ตอนที่ ๓. พยากรณ์ดาวเด่น
เผอิญเป็นวันเดิมที่นนทกานต์เคยมาพบหมอดูอุปการะ
ซึ่งน่าจะประกันว่าคุณน้าหมอดูของเขาคงอยู่แน่ๆ แต่แม้เป็นวันเดียวกัน
สิ่งที่เริ่มไม่เหมือนเดิมก็คือจำนวนลูกค้า
คราวก่อนโต๊ะหมอดูอุปการะเป็นโต๊ะเดียวที่ไร้ใครสนใจไยดี
สามารถเข้าไปใช้บริการได้ทันที ทว่าคราวนี้มีลูกค้านั่งอยู่ตรงหน้าหมอดูอุปการะสองคน
และมีอีกรายหนึ่งยืนรอคิวแบบเจาะจงว่าต้องการมาหาหมอดูอุปการะโดยเฉพาะ
ซึ่งการรอคิวเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นให้เห็นนักสำหรับโต๊ะหมอดูตามห้าง
อีกสิ่งหนึ่งที่นนทกานต์สังเกตเห็นว่าแปลกไป
คือบนผนังเหนือศีรษะหมอดูอุปการะเริ่มมีป้าย ‘กรรมพยากรณ์’
ที่บ่งบอกวิธีทำนายทายทักอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
นั่นหมายความว่าหมอดูอุปการะเริ่มประกาศชัดว่าตนดูหมอด้วยวิธีใด
คบกับลานดาวมาจนพอจะรู้ว่าหล่อนเกลียดการรอคอยเพียงใด
จึงชวนว่า
“ไปหาอะไรกินก่อนไหม
นี่มีอีกคิวหนึ่งแน่ะ”
หญิงสาวเล็งตาเขม้นมองชายวัยประมาณสี่สิบอันเป็นที่หมาย
เห็นความมีสง่าราศีแบบผู้ใหญ่ใจดี ไม่มีพิษภัย กับทั้งทรงภูมิน่าเชื่อถือ
แล้วก็เกิดความเลื่อมใส ใคร่อยากดูหมอเป็นกำลัง
“อย่าเลย
เราไปทางอื่น เดี๋ยวเกิดมีใครมาต่อคิวอีกก็เสร็จซี รอกันเงก”
นนทกานต์ประหลาดใจและเห็นแปลกที่ลานดาวยอมยืนคอย
เขาจะประหลาดใจน้อยกว่านี้หากหล่อนใช้ให้เขายืนคนเดียว
ส่วนตัวหล่อนเลี่ยงไปทางอื่น และบอกให้เรียกตัวผ่านโทรศัพท์มือถือเมื่อถึงคิว
“ความจริงแกเป็นหมอดูใหม่นะ
แกบอกว่าโจ๊กเป็นลูกค้ารายแรก”
ยอมขยายความจริงเมื่อเห็นว่ามาถึงที่เรียบร้อย
และเห็นลานดาวมองหมอดูด้วยความสนใจ ชนิดจับตาไม่วาง
“คราวก่อนโต๊ะยังว่างๆอยู่เลย
อาทิตย์เดียวมาอีกทีต้องรอคิวแล้ว”
“อือ”
หญิงสาวครางรับรู้สั้นๆ
“จ๊ะจะไปดูหมอรายอื่นเล่นก่อนไหม
โจ๊กยืนจองคิวให้”
“ช่างเถอะ
ไม่เป็นไร”
หล่อนกำลังสังเกตท่าทีลูกค้าตรงหน้าหมอดู
ที่แสดงอาการเออออ รับแต่ครับๆๆ กับทั้งตั้งอกตั้งใจฟังคำทำนายแบบจดจ่อยิ่งยวด
นั่นสะท้อนความสามารถของหมอดูได้มากพอ
คนที่ยืนรอคิวแรกเป็นหญิงกลางคน
เมื่อเห็นนนทกานต์กับลานดาวมารอต่อก็ทักทายแบบคนช่างพูดที่พร้อมทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าได้ทั้งโลก
“เคยมาดูกันแล้วหรือหนู?”
หล่อนมองมาทางลานดาว
แต่นนทกานต์ชิงตอบ
“ผมเคยครับ
วันนี้เลยพาเพื่อนมา”
“หมอดูคนนี้แม่นนัก
ท่าทางแกมีตาทิพย์จริงๆ”
เป็นการเชียร์แบบชาวบ้านที่ไม่สนใจต้นสายปลายเหตุของความแม่น
รู้แต่ว่าแม่นก็ทุ่มความนับถือให้สุดตัวแล้ว
“รู้ได้ยังไงคะ
เขาดูอะไรให้พี่หรือ พอบอกหนูได้ไหม?”
ลานดาวไถ่ถามอย่างชักจะเห็นว่ากิตติศัพท์ของหมอดูรายนี้น่าเชื่อถือขึ้นทุกที
“บอกได้”
หล่อนเฉลยอย่างคนชอบเปิดอกคุยฆ่าเวลา “บางทียังไม่ทันถามแกก็ตอบแล้ว
สำคัญคือตรงเผงทุกเรื่องด้วย แต่เด็ดดวงที่สุดคือมือถือของพี่หาย
นึกเสียดายเพราะราคาแพง ก็เสี่ยงถามดูเล่นๆไปอย่างนั้น ไม่นึกไม่ฝันเลยน้องเอ๊ย
แกบอกได้ขนาดว่าใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ที่เป็นคนเก็บโทรศัพท์ได้!”
สองหนุ่มสาวสะดุ้ง
มองหน้ากันด้วยความทึ่งสุดขีด
“พี่ตามไปขอคืนก็พบตัว
แล้วเขายอมคืนจริงๆ นี่พอรู้ว่าหมอดูอุปการะเป็นคนบอก
เขาก็จะยกโขยงมาดูตามกันอีกแน่ะ!”
“แล้วมีเรื่องอะไรที่พอเล่าให้ฟังได้อีกคะ?”
ลานดาวพยายามเก็บความทึ่ง
ไม่แสดงอาการออกนอกหน้าเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยังไม่ประสบด้วยตนเอง
“พี่ถามเรื่องญาติที่เพิ่งเสีย
หมอแกก็บอกได้เสร็จสรรพว่าหน้าตา ส่วนสูง และนิสัยใจคอเป็นอย่างไร
ทำกรรมเด่นๆแบบไหนไว้บ้าง อันเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นอะไร”
“ไปเกิดเป็นอะไรคะ?”
หญิงสาวยิงคำถามตาโตนิดๆ
“เป็นเปรต!”
หญิงกลางคนตอบเสียงอ่อย “ถ้าหมอแกพูดแบบขาดเหตุผลก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะ
แต่นี่แกเล่นบอกถูกหมดว่าอาอี๊ของพี่ทำอะไรไว้บ้าง เลยจำเป็นต้องเชื่อ”
“แล้วหมอแกช่วยได้บ้างไหมคะ?”
คราวนี้หญิงคนนั้นยิ้ม
และพยักหน้า
“ช่วยได้ซี
เห็นแกช่วยแผ่เมตตา ช่วยส่งจิตคุยให้อาอี๊ระลึกถึงบุญกุศลที่เคยทำ เช่นบริจาคเลือด
ใส่บาตรพระ แล้วให้คอยรับส่วนบุญจากญาติๆด้วย”
ลานดาวทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“หมอเขาคิดค่าช่วยเหลือเท่าไหร่คะ?”
“ไม่คิด”
นางรีบบอก “แต่เมื่อคืนอาอี๊มาเข้าฝัน บอกว่าตอนนี้สบายแล้ว และขอบใจพี่มาก
วันนี้พี่เลยจะเอาเงินมาสมนาคุณหมออุปการะไง”
จังหวะนั้นลูกค้าที่โต๊ะลุกขึ้น
นางจึงละล่ำละลักลา
“อุ๊ย!
ขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ
เหลียวมองเพื่อนชาย
“ชักเลื่อมใสแฮะ”
“เห็นไหมล่ะ
บอกแล้วไม่เชื่อ”
นนทกานต์เสริมอย่างได้ที
ยิ้มกริ่มแบบได้หน้า
“เอ๊ะ!
ถ้าไม่เชื่อจะตามมาเหรอะ”
ขณะนั้นมีลูกค้าอีกรายมายืนต่อหลัง
แสดงเจตจำนงว่าขอเป็นคิวต่อจากหล่อนและเพื่อน ทำให้ลานดาวกระซิบกระซาบ
“เห็นทีมาคราวต่อไปคงต้องยืนรอตรงปากทางเข้าห้าง”
ชายหนุ่มหัวเราะ
เขากับลานดาวยืนรอเกือบครึ่งชั่วโมงจึงได้คิว
ความจริงเจ๊ช่างพูดยังคุยน้ำลายแตกฟองไม่เลิก
แต่หมออุปการะขอหยุดไว้เพื่อให้โอกาสคิวหลังที่กลายเป็นสามคิวแล้ว
นนทกานต์ยกมือไหว้หมออุปการะอย่างนอบน้อม
“น้าจำผมได้ไหมครับ?”
“จำได้ซี
ลูกค้าคนแรกจะลืมได้ยังไง”
หมอดูตอบอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้ผมพาเพื่อนมาครับ”
สองหนุ่มสาวลงนั่งด้วยกัน
พอดีกับจำนวนเก้าอี้ลูกค้าที่ทางห้างจัดไว้ให้โต๊ะหมอดูแต่ละห้อง
เมื่ออุปการะเหลือบมองลานดาว หญิงสาวก็ยกมือไหว้ตามเพื่อนหนุ่ม
“สวัสดีครับ”
อุปการะรับไหว้พร้อมยิ้มเย็น
ลานดาวรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างประหลาด ตั้งแต่แรกสาวมา
หล่อนคุ้นเคยยิ่งกับอาการลุกลี้ลุกลน
หรืออย่างน้อยกระตือรือร้นเป็นพิเศษจากชายแทบทุกวัยที่พบปะเสวนากับหล่อนในคราวแรก
แต่รายนี้เฉยสนิท แบบที่สัมผัสออกมาจากภายในได้ทีเดียว
และเพราะรู้สึกสนิทใจพอ
หล่อนจึงขยับกายนิดหนึ่ง กระแอมเล็กๆ บอกนนทกานต์ว่า
“ฉันขอดูเป็นส่วนตัวได้ไหม?”
นนทกานต์เลิกคิ้ว
“ได้ซี
เดี๋ยวโจ๊กไปนั่งดูหมอไพ่ยิปซีที่ห้องทางขวามือสุดแล้วกัน จ๊ะเสร็จแล้วไปเรียกนะ”
ลานดาวพยักหน้าขอบใจ
เมื่อเพื่อนหนุ่มลุกจากไปแล้ว
หล่อนก็ยิงคำถามทันทีอย่างสาวยุคอินเตอร์เน็ตที่ไม่เคยเคอะเขินเมื่อต้องเจรจาครั้งแรกกับใคร
“เพื่อนของหนูบอกว่าคราวก่อนพี่พูดถึงหนู
พูดได้ตรงหมดเลย”
อุปการะย่นคิ้วเล็กน้อยอย่างทบทวนความจำ
แล้วก็คลายหัวคิ้วเมื่อระลึกได้
“อ๋อ…
หนูนั่นเอง”
“โจ๊กว่าพี่บอกได้
ชาติก่อนหนูทำบุญอะไรมา ถึง… ถึงเป็นแบบนี้
แล้วก็บอกได้ด้วยว่าหนูจะเจอเนื้อคู่เมื่อไหร่”
หมอดูพยักหน้า
“ผมจำได้ว่าบอกเกี่ยวกับเรื่องกรรมในอดีตของหนู
แต่วันก่อนไม่ได้บอกเรื่องเนื้อคู่นะ ว่าจะเจอเมื่อไหร่”
“เหรอคะ
แล้ววันนี้บอกได้ไหมคะ?”
อุปการะเม้มปาก
เหลือบตาลงต่ำคล้ายเล็งแล หรือชั่งใจอะไรอยู่ ก่อนจะถามขรึมลงเล็กน้อย
“จะเอาเรื่องไหนก่อน
กรรมในอดีต หรือว่าเรื่องเนื้อคู่?”
“เรื่อง…
อิอิ เนื้อคู่ก่อนแล้วกันค่ะ”
ผู้ทำหน้าที่พยากรณ์ระบายลมหายใจยาว
“ผมเกรงว่าบอกหนูไปแล้วหนูจะไม่เชื่อ”
ลานดาวชะงัก
“ทำไมคะ?”
“หนูเข้าใจความแตกต่างระหว่างคนที่จะทำให้หนูรักได้
กับคนที่จะเป็นคู่ครอง ชนิดอยู่ร่วมกันตลอดไปใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“กว่าหนูจะเจอคู่ครองที่แท้จริง
ก็อายุเกือบสี่สิบโน่นน่ะนะ ระหว่างนั้นจะพบแต่เบี้ยบ้ายรายทาง
กับคนที่เรารักและจะทำให้เจ็บมากๆสองคน”
ลานดาวรู้สึกว่าตนเองหน้าซีดลง
ใจนึกต้านขึ้นมาทันที แต่ก็พยายามฝืนสงบท่าที
ไม่แสดงอาการดูถูกคำทำนายของหมอว่าน่าจะเหลวเสียแล้ว
“อย่างนั้นหรือคะ…
สองคนที่จะทำให้หนูเจ็บนี่ เจอกันหรือยัง?”
“คนแรกเจอแล้ว
หนูจะทุกข์เพราะความรักกับเขานั้น เป็นไปไม่ได้… แต่คนที่สองยังไม่เจอกัน
ต้องอีกระยะหนึ่งถึงจะได้เวลาโคจรมาพบ”
หญิงสาวกำกระเป๋าถือบนตักแน่น
ชักนึกอยากพูดถากถางหมอดูขึ้นมารำไร
“ขอโทษนะคะ
แต่เท่าที่หนูรู้สึก
คือยังมองไม่เห็นคนรู้จักสักรายเลยที่มีสิทธิ์ทำให้หนูเจ็บช้ำน้ำใจ”
คันปากยิบๆ
อยากขยายต่อด้วยซ้ำว่าที่เรียงหน้าเข้ามาช่วงนี้
มีแต่เจ็บจากมือหล่อนกลับไปทั้งสิ้น อย่างหล่อนหรือจะเจ็บจากใครหน้าไหน
“ภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้หนูจะรู้”
ลานดาวนึกโกรธ
คล้ายถูกคำทำนายตบหน้า คนมีดีพร้อมขนาดหล่อนหรือจะเจ็บจากความรักได้ ฝันไปเถอะ!
หญิงสาวข่มใจ
จะลุกหนีเสียเดี๋ยวนี้ก็ใช่ที่ เพราะอย่างไรก็ต้องจ่ายสองร้อย จึงกัดฟันถามต่อ
“รู้จากเพื่อนของหนูว่าพี่ดูชะตาจากกรรมที่ทำไว้
แล้วหนูทำกรรมมาแต่ปางไหนหรือคะ ถึงต้องเจอคนรักที่สร้างความเจ็บให้?”
แทนการตอบทันที
อุปการะย้อนถามว่า
“หนูกำลังโกรธผมใช่ไหม?”
ลานดาวกะพริบตาทีหนึ่ง
คำทักนั้นทำให้หล่อนรู้สึกตัวและสงบอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว
“คงแค่ไม่พอใจคำทำนายมากกว่าค่ะ
อย่าว่าหนูถือดีเลย คนอย่างหนูต่อให้เทวดาเหาะมาจากไหนก็ไม่สนหรอก อีกอย่างหนึ่ง
ถ้าบอกว่าคนแรกที่จะทำให้หนูเจ็บนั่นได้รู้จักกันแล้ว ยิ่งส่อเลยว่าคลาดเคลื่อน
เพราะช่วงนี้หนูไม่เห็นใครในสายตาเลยจริงๆ”
“เอาเป็นว่าผมจะพูดถึงกรรมของหนูที่นำมาเจอกับคนแรกนี่แล้วกัน”
“ค่ะ…
ชาติก่อนหนูไปทำอะไรไว้คะ?”
“หนูอย่าเข้าใจว่ากรรมและวิบากนั้นต้องพูดกันข้ามชาติเสมอไป
เพราะความจริงก็คือกรรมในชาตินี้แหละที่หนูสั่งสมมากๆแล้วเริ่มได้เวลาให้ผลรวบยอดคราวเดียว”
หญิงสาวนิ่งขึง
“บอกหน่อยเถอะค่ะว่าหนูทำเวรทำกรรมอะไรไปบ้าง”
“โดยรวมแล้ว
หนูทำให้คนอื่นทรมาน และลวงให้พวกเขาฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กรรมนั้นเองจะจูงเราไปทรมานจากความฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
โดยมีคนสนิทในอดีตชาติมาเป็นตัวแปร เป็นเครื่องมือลงโทษ ขออภัยนะ
ผมชอบพูดตรงไปตรงมาเพื่อให้คนฟังเข้าใจชัดเจน ไม่ต้องแปลซ้ำหรือตีความภายหลัง”
คราวนี้แปลก
ที่แม้อุปการะพูดเหมือนต่อว่า หรือกล่าวโทษกันตรงๆ ลานดาวกลับรับฟังอย่างสงบ
นอกจากไม่ถือโกรธแล้วยังฉุกใจบางอย่างอีกด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ
ถ้าบอกเหตุผล หนูรับได้… แต่พวกเขาคิดไปเอง ฝันไปเอง ทุกข์ทรมานไปเองนี่คะ
จะมาโทษว่าเป็นกรรมของหนูได้อย่างไร?”
“การก่อกรรมกับผู้อื่นมีหลักอยู่ง่ายๆนะ
หนึ่งคือมีเจตนากระทำการกับสิ่งมีชีวิต
สองคือสิ่งมีชีวิตนั้นได้รับผลทางกายหรือทางใจสมเจตนาของผู้กระทำ
เราทำเวรทำกรรมไปนั้น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามว่าเป็นกรรมเวร
อย่างไรวันหนึ่งก็ต้องให้ผล ผมพูดอย่างนี้อาจทำให้หนูนึกได้…
นับถูกไหมว่ากี่ครั้งที่หนูพูดอะไรเช่น ‘ชักจะใจอ่อนแล้วซี’ ทั้งที่ความจริงยังไม่มีใจแม้แต่นิดเดียว”
ลานดาวตะลึงคล้ายถูกไฟดูด
นั่นเป็นถ้อยคำที่หล่อนใช้เป็นประจำจริงๆ โดยเฉพาะกับนักตื๊อที่ดูดี
และท่าทางจะไม่มีพิษมีภัยในภายหลัง จะว่านนทกานต์แอบมาเล่าให้ฟังก็คงยาก
เพราะจำได้ว่าหล่อนไม่เคยโปรยคำเด็ดนี้ใส่หูเขา ต้องพิเศษกว่านนทกานต์อีกสักนิดหนึ่งหรอกถึงมีสิทธิ์ได้ยิน
“แค่นี้ก็ถือว่าเป็นกรรมที่ต้องได้รับโทษหรือคะ?”
“ไม่ใช่แค่คำพูดนี้หรอกนะ
ทุกอาการ ทุกถ้อยคำที่รวมกันทำให้ใครต่อใครเขาคาดหวังนั่นแหละ
ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถูกหลอกให้คาดหวังอย่างแรง จบลงด้วยความผิดหวังอย่างหนัก
เหมือนเมื่อเรายังอ่อนแอในวัยเด็ก พ่อแม่บอกว่าจะมาแล้วไม่มา เราน้อยใจ
เราอยากร้องไห้อย่างไร
ก็คือความรู้สึกแบบนั้นคูณเข้าไปด้วยจำนวนหนุ่มๆที่อกหักจากเรา
ลองคำนวณเถอะว่าถ้าวันหนึ่งมันย้อนกลับมากระแทกเรา มันจะหนักขนาดไหน”
“เมื่อครู่มีโอกาสคุยกับเจ๊คนก่อนหน้านี้
เขาบอกว่าพี่ระบุชื่อคนเก็บมือถือให้เขาได้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นพี่ก็น่าจะระบุชื่อและเวลาที่หนูจะเจอคนรักรายแรกได้ใช่ไหมคะ?”
อุปการะส่ายหน้า
“ไม่เหมือนกันหรอกครับ
บางเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และไม่เหลือวิสัยจะบอกก็บอกได้
แต่บางเรื่องถ้ารู้เสียก่อนเกิด จะมีผลข้างเคียงตามมา
หากผมล้ำเส้นกรรมวิบากของใครเข้า ก็จะถึงความเดือดร้อนตามๆกัน
ทั้งผมเองและคนที่รู้ในสิ่งไม่สมควรรู้”
“เดือดร้อนได้ยังไงคะ
ในเมื่อเป็นการช่วยเหลือสัตว์ที่กำลังจะตกทุกข์ได้ยาก”
“ก็อย่างตอนนี้
แค่ผมบอกว่าจะเจอคนที่ทำให้หนูเจ็บ หนูก็ตั้งใจไว้แล้ว ว่าใครแหลมเข้ามา
โดยเฉพาะคนที่รู้จัก จะปิดหูปิดตาหมด เพื่อให้คำทำนายของผมคลาดเคลื่อน”
ลานดาวผวาอยู่ในส่วนลึก
เพราะที่หมอดูกล่าวนั้นคือความตั้งใจของหล่อนจริงๆ แต่ก็พยายามรักษากิริยาไว้
ทำสีหน้าเรียบเฉยฟังฝ่ายนั้นกล่าวต่อ
“ถ้าหนูหลีกเลี่ยงการชดใช้กรรมครั้งนี้
กรรมก็จะจัดสรรคนใหม่ เหตุการณ์ใหม่มาให้หนูต้องชดใช้จนได้นั่นแหละ
วินาทีนี้ผมยังไม่เพ่งดูว่าใครคนนั้นชื่ออะไร อยู่ที่ไหน
แต่เมื่อไหร่เพ่งดูและบอกออกไป หนูจะเลิกคบเขาทันที ซึ่งมันผิดกับระบบกรรม
เส้นทางโคจรของหนูจะต้องพบกับเขา เพราะมีกรรมสัมพันธ์ร่วมกันมา
และเขาจะมีบทบาทสำคัญกับชีวิตของหนู ทั้งในแง่ของความเจริญขึ้นและความเสื่อมลง”
“เอ…
หนูสงสัยมานานแล้วนะ ว่าถ้าตายจากกันแล้ว มาเจอะเจอกันได้ยังไงถูก
เอาแค่คนรู้จักกันในชาตินี้ บางทีรักสุดชีวิต พอมีเหตุให้พลัดพรากหลายๆปีแล้วคิดถึงกันขึ้นมา
ต่อให้พลิกแผ่นดินหาแทบตายก็ไม่เจอ ขนาดจงใจหายังไม่เจอ
แล้วอะไรที่เหวี่ยงให้มาเจอคู่กรณีเก่าที่ลืมกันหมดสิ้นได้?”
“กรรมเป็นเรื่องซับซ้อน
หนูต้องเข้าใจ ต้องหยั่งรู้ ว่าลำดับการให้ผลของกรรมเป็นอย่างไร
แล้วจะรู้สึกว่าพวกเราเหมือนมีแม่เหล็กติดตัว วิ่งไปตามเส้นทางใด
ก็มีผลดึงดูดบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีบุพกรรมร่วมกับเรามาเจอกัน
ใครมีอิทธิพลกับชีวิตเรามาก ให้ผลเปลี่ยนแปลงทางดีหรือร้ายได้รุนแรง
ก็หมายความว่าเราหลีกเลี่ยงการพบเจอคนนั้นไม่ได้
และต้องใช้เวลาระยะหนึ่งทำความรู้จัก คบหา และรับผลจากเขาเสียก่อนจึงถึงเวลาผละจาก
ต่างจากพวกที่เราจะต้องเสียเวลาในชีวิตร่วมกับเขาเพียงครึ่งนาที
เช่นคนบอกทางแยกทางเลี้ยวให้เราไปถึงที่นัดหมาย
การพบหรือไม่พบคนจำพวกนี้มีผลเท่ากัน คือจะไม่ทำให้ชีวิตเราต่างไปจากเดิม”
“แล้วแม่เหล็กดึงดูดคู่กรรมที่พี่ว่านี่ฝังอยู่ตรงไหนในเราคะ
จิตใต้สำนึกหรือเปล่า?”
“ถ้ายกเอาสิ่งที่เห็นง่ายในชาติปัจจุบันมาพูดก่อนคงพอเข้าใจ
หนูคงเห็นว่าถ้าเราพูดกับใครบ่อยๆ ก็จะเหมือนมีสายใยโยงกับคนนั้น
ไม่ใช่เหมือนกับเส้นเชือกผูกมัดเป็นตัวเป็นตน แต่สายใยที่รู้สึกได้ด้วยใจนั้นแหละ
จะกระตุกให้เราคิดถึงเขาบ่อยๆ อันนี้คงนึกออกนะ”
“ค่ะ
บางทีรู้สึกเหมือนใจเราเป็นสิ่งยืดตัวออกไปทางทิศใดทิศหนึ่ง
ตามที่อยู่ของใครบางคนได้ตลอดเวลา”
“นั่นแหละที่เรียกความผูกพัน
สายใยเชื่อมโยงระหว่างจิตต่อจิต หลักการคือถ้าผูกเหนียวแน่นกับใครมากๆ
จะมีลักษณะฝังลงในส่วนลึก หยั่งรากความสัมพันธ์ได้ถึงส่วนไร้สำนึก
ชนิดติดจิตติดวิญญาณข้ามภพข้ามชาติได้
เมื่อพบกันอีกก็จะมีสัญญาณในจิตกระตุ้นให้ตื่นตัวรับรู้ มีสายใยเชื่อมติดกันทันที
จึงเหมือนคุ้นเคยกันในทางใดทางหนึ่ง นี่เป็นในแง่ของความจำ”
“พอจะเข้าใจค่ะ”
“ในแง่ของกรรมซึ่งเหวี่ยงให้ต้องมาพบกัน
เป็นอะไรที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านั้น อย่างเช่นชาตินี้เรามีรูปงาม
ก็เป็นธรรมดาที่จะมีความปรารถนาคู่ครองที่รูปงามเหมาะสมกัน
หากปะเหมาะเคราะห์ดีคนที่ร่วมบุญเสมอกัน มีรูปงามควรคู่กันโคจรมาพบก็มีความสุขไป
แต่หากคนที่ร่วมบุญกับเราเขาก่อกรรมชนิดต้องชดใช้ด้วยรูปอัปลักษณ์
เราก็จะรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คือรักก็รัก แต่เจือด้วยความแหนง
ปนด้วยความเดียดฉันท์อยู่ด้วย เคราะห์ร้ายขึ้นมาถ้าเราติดรูปมากกว่ารักแท้
ก็อาจไปคว้าพวกหน้าเนื้อใจเสือ หรือคนที่จะมาอยู่กับเราเพื่อจองเวรกันในรูปแบบคู่ผัวตัวเมีย”
“น่ากลัวจัง”
ลานดาวรำพึง
แต่น้ำเสียงไม่ส่อความกลัวตามคำ
เพราะยังไม่เชื่อเลยว่าตนจะมีความเดือดร้อนเพราะคนรักจริงๆ
ยังปักใจอยู่ดีว่าตนเป็นพวกสมบูรณ์แบบที่มีคนสมบูรณ์แบบด้วยกันเท่านั้น
จะสามารถเข้าถึงตัว เข้าถึงหัวใจได้
“บอกใบ้ให้สักนิดได้ไหมคะ
เอาแค่ว่าคนแรกที่หนูจะรักเนี่ย อายุอานามเท่าไหร่ หรือมีลักษณะสูงๆต่ำๆ
ดำๆแดงๆอย่างไร”
“ได้…
เป็นคนขาว สูงใกล้เคียงหนู แล้วก็ไว้ผมยาว แก่กว่าหนูราวสามถึงสี่ปี”
“แอ๊ะ!”
หญิงสาวอุทานสวนคำทำนายทันควัน
เริ่มยิ้มเยาะได้ เพราะหมดศรัทธาความแม่นของหมอดูเสียแล้ว
“ลักษณะที่พี่บอกมา
หนูรู้จักอยู่คนเดียว เป็นเพื่อนใกล้บ้านที่วิ่งเล่นกันมาแต่เด็ก
ถ้ามีเหตุจูงใจให้หนูรักนายคนนี้ และนายคนนี้ทำให้หนูเจ็บหรืออายได้
หนูจะมาขอเรียนวิชาเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีจากพี่นะคะ”
หล่อนพูดจ๋อยๆอย่างร่าเริงใจที่เรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้เต็มอก
อุปการะหัวเราะเอื่อย
“วิชานี้เรียนยากหน่อยนะ”
ปากลานดาวยิ้ม
ทว่านัยน์ตาดุ
“ที่พี่บอกคือหนูจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรในไม่กี่วันข้างหน้า
หนูจะรอหนึ่งเดือน หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น หนูขออนุญาตกลับมาแจ้งให้พี่ทราบดังๆนะคะ
ว่าพี่ทายผิด!”
อุปการะยิ้มเฉย
มิได้ต่อตากับสาวน้อย ครู่หนึ่งหล่อนก็ควักเงินค่าดูหมอออกมาวางบนโต๊ะ
แล้วลุกจากไปโดยไม่ล่ำลามากกว่าคำฝากทิ้งท้ายนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น