอกลักษณะไปด้วยความเกร็ง เพราะไม่ทราบว่าจะออกหัวออกก้อย เกิดพระถามว่าเอาชื่อและลักษณะพระมาจากไหน หล่อนคงกระอักกระอ่วนเต็มที

“เอ… โยมจะหมายถึงท่านจรัสพงศ์หรือเปล่านะ”

โยมสาวตาสว่าง ยิ้มอย่างมีความหวังขึ้นรำไร

“ดูเหมือนท่านอาจเป็นพระมหาเปรียญน่ะค่ะ”

“เอ้อ!… อย่างนั้นคงใช่ล่ะ ท่านมหาจรัสพงศ์ อยู่กุฏิด้านในนะ หากอาตมาจำไม่ผิดจะอยู่กุฏิรวม ห้องเลขที่ ๒๗… นี่นัดท่านไว้หรือเปล่าล่ะ?”

มาวันทายิ้มอย่างแห้งแล้ง

“เปล่าเจ้าค่ะ”

“งั้นโยมบอกเด็กข้างล่างให้ขึ้นไปช่วยเคาะประตูเรียกท่านก็ได้ หรือถ้าไม่เห็นใคร จะดูเบอร์โทรศัพท์ประจำห้องจากกระดานด้านล่าง โทร.ขึ้นไปกราบขออนุญาตพบด้วยตนเอง ท่านคงลงมา“

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

พนมมือค้อมตัวกราบด้วยความนอบน้อมและน้ำเสียงสดใสยิ่ง

วัดสืบเชตุพนจัดเป็นวัดใหญ่ในย่านชุมชนนั้น เหล่าพระมักมีกิจนิมนต์ประจำ มีทั้งกุฏิแยกและอาคารรวม ระหว่างทางเดินมาด้วยกัน ลานดาวยิ่งจ๋อยลงทุกที

“ยิ้มหน่อยน่า”

มาวันทาเอ่ยขออย่างคนกำลังมีความสุข ตรงข้ามกับอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง

“เห็นอยู่แล้วว่าทายชื่อผิด พระจำรัสไม่มีตัวตน พี่เอินยังเชื่ออยู่อีกหรือคะ?”

“หมออุปการะเหนื่อยมาทั้งวัน อาจบอกคลาดเคลื่อนบ้างนิดหน่อย แบบเดียวกับที่ถ้าเราเหนื่อยก็คงเล่นดนตรีผิดๆถูกๆได้ แต่เดี๋ยวเรากำลังจะรู้กันในสองสามนาทีนี้แหละว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง มีเค้าบ้าง หรือเหลวไหลอย่างสิ้นเชิง”

“เจอกันพี่จะพูดอะไรคะ?”

“แค่กราบขอบพระคุณท่านนิดเดียว นี่ก็หกโมงกว่าแล้ว คงรบกวนท่านไม่เกินห้านาที แล้ววันอื่นค่อยมาใหม่ มาวันนี้เพราะใจร้อน แค่อยากรู้ให้ได้ว่าท่านมีตัวตนอยู่จริงเท่านั้น”

พอมาถึงกุฏิรวมซึ่งน่าจะเป็นที่หมาย มาวันทาก็เหลียวไปรอบๆ ตั้งใจให้ค่าขนมเด็กวัดสักยี่สิบบาท ขึ้นไปกราบเรียนขออนุญาตพบพระมหาจรัสพงศ์ ทว่าก็เห็นแต่พระหนุ่มกลุ่มหนึ่งนั่งเสวนากันใต้อาคาร ซึ่งดูแล้วหล่อนคงไม่กล้าแทรกตัวเข้าไปในเขตของพวกท่านเท่าไหร่

ยินเสียงแกรกกรากที่ด้านไกล เหลียวไปก็พบพระร่างสูงใหญ่รูปหนึ่งกำลังยืนกวาดใบไม้ อันเป็นกิจของพระที่ไม่ค่อยมีใครเห็นเท่าใดในวัดเมืองกรุง มาวันทาเพ่งพินิจ แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าอาจใช่พระรูปที่ตนกำลังแสวงหาอยู่นั่นเอง จึงฉวยมือลานดาว

“นั่นอาจเป็นท่านก็ได้ ลองไปถามดูเถอะ”

สองสาวเดินตัดลานดินไปถึงสมณะที่หมาย ปรากฏตัวตรงหน้าในระยะห่างพอสมควร มาวันทาพนมมือกราบเรียนท่านด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหน่อยๆ

“กราบขออภัยเจ้าค่ะ โยมมากราบนมัสการพระมหาจรัสพงศ์ ทราบว่าท่านอยู่ที่กุฏิรวมนี้ แต่ไม่ทราบจะขออนุญาตเข้าพบท่านได้อย่างไร”

พระร่างคล้ำชะงักกิจกวาดใบไม้ของท่าน เงยหน้ามองสีกาทั้งสองด้วยความฉงน

“อาตมานี่แหละพระมหาจรัสพงศ์ โยมมีธุระอะไรหรือ?”

มาวันทายิ้มอย่างยินดี อึกอักเพียงครู่เดียวก็เรียบเรียงคำออกมาจนได้

“คือ… อาจจะฟังดูแปลกหน่อยนะเจ้าคะ หากผิดพลาดประการใดกราบขอประทานอภัย โยมขอถามตรงไปตรงมา ว่าพระคุณเจ้าเคยกรุณาให้ความสงเคราะห์วิญญาณผู้ตาย ซึ่งญาตินำศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดนี้เป็นประจำใช่หรือไม่?”

ท่านมหาจรัสพงศ์นิ่งไปอึดใจ เล็งแลสีกาผู้กล่าวเปิดการเจรจาพาทีด้วยความประหลาดใจครามครัน

“ก็มีอยู่นะโยม”

รับเพียงนั้นแล้วนิ่งเป็นดุษณี เนื่องจากไม่แน่ใจนักว่าสมควรกล่าวประการใดต่อ

“โยมต้องกราบขอบพระคุณในความกรุณาของพระคุณเจ้าด้วยนะเจ้าคะ เพราะหนึ่งในวิญญาณที่ได้รับการสงเคราะห์ อาจเป็นญาติของโยมเองที่เพิ่งเสียไปเมื่อหลายเดือนก่อน”

แววตาของพระยังไม่จางความสงสัย

“เชิญนั่งก่อน”

ท่านวางไม้กวาดพิงกับต้นไม้ แล้วนำสองสีกานั่งที่โต๊ะหินด้านใกล้

“เรื่องเป็นอย่างไรกันนี่?”

เสียงท่านคมชัดเหมือนดุ แต่มาวันทาจับหางเสียงทอดอ่อนอย่างมีเมตตาได้ จึงเริ่มเกิดความสบายใจ และหากมีสิ่งใดผิดพลาดก็คงไม่นึกอับอายนัก ดูวัยของท่านก็น่าจะห่างจากหล่อนเพียงไม่เกินห้าปีเท่านั้น นับว่าน้อยกว่าที่คิดมาก

“กราบเรียนแบบไม่อ้อมค้อมเลยแล้วกันนะเจ้าคะ คุณป้าของโยมเพิ่งเสีย โยมเป็นทุกข์อยู่ด้วยความห่วงว่าถ้าชาติภพมีจริง ป้าอาจไปไม่ดีนัก เพราะก่อนตายดูท่าทางกระสับกระส่ายและบ่นว่าร้อน เพิ่งวันนี้… น้องสาวของโยมพาไปพบหมอดูคนหนึ่ง ซึ่งมีญาณรู้เห็นแบบทางใน ท่านบอกทำนองว่าป้าของโยมไปร้ายจริง แต่มีคนช่วยเหลือไว้แล้ว ส่งให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้นแล้ว เอ้อ… ซึ่งก็คือพระคุณเจ้า”

“งั้นหรือ?”

คราวนี้ท่านแสดงอาการประมาณทึ่งมากกว่าจะสงสัย

“ภิกษุแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ สรรพวิญญาณอยู่แล้ว โดยเฉพาะในวันสวดศพน่ะนะ อาตมาเป็นเพียงพระผู้น้อยที่ทำตามธรรมเนียมเหล่าครูบาอาจารย์พระปฏิบัติท่าน ที่สอนว่าถ้าช่วยได้ก็ควรช่วย แค่อีกวันของเรา แต่อาจเป็นภพใหม่ของเขา… ว่าแต่หมอดูบอกอย่างไรล่ะ ระบุชื่ออาตมาเลยทีเดียว หรือว่าประมาณรูปร่างหน้าตาอย่างอาตมา?”

“ความจริงบอกคลาดเคลื่อนนิดหน่อยเจ้าค่ะ คือระบุว่าท่านชื่อจำรัส แต่โยมถามพระในวัด ท่านว่ามีแต่มหาจรัสพงศ์”

มหาจรัสพงศ์แย้มปากหัวเราะเอื่อย ดูสีหน้าลดความเคร่ง อ่อนเยาว์ลงมาก

“ชื่อเดิมของอาตมาคือจำรัส! ทุกวันนี้บางคนที่รู้จักกันแต่เด็กก็ยังเรียกว่าจำรัสอยู่ สำหรับชื่อจรัสพงศ์นั้นตั้งใหม่เมื่อก่อนอายุครบบวช เพราะมีหมอดูทักให้โยมพ่อโยมแม่เปลี่ยนชื่ออาตมาเป็นอย่างนี้จะดวงดีขึ้น ความจริงอาตมาเห็นว่าเหลวไหล แต่ขัดพ่อแม่ไม่ได้ จึงต้องเลยตามเลย”

มาวันทากับลานดาวขนลุกซู่

“หมอดูที่ว่านี่คือใครล่ะ? ท่าทางมือฉกาจทีเดียว โยนชื่อออกมาถูกเป๊ะได้อย่างนี้”

“ท่านชื่ออุปการะเจ้าค่ะ… อุปการะ ตโมไพรี”

“อื้อม์…”

มหาจรัสพงศ์ปิดตาลง หายใจยาวดับความหมายรู้ทางอายตนะหยาบด้วยความชำนาญ กำหนดใจให้นิ่งว่างสว่างรู้โดยปราศจากอคติใดๆ แล้วเอาจิตแตะเข้าไปที่ชื่ออุปการะ ตโมไพรี ความรู้ก็ผุดเด่นขึ้นด้วยเดชะแห่งการบำเพ็ญเพียรภาวนามาช้านาน ชั้นแรกเป็นนิมิตใบหน้าอิ่มบุญ นุ่มนวล มีเมตตาของชายกลางคน คล้ายภาพที่ถูกฉายบนจอภาพยนตร์ ชั้นที่สองคืออาการแจ่มแจ้งว่าบุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดา ข้างนอกสวมเสื้อผ้าฆราวาส แต่ข้างในยังเป็นจีวรพระ ที่ต้องสึกออกมาทำอาชีพหมอดูชั่วคราวเพราะความจำเป็นบางประการ ซึ่งมหาจรัสพงศ์ก็ไม่ติดใจสืบสาวล้วงลึกไปในเรื่องส่วนตัวใคร

และเมื่อกำหนดจิตน้อมเอานิมิตหมออุปการะมาโยงเข้ากับกระแสจิตของสองสีกาตรงหน้า ท่านมหาก็รู้ทะลุปรุโปร่ง เห็นอาการต้านจากสีกาด้านซ้าย และอาการยอมรับเป็นครูอาจารย์จากสีกาผู้เสวนากับตน

แม้รู้ละเอียดเช่นนั้น ท่านมหาจรัสพงศ์ก็มิได้เอ่ยแสดงแต่อย่างใด เมื่อลืมตาขึ้นก็เพียงกล่าวด้วยสำเนียงราบเรียบเป็นปกติ

“ก็ดีนะ ถือว่าทำให้โยมสบายใจเรื่องญาติได้ แล้วก็ปลูกฝังศรัทธาให้เกิดขึ้น จะได้เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ภพภูมิหลังความตายไม่ใช่เรื่องหลอก”

“เจ้าค่ะ… โยมมีความสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง วิญญาณคนตายส่วนใหญ่อยู่ในภาวะไม่สามารถช่วยตนเองเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”

มหาจรัสพงศ์แย้มริมฝีปากเล็กน้อย ทอดตามองสีกาด้วยเมตตา

“มนุษย์ส่วนใหญ่อยู่ในห้วงภวังค์ เหมือนถูกสะกดด้วยคำสาป ต้องมนต์หลงใหลรูป รส กลิ่น เสียงจนโงหัวไม่ขึ้น กิเลสขี่คออยู่ตลอด แบบเดียวกับทาสที่นายบังคับให้ทำอะไรก็ทำ หรือแบบเดียวกับนักโทษถูกจับกดน้ำให้สำลักแล้วสำลักเล่า โอกาสหายใจหายคอไม่ค่อยมี… จิตวิญญาณคนเราก็อย่างนั้น เปียกชุ่มด้วยน้ำคือกามและพยาบาท ที่จะแห้งสะอาด สบาย เบิกบานเป็นกุศลนั้นยากนัก

“ดังนั้นหากตายก่อนถึงอายุขัยก็มักอยู่ในอาการมึน หรือสะลึมสะลือ จิตไม่มีกำลังเพียงพอจะเคลื่อนไปสู่ภพใหม่ ยังไม่ไปเป็นเทวดา สัตว์ อสุรกาย หรือสัตว์นรก หากจะเทียบให้ใกล้เคียงที่สุดก็คืออยู่ในภูมิเปรต ยังเต็มไปด้วยความทรงจำเก่าๆ เหมือนคนเดิมที่กำลังฝันร้าย น้อยเท่าน้อยที่จุติจากความเป็นมนุษย์แล้วทะยานขึ้นสูง ส่วนใหญ่พุ่งหลาวลงเหวกันเรียบ”

“แล้วพระคุณเจ้าสงเคราะห์วิญญาณที่พอโปรดได้อย่างไรเจ้าคะ?”

“วิญญาณลำบากที่อาตมาและเพื่อนพระทั้งหลายพอช่วยได้จะเป็นประเภทไม่ถูกอกุศลวิบากห่อหุ้มไว้หนาเกินไป ยังมีช่องว่างให้ความสว่างแห่งกุศลแทรกเข้าไปถึงได้บ้าง รับไอเย็นจากกระแสเมตตาได้บ้าง อันนี้เปรียบเหมือนสาดน้ำเย็นใส่ ถ้าไม่ใส่เกราะเหล็กปิดบังไว้หนาเกิน ความเย็นของน้ำก็แทรกถึงผิวเขาเอง พอเรียกสติได้บ้าง ทำนองเดียวกับคนสลบถูกปลุกได้ด้วยความชุ่มชื่นของน้ำ

“พอเขารู้สึกตัว หายมึนแล้ว มีสติคิดอ่านพร้อมพอจะรับรู้อะไรๆ อาตมาและเพื่อนพระทั้งหลายก็อุทิศส่วนกุศลให้เขารับ อันนี้จะเปรียบเหมือนการยื่นน้ำให้เขาดื่มกิน เมื่อน้ำล่วงผ่านคอลงท้อง ก็จะหายหิว มีกำลังวังชา และสามารถเดินทางไปสู่เมืองใหม่อันควรแก่เขาได้”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

มาวันทาพนมมือไหว้ด้วยความกระจ่างในธรรม ขณะเดียวกันก็ขนลุกอีกระลอกไปด้วย เพราะท่านมหากล่าวราวกับลอกคำสำคัญของหมออุปการะมาจนสิ้น

“กราบขอบพระคุณอีกครั้งสำหรับความกรุณาที่มีต่อญาติของโยม ขอพระคุณเจ้าได้โปรดจำโยมไว้เป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง ขอปวารณาตัวเป็นอุปัฏฐาก หากมีสิ่งใดขาดเหลือ เมื่อพบหน้าขอให้ใช้สอยได้เสมอ”

พระมหาจรัสพงศ์หัวเราะเล็กน้อยในลำคอ คิดในใจว่าสีการายนี้ท่าทางคุ้นกับธรรมเนียมเสวนาระหว่างฆราวาสและพระดีจริง

“เจริญพร”

“โยมอยู่นานคงไม่เหมาะ เพราะเย็นมากแล้ว วันหน้าค่อยขออนุญาตมากราบทำบุญกับพระคุณเจ้านะเจ้าคะ”

“เจริญพร”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น