ตอนที่ ๑๔. ทางออก
ลานดาวเคยเข้าใจว่ายอดแห่งทุกข์คือรักที่เป็นไปไม่ได้
แต่มาบัดนี้หล่อนพบเจอสิ่งที่เหนือกว่านั้น คือทุกข์เพราะถูกคนรักขับไล่ไสส่ง
มันทำให้เป็นตายเท่ากัน… หรือตายไปตกนรกหมกไหม้ยังอาจจะดีเสียกว่า
หล่อนกลายเป็นคนโมโหร้าย หมกตัวอยู่แต่ในห้อง
ข้าวปลาตกถึงท้องนิดเดียว วันๆเอาแต่มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง
ขยับเขยื้อนบ้างก็มักหยิบฟลุตขึ้นมาเป่า
แต่เป่าทั้งน้ำตามากกว่าด้วยสีหน้าแช่มชื่นเยี่ยงนักดนตรีผู้เป็นสุขอยู่ในโลกแห่งกระแสเสียงละเวงเสนาะที่ตนสร้างขึ้น
ถ้าใครมาเคาะประตูเรียกให้ไปทานข้าวก็เงียบเฉยหรือส่งเสียงปฏิเสธสั้นๆ
ยิ่งหากเด็กรับใช้ดวงซวยคนใดถูกส่งขึ้นมาเซ้าซี้มากๆ
ก็อาจเจอหล่อนเอาของขว้างประตูแตกเปรื่องและกรีดเสียงแหลมไล่เหมือนแม่มดวิกลจริต
มารดาของลานดาวแจ้งมาวันทาถึงพฤติกรรมอันน่าเป็นห่วงนี้
โดยทีแรกไม่รู้ว่าจุดไต้ตำตอ แพทย์สาวโทร.มาหลายครั้ง
ขอร้องให้น้องรักกินข้าวกินปลาด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ราวกับถูกเผาทั้งเป็น
แต่นั่นยิ่งกลายเป็นทำให้ลานดาวเลิกแตะต้องอาหารอย่างเด็ดขาด หล่อนปล่อยให้มาวันทาพูดอ้อนวอน
พูดขอโทษชักชวนกลับมาคบกันเหมือนเดิมจนเสียงแหบแห้งเก้อเปล่า
แม้กระทั่งอุตส่าห์มาถึงหน้าห้องเคาะประตู ลานดาวก็ไม่เปิดรับ
เพียงส่งเสียงเยียบเย็นสั่งมาวันทาให้หย่ากับลัดธีร์เสียก่อนแล้วค่อยคุยกันใหม่
และเพราะมารดาของลานดาวตามมาวันทาขึ้นมาร่วมได้ยินเสียงสั่งนั้น
จึงทำให้ผู้ใหญ่รู้เรื่องกันหมด ทุกคนตกใจ ประหลาดใจ
และวุ่นวายกันจนรุ่มร้อนไปทั่ว ลานดาวขู่ว่าถ้าพังประตูเข้ามา
จะไม่มีใครพบตัวเป็นๆของหล่อนอีก และยิ่งมาวันทาแสดงความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ขอความเห็นใจมากเท่าไหร่ ลานดาวก็ยิ่งพูดน้อยลงเท่านั้น
กระทั่งที่สุดแม้มาวันทาโทร.หาก็รับแล้วปิดสวิทช์หนีไปเฉยๆ
คืนวันแห่งความอึมครึมดำเนินไปท่ามกลางความทุกข์ถ้วนหน้า
แล้ววันหนึ่งลานดาวก็ทำเรื่องที่ไม่มีใครนึกถึง
คือแอบย่องเอารถออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ต่อเมื่อท้ายรถลับตา
ประตูเปิดอ้าอยู่นั่นเองจึงค่อยรู้กันว่าคุณหนูตัวร้ายของบ้านก็อันตรธานไปเสียแล้ว
ลานดาวนำรถมาจอดเงียบเชียบหน้ารั้วบ้านมาวันทา
เวลานั้นไล่เลี่ยกับที่แพทย์สาวเพิ่งตื่นขึ้น และเตรียมตัวทำกับข้าวให้สามีนักบิน
เหลี่ยมท้ายรถยุโรปคันแพงเข้าตาโดยบังเอิญขณะกำลังเปิดประตูเรือน มาวันทาเบิกตาตะลึง
ก่อนเข้าบ้านเอากุญแจ แล้วครึ่งวิ่งครึ่งเดินอย่างร้อนรนไปเปิดรั้ว
และปราดไปยืนข้างกระจกด้านคนขับ
“จ๊ะ!”
ร้องเรียกอยู่สองสามหน รวมทั้งยกมือเคาะหลายป๊อก
กระจกจึงเลื่อนลงมา
เห็นหน้าเซียวหมองของลานดาวแล้วใจหายลึก
เนื้อหนังที่เคยผุดผาดนวลลออเป็นยองใย บัดนี้ซูบซีดขาดน้ำขาดนวลเพราะอดอาหารหลายวันผสมกับความตรอมใจ
ใบหน้าที่เคยสวยสะดุดตา ยามนี้กลับหมองคล้ำอย่างน่าใจหาย
แก้มตอบตาโหลเหมือนอดนอนและเอาแต่หมกมุ่นซุ่มทุกข์
ลานดาวเบนหน้ามองพี่สาวเชื่องช้า
ริมฝีปากแห้งผากเพราะขาดน้ำขยับเผยเพื่อทักทาย
“หวัดดี พี่เอิน…”
น้ำเสียงของลานดาวยังทรงสติเต็มดีทุกประการ
ความรัก ความห่วงใยอาทรที่รู้กันว่ายังล้นใจทั้งสองฝ่ายทำให้มาวันทาน้ำตารื้น
หล่อนเอื้อมมือเขย่าแขนน้องสาวและวอนเสียงพร่า
“จ๊ะ เลิกทำร้ายตัวเองเถอะนะ”
ลานดาวเบนสายตากลับไปมองถนนตามเดิม
“แค่อยากมาบอกว่าขอโทษสำหรับความเอาแต่ใจตัว
ขอโทษสำหรับการอาละวาดทำลายของรักของหวงของพี่เอิน และ…
ขอให้พี่เอินกับพี่อ๋องมีความสุขตลอดไป”
ได้ยินเช่นนั้นมาวันทาถึงกับโหวงลึก
เพราะฟังออกว่าลานดาวส่งสัญญาณอะไรมา
“จ๊ะ เธออย่าทำบ้าๆนะ!”
ลานดาวบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง กระจกไฟฟ้าเลื่อนขึ้น
“จ๊ะ!!”
มาวันทากรีดเรียกลั่นถนน พอรถเริ่มเคลื่อนที่
หล่อนก็รีบวิ่งอ้อมไปขวางหน้ารถอย่างไม่คิดชีวิต ทำให้ลานดาวต้องหยุดกึก
เขม่นมองหาทางออกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจถอยรถหนี
ซึ่งมาวันทาก็ถลาเข้าโถมตัวเกาะฝากระโปรงเพราะเกรงว่าจะวิ่งตามไม่ทัน
“อย่าทำอย่างนี้… จ๊ะ หยุดเถอะ!”
เสียงของแพทย์สาวดังพอจะเรียกคนละแวกนั้นให้เยี่ยมหน้าออกมาดู
ลานดาวจำต้องหยุดรถเพราะเกรงมาวันทาจะหลุดมือลงกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บ
อีกอย่างเผอิญมีรถคันหนึ่งเพิ่งโผล่ออกมาจากบ้าน ขวางทางไว้ด้วย
“คุณเอกขา! อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ
ช่วยจอดขวางไว้ก่อน”
มาวันทาตะโกนบอกเจ้าของรถคันนั้นเสียงหลง
ซึ่งชายหนุ่มบนที่นั่งคนขับก็ลงจากรถมาดูเหตุการณ์งงๆ ลานดาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
กดปุ่มเลื่อนกระจกลง และร้องบอกพี่สาวด้วยเสียงอันดัง
“หลีกไปพี่เอิน ไม่งั้นจ๊ะจะขับพุ่งไปเลย
ถ้าตกลงมาโดนทับอย่าว่ากันนะ”
ผู้ขวางทางสั่นศีรษะ
ยังคงใช้สองแขนโอบหน้ารถไว้แน่นด้วยสำนึกรู้ว่านั่นคือเรี่ยวแรงทั้งหมดที่อาจสกัดกั้นทางมรณะไว้ได้
พ้นจากนี้จะไม่มีการเจอกันอีกสถานเดียว
“ลงมาคุยกันก่อนเถอะจ๊ะ ได้โปรด”
หล่อนวิงวอนอย่างน่าสงสาร
แต่ลานดาวทำเป็นไม่ได้ยิน หล่อนเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งเล็กน้อยแล้วกดเบรกกึก
กะพอให้ร่างแบบบางหลุดจากการเกาะ มาวันทาเสียหลักตามแรงผลัก ผงะซวนเซเกือบล้ม
แต่ก็กลับมายืนกางแขนขวางใหม่ คนขับจึงถอยสั้น
แล้วหยุดเหยียบคันเร่งย้ำๆหลายครั้งในเกียร์ว่าง เพ่งตาตรงเหมือนขู่ว่าคราวนี้จะพุ่งไปชนอย่างแรงจริงๆถ้าขืนตื๊อไม่เลิกอยู่อีก
แต่มาวันทาก็ยืนเฉย ประหนึ่งแทนคำท้าว่าเอาเลย ขอให้เอาชีวิตหล่อนไป
ถ้าต้องการขับผ่านตำแหน่งที่ยืนอยู่นั้น
บางบ้านเริ่มออกมายืนสังเกตการณ์ใกล้ๆ
และนั่นก็ทำให้ลานดาวรำคาญเหลืออด เปิดประตูรถก้าวมาข้างนอก
“จะเอาอะไร? จ๊ะจะไปของจ๊ะน่ะ
มายืนยักแย่ยักยันเป็นหุ่นไล่กาอยู่ได้ กลับไปดูแลผัวไป๊!”
ตะเพิดให้โกรธ อาย และเกิดมานะปล่อยหล่อนไปตามทาง
ทว่านั่นกลับกลายเป็นการสบช่องของมาวันทา แพทย์สาวรีบปราดเข้าเปิดประตู
แทรกตัวเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ ดึงเข็มขัดใส่ล็อกแน่นหนา
ลานดาวก้าวกลับกระแทกตัวนั่งตะแคงเข้าหาคนถือวิสาสะด้วยท่าทีโมโหจัด
“ลงไปนะ!”
เสียงตวาดกราดเกรี้ยวไม่ได้ทำให้มาวันทาสะดุ้งสะเทือน
“ให้พี่ไปด้วย…”
“จะไปทำไม รู้หรือเปล่าว่าเค้าจะไปไหน?”
มาวันทาก้มหน้านิ่งเงียบ
คล้ายตอบอยู่ในทีว่าไปไหนไปเถอะ จะไม่ถามไถ่เลย
“นั่งทำหน้าเหมือนคนปัญญาอ่อนเข้านะ
สูดยาในโรงพยาบาลจนเอ๋อหรือไง… บอกให้ลงไป!”
“จ๊ะ… พี่รักเธอ พี่อยากอยู่กับเธอ…”
มาวันทาพูดเสียงสั่นเครือ
หล่อนเคยกล่าวเช่นนั้นหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ส่องสะท้อนความในใจ
มิใช่ด้วยสำเนียงรักแกมเอ็นดูแบบพี่สาวเหมือนที่ผ่านๆมา
และนั่นทำให้ลานดาวชะงักกิริยาขับไล่ไสส่งลงได้ชั่วคราว
“จะมีประโยชน์อะไรคะ ผัวพี่เอินยังอยู่ทั้งคน”
พอพูดถึง ก็เผอิญเจ้าตัวโผล่หน้าออกมาพอดี
ซึ่งเมื่อลานดาวเหลียวเห็นเข้า ก็ดึงประตูรถปิดปัง
กับทั้งเข้าเกียร์พุ่งรถปราดออกไปแบบไม่ต้องคิด ลัดธีร์เลี่ยงตัวหลบนิดหนึ่ง
รู้ว่าคนขับไม่กะชน แต่ก็จงใจเฉียดให้เสียวพุงเล่นด้วยความแม่นระยะ
ทิ้งผู้คนให้ยืนงุนงงประหลาดใจไว้เบื้องหลัง
รถวิ่งฉิวออกนอกหมู่บ้าน แล้วออกนอกเขตเมือง มาแล่นลิ่วบนถนนหลวงเส้นทางพาลงใต้
มาวันทาเห็นลานดาวขับอย่างมีสติ ไม่ออกอาการห้อตะบึงน่าหวาดเสียวก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
“พี่อยากออกต่างจังหวัดไกลๆกับจ๊ะอย่างนี้นานแล้ว”
แพทย์หญิงเอ่ยเป็นคำแรกหลังจากปล่อยให้ความเงียบงันครองอากาศอยู่ร่วมชั่วโมง
“รู้ได้ยังไงว่าจะไปไกล?”
ลานดาวกระชากเสียงถามห้วน มาวันทาไม่ตอบ
แต่กล่าวอีกทาง
“คิดไม่ถึงเลยนะ
ว่าเช้านี้จะได้เดินทางไกลกับจ๊ะโดยไม่มีโอกาสเตรียมตัว”
ลานดาวแค่นหัวเราะ
“อย่าทำเป็นพยายามญาติดีหาทางกลับมาผูกสนิทเลยพี่เอิน
เหมือนจ๊ะตายไปแล้ว ตอนโดนพี่เอินไล่!”
มาวันทาน้ำตารื้น
“พี่ขอโทษ จะให้บอกกี่ครั้ง
เธอไม่เคยพลั้งปากด้วยอารมณ์ชั่ววูบบ้างหรือ?”
“อย่า… อย่าแก้ตัว ตอนนั้นพี่เอินคิดจริงๆ
แล้วก็อาจจะชั่งใจมานานแล้วด้วย ไม่ใช่กิริยาพูดจาของคนคิดชั่ววูบสักนิด
กลัวใช่ไหม ถ้าเลยเถิดกว่าที่เป็นอยู่จะสายเกินขอเลิกคบ?”
มาวันทาอึ้งงันเพราะถูกจี้ใจดำ ครู่ใหญ่ก็ก้มหน้า
เผลอรำพึงด้วยความอกไหม้ไส้ขม
“เราไม่น่ารู้จักกันเลย”
“ช่วยไม่ได้ค่ะ อยากใจดี
หว่านความช่วยเหลือไปทั่ว ก็ต้องเจอคนน่ารักที่แสนร้ายเข้าบ้าง”
แล้วลานดาวก็บีบเสียงให้เข้มขึ้นกะทันหัน
“กลัวงามหน้า
กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงถึงวงศ์ตระกูลเพราะหลงรักผู้หญิงด้วยกันนักใช่ไหม? อิโธ่เอ๊ย! ดูจีบปากพูดเข้าซิ… เราไม่น่ารู้จักกันเลย…
ฟังแล้วอยากขับรถเสยหลักกิโลจัง”
หัวรถเบนกินขวาออกนอกเส้นทางหลัก
อัตราเร่งทวีตัวขึ้นฉับพลันตามแรงกดของเท้าคนขับ
มาวันทาเงยหน้าขึ้นมองความผิดปกตินั้น
แล้วก็ได้เห็นภาพหลักกิโลเมตรถูกดูดใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วจนต้องเกร็งตะลึง
ตัวหล่อนเหมือนลูกธนูที่พุ่งเข้าเป้ามรณะด้วยแรงดีดมหาศาล
เบื้องหน้ากลายเป็นฉากน่าพรั่นพรึงปุบปับ
แตกต่างจากหนทางโล่งลิ่วดูปลอดภัยไร้กังวลเมื่อครู่เป็นคนละมิติ
แต่แล้วก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
ลานดาวก็ตบพวงมาลัยกลับเข้าถนนตามเดิม ท้ายปัดเอี๊ยด
มุมกันชนเฉียดหลักกิโลไปนิดเดียว มาวันทายกมือปิดปากอย่างอกสั่นขวัญแขวน
บางสิ่งในอากาศบอกว่าพริบตาเมื่อครู่คือของจริงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
ไม่ใช่แค่แกล้งขู่ให้ใจแป้วเล่นด้วยฤทธิ์คะนองร้ายกาจประการเดียว
เหลียวดูเห็นแม่ตัวร้ายยังหน้าตาถมึงทึง
มีเค้าเมฆหมอกอารมณ์มืดค้างคาอยู่
จึงตระหนักในบัดนั้นว่านั่งรถมากับตีนผีที่มีจิตใจแปรปรวนเป็นอันตราย
จะทำเล่นหรือทำจริงเมื่อใดไม่อาจคำนวณถูก นึกขยาดจนต้องปรับใจให้เข้าสู่ภาวะเลิกสงสารตนเอง
ตั้งสติใหม่ และพยายามพูดเฉพาะสิ่งที่ลานดาวอยากได้ยิน
“เรื่องชื่อเสียงน่ะ ย่อยยับไปนานแล้วล่ะจ๊ะ
ไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว นึกว่าเธอไปนั่งที่โรงพยาบาลเป็นวันๆน่ะ
คนเขาซุบซิบกันยังไง และถ้าพี่กลัวเสียหน้า
เมื่อกี้พี่ปล่อยเธอขับหายไปเฉยๆไม่ดีหรือ? มองให้มันตรงความจริงบ้าง
คนเขาห่วง เขารักเธอยังไง เธอกำลังผิดปกติ อาจทำอะไรน่ากลัวขึ้นได้ทุกวินาที
พี่ยังตามขึ้นรถมากับเธอ แค่นี้ยังไม่พอหรือ ต้องพิสูจน์อะไรให้มากขึ้นไปอีก?”
ลานดาวเชิดคางเล็กน้อย
ถามมาวันทาเสียงราบเรียบเป็นปกติทุกประการ
“รู้ไหมถ้าคนเลือดกรุ๊ปบีกับกรุ๊ปโอมารักกัน
ผลจะเป็นยังไง?”
มาวันทากะพริบตาอึ้งกับการเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันของลานดาว
“อะไรนะ?”
“ถ้าคนเลือดกรุ๊ปบีกับกรุ๊ปโอรักกัน
จะเป็นยังไงรู้ไหม?”
มาวันทาระบายลมหายใจยาว ก่อนตอบตามตรง
“ไม่รู้”
“จ๊ะไปค้นมาแล้ว สองกรุ๊ปนี้จะไปกันได้สวย
ถ้าเชื่อใจกัน…”
ลานดาวถามเองแล้วก็ต้องเฉลยเอง
“คนเลือดกรุ๊ปบีมักทระนง แล้วก็ห่วงชื่อเสียง
ในขณะที่คนกรุ๊ปเลือดโอไม่ชอบเพ้อฝัน จริงจังต่อชีวิต
ฉะนั้นถ้าจับคู่เป็นคนรักกันก็จัดว่าเป็นคู่สร้างคู่สม
เพราะถือว่ามีเหตุที่บวกกันแล้วกลายเป็นส่วนผสมที่เสริมรักษามากกว่าจะยอมมักง่ายทำลายความรักด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย”
“เธอมั่วเอาเองหรือเปล่า?”
“เอ๊ะ! ทำไมกล่าวหาอย่างนี้ล่ะคะ
ทีตอนพี่เอินพูดในร้านอาหารวันแรกที่เราเจอกัน จ๊ะยังเชื่อสนิท
สาบานได้ว่าอ่านมาอย่างนี้ ลองค้นในอินเตอร์เน็ตก็ได้… ยังไม่จบนะ
เขายังบอกอีกว่ามีข้อแม้นิดหนึ่ง คือคนกรุ๊ปบีจะต้องมีความจริงใจ
มอบกายมอบใจให้กับคนกรุ๊ปโอด้วยความศรัทธา พยายามทำให้คนกรุ๊ปโอเกิดความมั่นใจ
แล้วความรักถึงจะสดใส
ยิ่งกว่านั้นให้พึงระวังไว้ว่าพวกเลือดกรุ๊ปบีจะไวต่อความรู้สึก
และอดทนได้น้อยกับเรื่องไม่สบอารมณ์
จึงมักมีเรื่องบาดหมางหรือทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นอยู่เสมอ ฉะนั้น
ใครที่เป็นคู่ชีวิตของคนกรุ๊ปบีจึงควรเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าไว้บ้าง…”
มาวันทาฟังแล้วหัวเราะไม่ออก
ความเครียดแล่นขึ้นศีรษะเป็นริ้วๆ
“แล้วแหล่งข้อมูลเขาบอกจ๊ะหรือเปล่า
ถ้ากรุ๊ปเลือดเป็นอย่างนั้นต้องปล่อยเลยตามเลยไปตลอดไหม? บอกไหมว่ามีวิธีไหนพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าข้อด้อยข้อเสียของกรุ๊ปเลือดตัวเองบ้าง?”
“บอก…”
“ว่าไง?”
“ให้หาคนรักที่ตนเทิดทูนได้มาดัดนิสัย”
มาวันทาหัวเราะหึๆอย่างรู้ว่านั่นเป็นข้อมูลอำ
“น่าเสียดายเธอยังไม่เจอคนที่เทิดทูนได้”
“ก็พี่เอินไง”
“เธอทำกับคนที่เธอเทิดทูนอย่างนี้น่ะนะ? ทั้งด่าสาดเสียเทเสีย ทั้งผลักหัว ทั้งแกล้งขับรถลงข้างทางจะให้ตาย”
“จ๊ะทำไปด้วยความน้อยใจนี่คะ
ถ้าเป็นเวลาปกติก็ไม่ทำหรอก”
“แล้วตอนนี้ปกติหรือยัง?”
“ปกติแล้ว”
มาวันทาหรี่ตา ซ่อนความเจ็บช้ำไว้ภายใต้เสียงเค้น
“ถ้าพี่เทิดทูนใครนะ
พี่จะไม่มีวันยอมให้โทสะมามีอำนาจแม้คิดลบหลู่เขาเด็ดขาด
อย่าว่าแต่ทำสักครึ่งที่เธอทำกับพี่ ดูซิ
เวลานี้เธอแยแสพี่สักนิดไหมว่าต้องทรมานทรกรรมยังไงบ้าง
มีแต่ทำตามความต้องการของตัวเองท่าเดียว”
“ก็ฝึกจ๊ะ ขัดเกลาจ๊ะให้เป็นอย่างพี่เอินซีคะ”
น้ำคำคล้ายยอมอ่อนข้อ
และจะกลับมาญาติดีกันดังเดิม ทว่าเมื่อมาวันทาเหลือบมองด้วยหางตาแล้ว
บอกตนเองว่าลานดาวยังมีความเย็นชา และเจตนามุ่งไปหาจุดจบเบื้องหน้าอยู่เหมือนเดิม
สักแต่พูดตามบทเพื่อให้หล่อนตายใจเท่านั้นเอง
มาวันทาเม้มปากก่อนเอ่ย
“จะขัดเกลาเธอ เราต้องใช้เวลากันหลายปีนะ…”
หลายปีกับลานดาว… แค่พูดเองก็กลัวเองแล้ว
หล่อนคงทรมานยืดเยื้ออยู่กับรสสุขสุดหวานอมทุกข์ขมขื่นจนแทบอยากคลุ้มคลั่ง
“ค่ะ… และต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังด้วย
ไม่อย่างนั้นถ้าผัวพี่เอินห้ามมาหา ทำให้จ๊ะเกิดความว้าเหว่ ขาดความอบอุ่น อาการคลั่งอาละวาดอาจกำเริบได้ตลอดเวลา”
แพทย์สาวถอนใจเฮือก
พูดไปพูดมาก็วกวนกลับมาจุดเดิมนี่เอง จะสั่งให้หย่ากับลัดธีร์
ไม่ยอมเป็นเบอร์สองรองใคร
“จ๊ะ… ถ้าพี่อ๋องขอหย่า พี่ก็จะหย่า
เพราะถือว่าพี่มีความด่างพร้อย แต่ระหว่างนี้ก็ขอทำหน้าที่ภรรยาที่ไม่บกพร่องและอยู่ในกรอบศีลธรรมไปก่อนไม่ได้หรือ? เธอจะให้พี่ทำร้ายพี่อ๋องได้ยังไง เขาไม่ผิดอะไรเลย
แล้วก็ซื่อสัตย์กับพี่มาตลอด ถึงแม้จะต้องบินไกลๆเป็นประจำ”
“รู้ได้ยังไงว่าซื่อสัตย์?”
“แปดปีที่รู้จักกัน เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่เคยทำอะไรให้พี่ระแคะระคาย จะไปไกลแค่ไหนพี่ก็รู้สึกชัดว่าเขาจดจ่ออยู่กับพี่ตลอด
ไม่เคยละเลยทั้งโทรศัพท์ ทั้งอินเตอร์เน็ต เวลาว่างของเขาจะเป็นของพี่เสมอ”
“แต่จ๊ะพร้อมจะให้เวลาทั้งหมดในชีวิตอยู่ในมือพี่เอิน!”
“ขอบใจมาก พี่เชื่อจ๊ะ”
แล้วก็เห็นช่องในการต่อความหวังให้น้อง “อาชีพนักบินของพี่อ๋อง ยังไงก็เหมือนแบ่งเวลาให้เธอครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว
ตอนพี่อ๋องไม่อยู่ เวลาทั้งหมดของพี่ก็ทุ่มให้เธอคนเดียวเหมือนกัน เธอก็เห็น…
ช่วงนี้พี่ขอแค่ซื่อสัตย์กับเขา ไม่ทำอะไรเกินเลย
แต่บอกพี่อ๋องไว้แล้วว่าหากเบื่อพี่เมื่อไหร่ ก็ขอให้บอกเลิกได้ทันที
อย่ากลัวพี่เสียใจ ถึงเวลานั้นเราค่อยอยู่ด้วยกันเถอะนะ”
พอพูดถึงการเลิกกับลัดธีร์
ตาลานดาวก็เป็นประกายยินดีขึ้นวูบหนึ่ง ทว่าด้วยความฉลาดทันคนมาแต่ไหนแต่ไร
หล่อนก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงวิธีให้ความหวังของมาวันทา
เพื่อระงับความเศร้าโศกอาดูรของหล่อนยามนี้ มากกว่าจะมีความหวังแท้จริงข้างหน้า
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์คิดวิธีพูดให้คอย
ช่างมันเถอะ ถ้าจ๊ะไปตามทางของจ๊ะ ทุกอย่างคงจะดีขึ้นสำหรับทุกฝ่าย”
“จ๊ะอย่าพูดอย่างนี้ได้ไหม
ไปตามทางของเธอน่ะคืออะไร ลาโลกงั้นหรือ? พี่ก็ยังอยู่กับเธอทั้งคนนะ
ทำไมต้องเอาให้ได้อย่างใจไปทุกอย่าง
เราอยู่ในโลกความจริงที่ไม่เคยมีใครสมหวังเต็มร้อย
ทำไมเธอไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตแสดงตัวของมันเองว่าอะไรคือกรอบ อะไรคือข้อจำกัด
แล้วเสพสุขในส่วนที่พึงมีพึงได้… ถ้าพี่ถามมั่งว่าทีเธอล่ะ ทำไมถึงเข้ามาในชีวิตพี่ช้านัก
ช้ากว่าพี่อ๋องตั้งแปดปี แต่พอมาถึง จู่ๆจะมัดมือชกให้ทำนั่นทำนี่
เหมือนเห็นพี่อ๋องถือของเล่นไว้ในมือก็จะไปยื้อแย่งมาดื้อๆ
เธอเคยเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างไหม?”
ลานดาวเชิดหน้า
“จ๊ะติดนิสัยของจ๊ะอย่างนี้ อยากได้อะไรต้องได้!
ถ้าว่าจ๊ะเลวก็อย่ามาขวางทางจ๊ะ
จ๊ะฝืนใจให้พี่เอินขึ้นมานั่งรถเที่ยวสุดท้ายนี่เหรอ? เรากะหายไปคนเดียว เลิกทำความเดือดร้อนยุ่งยากให้ใครแล้วแท้ๆ
แต่พี่เอินเสนอหน้าตามขึ้นมาง้อจ๊ะเองทำไม? จ๊ะเป็นเด็กเจ้าอารมณ์
จ๊ะรู้ตัว แล้วก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน ถึงอยากล้างไพ่ใหม่ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เพราะฉะนั้นเลิกตามตอแยได้แล้ว
เดี๋ยวจ๊ะจอดส่งในเมืองหรือที่สถานีรถไฟให้พี่เอินกลับกรุงเทพฯนะคะ”
พอถูกขู่ท่านี้ มาวันทาก็เสียงอ่อย
“พี่มาตัวเปล่า แม้แต่ชั้นในก็ยังไม่ได้ใส่
อย่าไล่พี่ลงเลย”
ลานดาวเพิ่งหันไปสังเกตแวบหนึ่ง ก่อนหัวเราะหึๆ
“เหรอ…”
แกล้งเอื้อมมือซ้ายไปลูบสะโพกและแตะๆหน้าอกคุณหมอคนสวย
ทีแรกมาวันทานั่งเฉยให้พิสูจน์
แต่แล้วก็ต้องกระถดตัวหนีและปัดมืออีกฝ่ายทิ้งอย่างแรง
เมื่อมือนักพิสูจน์เริ่มลามปามซุกซน
“ไม่เป็นไรหรอก ชุดกระโปรงมิดชิด ผ้าอย่างหนา
สอดตาทะลุเข้ามาไม่ได้หรอก แต่ความจริงถ้าใครช่างสังเกต จะเห็นมั่งก็ช่างปะไร
ถือว่าทำบุญกับสายตาเขา จ๊ะยังอยากเห็นมาตั้งนานแล้ว”
มาวันทาหน้าแดงเหมือนถูกบุรุษเพศแทะโลม
“หน้าตาเธอเหมือนเคยทำบุญไว้เลอเลิศมาแต่ปางไหน
แต่ทำไมความคิดจิตใจถึงได้เหลือขออย่างนี้นะ”
ลานดาวหัวเราะอีก
“อะไร… แค่บอกว่าอยากดูเนี่ยนะ
ถูกประณามเป็นเด็กเลวแล้ว พี่เอินน่ะชอบว่าจ๊ะ แล้วตัวเองเป็นยังไง
เคยแอบมองหน้าอกเขาตอนก้มๆเงยๆ นึกว่าไม่รู้เหรอ”
“ไม่เคย!”
มาวันทาถลึงตาเสียงเขียว
แต่แล้วเหมือนนึกอะไรได้ก็อ้อมแอ้ม
“ถ้ามีบ้างก็รับรองว่าไม่ใช่เจตนาแบบเธอแล้วกัน”
“พี่เอินน่ะ ทุกอย่างดีหมด
เสียอย่างเดียวไม่ค่อยยอมรับความจริง”
“ก็ถ้าถูกปรักปรำ จะให้รับได้ไงล่ะ”
“งั้นยอมรับไหมล่ะว่าพี่เอินก็อยากนอนกับจ๊ะ”
ลานดาวรุกอย่างตรงไปตรงมา
เพราะไม่เห็นความจำเป็นต้องอ้อมค้อมกันอีก มาวันทาเม้มปาก หล่อนจะเปิดใจยอมสารภาพ
เผยความปรารถนาที่แท้จริงออกมาไม่ได้เด็ดขาด
ขณะเดียวกันก็ต้องฉลาดพอจะไม่ทำให้เด็กเห็นว่าตนปากกับใจไม่ตรงกันด้วย
“ต่อให้อยากจริง
คนเราก็ต้องรู้จักเส้นแบ่งของศีลธรรมว่าอยู่ที่ตรงไหน ควรก้าวข้ามหรือหยุดอยู่
แม้เพียงด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด การยับยั้งชั่งใจจะทำให้คนเราเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์”
“เป็นไปทำไมคะ มนุษย์ที่สมบูรณ์?”
“ก็ถ้าเผื่อชาติหน้ามีจริง
อย่างน้อยจิตวิญญาณเราจะได้เหมาะสมกับอัตภาพมนุษย์อีก
หรือดีกว่านั้นคือเลื่อนชั้นอัตภาพให้สูงยิ่งๆขึ้นไป”
“สงสัยซวยแหงเลยเรา ไม่ค่อยมีหิริโอตตัปปะกับเขา
เรื่องบาปเรื่องกรรมนี่ อายก็ไม่อาย กลัวก็ไม่กลัว
อยากนอนกับเมียชาวบ้านอย่างนี้ตายไปลืมตาอีกทีมีหวังเจอต้นงิ้วรอให้ปีนแน่นอน”
มาวันทาทำหน้าสลด
“เราจะรักกันแบบพี่แบบน้องไม่ได้เหรอจ๊ะ
พี่ว่ายังไม่สายนะถ้ารีบคิดปรับใจเสียใหม่”
“อู๊ย! มาชวนอะไรตอนนี้พี่ ตัวเองน่ะแน่สักแค่ไหน
เค้าแกล้งควงผู้ชายมาหาก็ทำตาแดงๆเป็นเด็กขี้แย แถมยอมถลำตัวกับจ๊ะมาตั้งเยอะ
จูบก็จูบแล้ว อะไรๆล่วงเลยไปตั้งครึ่งทางแล้ว จะสั่งให้แกล้งลืม
เสแสร้งปรับใจใหม่ได้ไงคะ อดกลั้นได้แล้วค่อยมีสิทธิ์พูดเถอะ!
คืนนั้นทำให้จ๊ะอารมณ์ค้างแค่ไหนพี่เอินไม่รู้หรอก เพราะสำหรับพี่เอิน
วันเดียวพี่อ๋องก็กลับมาแล้ว แต่จ๊ะล่ะ?”
“ก็เธอเริ่มก่อนนี่ ทั้งวางแผนต้มตุ๋น
ทั้งถือโอกาสทีเผลอ พี่ไม่ทันตั้งตัวก็หลงตามไปวูบหนึ่ง จะโทษพี่ได้ไง”
“ตบมือข้างเดียวคงดังหรอก
เรื่องแบบนี้อย่าพูดให้ยาก ถ้าผิดก็ต้องผิดทั้งสองคนวันยังค่ำ”
“เอาเถอะ อยากให้พี่รับผิดพี่ก็จะรับผิด
พี่เป็นผู้ใหญ่กว่าเธอ แต่แพ้ทาง ยอมคล้อยตามเธอทุกอย่าง ต่อไปนี้มาร่วมมือกัน
เราเลิกคิดต่อกันในแง่นั้นเสีย พี่จะพยายามทำตัวเป็นพี่สาวที่ดีให้เธอนับถือ”
“ถ้าอยากได้พี่สาวแสนดีน่านับถือเมื่อไหร่
จ๊ะไปหาเอาจากงานวัดแถวไหนก็ได้ค่ะ ไม่ต้องทำเป็นเสนอตัว
สิ่งที่จ๊ะต้องการจากพี่เอินคือความรักซึ่งหาจากไหนไม่ได้อีกแล้วเท่านั้น”
“อายุเพิ่งเท่าไหร่เอง ทำไมชอบตีตนไปก่อนไข้
เจ้าชายในฝันอาจรอเจอเธออยู่แค่สองสามวันข้างหน้านี้ก็ได้”
ลานดาวกะพริบตาวับหนึ่ง เล็งแลไปไกลด้วยแววดึงดัน
“ไม่เอา! ถ้าไม่ใช่พี่เอิน จ๊ะก็ไม่เอาใครแล้ว!”
มาวันทายกมือกุมหน้าผาก สั่นศีรษะไปมา
“เมื่อไหร่ทุกอย่างจะลงเอยนะ
ความรักพี่ก็มีให้เธอไม่ขาดตกบกพร่อง ทำไมต้องแถมกามารมณ์พ่วงเข้ามาด้วย
ให้มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์เหนือมลทินใดๆไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้ค่ะ!”
“จริงๆนะ…
หลายครั้งพี่ค้นหาเหมือนกันว่าทำไมถึงเกลียดเรื่องบนเตียง คำตอบอยู่ใกล้ๆนี่เอง
ราคะเป็นเหตุใกล้ให้เกิดความเห็นแก่ตัวและบาปกรรมทั้งปวง เมื่อไหร่เราปล่อยให้มันเกาะกุมหัวใจชนิดหน้ามืดตามัว
เมื่อนั้นเท้าข้างหนึ่งก็ก้าวประชิดทางทรมานแล้ว”
“อย่าพูดเลยพี่เอิน ไม่อยากฟังเทศน์
ถึงป่านนี้แล้วพี่เอินควรมีหน้าที่แบบคนลงเรือลำเดียวกัน
ไม่ใช่ทำทีเหมือนคนยืนบนฝั่ง จะยื่นมือช่วยฉุดเขา”
มาวันทานึกขอบคุณตัวเอง ขอบคุณอะไรก็ได้
ที่คืนนั้นหล่อนไม่ถึงขั้นล้ำเส้นศีลธรรม
เพราะมิฉะนั้นคงมีชนักปักหลังหรือบ่วงรัดคอแน่นกว่านี้
เหตุการณ์อาจเลวร้ายสุดเยียวยายิ่งกว่าที่เป็นอยู่
อย่างน้อยหล่อนยังพอพึมพำโต้ตอบอย่างเป็นตัวของตัวเอง
เพราะมีความนับถือตนเองเหลืออยู่บ้าง
“จ๊ะ… เรายังไม่ล่วงเลยจนสายเกินไปหรอก
แค่เกือบน่ะ ถ้าจ๊ะสมมุติว่าเราอยู่ในเรือลำเดียวกัน
ก็น่าจะช่วยกันพายหาฝั่งที่ปลอดภัย ไม่ใช่ทอดหุ่ยเรื่อยเฉื่อย
หรือกระทั่งเอาเท้าราน้ำปล่อยให้เรือไหลร่วงลงเหว!”
“งั้นก็คิดซะว่าจ๊ะเสียสละโดดลงจากเรือ
ไหลลงเหวคนเดียว เรือจะได้เบาลง เปิดโอกาสให้พี่เอินเอาตัวรอดไง
อย่ามายุ่งกับจ๊ะอีก!”
มาวันทาส่ายหน้า
ใช้ปลายนิ้วกดขมับเป็นจังหวะคลายความตึงเครียด
เถียงกับคนพาลต้องเหนื่อยหนักอย่างนี้เอง นึกในใจว่ากรรมเวรอะไรหนอพาหล่อนกับลานดาวมาพบกัน
พอลานดาวเห็นพี่สาวแสดงท่าอับจนก็ยิ้มเยาะ
แกล้งพึมพำรำพึง
“กรรมเวรอะไรพาจ๊ะกับพี่เอินมาเจอกันก็ไม่รู้เนอะ”
มาวันทาสะดุ้ง
เหลียวไปมองลานดาวทั้งหน้าด้วยความผวาว่าเดี๋ยวนี้แม่ตัวดีมีญาณอ่านความคิดในหัวคนได้แล้วหรืออย่างไร
แต่ก็ปลอบตัวเองว่าคงบังเอิญมากกว่าอย่างอื่น
“กรรมเก่าที่พี่ทำกับเธอแต่ปางไหน
เป็นมาอย่างไรพี่ไม่รู้ ยังระลึกชาติไม่ได้ แต่กรรมใหม่ในชาตินี้พี่รู้ดี
พี่พยายามมีกุศลจิตในทุกความคิด ทุกคำพูด และทุกการกระทำกับเธอ
เรื่องราวระหว่างเราคือความรักความผูกพัน ไม่ใช่ความอาฆาตมาดร้ายก็นับว่าน่ายินดีพออยู่แล้ว
แต่ของแบบนี้ใครๆเขามีกันทั้งโลก ไม่แปลกอะไร
ที่น่าให้ความสนใจกว่านั้นคือจะช่วยกันดูแลความรักให้ปราศจากมลทินได้ยังไงต่างหาก
ถ้าเราเลือกที่จะไม่ทำผิดร่วมกันในสถานการณ์ยั่วยวนให้ทำผิด
ก็ได้ชื่อว่าพร้อมใจสร้างสัมพันธภาพอันงดงาม ไม่ก่อเหตุแห่งความเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง
หากสามารถผ่านบททดสอบสำเร็จ
ก็อาจอธิษฐานร่วมกันได้เต็มปากว่าขอให้เราเป็นสุขร่วมกันตลอดไป
ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ”
“ชิ! ทำดีไปคนเดียวเถอะ ชาตินี้จ๊ะมันเลว!”
“นี่ไง…
พิสูจน์แล้วใช่ไหมว่าชาตินี้พี่รักเธออย่างบริสุทธิ์ใจ ทำอะไรให้เธอได้ทุกอย่าง
ส่วนเธอแค่แสวงหาประโยชน์ หรืออย่างดีก็ลุ่มหลงพี่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
ตอนเริ่มหลงใหม่ๆถึงกับเสนอตัวเป็นข้ารับใช้ ให้เก็บขี้หมาก็ยอม แล้วตอนนี้ล่ะ…
พอหาประโยชน์ตามใจไม่ได้ จะขอให้ร่วมทุกข์ร่วมสุขตามกรอบตามเกณฑ์สักนิดก็ไม่เอา
ประกาศตัวเป็นคนเลวได้อย่างหน้าไม่อาย!”
ลานดาวหัวเราะหึหึ ขณะนั้นเรี่ยวแรงชักเหือดหาย
เพราะไหนจะอดอาหาร ไหนจะขับรถทางไกล ไหนจะต้องคิดเถียงมาวันทาแบบเด็กดื้อด้าน
จึงเงียบเสียงตอบ และออกอาการโงนเงนเล็กๆ แพทย์สาวคอยเหลือบตาสังเกตอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าถึงจังหวะก็รีบอาสา
“จ๊ะผอมลงมากนะ อดมันทำไมไม่รู้ ข้าวปลา…
ให้พี่ขับแทนนะจ๊ะ”
“กลัวตายแล้วขึ้นรถมาด้วยทำไม
บอกแต่แรกแล้วไม่ให้ขึ้น”
“ไม่ได้กลัวตาย แต่จ๊ะน่ะยังไงล่ะ
อยากไปถึงที่หมายหรือเปล่า?”
ลานดาวเหยียดยิ้ม
“ที่หมายของคนยังมีความหวังอย่างพี่เอินอาจอยู่สุดถนน
แต่สำหรับคนสิ้นหวังอย่างจ๊ะ อาจอยู่กลางถนนก็ได้!”
ฟังลานดาวเล่นลิ้นแล้วมาวันทาชักใจไม่ดี
แม่น้องสาวจะแกล้งหรือเปล่าไม่ทราบ รถจึงเริ่มส่ายเป็นงูเลื้อย
จนคันหลังต้องบีบแตรเตือน
“เปลี่ยนมือกันเถอะจ๊ะ เธอมาหลับเสียที่เบาะนี้”
“ยอมรับมาก่อนว่ากลัวตาย”
มาวันทาฉิวจนกลายเป็นขำ
“เออๆๆ… พี่กลัวตายเหลือเกิน
ปอดอักเสบเชื้อกระจายขึ้นไปถึงเยื่อหุ้มสมองแล้ว
ชักชาไปทั้งตัวจนแทบหมดสติอยู่เนี่ย ไหว้ล่ะจ้ะ สงเคราะห์คนนัยน์ตาสีกะทิหน่อยเถอะ”
ลานดาวอดหัวเราะไม่ได้กับตลกฝืดแบบนักวิชาการ
“อะไร… นัยน์ตาสีกะทิ… ตาขาวเหรอ?”
สองสาวหัวเราะเบาๆด้วยกัน
สถานการณ์ล่อแหลมจึงค่อยคลี่คลายลง ลานดาวทำดื้อต่ออีกสองนาที
จึงยอมชะลอรถลงจอดข้างทาง ทำให้มาวันทาถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
แพทย์หญิงเป็นฝ่ายลงเดินอ้อมรถ ขณะที่จอมดื้อใช้วิธีกระเถิบร่างย้ายเบาะ
“เธอตั้งใจไปไหนล่ะ?”
“โรงแรมชายทะเลสักแห่ง
จ๊ะอยากนั่งมองทะเลลงมาจากมุมสูง เห็นกว้างๆ”
“ตกลง พี่จะเลือกให้อย่างหรูเลย”
“ถ้าพี่เอินยูเทิร์นกลับกรุงเทพฯ
เราจะได้เห็นดีกันนะคะ…”
ลานดาวขู่ก่อนจะปิดตาหลับด้วยความอ่อนเพลียเต็มแก่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น