ตอนที่
๒๐. คนรู้ใจ
คืนนั้น มาวันทาเปิดคอมพิวเตอร์
ออนไลน์อินเตอร์เน็ตอย่างรู้เวลา รู้หน้าที่ที่พึงกระทำยามห่างจากคู่ชีวิต
“สวัสดีค่ะพี่อ๋อง”
เขาเป็นฝ่ายรออยู่ก่อนตามเคย
“จ้ะเอิน”
“ไปเล่นหมากรุกไหมคะ?”
ลัดธีร์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนตอบว่า
“วันนี้คุยกันเฉยๆดีกว่า พี่เพิ่งเข้าห้องพัก
กำลังขี้เกียจคิด”
“ค่ะ แล้วแต่พี่อ๋อง
คุยกันอย่างเดียวเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี”
“เรื่องจ๊ะเรียบร้อยใช่ไหม?”
เขาเดาได้เพราะหลังคำทักแรกมาวันทาก็ชวนเล่นหมากรุก
แสดงถึงอารมณ์ใส
“เรียบร้อยค่ะ
เรื่องน่ากลุ้มทั้งหลายดูเหมือนผ่านพ้นไปแล้วด้วย”
หล่อนหมายถึงเรื่องชู้สาวอันน่าละเหี่ยใจเหลือประมาณ
“เหรอ เกิดอะไรขึ้นถึงเชื่อมั่นได้?”
มาวันทานึกถึงใบหน้าของหมออมฤตแล้วอมยิ้ม
“เพราะดูท่าเขาอาจเจอเนื้อคู่แล้วมั้งคะ”
“?”
ลัดธีร์ฉงนสนเท่ห์
และส่งเครื่องหมายปรัศนีมาเดี่ยวๆ เป็นเชิงให้ขยายความ
“เมื่อสายที่เอินโทร.เล่าให้พี่อ๋องฟังเรื่องอุบัติเหตุ
มีหมอคนหนึ่งมาช่วยจ๊ะ… คนนั้นแหละ”
ผู้เป็นสามีเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตอบกลับมาสั้นๆ
“เจอกันด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินหวือหวาอย่างนี้
จะใช่แน่รื้อ?”
“หลายๆอย่างส่อค่ะ เอินว่าใช่นะ”
“เอินเคยว่าจ๊ะมีแฟนใหม่ง่ายไง ใช่ตอนนี้
อีกเดี๋ยวอาจจะไม่ใช่แล้ว”
“ก็คงต้องคอยดูว่าเอินเก็งพลาดหรือเปล่า”
“อือม์… ถ้าใช่จริงก็ดีไป จะได้หมดเรื่องหมดราว”
“พี่อ๋องคะ… เอินอยากกราบขอโทษพี่อีกครั้ง
สำหรับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด”
ทีแรกหล่อนพิมพ์แค่ ‘ขอโทษ’
แต่ก่อนส่งข้อความได้กลับมาเพิ่มคำว่า ‘กราบ’ เข้าไปด้วย
เป็นการแสดงความสำนึกผิดอย่างแรง
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก เคยคุยกันหลายครั้งแล้วไง
เอินยังไม่ทันทำผิดสักหน่อย ถ้าจะผิด ก็ผิดโดยไม่ตั้งใจแล้วถอนเสียก่อนถลำเต็มตัว”
มาวันทาเคยสารภาพบาปทั้งน้ำตากับสามีอย่างละเอียด
ว่าได้เคยพลาดพลั้งทางกายทางใจไว้อย่างไร แค่ไหน ซึ่งเขาก็ลูบศีรษะปลอบ แสดงความไม่ถือสาแม้แต่น้อย
ครั้งนั้นแพทย์สาวโล่งใจไปครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้เขยิบขึ้นมาเป็นโล่งเต็มหัวอก
ในเมื่อสะสางปัญหาหมดจด
กับทั้งได้โชคชะตามาช่วยอนุเคราะห์เสริมท้ายอย่างบริบูรณ์เสียที
จึงรู้สึกคล้ายชำระหนี้ใหญ่ครบถ้วนหลังผัดผ่อนมานานอย่างไรอย่างนั้น
“ตอนโทร.หาพี่อ๋องเมื่อเช้า
เป็นจังหวะที่จ๊ะเพิ่งช็อกหมดสติไป พอเขาฟื้นขึ้นมา มีเรื่องน่าตื่นเต้นด้วยล่ะ”
“ยังไงเหรอ?”
“เขาความจำเสื่อมไปชั่วคราวค่ะ เอินกับพี่แตร…
หมายถึงหมอที่เอินเพิ่งพูดถึงน่ะค่ะ ต้องช่วยกันรื้อฟื้นความจำกันจ้าละหวั่น”
“งั้นรึ เสื่อมยังไง แค่ไหน?”
“ก็ขนาดจำเอินไม่ได้น่ะค่ะ
พอช็อกเพราะนึกว่าเอินอยู่ในรถที่ถูกชน ตื่นมาอีกทีเอ๋อไปเลย”
“ตอนนี้ฟื้นกลับเป็นปกติแล้ว?”
“ค่ะ ปกติทุกอย่างแล้ว เพราะเป็นแค่แอมนีเซียเล็กๆ”
ลัดธีร์ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของลานดาวนัก
พอทราบว่าเป็นปกติดี เขาก็เปลี่ยนเรื่อง
“อากาศที่นี่หนาวน่าดู ลืมเอาเสื้อกันหนาวมา
ไม่มีเอินให้กอดอุ่นๆเสียด้วย แย่ชะมัด นี่ต้องใส่หลายชั้นแล้วสวมเสื้อนอกทับเอา
เทอะทะจัง”
“ต้องนอนที่นั่นอีกคืนหนึ่งใช่ไหมคะ
ซื้อเสื้อใหม่สักตัวซี่”
“ไม่เอาหรอก เสียดายตังค์”
“เลือกแบบถูกๆก็ได้ จะสักเท่าไหร่กัน…
พรุ่งนี้ว่างกะทำอะไร?”
“ทีแรกว่าจะดูหนัง แต่เปลี่ยนใจ ค่าดูแพงเหลือเกิน
สงสัยมีส้วมติดอยู่ในเก้าอี้พร้อม”
มาวันทาหัวเราะคิก
“โธ่เอ๊ย! เป็นนักบินทั้งที เสียดายกะแค่ค่าดูหนัง”
“เปล่าหรอก คิดแล้วไปดูกับเอินที่เมืองไทยดีกว่า
เรื่องที่อยากดูก็กำลังฉายในบ้านเรา”
“พี่อ๋องคะ… ถามจริงๆ เบื่อเอินบ้างหรือเปล่า?”
เขาเงียบไปครู่ ทั้งที่เคยตอบเร็วเป็นฟ้าแลบ
“อยู่ๆทำไมถามอย่างนี้?”
“บางคู่ดูใจสิบปี
พอแต่งได้สองเดือนก็หย่ากันให้เห็นถมเถ นี่เราอยู่กันมาตั้งเกือบปีแล้ว”
มาวันทาพิมพ์ด้วยความเนือยนายตามอารมณ์
เพราะรู้ว่าจะไม่ส่งข้อความนั้นให้เขา
พอพิมพ์อักษรสุดท้ายเสร็จก็ปาดเมาส์ลบทิ้งทั้งหมดแล้วพิมพ์ใหม่
“ช่วงหลังดูเหมือนเอินทำตัวน่าเบื่อ
พี่อ๋องท่าทางเซ็งๆ อย่างเมื่อวานถ้าเป็นไปตามนัด
เอินก็ควรไปงานบวชน้องชายพี่อ๋อง… เอินรู้สึกผิดจัง”
“ช่างมันเถอะเอิน”
เขาบอกสั้นๆ
“ถ้าวันไหนเริ่มเบื่อเอิน ช่วยบอกให้รู้ด้วยนะคะ
สัญญาว่าจะพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น”
“ที่ผ่านมาเอินมีปัญหา
ตอนนี้หมดปัญหาแล้วก็แล้วไปเถอะ”
แม้ลัดธีร์กล่าวเหมือนให้อภัยอย่างไร้ข้อแม้
แต่มาวันทากลับรู้สึกประหลาด คล้ายเห็นหน้าเขาเมินไป
ไม่มีกระแสความใส่ใจพุ่งแน่วมายังหล่อนเหมือนที่เคยคุ้น
“พี่อ๋องกำลังคุยกับคนอื่นอยู่ด้วยใช่ไหมคะ?”
คราวนี้เขาทิ้งระยะไม่นานนัก
“หือ! ทำไมคิดอย่างนั้น?”
แพทย์สาวมองหน้าจอด้วยอารมณ์เงียบสงบ เป็นกลาง
ปราศจากอคติ
“บอกมาเถอะค่ะว่าเอินทายถูกหรือเปล่า
ทีพี่อ๋องยังทักเอินถูกบ่อยๆ กระทั่งลุกไปดื่มน้ำยังเคยตรงเผงจนเอินตกใจ”
“ฮ่ะๆ ไปฝึกมีเซนซ์มาจากไหนกันล่ะเนี่ย?”
มาวันทาแน่ใจว่าจับอารมณ์เขาถูก ตอนนี้ลัดธีร์กำลังเก้อ
“เป็นเมียคนมีเซนซ์
ก็เลยติดเซนซ์มาโดยไม่รู้ตัวมั้งคะ”
“ฮ่ะๆ พี่เคยมีเซนซ์กับใครที่ไหนเล้า
เดาส่งเดชตามความรู้สึกจากการอ่านทั้งนั้นแหละ”
ภรรยานักบินหรี่ตา
ใจหล่อนยังเงียบสงบอยู่เหมือนเดิม
ทว่ารู้สึกถึงอาการเกร็งฝืนที่แฝงอยู่ในประโยคคำพูดของเขา
เพิ่งแน่ใจว่ากลุ่มคำในแต่ละประโยคสามารถเป็นตัวแทนคลื่นเสียงในสมองของคนพิมพ์
“ก็แปลกนะคะที่พี่อ๋องเดาแม่นมาตลอด”
“อือ… งั้นขอเดาอีกที
ตอนนี้เอินคุยกับพี่อยู่คนเดียว”
“อันนั้นเรียกว่ารู้จากความเป็นจริงค่ะ ไม่ใช่เดา
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาถ้าคุยกับพี่อ๋อง เอินจะใช้ทะเบียนสำหรับเราสองคนโดยเฉพาะ
ไม่เคยมีคนอื่นอยู่ด้วย… เอินไม่ได้น้อยใจหรือขัดเคืองนะคะ
แค่อยากทดสอบดูว่าที่รู้สึกนั้นจริงหรือเก๊ ถ้าพี่อ๋องบอกว่าเอินอุปาทานไปเองก็จบ”
“พี่คุยอยู่กับไอ้เต๊ะน่ะ” ลัดธีร์ตัดสินใจยอมรับ
“กำลังพนันบอลกับมันอยู่ เอ่อ… ขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้เอินจับได้
สงสัยอาการทางจิตที่คิดต่อรองจะแรงไปเสียแล้ว พี่ขอเลิกคุยกะมันไปเรียบร้อย”
“ก็คุยไปสิคะ ทำไมเอินกลายเป็นตัวทำบ่อนแตกได้
ไม่ตั้งใจอย่างนั้นซักหน่อย”
“รู้น่า เอินชอบให้พี่คุยกับเอินแค่คนเดียว
อีกอย่างเอินเกลียดการพนัน ไม่อยากให้พี่เล่น ตอนแรกที่เอินถาม
พี่ถึงไม่ค่อยอยากยอมรับนักว่าคุยกับคนอื่น กลัวเดี๋ยวพอรู้ว่าคุยกะไอ้เต๊ะ
เอินคงเดาออกทันทีว่าพี่กับมันกำลังคุยเรื่องแบบไหน”
มาวันทาสัมผัสได้ถึงกระแสความอาทร
มันแทรกซึมมากับทุกอณูอักษร ความฝืดฝืนแบบเมื่อครู่ของเขาสลายตัวไป
เหลือแต่ความเอาใจใส่หล่อนเพียงคนเดียว
“ขอบคุณค่ะ เอินกำลังยิ้มอยู่นะคะ”
“จ้ะ… ดีจังที่เป็นอย่างนั้น”
“เอินไม่เคยอยากบังคับหรือฝืนใจพี่อ๋องหรอก
ทุกวันนี้ค่าบ้านพี่ก็เป็นคนผ่อน ข้าวของพี่ก็เป็นคนออก
เอินจ่ายแค่ค่าผ่อนรถตัวเองกับของจุกจิกนิดหน่อยเท่านั้น
ในเมื่อพี่อ๋องรับผิดชอบเลี้ยงดูเอินขนาดนี้
ถ้าจะเอาเงินส่วนตัวไปใช้อย่างมีความสุขแบบที่ต้องการบ้าง เอินก็ไม่สมควรก้าวก่าย
และไม่มีสิทธิ์ไปว่าเลย พี่อ๋องก็รู้ว่าเอินไม่ใช่เมียประเภทถืออำนาจยึดทรัพย์เสียหน่อย”
“พี่มีเอินให้เกรงใจก็ดีเหมือนกันแหละ ไม่แน่
ถ้าอยู่คนเดียวอาจโลภมากเกินขอบเขต ล่มจมไปกับพนันบอลนานแล้ว…
เล่นพนันนี่ผิดศีลหรือเปล่า?”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่พระท่านว่าเป็นอบายมุข”
“อบายมุขนี่คือมุขที่ลากคนไปอบาย?”
“คงทำนองนั้นมั้งคะ ‘อบาย’ แปลว่าความฉิบหาย
ซึ่งอาจหมายถึงความย่อยยับแห่งโภคทรัพย์ในปัจจุบัน ส่วน ‘อบายภูมิ’
คือที่ที่ปราศจากความเจริญ ท่านว่าการเสพติดอบายมุขทำให้จิตใจตกต่ำเป็นธรรมดา
เมื่อจิตใจตกต่ำก็พร้อมจะจะไปอยู่ในที่ที่ปราศจากความเจริญแห่งใดแห่งหนึ่งระหว่างนรกภูมิ
เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ หรือเดรัจฉานภูมิ”
“อ้าว! ซวยล่ะซี
อย่างนี้พี่ก็ต้องไปเกิดภูมิใดภูมิหนึ่งใน ๔ จำพวกนี้ใช่ไหม?”
หากเป็นเสียง
มาวันทาก็สัมผัสว่าสำเนียงของเขาออกไปทางเล่นมากกว่าจะเชื่อจริงจัง
ลัดธีร์ไม่เคยปิดบัง ว่าเขาเห็นความรู้ในตำราหรือคัมภีร์เป็นเพียงสิ่งที่คิดๆแต่งๆกันขึ้นมาขู่เด็กเล่นเท่านั้น
“ถ้าไม่ถึงกับเสพติด
ก็คงเหมือนคนที่ยืนอยู่ปากเหวอย่างมีสติมั้งคะ”
นักบินหนุ่มอมยิ้มอยู่อีกทางหนึ่งอย่างพอใจในคำตอบที่ฟังฉลาดของภรรยา
“แล้วศีลล่ะ คืออะไร?”
“คือข้อพึงปฏิบัติ
หรือความประพฤติที่ดีงามทางกายและวาจาน่ะค่ะ”
“ไม่รวมใจด้วยหรือ?”
“ไม่รวมค่ะ”
“งั้นถามหน่อย อย่าหาว่าทะลึ่งเลย
ถ้าใครอยากนอนกับเมียชาวบ้าน แล้วแค่ช่วยตัวเองในห้องน้ำ อย่างนี้ศีลไม่ขาดนะ?”
“ไม่ขาดค่ะ ศีลจะเริ่มด่างพร้อยเมื่อมีอาการคิดเพ่งเล็ง
วางแผนอยากได้ของจริง และจะขาดทะลุต่อเมื่อลงมือกระทำผิดทางประเวณีแล้ว”
“ผิดศีลเป็นประจำนี่ไปอบายภูมิเหมือนกันใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“เอ… แล้วการผิดศีลจะต่างกับการติดอบายมุขยังไงน่ะ?”
“ถ้าจะเข้าใจความแตกต่างอย่างชัดเจน
ต้องรู้จักศัพท์เพิ่มอีกคำหนึ่งคือ ‘กรรมกิเลส’
ซึ่งหมายถึงการกระทำอันเป็นเครื่องเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าจำแนกไว้ ๔
อย่างคือฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดประเวณี และพูดเท็จ ทำกรรมเหล่านี้เมื่อไหร่
จิตจะต้องมีความเศร้าหมอง เป็นอกุศลทันทีตามธรรมชาติ”
ลัดธีร์พอนึกออก
คิดถึงตัวอย่างอยู่ในใจว่ายังไม่ทันผิดประเวณีเต็มร้อย
มาวันทาก็เศร้าหมองและฟูมฟายจะเป็นจะตายแย่แล้วช่วงเกิดเรื่องกับลานดาวใหม่ๆ
“แล้วอบายมุขล่ะ?”
“สำหรับ ‘อบายมุข’ นั้นจำแนกเป็น ๖
ประการได้แก่ติดเหล้าหนึ่ง ชอบเที่ยวกลางคืนหนึ่ง เที่ยวดูการละเล่นถี่จัดหนึ่ง
มักเล่นการพนันหนึ่ง คบคนชั่วเป็นมิตรหนึ่ง และเกียจคร้านการงานหนึ่ง
ใครๆก็คิดได้ด้วยสามัญสำนึกว่าเหล่านี้เสพติดแล้วเป็นเหตุย่อยยับแห่งโภคทรัพย์จริงๆ”
ชายหนุ่มอ่านทวนอย่างใช้ความคิดแล้วพยักหน้า
“พอจะเห็นเค้าล่ะ
พระพุทธเจ้าท่านมีปัญญาจำแนกแจกแจงละเอียดลออจังเลยนะ
กรรมกิเลสนั้นทำแล้วสมบัติอาจจะไม่ฉิบหาย แต่ก็ได้ชื่อว่าสั่งสมบาปกองโตไว้
อย่างพวกเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ที่ต้องทำปาณาติบาตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ผลในปัจจุบันคือรวยเอาๆได้อยู่ ส่วนอบายมุขนั้นเสพติดแล้วรังแต่จะทำให้สมบัติเสื่อมลง
แต่ก็ใช่จะเป็นบาปอกุศลเสมอไป อย่างพวกชอบเที่ยวตระเวนดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย
เพียงแต่เสียเวลาทำมาหากิน ทำทรัพย์ให้ร่อยหรอไปโดยไม่หาเพิ่ม”
“ค่ะ แต่ถ้ามัวเมาเป็นประจำ
ทั้งกรรมกิเลสและอบายมุขก็ให้ผลเป็นการไปเกิดในทุคติเหมือนกันนะคะ
เพราะการมัวเมาในกามย่อมเป็นเหตุแห่งความพร่าเลือนของสติ…
กลับไปที่คำถามของพี่อ๋องว่าการพนันผิดศีลไหม ต้องตอบว่าไม่
เพราะอบายมุขที่ผิดศีลมีข้อเดียวคือการติดสุรา””
“ฮ่ะๆ ค่อยโล่งไปหน่อย
พี่แค่เล่นพอหอมปากหอมคอให้ดูบอลมันขึ้น แต่ชีวิตปกติทำงานหาเลี้ยงชีพโดยชอบ
ไม่ได้เป็นผีพนันตามบ่อนกับใครเขา คงไม่เป็นกรรมนำไปเกิดในอบายนะ?”
“ค่ะ”
มาวันทาพิมพ์ตอบไปสั้นๆ แต่ในใจแอบคิดว่าคืบก็ทะเล
ศอกก็ทะเล ตราบใดเท้ายังแช่อยู่ในทะเล
ตราบนั้นความเสี่ยงทั้งปวงก็ยังคงอยู่ที่นั่นเสมอ
โดยอาชีพ ทำให้ลัดธีร์ค่อนข้างห่างจากเหล้าโดยปริยาย
กินได้เพียงบางโอกาส เพราะนักบินจะมีแอลกอฮอล์ในลมหายใจก่อนขึ้นเครื่องไม่ได้
หลายปีก่อนเขาเคยสูบบุหรี่ แต่พอเห็นหล่อนรังเกียจ ก็ยอมเสียสละความสุขส่วนตัว
เลิกขาดจากตัวก่อมะเร็ง เท่านี้นับว่าเขาเป็นสามีแสนดีที่หายากจะแย่อยู่แล้ว
หล่อนคงไม่คาดหวังให้เขาสมบูรณ์แบบเพื่อหล่อนมากไปกว่านี้
ประมาณสี่ทุ่ม
ลานดาวอาบน้ำเสร็จก็มานอนปล่อยใจฟุ้งซ่านไปเรื่อย
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ว่างพอจะทอดอารมณ์แล้วคิดถึงคนอื่นนอกเหนือจากมาวันทา
อมฤตเป็นความแปลกใหม่ มีทั้งความสะดุดตาตรึงใจ
มีทั้งกระแสอบอุ่นนุ่มนวลชวนฝัน
เขาเป็นหนึ่งในชายไม่กี่คนที่มีกระแสตาแรงชนิดแทงทะลุเข้าไปถึงหัวใจผู้หญิงได้
นานเพียงใดแล้วที่หล่อนเลิกคิดถึงผู้ชาย แต่เขาปรากฏตัววันเดียว
ก็เรียกความรู้สึกแบบสาวน้อยรอเจ้าชายในนิทานของหล่อนกลับมาจนครบ
ชีวิตเป็นเรื่องประหลาด รอบางสิ่งมานานจนหมดหวัง
สิ่งที่หวังก็มาประเคนถึงมือ คล้ายมีใครอยากแกล้งยั่วให้กระโดดโลดเต้น
ไม่ยอมให้หยุดพักหายใจหายคอแม้สักครู่
ลานดาวอมยิ้ม
ปิดตาประสานมือวางบนอกอย่างผ่อนคลายสบายใจ
ล็อกความรู้สึกนึกคิดให้จดจ่ออยู่กับอมฤตแน่วแน่ แล้วนับถอยหลัง ๖๐, ๕๙, ๕๘
ลงมาเรื่อยๆจนกระทั่ง ๓, ๒, ๑…
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น
ลานดาวเปิดตายิ้มกว้างอย่างสมหวัง เพราะนั่นคือสิ่งที่หล่อนตั้งเป้าคาดหวังไว้ในใจ!
ลุกขึ้นไปหยิบกระบอกโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน
แล้วกรอกเสียงหวานลงไปทันที
“สวัสดีค่ะพี่แตร”
นี่เป็นอำนาจชนิดหนึ่งที่หล่อนชอบใช้กับหนุ่มๆทั้งหลาย
ให้ทนไม่ได้ต้องโทร.หา ฝึกหัดมานานและได้ผลจนรู้ว่ามันมีอยู่จริง
มิใช่เพียงอุปาทาน อัตราส่วนความสำเร็จสูงกว่าล้มเหลวประมาณสองในสาม
ส่วนที่ล้มเหลวนั้นพอสืบย้อนดูจากเจ้าตัว หลอกถามว่าเวลานั้นๆกำลังทำอะไร ก็ปรากฏว่าติดธุระสำคัญอยู่
ทั้งที่คิดถึงและอยากโทร.หาหล่อนใจแทบขาด
ในห้วงเวลาที่ยังไม่มีโทรศัพท์บ้านชนิดบอกเบอร์ผู้เรียก
การเป็นฝ่ายทักก่อนทั้งที่เป็นผู้รับสายทำให้คนโทร.อ้าปากค้างตะลึงทึ่งได้ชะงัด
ครั้งนี้ลานดาวก็ไม่พลาด เป็นอมฤตจริงๆ ทว่าแตกต่างจากคราวก่อนๆก็คือหล่อนได้กลายเป็นฝ่ายอ้าปากค้างบ้าง
“คราวหลังแค่ครึ่งนาทีพี่ก็รู้แล้ว
ไม่ต้องนับถอยหลังตั้งหนึ่งนาทีหรอก”
ลานดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก กะพริบตาปริบๆ
“หา?…”
หลุดคำออกไปได้เท่านั้น สมองก็คล้ายหยุดค้าง
ตัวแข็งทื่อ
“ตะลึงเชียว” อมฤตหัวเราะเอื่อยๆ
“นึกว่าเล่นกลเป็นคนเดียวหรือ?”
หญิงสาวอึกอัก
“คือ… ช็อกน่ะค่ะ… พี่แตรรู้?”
“พี่ก็กะว่าจะโทร.หาจ๊ะอยู่เหมือนกัน
เพียงแต่เมื่อชั่วโมงก่อนเห็นยุ่งๆ เหมือนคุยกับใครอยู่
แล้วตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าดึกไปหรือเปล่า แต่จ๊ะส่งสัญญาณเรียกมาเองอย่างนี้ก็ดีแล้ว”
ลานดาวอึ้งสนิท เงียบกริบราวกับลมจับ
เป็นครู่กว่าหล่อนจะปรับสติได้ และค่อยๆขยับกายกลับมานั่งลงบนเตียง
“พี่แตรทำให้จ๊ะกลัวเสียแล้วซีคะ”
“แค่ทึ่งก็พอ
เพราะจ๊ะเองท่าทางชอบใช้มุขทำนองนี้ให้ใครเขาทึ่งอยู่เป็นปกตินี่”
หญิงสาวมึนงงราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน
แต่ไหนแต่ไรมองว่าตัวเองเป็นเจ้าแม่ และเห็นผู้ชายทั้งโลกเหมือนลูกไก่ในกำมือ
บีบก็ตาย คลายก็รอด ตอนนี้กลับตาลปัตรไปหมด เหมือนกลายเป็นลูกไก่เข้าให้บ้าง
“ก็…”
เอ่ยแค่นั้นแล้วนึกได้ว่าเขาถามในสิ่งที่หล่อนไม่จำเป็นต้องตอบ
จึงเลี่ยงด้วยการถามกลับ
“ทำยังไงพี่แตรถึงรู้ได้คะ?”
แพทย์หนุ่มหัวเราะนิ่มๆ
“พี่รู้จักและคุ้นเคยกับกระแสจิตชนิดที่พุ่งมาเรียกตัวดี
เคยฝึกกับเพื่อนๆเพื่อเก็บสถิติเอาความแม่นยำเป็นเรื่องเป็นราวด้วย”
“หมายถึงเพื่อนๆที่เรียนปรจิตวิทยาด้วยกันที่ดุ๊ก?”
“ใช่”
“แล้วพี่แตรรู้ขนาดเห็นจ๊ะนับถอยหลังจาก ๖๐ เลยเหรอ?”
ไม่บ่อยนักที่หล่อนตัวลีบ
และมีสุ้มเสียงกระเดียดไปทางคร้ามเกรงใครเช่นนั้น
“พี่ไม่รู้หรอกว่าจ๊ะเริ่มจากเลขอะไร
เป็นการประมวลและประมาณเอาน่ะ”
“ยังไงคะ?”
หัวใจลานดาวเริ่มเต้นแรง
บังเกิดความสนใจใคร่รู้จริงจัง
“เริ่มต้นพี่รู้แค่มีคลื่นจิตแรงๆมาจากจ๊ะ
ทีแรกนึกว่าเป็นความคิดถึงธรรมดาๆ แต่พอสัมผัสนานเข้าและเห็นความคงที่ก็เอะใจ
เดาว่าน่าจะเป็นกระแสเรียกออกมาจากสมาธิ พอตามจับจิตเป็นขณะๆก็สังเกตเห็นว่าเป็นสมาธิชนิดนับเลข
เพราะมีการแบ่งระลอกช่วงอัดและคายการนึกแบบนับจำนวน
และที่รู้ว่าเป็นการนับถอยหลังเพราะจิตมีแรงฝืนทวนกระแสเล็กๆ
ไม่ใช่นับอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนที่รู้ว่าเป็นหนึ่งนาทีเพราะดูเวลาจากนาฬิกา
ตอนช่วงท้ายมีแรงเร่งเร้าเข้าใกล้จุดจบของการนับ
มีอาการปักใจเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยวว่ากำลังจะบังเกิดผลที่ต้องการ…
ซึ่งไล่ๆกันพอดีกับที่พี่ถูกจูงให้ยกหูกดเบอร์”
“แล้วแน่ใจได้ยังไงคะว่าเป็นคลื่นจิตของจ๊ะ?”
“ไม่แน่ใจได้เต็มร้อยจนกระทั่งจ๊ะทักเหมือนดักจ้องรอพี่โผล่หน้าอยู่ก่อนนั่นแหละ”
“อ้อ…” ลานดาวรับรู้และหัวเราะเก้อๆ
“คิดแล้วน่าแปลกนะคะ การรับคลื่นจิตในระยะไกลเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไร”
“เรื่องของจิต
จะรู้ว่าจริงหรือไม่จริงก็ด้วยจิตเท่านั้นแหละ อย่างตอนนี้เราอยู่ห่างกัน
ไม่เห็นหน้ากัน แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม คนทั่วไปจะอธิบายว่าเพราะได้ยินเสียงเข้าหูกันชัดๆ
ซึ่งก็ถูก แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด
อีกเหตุผลหนึ่งที่รู้สึกใกล้ก็เพราะจิตเชื่อมกันโดยตรง
บางคนติดคุยโทรศัพท์นานๆก็เพราะชอบความรู้สึกใจเชื่อมใจนี่แหละ”
“สิ่งที่พี่แตรเรียกว่า ‘ใจเชื่อมใจ’
นี่คือความรู้สึกว่าอีกฝ่ายอยู่กับเราอย่างใกล้ชิดหรือเปล่าคะ?”
“ใช่
จิตคนจะเริ่มเชื่อมกันโดยอาศัยคลื่นเสียงเป็นพาหะ
แต่ถ้าใจเป็นคนละระดับชั้นกันจริงๆ ถึงอย่างไรก็ต่อไม่ติด
สังเกตสิว่าทำไมบางทีเราคุยกับบางคนไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็ตั้งใจฟัง เรานึกกันว่าภาษาพูดคือทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
แต่ความจริงไม่ใช่ คลื่นจิตที่ผิดกันมากๆจะเป็นกระแสรบกวนแก่กันและกัน
ทำให้รู้สึกอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ฟังก็ไม่ค่อยถนัด”
“อือ… ไม่เคยคิดในแง่นี้เลยนะคะเนี่ย
เคยสังเกตตัวเองเหมือนกันว่าถ้าจ้องจะพูดอยู่คนเดียวก็รู้แต่ว่าเราต้องการอะไร
แต่ถ้าเงี่ยหูฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจสักพักหนึ่ง
ถึงค่อยรู้ความต้องการของเขาขึ้นมาบ้าง แบบเดาถูกว่าจะพูดอะไร กำลังรู้สึกแบบไหน”
“นั่นแหละ เรื่องง่ายๆที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
คือสติเน้นที่ไหน เราก็จะรู้เรื่องนั้นมาก คลื่นจิตของมนุษย์ก็เหมือนธรรมชาติอื่นๆ
มันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น
เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ขึ้นอยู่กับว่าเอาสติไปจดจ่ออยู่มากน้อยแค่ไหน”
“แล้วตอนไม่ได้ยินเสียง
พี่แตรเห็นคลื่นจิตคนอื่นเป็นยังไงคะ?”
“ตอนคิดถึงใคร
จิตเราจะเหมือนคลื่นวิทยุที่แพร่ออกไปในอากาศนั่นแหละ
แต่จิตเป็นได้ยิ่งกว่าคลื่นวิทยุตรงที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยอากาศเป็นพาหะในการกระจายคลื่น
เพราะจิตสามารถต่อกระแสกันโดยตรง อีกอย่างคลื่นจิตคนเราก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
จึงสามารถถูกจำแนกได้มากกว่าคลื่นความถี่วิทยุต่างๆเสียอีก
หากฝึกจำแนกคุณลักษณ์จิตคนให้คล่องๆด้วยเกณฑ์แยกแยะ เช่นระเบียบความคิด
ความหนาแน่นของกลุ่มความคิด ระดับความสว่างผ่องใสของดวงจิต
ระดับความหนักแน่นของกำลังใจในชีวิต
รวมทั้งเงาบางอย่างที่มาจากการสั่งสมนิสัยทางการพูดและการกระทำเฉพาะตัว
ก็จะระบุตัวได้ว่าคลื่นที่เรารับนั้นส่งมาจากใคร”
“ค่ะ”
หล่อนพึมพำเพียงให้ทราบว่าตามฟังเขาอยู่
แม้ฟังแล้วยังไม่เข้าใจนัก
อมฤตเอ่ยสืบต่อ
“การที่จ๊ะตั้งใจบังคับให้ใครโทร.หา
ก็เป็นตัวอย่างว่าคนอื่นสามารถรับคลื่นจิตของเรา และคลื่นนั้นทำให้นึกถึงเราได้…
ว่าแต่พูดถึงเฉพาะเอกลักษณ์ของจ๊ะตรงนี้ เท่าที่พี่เห็นคือกระแสจากจ๊ะบีบคั้นรุนแรงเหลือเกิน
แสดงว่าจ๊ะท่าทางเป็นคนชอบใช้อำนาจเหมือนกันนะ”
เคยถวิลหาคนรู้ใจมานาน แต่พอเจอของจริง
รู้จริงๆละเอียดลึกซึ้งระดับนี้ ลานดาวกลับอ้ำอึ้งแทบพูดไม่ออก
แม้ตื่นใจกับประสบการณ์ใหม่เหลือประมาณ ก็มีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงระคนอยู่ด้วย
“วาว!… นี่จิตแพทย์หรือพ่อมดกันแน่คะ?”
พยายามคุมเสียงเป็นปกติ แต่ไม่วายติดสั่น
“พี่ทำได้แค่พื้นๆเท่านั้น
เพื่อนหลายคนเก่งกว่านี้เยอะ”
“แค่นี้ก็หัวใจจะวายแล้วค่ะ…
นี่คนไข้ไม่กลัวพี่แตรกันลานไปหมดหรือ?”
“ถ้าไม่อยากให้เขารู้ว่าเรารู้ ทำเงียบๆเสีย เขาก็เห็นเราเป็นหมอธรรมคนหนึ่ง
อีกอย่างพี่ไม่ใช้ความสามารถนี้พร่ำเพรื่อหรอก
เพราะถ้าย้อนกลับมาอยู่กับจิตตัวเองไม่เป็นก็เดือดร้อนเลยนะ
คือใจจะเปิดรั้วรับคลื่นใครต่อใครมั่วไปหมด…
ว่าแต่จ๊ะไปเอาเทคนิคเรียกคนให้โทร.หามาจากไหน ใครเป็นคนสอน?”
“ได้มาด้วยความบังเอิญน่ะค่ะ
สมัยเด็กเป็นคนติดคุณแม่มาก
ถ้ากลับจากโรงเรียนแล้วยังไม่เห็นคุณแม่ก็จะออกอาการอาละวาดบ่อยๆ
คนที่บ้านก็มักชี้ให้ดูนาฬิกา บอกว่าคุณแม่จะกลับกี่ทุ่มกี่ยาม
จ๊ะเลยคล้ายๆมีความอาฆาตกับนาฬิกา จ้องมันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเป็นประจำ
พอดูเข็มวินาทีขยับติ๊กๆๆแล้วคิดถึงแม่ไปด้วยก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างก่อตัวขึ้นแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
แล้วก็เหมือนอยากให้แม่โทร.หาเราเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเราจะกรี๊ดให้สนั่นโลก
แล้วแม่ก็โทร.มาจริงๆ นั่นคือจุดเริ่มต้น”
“เข้าใจล่ะ จ๊ะมีพลังจิตสูงตั้งแต่กำเนิด
ถึงทำอะไรได้มากมายตามปรารถนา”
“ว่าแต่… สอนจ๊ะให้รู้แบบพี่แตรบ้างได้ไหมคะ?”
“จ๊ะก็เก่งอยู่แล้ว ต้องให้สอนทำไม”
“เคยหลงนึกว่าเก่งเหมือนกันแหละค่ะ
แต่พอมาเจออย่างนี้ เห็นทีต้องชิดซ้ายลงสะดือทะเลไปเลย… อ้อนวอนค่ะ สอนจ๊ะหน่อยนะ”
อมฤตหัวเราะ พอเห็นว่าลานดาวอยากเรียนจริงจึงเอ่ย
“จะให้สอนอะไร?”
“วิธีรู้ใจคนอื่น… แบบที่พี่แตรรู้น่ะค่ะ”
“สำหรับพี่
พี่มีเหตุผลที่ดีคือเอาไว้ช่วยเหลือคนไข้ทางอ้อมโดยไม่ให้เขารู้ตัว
แล้วสำหรับจ๊ะล่ะ มีเหตุผลอะไรที่อยากรู้ใจคนอื่น?”
“ยอมรับว่าสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองในตอนนี้…
แต่ดูจากความมีน้ำใจเสียสละเพื่อสังคมของพี่แตร
ก็ทำให้จ๊ะรู้ว่าถ้าเรียนไปก็จะซึมซับแนวทางทำประโยชน์กับคนอื่นได้อีกมาก
อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้จ๊ะหลงใช้อำนาจแบบผิดๆ
และอาจเป็นโทษกับใครต่อใครอยู่ตามลำพัง”
อมฤตหัวเราะอีก นึกพึงใจวิธีพูดปะเหลาะของหล่อน
“ลองบอกซิตอนนี้พี่ยิ้มหรือหุบยิ้ม?”
“ยิ้มอยู่”
“รู้ได้ไง?”
“เสียงพี่แตรมีประกายใสแบบคนพูดทั้งยิ้มนี่คะ”
“นั่นแหละ จุดเริ่มต้นง่ายๆของการรู้ใจคนอื่น
นี่เป็นสิ่งที่พี่สังเกตได้จากการคุยทางโทรศัพท์ตั้งแต่เด็กๆ จ๊ะเองก็เห็น
ใครๆก็เห็น เพียงแต่ไม่ใส่ใจ และไม่สังเกตเพิ่มเติม
เพราะคนเราคุยโทรศัพท์กันด้วยความอยากพูดของตัวเอง มากกว่าอยากเห็นใจคู่สนทนา”
“จริงค่ะ”
ลานดาวรับ และทวีความสนใจเข้มข้นยิ่งขึ้น
“สรุปคือตอนนี้จ๊ะสามารถกำหนดรู้ได้ด้วยใจว่าพี่กำลังยิ้มอยู่
โดยไม่ต้องเห็นหน้ากัน เพียงได้ยินเสียงเท่านั้น ‘ภาพหน้ายิ้ม’
ของพี่ก็ปรากฏขึ้นในใจของจ๊ะ
ขอให้นึกไว้ว่านี่แหละคืออาการทางจิตฝั่งพี่ที่ไปปรากฏในการรับรู้ของจิตจ๊ะ…
คราวนี้ลองนึกถึงมโนภาพหน้ายิ้มแบบนี้ของพี่ไว้
แล้วจะเห็นว่ามีเสียงหรือเงียบเสียง จ๊ะก็รู้ได้อยู่ดีว่าพี่ยิ้มหรือหุบ
พี่จะเงียบนะ ถ้า ‘รู้สึก’ ว่าพี่หุบยิ้มก็ทักเลย”
หญิงสาวตื่นเต้นเล็กๆเมื่อพบตามจริงว่าถ้าเงี่ยหูฟังความเงียบเหมือนรอฟังเสียงพูดตามปกติ
ใจจะยังมีมโนภาพหน้ายิ้มของเขาตกค้างอยู่
เสียงพูดขณะยิ้มเป็นความสะเทือนที่ฟ้องอาการยิ้มได้ แต่ความเงียบก็บอกคลื่นความสะเทือนของยิ้มที่ตกค้างอยู่บนริมฝีปากได้เช่นกัน
จิตอมฤตยิ้มเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานสดชื่น
จึงสำเหนียกสัมผัสได้ง่ายดาย กระทั่งสิบวินาทีต่อมา
หล่อนจึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาเหือดหายไป มโนภาพยิ้มเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น
“พี่แตรหยุดยิ้มแล้วใช่ไหมคะ ทำหน้าถมึงทึงด้วย
เพราะเจตนาจะให้จ๊ะรับรู้ง่ายๆชัดๆ”
นักเรียนพลังจิตทักอย่างลิงโลด
แถมบอกเจตนาอันเป็นเบื้องหลังเสร็จสรรพ หล่อนว่าหล่อนรู้ ณ
ขณะของอาการหดตัวของกล้ามเนื้อริมฝีปากและแก้มได้เลยทีเดียว
แบบฝึกหัดแรกช่างง่ายดายและสร้างความตื่นใจยิ่งยวด
สงสัยว่าเหตุใดหล่อนจึงไม่ค้นพบความจริงนี้ด้วยตนเองเสียตั้งนานแล้ว
“อือม์… ถูก… แถมเดาใจพี่ออกอีกต่างหาก!”
ลานดาวยิ้มสดชื่นเมื่อได้คำรับรองให้ยิ่งเชื่อมั่น
ไม่มีใครเริ่มเชื่อมั่นด้วยความรู้ในจิตตนตามลำพัง
ต้องมีความจริงเป็นรูปธรรมรองรับให้เกิดความมั่นใจว่าใช่
ความมั่นใจจะเสริมความแหลมคมให้กับภาวะรู้เห็นครั้งต่อๆไป
เช่นขณะนี้สำเหนียกทราบว่าอมฤตกำลังชื่นชมลูกศิษย์หัวไวอย่างหล่อน
เพราะอาการทางจิตของเขาคือมีปีติ และเต็มใจพร้อมทุ่มเทวิชาให้อย่างหมดไส้หมดพุง
“เราจะเริ่มตามจิตคนอื่นได้ถ้าสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง
เห็นความเคลื่อนไหว หรือเห็นภาวะแตกต่างของจิตอย่างน้อยครั้งหนึ่ง
ที่คนเราไม่รู้ที่สุดก็คือสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงได้
การไม่ตระหนักในความจริงนี้ทำให้เกิดม่านอุปาทานขึ้นบังใจ เช่นถ้ารู้สึกว่าพี่ยิ้ม
ก็จะนึกว่าพี่ยิ้มไม่ยอมหุบไปตลอด… นอกจากอุปาทานว่าทุกสิ่งคงที่แล้ว
ยังมีอะไรอีกรู้ไหม ที่ขวางกั้นไม่ให้เรารู้วาระจิตคนอื่นได้?”
อมฤตถามแบบยั่วให้คิด ลานดาวตอบเกือบทันที
“ความอยากให้คนอื่นคิดอย่างที่เราต้องการใช่ไหมคะ?”
“เก่ง!”
ลานดาวจับจิตเห็นชัดว่าเขากำลังยิ้มเต็มใบหน้า
เพราะสัมผัสสภาพเบิกบานชื่นฉ่ำราวกับฉีดไอน้ำเย็นซ่านไปในอากาศ
“เราจะไม่รู้ใจคนอื่น
ก็เพราะมัวแต่โดนความอยากของเราเองบดบังไว้ ถ้าใครสามารถทำใจเป็นกลาง ไร้อคติ
ไร้ความคาดหมายใดๆ ก็จะรู้เห็นตามจริงเหมือนคนตาใสไม่เป็นฝ้าฟาง”
“วิธีคือต้องหมั่นบอกตัวเองให้ทำใจเป็นกลาง
อย่ามีอคติหรือเปล่าคะ?”
“ใจคนเราเต็มไปด้วยความลำเอียงและความคิดเข้าข้างตัวเอง
อยู่ๆไปสั่งมันให้เลิกอคติไม่ไหวหรอก จ๊ะลองสังเกตเดี๋ยวนี้ก็ได้
ทุกครั้งที่เราหายใจเข้าออก
ให้ถามตัวเองว่าเรารู้แต่ลมหายใจอย่างเดียวโดยไม่มีความคิดผสมอยู่ด้วยได้ไหม? ถ้าทำไม่ได้
ก็แปลว่าเราไม่อาจกำหนดรู้วาระจิตคนอื่นโดยปราศจากความคิดของเราเข้าแทรกคั่นเช่นกัน”
ลานดาวพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจเต็มที่
“แปลว่าถ้าจ๊ะฝึกตามรู้ลมหายใจกระทั่งไม่เหลือความคิดผสมอยู่เลย
ก็เท่ากับสร้างคุณภาพจิตให้เป็นกลางพอจะรู้ใจคนอื่นโดยปราศจากอคติ?”
“ใช่” คุณครูพลังจิตยิ้มพึงใจอีกคำรบ
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจิตเราสามารถจับความเคลื่อนไหวของลมหายใจตัวเองได้ชัด
ก็จะพลอยสามารถรู้ความเคลื่อนไหวของลมหายใจคนอื่นด้วย แม้แต่ทางโทรศัพท์อย่างนี้”
“ลองดูเลยได้ไหมคะ?”
“เอาซี”
“แต่…
ทำยังไงจ๊ะถึงจะแน่ใจว่ารู้ลมหายใจตัวเองชัดแล้วอย่างพี่แตรว่า?”
“บอกได้ไหมว่าหายใจครั้งนี้
ลมเข้าหรือลมออกสั้นกว่ากัน?”
ลานดาวสังเกตแล้วตอบว่า
“ลมออกสั้นกว่าลมเข้าค่ะ”
“แล้วระหว่างลมเข้ากับลมออก อันไหนสบายกว่ากัน
อันไหนเจือปนด้วยความคิดฟุ้งซ่านมากกว่า?”
นักเรียนสาวสังเกตอีก ก่อนให้คำตอบจากความเห็นจริง
“ขาเข้าสบายดีเพราะลากลมยาว
แต่ลมออกมีความคิดพะวงปนอยู่”
“ลองดูว่ามีอาการที่เราจะรักษาความสบายตอนหายใจออกได้เท่าตอนหายใจเข้าได้ไหม?”
ลานดาวเพิ่งพบว่าตามปกติคนเราจะรีบส่งลมหายใจออกแบบผลีผลาม
แต่หากมีใจที่ผ่อนคลาย ระบายลมออกอย่างมีสติ
ก็สามารถประคองความสุขไว้ได้เท่าการลากลมยาวเข้าร่างเช่นกัน
และอมฤตซึ่งตามดูอยู่
ก็รีบชี้ในจังหวะที่เขาสัมผัสได้ถึงความสุขเสมอกันระหว่างลมเข้ากับลมออกของลานดาว
“ตอนนี้แหละที่จิตเริ่มผูกกับลมหายใจ
ซึ่งทำได้เมื่อไหร่ ก็แปลว่าเมื่อนั้นเราอ่านใจตัวเองผ่านลมหายใจได้หมด
ถ้าลมสบายใจก็สบาย ถ้าลมยาวสติก็ยาว ถ้าลมหยาบใจก็หยาบ ถ้าลมสั้นสติก็สั้น
หากตระหนักตรงนี้ก็จะรู้ต่อไปอีกว่าเราใช้ลมในการปรับจิตให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นได้
คือทำให้ลมยาวขึ้น นิ่มนวลขึ้น… วิธีที่จะมีลมยาวอย่างเป็นธรรมชาติ
คือขณะลากลมเข้า ให้พองหน้าท้องออกหน่อยหนึ่ง แค่นิดเดียวพอ แล้วลมจะยาวขึ้นเอง”
หญิงสาวลองพองหน้าท้องออก รู้สึกถึงความเกร็ง
เคร่งบังคับ และสับสน แต่ยังไม่ทันต้องรายงาน อมฤตก็แนะมา
“ต้องตั้งต้นที่ใจสบาย เหมือนเราชื่นชมวันหยุด
เหมือนเราทอดตามองขอบฟ้าทะเลกว้าง
อย่าตั้งความรู้สึกไว้ว่าเราต้องบังคับให้หายใจถูก ใจที่สบายจะรู้วิธีที่ถูกเอง
แต่ใจที่เครียด หวังสงบเร็วเกินตัว จะทำให้หายใจผิดๆเสมอ”
ลานดาวลองนั่งยืดกายตรง ทอดตาสบายๆไปข้างหน้า
และพบว่าหายใจได้ดีขึ้นอย่างคุณครูว่าไว้
เมื่อเพลินอยู่กับลมได้โดยไม่คาดหวังว่าต้องสงบหรือยึดจับลมให้แน่นเหนียวตลอดเวลา
สายลมหายใจก็เริ่มปรากฏชัดต่อจิตมากขึ้นเรื่อยๆตามธรรมชาติไปเอง
การเป่าฟลุตในหลายเดือนที่ผ่านมามีส่วนช่วยอย่างมาก ลมหายใจหล่อนยาวขึ้น
ร่างกายแข็งแรงขึ้น
เรียกว่าเป็นส่วนฐานอันส่งเสริมให้เกิดความตั้งมั่นได้เร็วกว่าคนปกติ
แม้แต่อมฤตซึ่งจับจิตหล่อนอยู่ตลอดเวลาก็ยังเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“อยู่กับลมได้นิ่งดีนี่ เคยฝึกมาก่อนหรือ?”
“คงเกี่ยวกับที่เล่นฟลุตด้วยมั้งคะ”
“อ๋อ” อมฤตนึกขึ้นได้ “เอาล่ะ
ถ้าอ่านจิตตัวเองผ่านลมหายใจได้ ก็อ่านจิตคนอื่นได้เท่ากับที่เราสามารถอ่านตัวเอง
ลองอย่างนี้นะ พอพี่เงียบเสียง ให้ดูความรู้สึกฝั่งพี่
ว่าน่าจะสดชื่นเหมือนตอนจ๊ะหายใจเข้า หรือผ่อนคลายแบบจ๊ะหายใจออก”
ลานดาวปฏิบัติตามคำสั่ง คือเมื่อเขาหยุดพูด
หล่อนก็ทำความรู้สึกเข้าไปที่ใจเขา
แล้วก็ต้องยิ้มกว้างตาเป็นประกายเมื่อเห็นร่องรอยการหายใจจากอีกฝ่ายผ่านกระบอกโทรศัพท์ได้จริงๆ
โดยจับสังเกตที่ความสดชื่นของจิตยามลากลมเข้า กับความผ่อนคลายของจิตยามระบายลมออก
“คิดว่าเห็นนะคะ”
“เอา… ลองบอกซิ ตรงไหนเข้า ตรงไหนออก”
พอเขาหยุดพูดและกำหนดลมเข้าออกชัด ลานดาวก็ชี้
“ตอนนี้เข้าค่ะ ลากยาวมาก… ตอนนี้ออก”
หล่อนบอกได้ถูกต้อง แม้เขาแกล้งหยุดยาวก็ไม่หลงกล
ไม่พากย์ตามจังหวะคงที่เหมือนสองสามระลอกแรก พอผ่านไปประมาณสิบรอบเข้าออก
อมฤตก็ยุติแบบทดสอบแล้วชม
“อือม์… บอกไม่ผิดเลย ถือว่ามีพรสวรรค์นะ
แล้วแสดงด้วยว่าสติคมชัดต่อเนื่องดีมาก”
ลานดาวยิ้มปลื้ม ยิ่งสนุกขึ้นทุกที
“ขอบคุณค่ะ”
“คนธรรมดาทั่วไปจะไม่มีความสดชื่นในการลากลมเข้า
ไม่มีความผ่อนคลายตอนระบายลมออก เพราะลมของพวกเขาทั้งอ่อน ทั้งสั้น
ลองจับสังเกตตอนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆก็ได้”
“เข้าใจแล้วค่ะ… เอาอีก สอนอีก”
“ไม่เหนื่อยหรือ?”
“มีกำลังวังชามากที่สุดในชีวิตเลยล่ะ คืนนี้!”
“งั้นลองจับจิตแบบที่ยากขึ้นอีกนิด
ลองดูความแตกต่างกันระหว่างลืมตากับปิดตาดูนะ… ขอให้ดูจากตัวเองก่อน
สังเกตว่าตอนลืมตาจะรู้สึกว่ากระแสใจเปิดรู้ดูออกข้างนอกอย่างที่กำลังเป็นอยู่…
เอาล่ะ ลองปิดตาเพื่อเปรียบเทียบดู”
ลานดาวปิดเปลือกตาตามคำสั่ง อมฤตชี้เกือบทันที
“เห็นไหม ตอนปิดตา จิตจะมีลักษณะปิดทึบ
เก็บเข้าข้างใน พอทิ้งไว้สักพักในหัวจะเหมือนอ่างขังความคิดวกวน
หรือฟุ้งแน่นขึ้นเรื่อยๆ… ลองลืมตาซิ เห็นความแตกต่างไหม?”
หญิงสาวเปิดตา สังเกตสภาพจิตตนเองแล้วตอบ
“ค่ะ… คิดว่าเข้าใจและเห็นความแตกต่างนะคะ”
“คราวนี้ลองบอกซิว่าพี่ลืมตาหรือหลับตา”
“ลืมตาค่ะ… ตอนนี้หลับตา… ลืมตาแล้ว”
“ถูก… ตอนนี้ล่ะ?”
ลานดาวกำหนดรู้อย่างเคย แล้วต้องพบกับความประหลาดใจ
เพราะเหมือนจิตเขาเปิดโล่งสว่างไสวเป็นดวงใหญ่และมีความคงที่กว่าปกติยิ่งนัก
“ลืมตา… และ… เป็นการลืมตาที่กว้างขวางมาก
พี่ทำอะไรคะ แกล้งเบิ่งตาโตๆหลอกจ๊ะหรือ?”
“เปล่า!” เขาตอบหนักแน่น “พี่กำลังหลับตาต่างหาก!
แต่ที่ผิดไปจากการหลับตาธรรมดาคือจับลมหายใจนิ่งจนกระทั่งเป็นสมาธิ มีปีติสุข
มีความหนักแน่น จิตจึงเปิดโล่งกว้างออกทุกทิศทุกทางเสียยิ่งกว่าขณะลืมตา
ถ้าจ๊ะฟังเสียงอย่างเดียวก็จะเกิดมโนภาพเป็นความขาว”
ลานดาวห่อปากคราง
“อ๋อ… สมาธิจิตเป็นอย่างนี้เอง
รู้สึกเหมือนเป็นดวงขาวจริงๆด้วยค่ะ”
“หากจิตปักหลักมั่นคง โลกภายในจะแตกต่างไปมาก
ถ้าจ๊ะจับจิตหรือลมหายใจใครได้ ก็อาจเห็นตัวเขาเป็นภาพเป็นเสียงทีเดียว”
“เหรอคะ?” ถามแล้วเม้มปาก
“แล้วในทางกลับกัน เราปรากฏตัวให้ใครเห็นเหมือนเห็นผีได้ไหม?”
“ก็ได้อยู่ แต่ยากมาก
สมาธิระดับของพี่ยังไม่แข็งพอจะทำอย่างนั้น ถ้าแค่ส่งพลังให้เขาสัมผัส เช่นไออุ่น
หรือลมแผ่วก็พอไหว ดูนะ…”
ขาดเสียงอมฤตเพียงครู่
ลานดาวก็สัมผัสว่ามีลมหายใจใครคนหนึ่งรดต้นคอ ทำให้ต้องร้องอุ๊ย! ดังๆ
ขนลุกเกรียวไปทั้งร่างด้วยความอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น
“เก่งจังค่ะ อย่างนี้ต้องทำยังไงคะ?”
ถามพลางหัวเราะร่า
“พอจิตนิ่ง เห็นสายลมหายใจของตัวเองชัด
พี่ก็นึกถึงต้นคอของจ๊ะแล้วกำหนดให้เกิดการพัดไหวที่นั่น”
“ฟังดูง่ายนะคะ… หลักการง่าย
แต่จะทำจิตให้ถึงความสามารถตรงนั้นคงยากน่าดู…
ตอนพี่แตรนึกถึงต้นคอจ๊ะนี่เห็นเป็นนิมิตชัดเลยหรือเปล่า?”
“ถ้าเราสามารถเห็นสายลมหายใจตัวเองชัด
ก็จะสามารถเห็นสิ่งที่ละเอียดเท่ากันหรือหยาบกว่าได้ง่าย
ต้นคอจ๊ะอยู่ที่เดียวกับจิตของจ๊ะนั่นแหละ พอพี่สัมผัสจิตของจ๊ะแล้วนึกถึงต้นคอ
ก็จะพลอยเห็นต้นคอจ๊ะตามจริงไปด้วย”
“เอ…” ลานดาวชักระแวง
“อย่างนี้ก็แปลว่าถ้าพี่แตรอยากเห็นจ๊ะตอนไหนก็เห็นได้ทุกเมื่อน่ะซี?”
“ก็คงอย่างนั้น
แต่ถ้าทำอะไรที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล ดูสิ่งที่ต้องห้าม
หรือเจ้าตัวไม่อยากให้รู้เห็น อย่างนี้จะมีโทษ
อย่างแรกคือสมาธิเสื่อมลงทันทีและต่อติดยาก
อย่างที่สองคือเกิดแรงสะท้อนอย่างหนักจากธรรมชาติ เช่นเกิดเหตุการณ์ปั่นป่วน
ให้ฟุ้งซ่านเป็นทุกข์ในชีวิตจริง หน้าตาคล้ำหมอง หมดสง่าราศีอะไรทำนองนั้น”
“อ้อ… ค่ะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ “สมาธิคงเป็นคุณภาพจิตที่เหมาะจะอยู่กับคนดี
มีคุณธรรมพออยู่แล้วนี่นะคะ”
“ใช่”
“แล้ว…
ถ้าตอนนี้จ๊ะอยากคุยกับพี่แตรทางจิตจะทำได้หรือเปล่า?”
“ก็ต้องมีความคุ้นกระแสกันอีกนิดหนึ่ง
เพียงพอจะสัมผัสเชื่อมติดกันโดยตรง แล้วจ๊ะก็ต้องมีกำลังจิตสูงขึ้นอีกหน่อย
เพียงพอจะเหนี่ยวนำให้จิตพี่รับภาษาจิตของจ๊ะตรงๆได้โดยไม่วอกแวกขณะส่งสาร”
“ว้า! อยากทำได้เร็วๆจังเลย”
“มีอีกทางหนึ่ง อาจจะน่าตื่นใจกว่าโทรจิตอีก”
“อะไรเหรอ?”
“เจอกันในฝัน”
“ฮิๆ น่าสนุกจัง… ทำยังไงคะ?”
ลานดาวรู้สึกว่าตนกำลังจะได้พบกับประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น