วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๑๕. นับถอยหลัง)

ตอนที่ ๑๕. นับถอยหลัง


มาวันทาพอจะรู้จักที่ทางแถวหัวหินอยู่บ้าง จึงเลือกโรงแรมตามความประสงค์ของลานดาวได้เร็ว คือขับตรงดิ่งไปถึงโดยไม่ต้องเสียเวลาเลือกหาก่อน

ทิวทัศน์เวิ้งว้างไพศาลของอ่าวไทยปรากฏอยู่เบื้องล่าง ขอบฟ้าครามกว้างเสียจนแม้เสี้ยวแห่งเส้นรอบวงของโลกใบยักษ์นี้ ก็เกินกว่าที่สายตามนุษย์จะเห็นครอบคลุมทั่วในการเล็งแลคราวเดียว ความโล่งลิบของห้วงฟ้าและผืนน้ำก่ออารมณ์ละลิ่วล่องล้ำลึกแก่ผู้ทอดทัศนาเสมอ เสมือนเป็นทางลัดที่ธรรมชาติมอบไว้ยลเพื่อคลี่จิตให้เปิดแผ่ออกกว้าง คลายความอึดอัดสับสนด้วยความดื่มด่ำจากอิสรภาพไร้ขอบเขต

บรรยากาศห้องพักเปิดโล่ง เงียบสงบเป็นส่วนตัว ล่างลงไปที่มองเห็นขนานกับโรงแรมคือแนวหาดทรายขาวยาวเหยียดแผ่รับแดดอุ่นจากดวงอาทิตย์ จัดเป็นมุมมองบรรเจิดยิ่งของหัวหินแห่งหนึ่ง มาวันทาภาวนาให้บรรยากาศสุดวิเศษมีส่วนช่วยการเจรจาปัญหาหัวใจได้ลงเอยด้วยดีเถิด เพราะหล่อนรู้ชัดหลังลงจากรถแล้วว่าลานดาวเจตนามาเพียงเที่ยวเดียวไม่กลับจริงๆ ดูจากการไม่เอาเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนกระทั่งโทรศัพท์มือถือติดตัวมาด้วยแม้สักชิ้น จะมีก็แค่กระเป๋าสตางค์ใบย่อมซึ่งบรรจุเงินสดกับบัตรเครดิตเท่านั้น

แพทย์สาวต่อโทรศัพท์ถึงสามีขณะลานดาวอาบน้ำ หล่อนบอกเขาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี กับทั้งฝากข้อความถึงที่บ้านแม่ตัวดีด้วย ว่าขออย่าได้เป็นห่วง หล่อนจะพยายามนำเด็กเอาแต่ใจกลับกรุงเทพฯให้เร็วที่สุด

ลานดาวเดินออกจากห้องน้ำ ปล่อยผมเปียกชื้นสยายยาวอยู่ในชุดเดิม คางเชิดเล็กน้อยเมื่อผ่านหน้ามาวันทา เลื่อนประตูกระจกก้าวออกไปลงนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้ผ้าใบหน้ามุข

“จ๊ะ… กินอะไรกันดี?”

มาวันทาตามออกมายื่นหน้ายิ้มถาม ความจริงหล่อนถามตั้งแต่ก่อนลานดาวเข้าห้องน้ำ ทว่าได้รับคำตอบเป็นความเงียบ ซึ่งแพทย์สาวก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้รำคาญใจกัน รอกระทั่งอาบน้ำเสร็จจึงตามมาขอคำตอบอีกครั้ง

“ไม่กินค่ะ เชิญพี่เอินเถอะ”

ผู้พี่ได้ยินแล้วแทบหมดแรง เพราะทีแรกเข้าใจว่าผู้น้องยอมอ่อนข้อลงบ้างแล้ว

“จ๊ะน่า… อย่าทำเป็นเด็กๆซี่”

ลานดาวเลิกคิ้วสูง พูดโต้ตอบทั้งมองออกทะเลไม่เหลียวมา

“เด็กๆไม่รู้เรื่องหลักการบริโภคอย่างจ๊ะหรอกพี่เอิน อดน่ะดี เพื่อสุขภาพ เรากินเข้าไปแต่ละคำเอาพิษเข้าร่างทั้งนั้น พักท้องให้ร่างกายมีเวลาขับพิษเสียบ้าง อย่างที่เขาเรียกอดอาหารล้างพิษน่ะ เคยได้ยินไหม? ต้องเป็นผู้ใหญ่เสียก่อนถึงจะเข้าใจนะ เรื่องนี้”

“เข้าใจอะไร ไปเชื่อใครเขา”

“เชื่อตัวเองนี่แหละ จ๊ะทดลองก็ได้ผลอย่างเขาว่า ตกเย็นวันแรกอาจหิวมาก ทั้งปวดหัว ทั้งแสบท้อง ทั้งเนื้อตัวหนักอึ้ง แต่พอรุ่งขึ้นวันที่สองและวันต่อๆมา ทุกอย่างก็เบาลงเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายดึงไขมันส่วนเกินออกมาใช้ หายใจโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ตีโพยตีพายทุกข์ร้อนด้วยอุปาทานว่าอดข้าวหลายวันต้องแย่แน่ ทำใจสบายๆกับมัน ก็อาจมีความสุขกว่าปกติอีก พี่เอินลองดูสิ เรายังสาวๆกันอยู่ ไม่เป็นลมเป็นแล้งหรอก”

อันที่จริงมาวันทาเคยศึกษาแนวคิดอดอาหารล้างพิษมาบ้าง ทว่าด้วยความเป็นแพทย์ทำให้ไม่เชื่อถึงผลดีด้านเดียวง่ายนัก แค่รับทราบว่ามีการบันทึกสถิติที่น่าเชื่อถือในระดับกว้าง บ่งว่าการอดอาหารอย่างถูกต้องสามารถรักษา หรือทำให้โรคหลายๆชนิดทุเลาลงได้จริง นับแต่ภูมิแพ้ไปจนกระทั่งมะเร็ง เพราะเมื่อขาดพิษหล่อเลี้ยงโรคสักวันสองวันเป็นระยะๆ จะเปิดโอกาสให้ร่างกายชำระล้าง ขับสารพิษทั้งหลายได้เองตามกลไกธรรมชาติ ในที่สุดตัวโรคย่อมฝ่อลงเป็นธรรมดา

แต่เห็นได้ชัดว่าเจตนาของลานดาวเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง หล่อนมิได้เข้าแผนอดอาหารล้างพิษ แต่เป็นแผนอดอาหารล้างชีวิต!

“ถ้าอดอย่างถูกต้องก็น่าจะผ่องใสไม่ใช่หรือ ทำไมเธอดูโทรมนักล่ะ? มองด้วยตาเปล่ารู้สึกเลยว่าเหมือนยายแก่อมโรค”

แกล้งกระทุ้งไปทางนั้น ผู้หญิงห่วงสวยห่วงงามอย่างลานดาวน่าจะสะดุ้งสะเทือนบ้าง แต่ก็หาได้เป็นเช่นที่คิดไม่

“ช่างมันเถอะค่ะ ไม่รู้จะสวยไว้ล่อตาใครแล้ว ทำตัวสวยๆหอมๆแล้วโดนไล่ ลองทำตัวโทรมๆดูเผื่อจะได้รับการเหลียวแลมั่ง”

“จ๊ะ…” มาวันทาขานเรียกน้องสาวเสียงระโหย “พี่ก็อยู่นี่แล้ว จ๊ะยังต้องการอะไรอีก?”

“ถ้ายืนอยู่นี่แต่ขาดใบหย่าก็ไม่มีความหมาย”

ลานดาวตอบเสียงเย็นชา แพทย์หญิงเอนกายพิงขอบประตู ทำหน้าเหมือนอยากพุ่งหลาวลงจากระเบียงเดี๋ยวนั้น

“โธ่เอ๊ย! เธอพูดจาเหมือนเด็กไม่รู้ภาษาจริงๆเลยจ๊ะ จะบ้าหรือไง ให้พี่หย่ากับพี่อ๋องแล้วบอกใครต่อใครว่าทำไปเพื่อมาอยู่กับเธองั้นหรือ?”

“ใช่!”

ตอบหน้าตาเฉย สุ้มเสียงจริงจังหนักแน่นจนมาวันทารู้สึกคล้ายถูกยั่วให้เป็นโรคประสาท ต้องเค้นเสียงถามด้วยความคับแค้นเสียดแน่น

“ความรักของเธอทำไมมันดำมืดอย่างนี้หือ?”

“อุเหม่!” ลานดาวเลิกคิ้วอุทานเสียงสูงโดยปราศจากวี่แววร้อนอาสน์ “เสียภาพพจน์เลยเรา คล้ายกลายเป็นยายเตี้ยล่ำดำปี๋ไม่มีน้ำใจ ใครๆก็รู้กันทั่วว่าหัวใจจ๊ะขาวสะอาดขนาดนมเด็กเรียกพี่”

คนถูกยวนกำลังรันทด จึงไม่อาจร่วมอารมณ์ตลกไปกับจอมยั่ว

“จ๊ะ… พี่เสียใจเหลือเกินที่รักเธอ โดยที่เธอไม่ได้รัก ไม่ได้สงสาร ไม่ได้เห็นใจว่าพี่ต้องทุกข์แทบตายดับอย่างไร”

“อย่างกับตัวเองเห็นใจเค้านักนี่ ความรักของตัวเองสว่างโร่นักหรือ? ขับไล่ไสส่งไม่ดูดำดูดี จะบอกให้ว่าคืนนั้นจ๊ะเกือบตัดสินใจขับรถพุ่งใส่สิบล้อแล้ว!”

“จะให้ขอโทษกี่ครั้งเธอถึงจะพอใจ พูดผิดครั้งเดียวไม่ให้อภัยกันเลยหรือ?”

ลานดาวระบายยิ้มเย็น แต่หากสังเกตแววตาจะเห็นความน้อยใจฉายอยู่ไม่จาง

“คำบางคำที่เผยความในใจออกมา อาจเป็นได้มากกว่าการพูดผิดหรือพูดถูกนะคะพี่เอิน ใครเอามีดแทงจ๊ะ จ๊ะยังให้พี่เอินรักษาได้ แต่ถ้าพี่เอินพูดเสียดแทงให้จ๊ะเจ็บไปถึงขั้วหัวใจเสียเอง จ๊ะจะเอาหมอที่ไหนมารักษา?”

“ก็ตัวพี่เองไง จะชดใช้ด้วยการทำดีกับเธอตลอดไป ยังไม่พออีกหรือ?”

“ทำดีกับจ๊ะ ทำยังไง?”

“อยากได้อะไร เว้นใบหย่ากับเรื่องบนเตียง พี่ยอมทุกอย่าง”

“แค่ทำดีก็ต้องมียกเว้น ลำบากนักก็อย่าทำดีมันเลยพี่เอิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เว้นไว้คือทั้งหมดที่จ๊ะต้องการ!”

“ทำดีกับเธอแบบที่ต้องเลวกับคนอื่น อาจหมายถึงบาปเวรและความเดือดร้อนที่ต้องร่วมกันรับผลภายหลัง เธออยากให้เราตกอยู่ในสภาพจับคู่อยู่ด้วยกันแบบอีหลักอีเหลื่อไปจนชั่วชีวิตนักหรือไง?”

“เถอะน่า รับรองว่าถ้าพี่เอินยอม จ๊ะไม่ปล่อยให้พี่เอินอีหลักอีเหลื่อเหมือนเล่นอีหลัดถัดทาตามกลองหรอก เราหนีไปอยู่เมืองนอก ในที่ที่ไม่มีคนไทย ไม่มีใครรู้จักเราก็ได้”

แพทย์สาวโคลงศีรษะ

“เธอพูดออกมาแต่ละคำ เห็นชีวิตเป็นเรื่องง่ายไปหมด โลกนี้ไม่ได้มีแต่วังกับตะเกียงวิเศษไปทุกแห่งหรอกนะ”

“แล้วจ๊ะเคยเจอตะเกียงวิเศษเหรอ? หาแฟนกี่ปีก็ไม่เจอที่ถูกใจ รอจนเหงือกแห้ง พอเจอถูกใจก็ดันเป็นผู้หญิง แถมมีพันธะอีกต่างหาก แต่เจอแล้วก็เอาคนนี้แหละ จ๊ะไม่มีทางรักใครได้อีกแล้ว”

“อะไรจะเป็นประกันว่าถ้าพี่หย่าเพื่อเธอวันนี้ อีกปีหนึ่งข้างหน้าเธอจะไม่ทิ้งพี่ไปอยู่กับผู้ชาย? เธอรู้จักตัวเองดีพอแค่ไหน มั่นใจว่าจะเป็นหญิงรักหญิงตลอดไปแน่หรือ? ถ้าเกิดพี่เสี่ยงตัวเองยอมอยู่กับเธอ วันหนึ่งเธอลุกขึ้นมาประกาศทิ้งขว้างกัน หัวเด็ดตีนขาดก็จะเอาอย่างใจในวันนั้น แล้วพี่จะเหลืออะไร?”

“ไม่เชื่อใจก็ไม่ต้องมาพูดกัน!”

“เถอะนะ” มาวันทากลั้นใจประโลมทั้งฝืดฝืนเต็มที “คบกันอย่างที่เคยอยู่กันดีๆไม่ได้เหรอ?”

ลานดาวเม้มปากเป็นครู่ก่อนเอ่ย

“บอกตามตรง ถ้าคืนนั้นพี่เอินไม่ไล่จ๊ะ ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ต่อให้ถูกพี่เอินตบตีหรือด่าทอจนอายไปสามบ้านเจ็ดบ้าน อย่างมากคงโกรธกันเดี๋ยวเดียว จ๊ะขอมีความสุขแค่ที่เป็นอยู่นั่นแหละ แต่พี่เอินเล่นลั่นปากออกมาแล้วว่าในที่สุดจะไม่เลือกจ๊ะ ไม่เห็นหัวจ๊ะ จ๊ะก็เอาอย่างนี้แหละ” หรี่ตามองสุดขอบฟ้าเบื้องไกลด้วยประกายเข้ม “อายุที่เหลือของพี่เอินจะได้ทบทวนว่าทิ้งใครไปจากชีวิตอย่างไม่มีวันเรียกคืน!”

มาวันทาหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะรู้ว่าสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตายมาจากอารมณ์ชนิดนี้จริงๆ แค่ต้องการให้คนรักรู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิต…

“จ๊ะ…” ทอดเสียงขานชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนหวานขณะใจเริ่มสั่นระทึกด้วยอารมณ์หวาดกลัวการสูญเสีย “ส่องกระจกดูตัวเอง แล้วถามเงาเถอะว่าค่าของเธอมีมากที่สุดแค่สังเวยพิษรักเท่านี้หรือ?”

ลานดาวยิ้มหยัน

“เคยแล้ว พี่เอิน ก่อนขับรถออกจากบ้านนี่แหละ มองสารรูปตัวเองในกระจกแล้วเข้าใจชีวิตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จ๊ะไม่เคยเห็นตัวเองอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมขนาดนั้น เกือบเจ็ดวันอาบน้ำแก้รำคาญไปหนเดียว ความภูมิใจในรูปโฉมไม่รู้หายไปไหนหมด เกิดมาเพิ่งรู้จริงๆว่าความสวยเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ด้วยน้ำกับสบู่ และใจผ่องใสเป็นสิ่งที่ต้องหล่อเลี้ยงไว้ด้วยความสมหวัง เช้านี้จ๊ะมีแต่ร่างสกปรกกับวิญญาณที่มืดสนิท คิดถึงพี่เอิน อยากเห็นหน้าพี่เอิน แล้วก็ผิดหวังเสียใจไม่เลิกกับคำไล่ของพี่เอิน เลยนึกอยากพูดกับเงากระจกเป็นครั้งแรกด้วยคำถามสั้นๆว่า… รู้แล้วใช่ไหม ความรักเป็นยังไง?”

มาวันทาฝืนกล้ำกลืนก้อนขมลงคอ

“คำตอบไม่มาจากเงาลวงตาในกระจกหรอกจ๊ะ”

“ทำไมจะไม่ใช่” ลานดาวสวนทันควัน “จ๊ะเห็นเงาตัวเองยิ้มสวยที่สุดในวันที่พี่เอินบอกว่ารักจ๊ะ แล้วก็เห็นเงาตัวเองดำมืดที่สุดในวันที่พี่เอินทิ้งขว้าง… พี่เอินเก็บไว้คิดอนาถใจในตัวจ๊ะ และภูมิใจในตัวพี่เอินเองตลอดไปเถอะค่ะ ยอมรับว่าค่าของชีวิตจ๊ะฝากไว้กับพี่เอินคนเดียว!”

“ทั้งชีวิตเธออยากรู้จักแค่ความรัก แต่อาจจะยังไม่รู้จักมันเลยสักนิด ทำไมเธอไม่เห็นอย่างที่พี่เห็น ความเอาแต่ได้อย่างนี้หรือที่เรียกว่ารัก? ท้องเธอแห้งไม่ใช่แค่ตัวเองหิว แต่พลอยทำให้พี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้อกพ่อแม่เธอร้อนเป็นไฟ ใครต่อใครต้องทุกข์กันทั่วหน้าเพราะเธอคนเดียว เธอรู้จักรักคนอื่นพอจะห่วงใยใครเป็นบ้างหรือยัง?”

วาจาของพี่สาวคล้ายเป็นแสงอ่อนๆที่สว่างพอจะวาบขึ้นท่ามกลางความมืดในดวงจิตของเด็กเห็นแก่ตัว อย่างน้อยก็ส่งผลให้สะอึกอึ้ง นิ่งเงียบมองทะเลเป็นนานราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของอิฐปูนไร้ชีวิต

ปฏิกิริยาของลานดาวทำให้มาวันทาเริ่มจับทางถูก

“เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่พี่เอ็นดู รัก พิศวาส ไม่เคยมีใครอยู่ในใจเหมือนอย่างที่เธอเป็น และด้วยความรู้สึกทุกๆชนิดรวมกัน ก็ทำให้โลกเหมือนมีกลิ่นหอมหวานแปลกไป พี่ไม่โทษตัวเองที่รู้สึกกับเธอแบบนี้ ตราบใดที่ใจหนึ่งยังเห็นเธอเป็นน้องอยู่จริงๆ บอกมาคำเดียวพี่ทำให้เธอได้ทุกอย่างถ้าอยู่ในขอบเขตกติกาอันควร แต่เธอล่ะ? คิดดีๆพี่แค่เป็นของเล่นแปลกใหม่ที่เธอถูกใจกว่าของเล่นชิ้นอื่น เธอปักใจเรียกความรู้สึกที่มีต่อพี่ว่าเป็นความรัก แล้วความรักของเธอทำอะไรให้พี่บ้าง? มีการให้อภัยสักครั้งหรือเปล่าเวลาพี่พูดผิด?ใส่ใจไยดีสักนิดไหมตอนพี่วิงวอนร้องขออะไรสักอย่าง? ถ้าเปรียบพี่เป็นของเล่น เธอก็ไม่ดูดำดูดีหรอกว่าตัวเองเล่นพังไปถึงไหนแล้ว”

ลานดาวก้มหน้านิดๆ กระแสเสียงทอดอ่อนลง

“พี่เอิน… จ๊ะอาจกำลังคิดผิดและทำผิด แต่ขอให้รู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่การเรียกร้องอะไรอีกแล้วจริงๆ จ๊ะเจ็บที่ถูกพี่เอินไล่ จ๊ะทำทุกอย่างพังหมด จะให้กลับไปแกล้งตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงยาก จ๊ะอายทุกคน แล้วก็ทรมานเกินกว่าจะบรรยายให้พี่เอินเข้าใจ หลายวันมานี้จ๊ะคิดฆ่าตัวตายเกือบร้อยหน อยากเป็นศพที่นอนในสภาพสวยๆรอพี่เอินมาดู อยากให้พี่เอินสงสาร อยากเห็นพี่เอินร้องไห้คิดถึงจ๊ะตลอดไป ไม่รู้ว่าทำไมแค้นพี่เอินขนาดนั้น รู้แต่ว่าจ๊ะใช้ชีวิตตัวเองซื้อความฝังใจจดจำจากพี่เอินได้จริงๆ”

มาวันทาขบริมฝีปากสะกดก้อนสะอื้นที่แล่นมาจุกคอหอย

“ทำไมคำว่า ให้ ถึงไม่อยู่ในนิยามรักของเธอบ้าง? ฟังมามีแต่จะเอา จะเอา… แม้ฆ่าตัวตายก็เพื่อฝังตัวเองไว้ในความทรงจำของคนอื่น”

“พี่เอินยอมรับเถอะ ความรักไม่ใช่แค่การเสียสละหรือให้ไปหมด แต่บางครั้งมันหมายถึงการชิงเอาทุกสิ่งทุกอย่างในคนรักมาเป็นของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดและความทรงจำ! ถ้าจ๊ะอยู่ต่อ พอห่างกันปีเดียวพี่เอินก็ลืมจ๊ะแล้ว แต่ถ้าจ๊ะตายเร็ว พี่เอินจะมีจ๊ะอยู่ทุกลมหายใจจนวันสุดท้าย ต่อให้กำลังระเริงรักกับใครก็ตาม!”

“โง่จริงๆเลย จ๊ะ…”

“จ๊ะบูชาความรัก และเชื่อว่ารักถึงที่สุดคือยอมโง่ได้ทุกอย่าง เพิ่งนึกออกเร็วๆนี้แหละว่าทำไมเจอหน้าพี่เอินวันแรกถึงรู้สึกลึกซึ้ง ทั้งหวาน ทั้งแฝงความอาลัยรุนแรงจนน่าแปลกใจขนาดนั้น เราอาจตายจากกันด้วยความอาลัยมาก่อน พอพบกันเลยเหมือนมีเสียงเรียก เสียงโหยหา และเสียงกระซิบว่าวันหนึ่งคงต้องจากกันอีก แค่นึกว่าต้องมีวันพรากจากก็อยากร้องไห้แล้ว แต่ดีเหมือนกัน จากพรากในวัยสาว ความรักยังไม่โรยรา ยังมีไฟรุนแรง คราวหน้าเจอกันใหม่จะได้ย้อนฉากเริ่มดีๆซึ้งใจแบบชาตินี้อีก”

“เธอหลงติดอยู่ในบาปทางความคิด แล้วหน้าที่หนึ่งของบาปกรรมก็ทำจิตให้อยู่ในสภาพไม่รู้ไปทุกอย่าง ถามตัวเองซิ ถามผ่านม่านหมอกความไม่รู้ที่หนาทึบของมนุษย์เราแล้วได้คำตอบอะไรบ้าง ตายจากกันคราวนี้เมื่อไหร่เราจะเจอกันอีก? ร้ายกว่านั้นคือตายแล้วเธอต้องไปอยู่ที่ไหน? หลงติดอยู่ในป่ายังหาทางออกลำบากยากเย็น แต่ถ้าพลาดพลัดหล่นลงไปติดภพติดภูมิอบายล่ะ กี่กัปกี่กัลป์ถึงจะหลุดพ้นขึ้นมาเป็นมนุษย์อีก เธอรู้หรือเปล่า? ในหัวมีแต่คิดเจอกับพี่อีกแค่นั้นเอง”

ลานดาวกะพริบตา สีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

“นอกจากเชื่อ จะให้จ๊ะทำอะไรได้ดีกว่านั้น? ชาติหน้ามีหรือเปล่าจ๊ะยังไม่รู้เลยพี่เอิน ทำบุญให้ผ่องแผ้วขนาดไหน หรือมีใจตกต่ำขนาดนี้ จ๊ะก็ไม่ใช่ผู้วิเศษไปหยั่งรู้ได้อยู่ดี ทำไมจ๊ะต้องไปแคร์ ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ไม่ใช่นังจ๊ะตัวนี้แล้ว ถือว่าตัวอะไรในอนาคตมันซวยไปก็แล้วกัน อันที่จริงก็ดีออก จ๊ะอาจตกต่ำลง ไม่สวยรวยเก่งเป็นอีนังครอบจักรวาลเหมือนปัจจุบัน อาจทำให้สันดานดีขึ้น พอขี้เหร่เซซังงั่งโง่จนเข็ด ก็อาจเกิดแรงฮึดที่จะขยันทำความดีใส่ตัว เอาชั่วทิ้งน้ำเสียบ้าง หมดสง่าราศีก็หมดพยศ หมดสิทธิ์เอาแต่ใจ ถ้าจ๊ะเป็นจ๊ะอย่างในปัจจุบัน เลือดเลวคงไหลวนไปก็เวียนมาหาที่สิ้นสุดไม่เจอหรอก สู้ให้จ๊ะพ้นๆหน้าพี่เอินไปลำบากตามยถากรรมดีกว่า”

“เธอกำลังอวดดีแบบเดียวกับคนบนหอคอยงาช้าง ไม่เคยย่างกรายไปเจอแม้แต่ฝุ่นทราย แต่สำคัญตัวว่าเก่งพอจะสมบุกสมบันกับป่าดงดิบได้ทุกท่า พูดตอนนี้ขณะที่มีหนังมนุษย์นุ่มนิ่มห่อหุ้ม แห้งสะอาดสบายตัว ก็ท้าทายได้ทุกอย่างน่ะซี ถ้าต้องมีเนื้อตัวเป็นหนามไหน่ เล็บแหลมยาวเป็นคืบจะยังทะนงไหวอีกไหม? พรุ่งนี้ลองง่ายๆ แค่ไปอยู่ในคุกร่วมกับนักโทษหญิงดูสักวันก็พอ โลกนี้มีนรกขุมย่อยให้ลองก่อนตายมากมายก่ายกอง ลองไปลิ้มสักขุมก่อนพูดว่าไม่กลัว!”

“จ๊ะยังไม่มีความผิดพอจะติดคุกนี่พี่เอิน คนเรานี่ชอบแช่ง ชอบลงโทษกันซะจริงๆ พอจ๊ะดื้อกับพี่เอิน พี่เอินก็ขู่เรื่องไปอบายมั่ง สมมุติจะส่งไปอยู่ในคุกมั่ง ตัวเองคุยได้ถนัดหรือเปล่าว่าเห็นจริงมาแล้ว? ขู่กันด้วยเรื่องที่ไม่รู้จริงถือว่าผิดหลักการเกลี้ยกล่อมคนคิดสั้นนะคะ ถ้าอยากให้จ๊ะกลับใจ พี่เอินควรหาจุดอ่อนของจ๊ะให้เจอ จุดที่สะกิดแล้วเกิดความสำนึกผิด จุดที่ฟังแล้วเกิดจินตนาการอยากกัดฟันมีชีวิตอยู่ ทนดิ้นกระแด่วๆต่อ จ๊ะช่วยคิดอุบายเอาไหม? ตอนนี้นะ ถ้าพี่เอินอาศัยจิตวิทยาโกหกพกลมหน่อย หลอกว่ากลับกรุงเทพฯจะรีบหย่ากับพี่อ๋องโดยเร็ว จ๊ะคงหูผึ่ง กลับมาฝันลมๆแล้งๆใหม่หลังจากเลิกฝันไปแล้ว พอจ๊ะหลงเชื่อยอมกลับกรุงเทพฯด้วย พี่เอินค่อยซื้อเวลา พูดจาผัดผ่อนไปเรื่อยๆ หวังว่าวันหนึ่งจ๊ะจะเบื่อรอไปเอง”

แพทย์สาวมือเท้าอ่อนเปลี้ย การพยายามเอาชนะความโง่หลงของคนฉลาดพูดเป็นเรื่องน่าเหนื่อยแทบด่าวดิ้น ลานดาวทำให้หล่อนตระหนักว่าการปะทะคารมระหว่างคนคิดเป็นเหมือนๆกันไม่อาจนำไปสู่การชี้ถูกชี้ผิด ฝ่ายใดเป็นบัณฑิต ฝ่ายใดเป็นพาล พูดไปพูดมาก็เสมอกันอยู่นั่น

“จ๊ะ… กลับบ้านกับพี่นะ”

หมดท่าเข้าพี่สาวก็ขอดื้อๆ ผู้เป็นน้องได้ยินแล้วหัวเราะแหลมเยาะเย้ย

“ให้จ๊ะอยู่มองทะเลในช่วงสุดท้ายเถอะพี่เอิน เผื่อว่าจบฉากชีวิตมนุษย์จะได้เป็นนกนางนวลที่มีความสุขกับมุมมองโลกสูงขึ้น… เอากุญแจรถไปเลย จ๊ะยกให้ แล้วอีกซักอาทิตย์ค่อยแวะกลับมาดูว่ายายเบื๊อกนี่นอนเป็นลมตายท่าไหน”

มาวันทาสุดจะทานทนกับถ้อยคำยืนกรานของอีกฝ่าย อับจนปัญญากระทั่งเข่าอ่อน ปล่อยร่างให้รูดทรุดลงนั่งแปะกับพื้น ปิดหน้าร้องไห้โฮ

“พี่ก็รักจ๊ะ อยากอยู่กับจ๊ะ แต่เธอจะให้พี่ทำยังไง จะให้พี่เลือกรู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิตเพราะทำร้ายสามีที่ซื่อสัตย์ หรือเพราะไม่ยอมเอาใบหย่ามาประเคนเธอจนเธอต้องฆ่าตัวตาย?”

ลานดาวย่นคิ้วเล็กน้อย จุปากจั๊กหนึ่ง ปรายตาแลอีกฝ่ายด้วยความรำคาญ

“จะรู้สึกผิดทำไมเล้า? ไม่ให้ก็ไม่เอาแล้ว ได้ยินไหม ไม่เอาแล้ว ใบหย่าน่ะ คนหน้าโง่มันรนหาเรื่องอยากฆ่าตัวตาย เดี๋ยวก็เจอดีเองแหละ ทำไมต้องเดือดร้อนนักหนาในเมื่อพี่เอินไม่ได้เป็นคนยุซักหน่อย”

มาวันทาหมดคำพูด เอาแต่สะอื้นฮักน้ำตาพรั่งพรูเหมือนจะขาดใจ ลานดาวส่ายหน้าระอา ก่อนลุกไปแกะมือที่ปิดบังใบหน้าอันนองน้ำ แล้วเกลี่ยเช็ดให้ด้วยปลายนิ้ว

“โอ๋… นิ่งซะนะคนสวย”

พูดเหมือนปลอบเด็กพลางใช้สองมือประคองแก้มฝ่ายนั้นบีบให้ยู่ ปากจู๋เหมือนปลาบู่

“เฮ้อ! ใครต้องโอ๋ใครกันแน่เนี่ย เอาเถอะพี่เอิน เดี๋ยวจ๊ะหิวมากๆอาจลืมความตั้งใจเดิม โทร.สั่งข้าวขึ้นมากินเองก็ได้ บางคนเขาอดเก่งๆยังทำสถิติไว้เป็นเดือนๆโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง นี่จ๊ะแค่เพิ่งกี่วันกั๊น อย่าตีตนไปก่อนไข้เลยน่า จะบอกความลับให้ จ๊ะเพิ่งเลิกกินข้าวจริงๆแค่สามวัน แล้วก็ยังกินน้ำจากตู้เย็นในห้องนอนวันละสองแก้ว เพราะฉะนั้นน่าจะยังอยู่ให้เปลี่ยนใจได้อีกนาน”

มาวันทาผลักมือลานดาวออกจากหน้าตน ข่มสะอื้น ยังไม่ละความเพียรในการอ้อนวอน โดยเฉพาะเมื่อเห็นนัยน์ตาลานดาวเริ่มทอประกายห่วงใย

“ทานข้าวกันเถอะจ๊ะ ขอให้พี่สบายใจขึ้นบ้าง มื้อเดียวก็ยังดี”

จอมรั้นเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ยิ้มมุมปากหน้าตาเจ้าเล่ห์

“เอางี้ ถ้าพี่เอินจูบข้อศอกตัวเองได้หนึ่งที ซ้ายหรือขวาก็ตามใจ จ๊ะจะยอมกินหนึ่งมื้อ”

มาวันทามองหน้าลานดาว กะพริบตาทีหนึ่ง ขยับแขนซ้ายเล็กน้อยคล้ายจะยกขึ้นลอง แต่แล้วหยุดเฉย เพราะคำนวณในใจก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้

“ถ้าเธออยากเห็นพี่เป็นตัวตลก พี่ก็จะทำตลกให้ดู แต่ต้องกินข้าวนะ”

“โอ๊ย!… ช่างตื๊อจริงวุ้ย!”

ลานดาวร้องดังๆ แล้วกลับหลังหันพิงกระจกประตูเคียงข้างมาวันทา ไหล่เกยไหล่ ระบายลมหายใจยาว ทอดตามองไกลอย่างไร้จุดหมาย

“ก่อนตายชมวิวทิวทัศน์ที่ชวนให้นึกถึงสวรรค์ก็อาจได้ไปสวรรค์เนอะพี่เอิน ใจผูกพันกับความงามแบบไหน น่าจะไปเกิดในความงามแบบนั้น”

“ใครบอก” แพทย์สาวหันมามองตรง “สิ่งที่ตาเห็นไม่ใช่ทาง แต่จิตต่างหากที่ใช่! ตายสว่างไปสว่าง และมีแต่บุญเท่านั้นตกแต่งจิตให้สว่างได้ เธอคิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาอย่างนี้ ต่อให้ก่อนขาดใจใครเนรมิตอุโมงค์สวรรค์ให้ดู จิตก็ไม่มีกำลังพอจะแล่นตามไปได้เลย”

“ทำไม… จิตจ๊ะมืดตื๋อนักหรือไง แค่ทำไม่ถูกใจพี่เอินก็โดนสาปแช่งต่างๆนานา อ้ะไหนบอกซิฆ่าตัวตายมันบาปอะไรนักหนา? จ๊ะฆ่าตัวเอง ไม่ได้ฆ่าใคร ไม่แม้แต่เบียดเบียนชาวบ้านให้เดือดร้อนสักปลายเล็บ”

“เธอเข้าใจคำว่า ‘เบียดเบียน’ แค่ไหน? เมื่อกี้สารภาพออกมาเองว่าอยากให้พี่บาดเจ็บทางใจ ทนทุกข์ทรมานไปจนชั่วชีวิตกับความตายของเธอ จิตขณะคิดกับหลังคิดอย่างนี้มืดหรือสว่าง?”

เจอย้อนเช่นนั้น ลานดาวก็อึ้งไปพักหนึ่งอย่างจำใจยอมรับ กรรมนั้นเพียงแค่มีเจตนา แม้ไม่ต้องบอกว่าฉันจะทำให้เธอเจ็บใจ ขอเพียงตระหนักรู้ว่าทำแล้วจะมีผู้เจ็บใจ ก็จัดเป็นมโนกรรม จัดเป็นความคิดเบียดเบียนไปเรียบร้อย ก่อเงาบาปติดตัวไว้แล้ว

“จริงด้วยเนอะ” เลิกคิ้วแล้วยักไหล่ “งั้นถอนความคิดก็ได้ พี่เอินอย่าเสียใจกับน้องไม่รักดีอย่างจ๊ะเลยนะคะ เดี๋ยวจ๊ะใกล้หมดแรงเฮือกสุดท้ายจะคิดขอให้พี่เอินเป็นสุข ถ้าเป็นนางฟ้าจะมาเข้าฝันแล้วยิ้มให้พี่เอินสวยๆ จะได้หมดห่วงหมดใยไปที”

“ต่อให้เลิกคิดเบียดเบียนพี่ ก็ถือว่าทำลายทรัพย์สินคือเลือดเนื้อเชื้อไขที่พ่อแม่เธอสร้างขึ้น จ๊ะเคยเห็นเด็กตั้งแต่ยังแบเบาะหรือเปล่า? รู้ไหมต้องประคับประคองไม่คลาดสายตาขนาดไหน? กว่าจะป้อนข้าวป้อนน้ำให้โตขึ้นมาทีละวันทีละคืน ถ้ารวมเอาความรัก ความห่วงใย และการเสียเวลาดูแลของพ่อแม่ตลอดยี่สิบปีมากองตรงหน้า เธอจะเห็นว่าสิทธิ์การครอบครองกายนี้ไม่ใช่ของเธอคนเดียว เธอไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ได้ป้อนอาหารให้มันเติบโต ไม่ได้ส่งเสียให้ตัวเองเล่าเรียนสักบาท ถ้ายังขาดสำนึกคิดอ่านตอบแทนก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยควรรักษาเนื้อรักษาตัวไว้เอาใจพ่อแม่บ้างก็ยังดี”

“พี่เอินน่าไปแต่งสุภาษิตสอนเด็กแบบสุนทรภู่นะคะ นี่ชมจริงๆ เปล่าประชด จ๊ะฟังแล้วน้ำตาจะไหล ต่อไปเด็กไทยจะได้ไม่เป็นลูกอกตัญญูอย่างจ๊ะ”

สุ้มเสียงเรื่อยเฉื่อยของลานดาวบอกชัดว่าไร้ความยินยลไยดีโลกอย่างสิ้นเชิง แต่ลานดาวก็ยังกล่าวสืบต่อด้วยความอดทนจากหัวใจ

“ต่อให้เธอไม่คิดทำให้พี่เจ็บปวด และสมมุติว่าเธอไม่มีพ่อแม่ มีแต่ตัวคนเดียวไร้ญาติ การฆ่าตัวตายก็เป็นการเบียดเบียนตัวเองอยู่ดี ชีวิตนี้ไม่ใช่แค่อาหารหรอกนะที่เลี้ยงเราไว้ ยังมีกรรมเป็นส่วนสำคัญในการพยุงรักษารูปร่างหน้าตา รวมทั้งก่อเรื่องราวต่างๆอีกด้วย ถ้าฆ่าตัวตายก็เท่ากับทำลายทั้งกรรมที่ให้ความคุ้มครอง และหนีกรรมที่กำลังตามเล่นงานล้างผลาญเราอยู่ ต้องไปใช้หนี้ในสภาพที่อาจไม่มีสมองมนุษย์ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา”

“สมองมนุษย์น่ะตัวดีเลยพี่เอิน บงการสารโน้นสารนี้หลั่ง ต่อให้จิตใจสงบอยู่ดีๆ เดี๋ยวมันก็ยุให้ลุกขึ้นไปทำบาปเพิ่ม ใครรีบตายอาจโชคดี ไม่ต้องสั่งสมอาญามากกว่าเดิมก็ได้นะ พี่เอินเห็นใครใช้สมองผ่อนเรื่องหนักให้เป็นเบาบ้าง? มีแต่ทำเบาให้เป็นหนัก หรือทำหนักให้ยิ่งสาหัสขึ้นกว่าเดิมกันทั้งนั้น”

มาวันทาเริ่มคร้านกับเด็กเหลือขอผู้ถนัดด้านเถียงคำไม่ตกฟาก จึงยุติการเจรจาลง ซึ่งเมื่อหล่อนเงียบลานดาวก็เงียบตาม อย่างมากแค่ฮัมเพลงเรื่อยเปื่อยเพียงแผ่วพอเป็นที่รู้ว่ายังอยู่เคียงกัน แต่สิบนาทีให้หลังก็เงียบสนิท ศีรษะที่อิงซบไหล่หนักขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าเจ้าตัวเริ่มหลับปุ๋ย

แพทย์สาวจึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียวกับความคิดวกวนหาทางออกตามลำพัง หล่อนทอดตามองสุดขอบฟ้า นาทีแล้วนาทีเล่า เฝ้าอธิษฐานอย่าให้เรื่องลงเอยด้วยโศกนาฏกรรมอันใดเลย นึกย้อนไปในครั้งที่ลานดาวพยายามทำดี เอาใจหล่อนสารพัด แล้วมาหยุดที่คืนวิบัติเมื่อหล่อนออกปากไล่เหมือนสิ้นเยื่อใยต่อกัน ก็ยิ่งเกิดความเศร้าสร้อยสำนึกผิด หากย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ หล่อนจะใจเย็นและหาทางเลี่ยงสถานการณ์ลำบากให้ดีกว่านั้น

แล้วนี่ถ้าหากลานดาวตายไปจริงๆ หล่อนจะต้องคร่ำครวญเสียดายอาลัยรัก และอยากย้อนกลับมาทุ่มเทกำลังความคิดยื้อชีวิตน้องสาวสักกี่ทวีคูณ?

เกือบครึ่งชั่วโมงที่มาวันทาปล่อยให้น้องอาศัยไหล่เป็นหมอนหนุนนอนอันแสนสบาย ลานดาวก็ตื่นขึ้นด้วยอาการกระตุกผวา งัวเงียอึดใจก่อนหันมาพึมพำ

“ฝันถึงพี่เอินอีกแล้ว” ยกมือเสยผมและบิดขี้เกียจ “คราวนี้ดีแฮะ ตื่นมาก็เจอหน้าเลย เอ้อ… ตอนกำลังฝันก็พิงไหล่เจ้าตัวอยู่ในความเป็นจริงด้วย”

“ฝันว่าไง?”

“ฝันว่านอนหนุนตักพี่เอินแต่งกลอน… เอ๊ย! แต่งโคลงสี่สุภาพ แปลกดี ฝันแบบนี้เป็นหนที่สามหรือสี่แล้ว”

มาวันทามองหน้าน้องยิ้มๆ

“จำได้หรือเปล่าว่าเขียนยังไงบ้าง?”

ลานดาวกะพริบตาปริบๆ สติเริ่มตื่นเต็ม

“พอจำเป็นเค้า… ตอนฝันนี่สมองเราทำงานหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่คิดได้เร็วมากเลย ผูกคำเป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องเหมือนน้ำไหล”

“ชักอยากอ่านโคลงสี่ที่เธอแต่งในฝันแล้วซี”

“ได้… จ๊ะจะลองทบทวนดีๆ ถึงแหว่งวิ่นมั่งก็อาจคิดเรียบเรียงขึ้นใหม่ เดี๋ยวขอไปเอากระดาษปากกาก่อน เผอิญมีติดกระเป๋าตังค์อยู่”

ขยับจะลุก แต่ถูกกดไหล่ไว้

“เดี๋ยวพี่ไปเอาให้เอง”

มาวันทาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าเพราะกำลังวังชายังเต็มแน่น ต่างจากลานดาวที่เชื่องช้าลงเรื่อยๆเพราะถอยแรงลงทุกที ลานดาวไม่ปฏิเสธ เนื่องจากปกติชอบที่มีคนทำอะไรให้อยู่แล้ว

พี่สาวกลับออกมาพร้อมกระเป๋าสตางค์ทั้งใบ นั่งลงที่เดิมและยื่นถึงมือ

“ขอบคุณค่ะ”

รับมาและเปิดหยิบสมุดฉีกกับปากกา หล่อนเป็นคนชอบแต่งเพลง แต่งร้อยกรองชนิดต่างๆ ประสาศิลปินผู้มุ่งหมายเอาดีจากงานสร้างสรรค์ จึงพกสมุดไว้จดไอเดียระหว่างวันขณะอยู่นอกบ้านเสมอ

“ขอหนุนตักพี่เอินด้วยนะ ให้เหมือนในฝัน”

ขอแล้วก็จับท่อนขามาวันทายืดออกวางแทนหมอน เอนร่างลงนอนเหยียดยกเท้าพาดเก้าอี้ เปิดสมุดฉีกจรดปากกาด้วยความรู้สึกประหลาดเยี่ยงฝันที่เป็นจริง ค่อยๆเขียนทุกคำอย่างบรรจง


เสียงลือว่ารักแท้ หอมหวาน
ลือว่าแสนทรมาน หากไร้
ใจหายป่านนี้นาน ยืนเดี่ยว เดียวดาย
ดึกดื่นแหงนเงียบใบ้ อยู่เฝ้าเดือนดาว
หว่านรักใช่หว่านพืช หวังผล
เสี่ยงหว่านซื้อใจคน สุดหล้า
ใช่โจรหมั่นหลอกปล้น ใจแห่ง ใครนา
แสนเหนื่อยเพียงขอข้า หนึ่งรักตราตรึง
วังเวงวาดดอกรัก ลมแล้ง
วันหนึ่งคล้ายถูกแกล้ง สบรัก
แต่อาจได้ชื่อแย่ง คู่แห่ง ใครมา
นางบาปหน้าด้านนัก ผิดนี้ควรตาย
ตั้งจิตบุญฤทธิ์ส่ง ชาติหน้า
ขอห้วงแห่งสัตยา ข้านี้
สั่งใจให้เสน่หา ตาตื่น เพียงเธอ
ตามเกิดไปทุกที่ อยู่คู่ทำบุญ…

สี่บทนั้นใช้พื้นที่สองหน้า มาวันทาไล่สายตาอ่านตามทุกคำ แม้ลานดาวเขียนค่อนข้างเชื่องช้าและมีหยุดบ้าง แต่น้ำคำก็รินไหลออกมาเรื่อยๆจากปลายปากกา เรียกน้ำตาให้รินไหลออกมาจากดวงเนตรที่พยายามกะพริบสกัดแต่กลั้นไม่อยู่

มาวันทาใช้ฝ่ามือลูบศีรษะที่พาดหนุนบนตักตนอย่างทะนุถนอม เลือกที่จะเงียบแทนคำชมและการวิจารณ์ใด เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ลานดาวทราบว่าหล่อนกำลังแอบสะอื้น แต่พอลานดาวลดกระดาษปากกา เหลือบตาช้อนขึ้นมองหน้า ความทุกอย่างก็เปิดเผย เพราะนัยน์ตาของหล่อนกำลังช้ำและรื้นน้ำ

เห็นเช่นนั้นลานดาวก็ดึงตัวขึ้นนั่งซ่อนหน้า เกือบร้องไห้ตาม แต่กัดริมฝีปากสะกัดกั้นความอ่อนแอไว้ทัน หายใจลึกๆทีหนึ่งก่อนทำเสียงขรึม

“จ๊ะนี่ท่าทางเป็นตัววิบัติจริงๆ ก่อนคบกันพี่เอินดูมีราศีสง่า น่าอบอุ่น แล้วก็ยิ้มใสทั้งวัน พอจ๊ะเข้ามาทีเดียวทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย กลายเป็นคนช่างตื๊อ อมทุกข์ แถมขี้แยอยู่เรื่อย สรุปแล้วจ๊ะมีโทษสมควรตาย พี่เอินอย่ามาร้องไห้ให้คนอย่างจ๊ะเลย”

มาวันทาทำตาปรอย ยกมือแตะบ่าน้อง

“ใช้ความเก่งของเธออย่างคุ้มค่าเถอะจ๊ะ ทำให้โลกมีความสุข อย่าใช้ความเก่งอย่างไร้ความหมาย แค่เห็นเป็นเรื่องสนุกที่ทำให้คนรักของเธอตรอมใจได้”

ลานดาวคอแข็ง เหลียวมาจ้องฉงน

“อะไร… ใครสนุกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

มาวันทาใช้นิ้วกรีดน้ำจากหางตา

“จะให้พี่กราบเท้าเธอก็ได้นะ พี่เหนื่อยเต็มที ไม่เหลือแรงอ้อนวอนเธออีกแล้ว หยุดเอาแต่ใจ กลับกรุงเทพฯกัน”

ลานดาวขมวดคิ้วย่น ท่าทางมาวันทาคงมีลูกตื๊อใหม่ๆทยอยมาได้ทั้งวันทั้งคืน ชักกลัวใจและเริ่มเบื่อการเจรจาวกวนเป็นพายเรือในอ่างหนักเข้าเลยพูดส่งเดช

“ชักจะใจอ่อนแล้วล่ะ ขอเข้าไปหลับซักตื่นแล้วจะคิดอีกทีนะ”

มาวันทายิ้มสดชื่นอย่างมีความหวัง เขย่าแขนน้องสาวด้วยความยินดี

“สัญญานะ”

คนมีสิทธิ์ตัดสินใจเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยเยียบเย็น

“ก็ได้” ตวัดหางตาคมปลาบขึ้นเล็งแลปุยเมฆขาวแน่วนิ่ง “แต่กลับถึงบ้านภายในเจ็ดวัน ถ้าพี่เอินยังไม่หย่ากับพี่อ๋อง จ๊ะจะหายไปโดยไม่มีการล่ำลากันอีก!”

แพทย์สาวหน้าซีดเผือด มือตกแขนตกด้วยความวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ความแข็งขืนของลานดาวราวกำแพงคุกที่หล่อนไม่มีสิทธิ์ป่ายปีนหนีได้พ้น

จากความว่างโหวงที่สะท้อนด้วยแววทดท้อ แปรเป็นความรู้สึกคุมแค้นที่ส่องด้วยสายตาขุ่นขึ้งอย่างไม่เคยมีให้ใครเท่า

“พี่อาจกำลังถูกอำนาจของเธอครอบงำ หลงรักหลงห่วงใยเธออย่างสูญเปล่า พรุ่งนี้ถ้าหลุดจากอำนาจร้ายๆนี่ได้คงตาสว่าง เห็นว่าไม่ควรเสียเวลากับคนอย่างเธอเลยแม้แต่นิดเดียว!”

ลานดาวทำหน้างง แสร้งขยับปากพะงาบๆอยู่ครู่ก่อนเอ่ย

"เอ๋อ… อะไรเนี่ย ตูไปนอนดีกว่า"

ยั่วเสร็จก็ลุกขึ้น ตั้งท่าจะผละจากที่นั้น แต่อาจเร็วไปนิดหนึ่งสำหรับคนอดอาหารมาหลายวัน จึงหน้ามืดโผเผเล็กน้อย แล้วพยายามทรงตัวโดยใช้แขนยันขอบประตูยืนนิ่ง

"เป็นอะไรหรือเปล่า จ๊ะ?"

มาวันทารีบลุกตามประคอง ลานดาวพึมพำตอบ

"สงสัยธรรมชาติลงโทษ ยียวนคนที่รักและห่วงใยเรามากไปหน่อย ช่างเถอะ เดี๋ยวคงล้มลงไปนอนกองแล้วไม่ตื่นอีก"

ประคองกันเข้ามาข้างใน มาวันทาปล่อยให้ลานดาวเอนร่างนอนบนเตียงนุ่ม ซึ่งพอหัวถึงหมอนก็เข้าสู่นิทรารมณ์อย่างรวดเร็ว มีหล่อนนั่งมองด้วยสายตาอาทรของพี่สาวเนิ่นนานนับชั่วโมง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น