บทที่ ๑ วิปัสสนาคืออะไร?
ถ้าจะเอาเป็นคำแปล วิปัสสนาแปลได้หลายแบบ แต่ถ้าถามว่าวิปัสสนาคืออะไร เอาคำตอบชนิดสื่อใจถึงใจ ก็ต้องว่าวิปัสสนาคือ ‘เห็นตามจริง’ ลองนึกดู คำว่า ‘เห็นตามจริง’ ทำให้คุณมีปฏิกิริยาทางความรู้สึกเป็นอย่างไร? คุณนึกถึงอะไรจากการอ่านคำว่า ‘เห็นตามจริง’ บ้าง? หนังสือเล่มนี้เขียนเป็นภาษาไทย คุณอ่านภาษาไทยออก นี่คือข้อเท็จจริงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้
ฉะนั้นถ้าบอกว่าคุณกำลัง ‘คิดเป็นภาษาไทย’ ก็ย่อมถูกต้องตามจริง ใครเข้าใจว่าตัวเองกำลังคิดเป็นภาษาไทย ก็ขอแสดงความยินดีด้วย คุณเข้าใจถูกแล้ว คุณกำลังเห็นตามจริงแล้ว แต่ถ้าถามว่า ‘คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า?’
ตรงนี้อาจเริ่มยากกว่าคำถามข้อก่อน เพราะมันขึ้นอยู่กับมุมมองว่าคุณถือตัวเองเป็นคนชาติไหน ถ้ามีใครบังคับให้คุณยอมรับว่าเป็นไทย ในขณะที่ใจอยากคิดว่าเป็นคนจีนหรือมีเชื้อสายจีนเข้มข้นกว่า อย่างนี้แปลว่าต้องนั่งเถียงกันแล้ว และไม่ว่าใครจะงัดเอาเหตุผลหรือหลักฐานสนับสนุนความคิดตัวเองมายันกันยกใหญ่ปานใด ก็สรุปที่จุดเดียวคือเชื่ออย่างไรก็มีความจริงอยู่อย่างนั้น
คำถามคือ ในเมื่อความจริงผูกอยู่กับความเชื่อ อย่างนี้การเห็นตามจริงที่แท้ก็ไม่มีน่ะซี? นี่มิแปลว่าเรากำลังอยู่กับความจริงที่สร้างขึ้นเองมาตลอดหรอกหรือ? ต่างคนต่างอยู่ในโลกความจริงเฉพาะเขตของตัวเองโดยไม่อาจล้ำเส้นกันอยู่อย่างนั้นการเถียงกันว่าอะไรจริงอะไรเท็จจะไม่ได้ข้อยุติหากปราศจากจุดมุ่งหมาย เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงการเพียรพยายามประพฤติตนเพื่อเห็นความจริง ก็ต้องถามต่อด้วยว่า ‘เห็นไปเพื่ออะไร?’
บางความจริงเช่นเรื่องเชื้อชาติอาจมีความหมายแค่ทำให้รู้สึกว่า ‘ฉันเป็นคนละพวกกับเธอ’ หรือ ‘ข้ามันคนละชั้นกับเอ็ง’ หนักกว่านั้นอาจลามล้ำไปถึงขั้นต้องพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือเบาะๆคือมีความคิดเหยียดผิวอยากทำร้ายกันอยู่ในปัจจุบันจุดหมายของวิปัสสนานั้น คือเห็นตามจริงเพื่อเป็นอิสระจากอุปาทานลวงใจทั้งปวง เป็นไทแก่ตัวไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจมืดของความหลงผิด เราจะไม่ตระหนักว่าอันตรายของความหลงผิดมีมากมายปานใดจนกว่าจะต้องทุรนทุรายทรมานกับผลลัพธ์บางอย่างที่สร้างขึ้นมาเอง
จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถไปถึงความจริงของชีวิต เช่น เราไม่จำเป็นต้องรบกันเพราะความเชื่อ หรือ เราไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดก็ได้และย่อยมาถึงเรื่องดาษๆประจำวันเช่น แค่ทิ้งงานไว้ที่ออฟฟิศก็ไม่ต้องคิดเครียดมาถึงบ้านแล้ว เอาล่ะ! เป็นอันว่าพอรู้คร่าวๆแล้วว่าวิปัสสนาคือเห็นตามจริงเพื่อหลุดจากอุปาทาน และหลุดจากอุปาทานได้ก็ไม่ต้องทนทุกข์เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่าการเห็นตามจริงนั้น จะเอาอะไรเป็นเป้าหมายในการเห็น? คงทำนองเดียวกับเรารู้แล้วว่ากำลังจะรบทัพจับศึกเพื่อพ้นจากการเป็นทาส แต่ศัตรูคือใครล่ะ? พวกเขาอยู่ที่ไหนล่ะ? เราจะเจอได้เมื่อไหร่ล่ะ?คำตอบสำหรับผู้ใคร่คิดทำวิปัสสนาที่บ้าน
เป้าหมายของการดูให้เห็นตามจริงก็คือทุกสิ่งที่ทำให้เราหลงไปยึดมั่นถือมั่นโดยไม่จำเป็น อะไรบ้างที่ไม่จำเป็น แต่กลับทำร้ายเราได้ราวกับศัตรู?ลองถามตัวเองว่าเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้บ้างหรือไม่ เคยไหมที่เราเสียท่าใครให้เขาโกงเงินไม่กี่บาท แต่ต้องเก็บมาคิดหนักไม่เลิก เรียกว่าถูกคนอื่นโกงเงินไม่พอ ยังโดนความคิดของตัวเองปล้นความสุขไปอีก?
เคยไหมที่ตกลงเลิกรักเลิกเป็นแฟนกันแล้ว แต่อุตส่าห์คิดหึงหวงคนรักเก่า คิดถึงอดีตด้วยความเสียดาย คิดพะวงไปว่าเขาจะมีความสุขกับใครอื่นอย่างไรบ้าง? เคยไหมที่เชียร์ฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายดันชนะ ซึ่งเท่ากับผลักให้เรากลายเป็นผู้แพ้ไปด้วย ทั้งที่คิดดีๆแล้วเราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับฝ่ายปราชัยเลยแม้แต่น้อย?คำถามข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่อาจแสดงให้ตระหนักว่าคนเรายึดมั่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนทุกข์หนักได้อย่างเหลือเชื่อเพียงใด
แต่ความจริงอันน่าตระหนกก็คือแต่ละวันเราอาจยึดมั่นสิ่งที่ไม่จำเป็นไว้ถึง ๙ เรื่องจากทั้งหมด ๑๐ เรื่อง บางครั้งบางคราวคุณอาจยอมรับกับตนเองหรือบ่นกับใครๆว่าโง่เหลือเกินที่ย้ำคิดย้ำกลุ้มกับเรื่องเหลวไหลไร้สาระหรือเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่รู้ทั้งรู้ว่าโง่ก็หยุดคิดไม่ได้ เอามันไม่อยู่ กู่สติไม่กลับ ขอเพียงรู้จักวิปัสสนาอย่างแท้จริง
การรู้จักนิยามของวิปัสสนาอย่างแท้จริงคือก้าวแรก และก้าวแรกก็คือการยอมรับตามจริงผ่านการใคร่ครวญด้วยความคิดธรรมดาๆ ว่าสิ่งใดควบคุมให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ สิ่งนั้นย่อมไม่ชื่อว่าเป็นของเรา ยกตัวอย่างเช่นเมื่อยอมรับว่าความคิดไม่ใช่ของเรา เราจะรู้สึกตัวเหมือนถอนออกมาจากทุกข์ร้อนเพราะความคิดกว่าครึ่ง และส่งผลให้ความคิดอ่อนกำลังลงทันทีเหมือนเส้นผมบังภูเขา และเหมือนเรื่องน่าขบขันที่พวกเราอ่านไม่ออก ตามเกมไม่ทัน พอตามไม่ทันก็กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของโลกนี้
ผู้คนทั้งหลายหายใจเข้าออกเพื่อรับใช้กิเลสอันก่อเหตุให้ทุกข์มากทุกข์น้อย และอาจจะตายตาไม่หลับไปพร้อมกับทุกข์ที่กัดกินหัวใจมาตลอดชีวิต ต่อเมื่อรู้จักนิยามของวิปัสสนา และเห็นว่าเพียงเปลี่ยนมุมมองชีวิตเสียใหม่ตามหลักวิปัสสนา ก็ไม่ต้องย้ายร่างไปที่ไหน ไม่ต้องทำพิธีรีตองอันใด ความสุขก็ปรากฏขึ้นแทนที่แล้วขณะยังมีลมหายใจ ก่อนจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้และต้นเหตุทุกข์ครั้งใหม่ๆ
สรุป
วิปัสสนาคือการเห็นตามจริง ว่าทุกสิ่งทั้งข้างนอกและข้างในเราไม่เที่ยง บังคับควบคุมให้เป็นไปตามอยากไม่ได้ เพื่อปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นผิดๆ พ้นจากอุปาทานครอบงำให้ทุกข์ใจกับเรื่องที่ไม่ควรเป็นธุระของเรา หน้าที่ของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาคือแค่เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ จากนักเรียกร้อง นักต่อสู้บูชาตัณหา และนักสำคัญตัวผิด มาเป็นคนดู คนรู้คนต่อสู้เพื่อบูชาความจริงตามสิ่งที่ปรากฏแสดงเสียแทน
อ่านบทที่ ๑ วิปัสสนาคืออะไร? >> คลิก
อ่านบทที่ ๒ เขาเริ่มทำวิปัสสนากันอย่างไร? >> คลิก
อ่านบทที่ ๓ การฝึกหายใจเพื่อยกระดับสติ >> คลิก
อ่านบทที่ ๔ เครื่องทุ่นแรงให้เกิดความต่อเนื่อง >> คลิก
อ่านบทที่ ๕ เปลี่ยนปมปัญหาเป็นเครื่องมือ >> คลิก
อ่านบทที่ ๖ ปฏิกิริยาทางใจ >> คลิก
อ่านบทที่ ๗ เกณฑ์วัดว่าคุณเป็นนักวิปัสสนาหรือยัง >> คลิก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น