ตอนที่
๒๘. พี่น้องสองสาว
สี่โมงเย็น…
ลานดาวกำลังนั่งซ้อมเปียโนด้วยอารมณ์เบื่ออยู่ในห้องกระจก
เล่นดนตรีไปก็เห็นความเบื่อของตนเองไป
หญิงสาวมาถึงจุดของความตระหนักว่าสำหรับหล่อนแล้ว เปียโนเป็นได้เพียงแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง
และชัยชนะในการแข่งขันเปียโนก็เป็นได้อย่างมากที่สุดเพียงข่าวกระจอกซึ่งไม่มีใครจดจำเกินสามวัน
การสนิทคลุกคลีกับใครบางคนเช่นอมฤตทำให้ลานดาวเกิดแรงบันดาลใจและมีคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิตตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างน้อยก็ทำลายความเชื่อเดิมๆที่ฝังรากลึกเช่น ‘ผู้ชนะได้ไปทั้งหมด’ และ
‘อยากปั่นโลกก็ปั่น อยากหยุดโลกก็หยุด!’
คติพจน์เหล่านี้กลายเป็นความคิดของเด็กเห็นแก่ตัวที่ยังไม่เติบโตขึ้นมองโลกในมุมที่แตกต่าง
และมุมมองที่ต่างไปในบัดนี้ก็ก่อความปรารถนาที่จะมีตัวตนตามคติพจน์ใหม่ๆเช่น
‘เป็นความโชคดีของคนรู้จัก’ หรือ ‘เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของคนอื่น’
มนุษย์ทุกคนต้องการมีคุณค่า
ทว่าแต่ละคนมีวิถีแห่งการเสพสุขจากคุณค่าในตนเองต่างกัน
ความรักความบูชาจากคนไข้ของอมฤตนั้น
ทำให้หล่อนเห็นความหลงใหลคลั่งไคล้จากหนุ่มๆที่มีต่อรูปโฉมของตนเป็นเสมือนกลิ่นโคลนสาบควาย
ไฉนเลยจะเทียบได้กับกลิ่นหอมของดอกไม้ถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง
มือนุ่มคู่หนึ่งยื่นมาปิดตา
เสียงเปียโนขาดช่วงลงทันใด ลานดาวแกะมือคู่นั้นออก
หมุนตัวกลับหลังหันมามองหน้าเจ้าของมือในลักษณาการเฉยนิ่งอยู่ครู่
ก่อนกางสองมือฉีกยิ้มร่าและร้องออกมาดังๆ
“ต๊าย!
ประหลาดใจจังเลย ไปไงมาไงคะทูนหัวของจ๊ะ ลมชนิดไหนหอบมาถึงนี่ได้?”
มาวันทาหัวเราะกับลีลาประสาทช้าของลานดาว
“ลมที่กรมอุตุฯไม่มีทางพยากรณ์ถูก…
ลมแห่งความคิดถึงไง”
“กรมอุตุฯพยากรณ์ไม่ถูก
แต่จ๊ะทายแม่นนะ วานซืนสังหรณ์อยู่แล้วว่าพี่เอินกำลังกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ภายในวันสองวันจะทนคิดถึงจ๊ะไม่ไหว ต้องมาดูหน้า แล้วก็มาจริงๆ”
มาวันทาเบะยิ้มหมั่นไส้
แต่ใจก็ยอมรับอยู่ในส่วนลึกว่าเป็นเช่นที่น้องกล่าว
ความจริงหล่อนกับลานดาวคุยโทรศัพท์และฝากข้อความถึงกันผ่านอินเตอร์เน็ตบ่อยๆ
ทว่าช่วงหลังนานทีจึงนัดเจอหน้าสักครั้ง ทำให้กระวนกระวายเอาการ
ราวกับความเป็นลานดาวคือเสน่ห์ยาแฝดทั้งแท่ง
ขาดการเสพรูปและเสียงพักหนึ่งเป็นต้องทุรนทุรายเกินทน
ลานดาวปิดฝาครอบคีย์เปียโน
จูงมือพี่สาวมานั่งที่โซฟา แล้วล้มตัวลงหนุนตักฝ่ายนั้นด้วยความเคยชิน
“เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยเจอกันเลยเนาะ”
มาวันทาก้มลงสบตาน้อง
“เธอมีแฟนก็ต้องอยากอยู่ใกล้แฟนเป็นธรรมดา”
“ทิ้งซะเลยดีไหม
โทษฐานที่ทำให้เราต้องห่างกัน”
แพทย์สาวเงียบ
เพียงใช้ปลายนิ้วเขียนตัวหนังสือบนหน้าผากคนหนุนตัก
พอเขียนหลายๆตัวซ้ำลงตำแหน่งเดิมเสร็จก็ถาม
“รู้ไหมเขียนว่าอะไร?”
“อ้าว!
มีความหมายหรือคะ นึกว่าเขียนอักขระขอมทำคุณไสยซะอีก เพลินดี… ไหนเขียนใหม่ซิ”
มาวันทาอมยิ้ม
เขียนใหม่ แต่หวัดกว่าเดิม ลานดาวยิ้มกริ่มพริ้มตาปิดสนิท
รับสัมผัสและสะกดตามด้วยมโนภาพในสมาธิ พอพี่สาวเขียนเสร็จก็ลืมตาขึ้นทาย
“I love you!”
หัวเราะคิกคักพร้อมกันดุจดนตรีบริสุทธิ์
เมื่อใจใสสะอาดเสียแล้ว คิดอะไรหรือพูดอะไรก็สื่ออยู่บนเส้นทางสีขาวไปหมด
คำเดียวกันเมื่อสองเดือนก่อนอาจหวานซึ้งเจือความแสบร้อนทรมาน
แต่คำเดียวกันนั้นเดี๋ยวนี้แค่ก่อให้เกิดความเอ็นดูรักสนิทราวกับพี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ
ไม่มีราคีใดในน้ำคำเลย
ระลึกถึงความรักมาวันทาเชิงชู้สาวในอดีตแล้วบังเกิดความไม่เข้าใจตนเอง
นี่กระมังอำนาจบีบบังคับของกรรมเวร ทำให้หลงรักแบบผิดๆ ปฏิบัติต่อกันผิดๆ
เพื่อความเศร้าโศก เพื่อการเสวยทุกข์ และเพื่อเพิ่มบาปเพิ่มกรรมต่อกัน
แต่พอดิ้นหลุดจากการร้อยรัดของบ่วงกรรม ปรับมุมมองเสียใหม่ให้เป็นกุศล
ทุกสัมผัสก็กลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างน่าฉงน
นี่คือความมหัศจรรย์แห่งกรรมอันปรุงแต่งชีวิตจิตใจและองค์ประกอบแวดล้อมให้เป็นไปนานา
ผ่านความปักใจอย่างหนึ่งสู่ความปักใจอีกแบบหนึ่ง ดุจเกิดใหม่เป็นตัวตนใหม่ตลอดเวลา
“อดีตเหมือนความฝันที่หายไปเลยเนอะพี่เอิน
ผ่านเลยแล้วมันจะไม่ย้อนกลับมาอีก จ๊ะงงๆทุกครั้ง พอมองตัวเองเดี๋ยวนี้ วินาทีนี้
ด้วยความคิดว่ามันกำลังจะเป็นความฝันที่หายไปอีกฉากหนึ่ง
ก็เกิดคำถามว่าแล้วตกลงตรงไหนของความเป็นเราที่ไม่ใช่ฝัน?”
มาวันทาโน้มใบหน้าลงจุมพิตหน้าผากมนบนตักตน
ร่วมตระหนักว่านี่คือผัสสะแห่งความเป็นปัจจุบัน
และปัจจุบันนั้นก็กำลังเคลื่อนสู่ความเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
คล้ายรอยทรายที่ปรากฏรูปหลอกตาครู่หนึ่ง ก่อนถูกสายลมทยอยมาแปรรูปให้เป็นอื่น
“พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าสิ่งใดแปรปรวน
ต้องเลอะเลือนไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นเท็จ
ถ้าเป็นจริงต้องนิ่งอยู่กับที่ ไม่แปรปรวนไปเป็นอื่น”
ลานดาวยิ้มเล็กน้อย
เมื่อตรึกตามคำพูดของมาวันทาแล้วจิตสัมผัสคลื่นความเป็นเท็จแห่งปัจจุบันภาพ
“แล้วอะไรคะที่ไม่เลอะเลือน
อะไรเป็นความจริงสูงสุดที่เราเชื่อได้?”
“นิพพานไง
อย่าบอกนะว่าไม่เคยได้ยิน”
“เคยได้ยิน
เคยเรียน แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร
เคยผ่านไปเห็นเถียงกันหูดับตับไหม้ตามเว็บบอร์ดเหมือนกัน อ่านแว้บๆแล้วผ่านค่ะ
ไม่เก็ต”
“ก็ต้องมีเหตุเหนี่ยวนำให้สนใจแหละ
ถึงจะเข้าตา เข้าหัว อย่างเมื่อกี้จ๊ะตั้งคำถามด้วยความอยากรู้ว่าอะไรบ้างที่เที่ยง
ก็เป็นแง่มุมหนึ่งที่ชี้ไปหานิพพานได้ เพราะนิพพานเป็นธรรมชาติชนิดเดียวที่เที่ยง
ธาตุต่างๆที่เห็นเป็นภูเขา ทะเล ดวงดาว ตลอดกระทั่งจิตวิญญาณ ความทรงจำ
ความรู้สึกนึกคิดของพวกเรา ไม่มีอะไรเที่ยงเลย”
“แล้วจะเข้าถึงความเที่ยงแบบนั้นไปทำไมคะ? เป็นสวรรค์หรือแดนสุขาวดีน่าชื่นใจนักหรือ?”
“ถ้ายังเป็นแบบสวรรค์
ถ้ายังปรากฏรูปบ้านเมือง ก็เที่ยงทนค้ำฟ้าไม่ได้หรอก ทั้งนรกภูมิ โลกมนุษย์
ไปจนถึงเทวโลก ล้วนแล้วแต่ก่อขึ้นด้วยผลกรรม เป็นสิ่งมีอายุขัย
เป็นชาติภพที่หมุนไปสู่ความแตกทำลายทั้งหมดทั้งสิ้น”
“อ้าว!
แล้วงั้นนิพพานเป็นไงล่ะ ว่างเปล่าอย่างอากาศธาตุหรือ?”
“ความว่างแบบอากาศเป็นแค่ธาตุหนึ่ง
ยังมีธาตุแห่งความว่างยิ่งกว่านั้นอยู่อีก เรียกว่าว่างแบบ ‘มหาสุญญตา’…
แต่ช่างเถอะ บอกตามตรงพี่ก็ไม่รู้ว่าว่างแบบนั้นแตกต่างจากอากาศอย่างไร
เอาเป็นว่าตามหลักของพุทธ ยังมีธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีสาระแก่นสาร เพราะยุติทุกข์
ยุติความเวียนว่ายตายเกิดวุ่นวายเสียได้ ทำนองเดียวกับเปลวไฟที่เกิดจากฟืน
ถ้าทำลายฟืนเสีย ไฟก็ดับลง เหลือแต่ความว่างที่ไม่ร้อนเหมือนอย่างไฟ
ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับไฟ มีแต่ความสงบอยู่เย็นเป็นนิรันดร์”
ลานดาวทำหน้างง
คิดในใจว่าว่างโหวง ไม่เกิดไม่ตาย ไม่ต้องทุกข์ ก็หมดสนุกด้วยน่ะซี
แต่ไม่พูดออกมาเพราะอยากเปลี่ยนเรื่อง เขย่าแขนมาวันทาเบาๆ
“เคยมีจ๊ะอยู่ข้างๆตลอด
ตอนนี้ห่างกันแล้วเหงาไหม? ถามจริงๆ”
“ก่อนมีเธอ
พี่ก็อยู่ของพี่อย่างนี้ นี่ทำเว็บฆ่าตัวตายด้วย จะไปเหงาได้ไง”
“แน่ใจเหรอ
ทำไมตามันฟ้องชอบกล รู้ไหมนิสัยเจ้าประจำของพี่เอินคืออะไร…
คือไม่ชอบยอมรับความจริง
ถ้าความจริงนั้นทำให้เสียภาพนางเอกผู้มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุขที่สุด”
“เอ๊ะ!
ทำไมอยู่ๆมาว่ากันอย่างนี้ล่ะ?”
“ก็ยอมรับมาสิว่าเหงา”
ลานดาวรุก
ซึ่งทำให้มาวันทาเงียบไป จะมองว่าเพราะคร้านกับการต่อล้อต่อเถียงหรือเพราะจำนนต่อความจริงก็ได้
“พี่อ๋องจะเก็บเงินไปถึงไหนคะ
ถ้าเลิกทำกับสายการบินต่างประเทศเสีย ยอมรับทรัพย์น้อยลงหน่อย
บินแต่ละครั้งจะได้ห่างบ้านในเวลาสั้นลง
หรือไม่ก็เลิกเป็นนักบินมาทำงานบนพื้นดินแทนเสียเลย นี่ปล่อยให้พี่เอินเหงาแย่
เป็นจ๊ะนะ ไม่ยอมหรอก”
“เธอก็พูดง่ายเสมอ
ย้ายงานหรือเปลี่ยนอาชีพไม่ใช่เรื่องเล่นๆนี่…
พี่อ๋องก็ตกลงกับพี่แล้วล่ะว่าไว้ผ่อนบ้านเสร็จเขาจะทำงานแบบได้เงินน้อยลง
แล้วมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”
“โอ๊ย!
กว่าจะผ่อนหมด ตุ๊กแกตามฝาบ้านกลายพันธุ์เป็นตะเข้ไปแล้ว”
มาวันทาหัวเราะ
“อีกห้า-หกปีเท่านั้นแหละ
ลำบากก่อนสบายทีหลังไปอีกทั้งชีวิต พวกพี่ไม่รวยเหมือนเธอนี่
ทุกอย่างง่ายมาแต่เกิดจนแก่เฒ่า นึกว่าชีวิตใครเขาจะง่ายเหมือนตัวเองกันหมด”
ลานดาวเหลือบตามองพี่สาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“ถ้าจ๊ะหาเงินเองได้ปีละพันล้าน
จ๊ะซื้อคฤหาสน์หลังละ ๔๐ ล้านแถวนี้ให้พี่เอินอยู่สบายๆ พี่เอินจะเอาไหมคะ?”
มาวันทาหัวเราะ
นึกว่าน้องพูดเล่นจึงรับไว้เล่นๆเช่นกัน
“เอาสิ
ทำไมไม่เอา”
“จริงนะ?”
“จริงสิ!
ถ้ารายได้เธอปีละพันล้าน คฤหาสน์ ๔๐ ล้านก็ราวๆงบประมาณของขวัญวันเกิดหนึ่งกล่องเท่านั้น
จะไปเกรงใจทำไม”
เปลือกตาลานดาวลดลงครึ่งหนึ่งคล้ายซึมเหม่อไป
“มีเงินเสียอย่างนี่ดีเนอะ
นึกอยากทำอะไรก็ทำ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ”
“ก็คล้ายอำนาจของยักษ์ในตะเกียงวิเศษ
ขอบ้านได้บ้าน ขอปราสาทได้ปราสาท ยักษ์เสกให้ได้ทุกอย่าง”
“ถ้าเราเป็นคนทำเงิน
ที่แท้เราก็คือยักษ์ตัวนั้น”
“อือม์…
จริง ยุคนี้ใครมีเงินก็ไม่ใช่แค่เจ้าของยักษ์ แต่เป็นยักษ์ด้วยตัวเองทีเดียว!”
“ถ้าจ๊ะเป็นยักษ์
จ๊ะอาจเสกหนุ่มหล่อปิ๊งขึ้นมาสักคน เพื่อพบว่าความหล่ออย่างเดียวแก้เหงาไม่ได้…”
“มีหนุ่มหล่อที่เธอหลงรักอยู่ข้างกายแล้ว
จะต้องไปเสกขึ้นมาอีกทำไมล่ะ?”
ลานดาวดึงตัวขึ้นนั่ง
เบือนหน้าออกสู่สนามหญ้าเบื้องนอก มองไกลไร้จุดหมาย
“ไม่รู้สิคะ
ถ้าเกิดขั้นตอนในการแปลงตัวเป็นยักษ์ในตะเกียง เสี่ยงต่อการเสียคนที่เราหลงรักไปล่ะ?”
มาวันทาขมวดคิ้วอย่างเริ่มหมดแรงคิดตาม
“เธอพูดเป็นรหัสปริศนาแบบนี้พี่ฟังไม่รู้เรื่อง
มีปัญหาคาใจกับพี่แตรอยู่หรือเปล่า? ระบายให้พี่ฟังตรงไปตรงมาเถอะ”
“เปล่า…”
น้องสาวทำเสียงเอื่อยอ่อยอ้อยสร้อย “ถ้าจ๊ะอยากรวยด้วยตัวเอง ไม่พึ่งบารมีพ่อ
เพลินกับงานและการทำเงินมากเกินไป ก็อาจมีเวลาบำรุงเลี้ยงดูความรักน้อยลง
ทำให้คนกับแมวที่บ้านว้าเหว่ตลอดเวลา วันหนึ่งทั้งคนทั้งแมวก็ต้องทิ้งจ๊ะไป”
แพทย์สาวยิ้มขัน
“คิดมากน่า
ใครๆก็ต้องอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานกันทั้งนั้น
พอมีครอบครัวแล้วไม่เหมือนจี๋จ๋ากันตอนเรียนหนังสือหรอก
ต่างคนต่างต้องพะวงหาความมั่นคงในปัจจุบันและอนาคตให้กับตัวเอง แต่กลัวอะไรเล่า
สมัยนี้มีเครื่องมือสื่อสารเยอะแยะ ว่างๆคิดถึงเมื่อไหร่ก็โทร.คุยได้ทันที”
ลานดาวฟังแล้วกะพริบตาเงียบเชียบ
แต่มาวันทาสำเหนียกได้ถึงความเครียดในกระแสความคิดจริงจังของฝ่ายนั้น
จึงเอ่ยอย่างพลอยจริงจังตาม
“พี่ว่าอาจถึงเวลาต้องให้พี่แตรตรวจโรคตามวิชาชีพของเขาเสียหน่อยนะ
เธอเรียนจบแล้วท่าทางกังวลอะไรมากมายพิกล”
“โห!
แย่ขนาดต้องปรึกษาหมอโรคจิตเชียวหรือคะ?”
ลานดาวหันกลับมาทำหน้าง้ำจ้องตาขุ่น
ทว่าในที่สุดก็หัวเราะแปร่งปร่า
“แต่จ๊ะชักรู้สึกว่าตัวเองประสาทๆจริงๆแหละ
วันหนึ่งตกลงปลงใจจะเซ็นสัญญา อีกวันหนึ่งเกิดโลเลขึ้นมา
จนเขาทำท่าเหมือนจะกระโดดจากโทรศัพท์มาเขย่าคออยู่รอมร่อแล้ว ไม่อยากคิดมาก
แต่ยิ่งคิดจนเครียดขึ้นมาทุกที”
“เขาอาจจะนึกว่าเราไปคุยๆกับค่ายเพลงอื่นด้วยมั้ง
เลยร้อนใจ”
“คงไม่หรอกค่ะ
ถ้าคิดเอาดีทางนี้ ใครไปทางอื่นก็โง่ตายล่ะ”
“แล้วเธอลังเลเพราะอะไรกันแน่หือ?”
“ก็เพิ่งบอกเมื่อกี้ไง
กลัวไม่มีเวลาให้แฟน”
มาวันทาส่ายหน้าระอากับความคิดอันเหลือเชื่อของลานดาว
“เธอนี่…
เหมือนมีอะไรแอ๊บๆอยู่จริงๆเลย” แล้วก็จ้องสำรวจเอวองค์น้องก่อนขู่
“ชักอ้วนแล้วนะเธอน่ะ ระวังเถอะ
ขืนไม่ทำอะไรสักอย่างจะต้องมีอาชีพนอนบี้ไขมันเล่นในที่สุด”
คำพูดแทงใจดำทำให้คนเริ่มเสียส่วนโค้งของเอวเป็นครั้งแรกในชีวิตอึ้งอยู่ครู่
ก่อนกระแทกเสียงแหวแบบครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งกระฟัดกระเฟียด
“อย่ามาว่านะ!”
มาวันทายังคงพูดต่อเสียงเรียบ
“เธอเอาเวลาทั้งหมดในชีวิตไปทุ่มเทให้ผู้ชายคนเดียวไม่ได้หรอก
มันไม่ใช่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์”
“จ๊ะไม่มีวันเป็นแบบพี่เอินหรอก
มีสามีไว้ให้บินหนีทั้งปีทั้งชาติ”
ย้อนให้แบบไม่ยอมแพ้
นึกว่าคงไม่เป็นไร แต่พอเห็นแววแสลงใจในตามาวันทา ลานดาวก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“คิดอยู่หลายร้อยตลบ
ตัวเองคงหลบหนีอาชีพทางการบันเทิงไม่พ้น แต่อยากวางแผนให้ชัดเจนว่าควรทำอะไรแค่ไหน
จ๊ะจะไม่ยอมขายแค่รูปร่างหน้าตาเด็ดขาด อยากเอาแบบพวกที่ทำหนัง The
Blair Witch Project ทั้งผู้สร้างและดาราโนเนมทุกคน แต่อาศัยไอเดียแหวกแนว
คิดในสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิด ลงทุนแค่ล้านกว่าบาท
แต่กวาดรายได้เฉพาะในอเมริกาไปเกือบหกพันล้าน และทำเงินทั่วโลกถล่มทลายไปหมื่นล้าน
นี่แหละชวนให้ได้คิดว่าการแข่งขันเกิดขึ้นเพราะคนทำอะไรตามๆกัน
แต่ถ้าไอเดียของเราบรรเจิด มีอยู่แค่หนึ่งเดียวไร้คู่ท้าชิง การแข่งขันก็ไม่เกิด
เกิดแต่การโกยลูกเดียว อย่างน้อยก็ช่วงแรก”
มาวันทาถอนใจ
เอนหลังพิงพนัก
“ตกลงจะทำอะไร
เป็นดารา เป็นคนเขียนบท เป็นผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง หรือว่านักหาไอเดียพันล้าน?”
“ไม่รู้ล่ะ
แต่จ๊ะจะรวยให้ได้ในข้ามปีเลย คอยดู”
แพทย์สาวเศร้าใจจนหัวเราะ
“เธอบ้าในแบบของเธอ
ถ้ามีคนบ้าตามมากพอ เดี๋ยวก็รวยเองแหละ ขอให้เริ่มก้าวที่หนึ่งเถอะ
อย่าเพิ่งคิดเลยว่ากี่เดือนกี่ปีจะมีกี่ล้าน”
“พี่เอินคิดว่าจ๊ะปัญญาอ่อน
ไม่ยืนอยู่ในโลกความเป็นจริงใช่ไหมล่ะ? อย่าลืมว่าจ๊ะพิสูจน์ตัวเองด้วยการแข่งเปียโนได้ที่หนึ่งมาหลายครั้งแล้ว”
“เงินรางวัลทั้งหมดรวมกันยังซื้อแกรนด์เปียโนในห้องนี้ไม่ได้เลยจ๊ะ
แข่งได้มาอย่างเก่งทีละแค่ไม่กี่พันเหรียญ ค่าเครื่องบินก็เกือบหมดเกลี้ยงแล้ว
อีกอย่างเธอเริ่มหมดไฟ ไม่กะเอาดีทางเปียโนต่อแน่ๆ
เพราะฉะนั้นป่วยการขุดคุ้ยอดีตมาฝอย… ที่ผ่านมาเธอเห็นชีวิตเป็นของง่ายเพราะคุณพ่อเธอทำให้มันง่าย
แต่เมื่อไหร่ออกทะเลชีวิต เป็นกัปตันเรือให้ตัวเอง เธอจะเห็นทุกอย่างต่างไป”
ลานดาวมองพี่สาวด้วยหางตา
นึกในใจว่าคนธรรมดาก็คิดอย่างนี้แหละ สำหรับหล่อน
หล่อนรู้สึกถึงพลังความแตกต่างจากคนทั้งหลาย อำนาจบารมีหนุนหลังจะส่งให้หล่อนพุ่งโด่งขึ้นคว้าดาวได้รวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องนับบันไดขั้นที่หนึ่ง
สอง สามเหมือนคนอื่น
ชั่วขณะนั้นหญิงสาวเกิดแรงบันดาลให้อยากเอาชนะ
อยากให้พี่สาวเห็นความรุ่งโรจน์ของตนในชั่วข้ามคืน เอาให้ตะลึงค้างแปลกใจ
เลิกคิดว่าหล่อนเป็นแค่นางจิ๊กกะร้อกอีกคนหนึ่งที่เดินดินธรรมดา
แต่เท่าที่สามารถทำในตอนนี้
คือนำคำพูดหมอดูอุปการะมาอ้างอิงเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนนโดยดี
“อาจารย์ของพี่เอินทำนายว่าจ๊ะจะประสพความสำเร็จอย่างสูงแค่ชั่วเวลาข้ามเดือนในไทย
แล้วในสี่ปีจะโกอินเตอร์ มีชื่อเสียงยืดยาวไปอีกยี่สิบปี เพราะกรรมที่เคยเป็นใหญ่แล้วช่วยให้ผู้คนอยู่ดีมีสุขทั้งแผ่นดิน…
นี่คงได้เวลาคนพวกนั้นกลับมาเฉลี่ยจ่ายเงินคืนให้จ๊ะเร็วๆนี้แหละ”
มาวันทาฟังแล้วไม่ประหลาดใจนัก
คุณสมบัติและราศีเฉิดฉายแรงสูงขนาดลานดาวปานนี้
ต่อให้บอกว่าเคยเป็นครึ่งคลีโอพัตราครึ่งแม่ชีเทเรซ่า ใครฟังก็ต้องเชื่อ
แต่เห็นท่าหยิ่งผยองจองหอง หลงเนื้อหลงตัวชูคอเสียจนหดไม่ลงอย่างเดี๋ยวนี้แล้ว
ก็นึกอยากกำราบมากกว่าพลอยส่งเสริมชื่นชู
“ถ้ามีบุญเก่าคอยส่งกระแสหนุนอย่างนั้นก็ยินดีด้วย
แต่ถามเธอสามข้อให้คิดเล่นในใจ ไม่จำเป็นต้องตอบพี่หรอก ข้อแรก…
เธอรู้ด้วยตัวเองหรือว่าเธอเป็น หรือทำอะไรอย่างที่อาจารย์ทำนายไว้จริงๆ? ข้อสอง… นอกจากคิดฝันเอาง่ายๆในห้องนอน
เธอลงมือทำอะไรไปบ้างแล้วเพื่อความสำเร็จในชาตินี้
หรือเพื่อต่อยอดบารมีชนิดเดียวกันเสริมจากชาติก่อนๆ? ข้อสาม…
เธอเคยถามอาจารย์ไหมว่าตัวเองเคยทำอกุศลกรรมอะไรไว้บ้าง ชนิดที่จะมาเบียดเบียนให้ล้มลุกคลุกคลานโงหัวไม่ขึ้น
อาจารย์ทำนายว่าเธอจะมีชื่อเสียงไปยี่สิบปี
เธอถามต่อไหมว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรตามมา?”
ลานดาวอึ้ง
มาวันทายิงเข้าเป้า
และทำให้รู้สึกตัวได้ว่าชาตินี้หล่อนทำบุญกับปากท้องตัวเองเท่านั้น
แท้จริงหล่อนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบุญกรรมในอดีตชาติแม้แต่น้อย
สักแต่ฟังคนอื่นพูดมาทั้งสิ้น แล้วก็ทึกทักว่านี่แหละใช่ นี่แหละน่าเชื่อ
เหตุผลคือเข้ากันได้กับอัตตา เสริมตัวตนให้ฟองฟูขึ้นอักโขมโหฬาร
“แหม…
รู้สึกไม่ค่อยอยากให้กำลังใจคนเริ่มออกเดินทางเลยนะคะ”
หล่อนพูดเสียงอ่อนลง
“ก็เธอคิดว่าตัวเองเพิ่งเริ่มก้าวแรกเหมือนคนอื่นเขาที่ไหนล่ะ
ขึ้นมาก็ข้าเก่ง ข้าจะรวย ข้าเป็นคนมีบุญ หลงตัวทั้งนั้น!”
ลานดาวย่นคิ้วหน่อยๆอย่างชักหงุดหงิด
“นี่เจ๊!
วันนี้ของขึ้นอะไรเนี่ย ว่าเอาๆ… มีปัญหาประจำเดือนรึ?”
มาวันทาขบริมฝีปากกลั้นหัวเราะ
ขยับหน้าตักหนี แกล้งเมินไปอีกทาง
“ไม่พอใจก็เลิกคุยกันได้นะ
เดี๋ยวพี่จะกลับล่ะ”
ลานดาวจ้องมองท่าทีเย็นชาของอีกฝ่ายอย่างรู้ทันว่าจะให้โอ๋
หล่อนยิ้มดุอยู่อึดใจ ก่อนจำต้องเล่นบทง้อไปตามเพลงที่มาวันทาเริ่มบรรเลงขึ้น
“โถ…
อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะคุณพี่ขา”
ลากเสียงสูงยืดยาวราวกับนางเอกลิเก
พลางยกมือลูบหลังลูบไหล่เหนี่ยวรั้งฝ่ายนั้นไว้
“ก็เธอไม่อยากคุยกับพี่แล้วนี่”
“อยากค่ะ…
อยาก… อยาก”
ลานดาวใส่ลูกเล่นลุกลี้ลุกลน
กับจังหวะจะโคนเน้นเสียงแปร๋นตอนท้ายคล้ายเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก
ฟังแล้วขำจนมาวันทาอดหัวเราะไม่ได้
“อยู่ต่อจะให้ทำอะไร?”
“เดี๋ยวทานข้าวเย็นด้วยกัน
นัดกับพี่แตรไว้ค่ะ อีกสักพักคงมาถึง”
มาวันทาซ่อนยิ้ม
“จะดีรื้อ? แฟนหนุ่มแฟนสาวอยากจู๋จี๋กัน จู่ๆเหมือนมีตัวอะไรโผล่มาแทรก”
แพทย์หญิงเลียนแบบถ้อยคำอิดเอื้อนของน้องสาวเมื่อครั้งแรกที่ชวนร่วมโต๊ะทานข้าวกับสามีหล่อน
ลานดาวกะพริบตาเนิบช้า ยิ้มเบะที่ถูกย้อนเกล็ด
จึงนิ่งไปนิดเพื่อคิดมุขสดให้รับมุขเดิมของตนแล้วพูดเอื่อยๆ
“ที่โผล่เข้ามาแทรกไม่ใช่ตัวอะไรนี่คะ
แต่เป็นพี่เอินที่ขอเพียงให้บอกมาคำเดียว
จ๊ะจะเชื่อทุกอย่างแม้แต่สั่งให้อยู่หรือตาย”
มาวันทาฟังแล้วเม้มปากยิ้มครู่หนึ่ง
คุยกับลานดาวทีไรรู้สึกเส้นตื้นทุกที
“มุขเยอะเหลือเกินนะ
พี่แตรคงหลงเธอมากล่ะสิ”
“พอๆกับพี่เอินสมัยก่อนนั่นแหละ”
“แต่พี่ไม่เคยหลงเธอจนขาดสตินะ”
“นั่นไง
ถึงบอกว่าพอๆกัน”
“อ้อ!
อือม์ แสดงว่าพระเอกของเธอมีดีพอตัว” แล้วหล่อนก็เฉลย
“ความจริงพี่เจอกับพี่แตรทางอินเตอร์เน็ตเมื่อคืน
เขาบอกว่านัดทานข้าวเย็นกับเธอเย็นนี้…
ต้องขอบใจที่เธอเล่าเรื่องพี่ฝันร้ายซ้ำซากให้เขาฟัง
พี่แตรบอกว่าจะช่วยสะกดจิตให้เลิกฝันเด็ดขาด ขอให้มาเจอกัน หวังว่าคงไม่รังเกียจนะ”
ลานดาวอมยิ้มน่าเอ็นดู
กล่าวบอกพี่สาว
“ไม่รังเกียจ
แถมดีใจขนาดอยากลุกขึ้นกระโดดตบแผะสักร้อยหนเลยล่ะจ้า… ถ้าวันไหนพี่อ๋องไม่อยู่
พวกเราสามคนน่าจะทานข้าวเย็นพร้อมหน้า หัวข้อสนทนาประจำระหว่างจ๊ะกับพี่แตรมักหนีไม่พ้นพี่เอินอยู่แล้ว
ถ้าเจ้าตัวมาร่วมวงด้วยเสียเลยจะได้มีชีวิตชีวาจับต้องง่ายขึ้น”
มาวันทากำลังยิ้มๆ
เปลี่ยนเป็นหน้าตึงทันที
“เธอเอาพี่ไปขายขนาดไหนแล้วนี่? ห้ามเล่าส่งเดชโดยพี่ไม่ยินยอมอนุญาตเด็ดขาดล่ะ”
“แหม!…
มาจำกัดสิทธิ์กันอย่างนี้ก็ไม่มันน่ะซี”
“เล่าอะไรไปบ้าง
บอกมาให้หมด”
น้องสาวทำเป็นเฉไฉ
แกล้งไก๋ยื่นหน้าเข้าไปเล็งใกล้ๆแก้มพี่หมอคนสวยและใช้นิ้วแตะแผ่ว
“ดูซิ…
ทำงานจนสิวขึ้น”
มาวันทาปัดมือลานดาวทิ้ง
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง
บอกมา! เล่าอะไรไปบ้าง?”
“ใครจะไปจำได้คะ
พี่เอินนั่นแหละบอกมาดีกว่า ว่าห้ามเล่าอะไรบ้าง”
“เรื่องระหว่างพี่กับเธอ
เขารู้หรือเปล่า?”
“รู้มั้ง”
แพทย์สาวหน้าแดงเรื่อ
“รู้แค่ไหน?”
“ก้อ…
เรามีอะไรกันแค่ไหนล่ะ?”
มาวันทาขบริมฝีปากอยู่ครู่ก่อนเอ่ย
“จะเล่าอะไรให้มีขอบเขต
มีสามัญสำนึกบ้างนะ อย่าให้คนอื่นต้องเสียหาย”
ลานดาวยิ้มกระเดียดไปทางเย้ยนิดๆ
เพราะรู้อยู่แล้วว่ามาวันทาไม่ต้องการเสียภาพนางเอกผู้แสนประเสริฐ
“คิดในแง่ดีมั่งดิ้
จ๊ะเล่าละเอียดแบบเจาะๆ พี่แตรจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าพี่เอินมีชู้
จ๊ะบอกไปแล้วล่ะว่าจ๊ะเคยอยากมีอะไรกับพี่เอิน แต่พี่เอินไม่เล่นด้วย
เลยกลายเป็นตบมือข้างเดียว จ๊ะเลวอยู่คนเดียว แบบนี้ดีพอไหม?”
“ทำไมต้องเล่าเรื่องพรรณนั้นด้วย
เป็นหัวข้อเจ๊าะแจ๊ะที่สนุกนักรึไง?”
“พี่เอินต้องเข้าใจสิคะ
เวลาเป็นแฟนใคร
พอคุยกันทุกวันก็ต้องหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาฟื้นฝอยหาตะเข็บเป็นของคาวหวาน
เป็นน้ำจิ้ม โอ๊ย! ธรรมดาโลก
อย่างน้อยเรื่องจำพวกความประทับใจกับบุคคลต่างๆแต่หนหลังก็ต้องถูกรวมอยู่ด้วย
ทำใจซะเถอะ นี่ยอมรับกันตรงๆไม่อมพะนำแล้วนะ
ทั้งที่จะโกหกเอาตัวรอดว่าไม่เคยเล่าอะไรเลยก็ย่อมได้”
“แต่พี่ไม่ได้ทำอะไรเธอทั้งสิ้นนะ
มีแต่เธอหลอกลวง ขุดหลุมพรางล่อทั้งนั้น!”
“เอาเถอะๆ
แล้วจะบอกตามนั้น”
“จะบอกตามนั้น…
แล้วที่เคยบอกอย่างสนุกปากไปแล้วล่ะ?”
“เอ๊อ!
ที่เคยบอกแล้วก็แล้วไปสิคะ สนุกหรือไม่สนุกเป็นเรื่องในอดีต อย่าไปคำนึงถึงมัน”
มาวันทาส่ายหน้าอัดอั้น
ชักไม่กล้าเผชิญหน้าอมฤตขึ้นมาตงิดๆ
“จ๊ะนะ…
เธอหน้าไม่อายก็เรื่องของเธอ แต่คนอื่นเขามีจิตใจ มีความรู้สึกอยากรักษาหน้า
ก็ควรเห็นใจกันบ้าง พี่รู้จักนิสัยเธอดี ใส่สีตีไข่ถนัดนัก
โดยเฉพาะถ้าเป็นความเสียหายของคนอื่น”
ลานดาวลอยหน้าลอยตาถามแบบทองไม่รู้ร้อน
“เอาน้ำเย็นมั้ยคะ? เดี๋ยวจะลุกไปรินให้”
เริ่มไหวทันว่ากำลังถูกยั่วโมโห
จึงพยายามสงบใจลงด้วยการลุกขึ้นเดินไปยืนกอดอกชมกุหลาบนอกบานกระจกเสีย รอบด้านทั้งใกล้และไกลเต็มไปด้วยความเจริญหูเจริญตาตามแนวคิดโครงการบ้านริมทะเลสาบกลางกรุงที่รายล้อมด้วยพรรณไม้งดงาม
เพียงฝากตาฝากใจกับสิ่งที่เห็นครู่เดียว
ความขุ่นมัวในอกก็เริ่มลดระดับลงอย่างรวดเร็ว
หลายครั้งมาวันทาทบทวนแล้วงงงันกับความรู้สึกแบบเดิมๆที่มีต่อลานดาว
น่าสรุปว่าหล่อนเป็นเพียงเครื่องมือใช้กรรมของลานดาว
และถูกอำนาจเสน่ห์ครอบงำจนหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ
อยากลบความจริงในช่วงเวลานั้นทิ้งจากชีวิต ไม่ให้มีใครจดจำเรื่องราวต่างๆได้
แต่ยิ่งวันยิ่งทำท่าจะมีคนรู้มากขึ้น และหล่อนก็ไม่สามารถควบคุม
ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าชาวบ้านมีปาก เขาใช้ปากพูดถึงหล่อนกันอย่างไร
ใกล้เคียงหรือห่างไกลความจริงขนาดไหน
นึกอยากย้อนเวลาเสียจนเหนื่อยใจ
ไม่มีใครสามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ หล่อนถูกอบรมสั่งสอนให้ทำชีวิตเหมือนผ้าขาว
แต่บัดนี้ก็มีหย่อมดวงด่างพร้อยให้งามหน้าเสียแล้ว อยากโทษลานดาวฝ่ายเดียว
แต่ทบทวนด้วยใจเป็นธรรมคราวใดก็เห็นหล่อนเองมีส่วนร่วมไม่ต่ำกว่าครึ่งเสมอ
ปฏิเสธไปก็คือหลอกตัวเองเปล่า
ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับลานดาวกระดืบคืบคลานอย่างยากจะรู้ทิศทาง
จึงลำบากต่อการพยายามระวังตัว สำนึกอีกทีก็ถลำลึกเกินถอนเสียแล้ว
ระบายลมหายใจยาว
แบบทดสอบในชีวิตหลายข้อนั้นง่ายที่จะผ่าน หล่อนยังสาว ยังสวย
ยังแสนหวานต้องตาเพศตรงข้ามเสมอ หนุ่มๆมากหน้าหลายตาจึงพยายามเข้ามาเกาะแกะ
บางคนไม่รู้ว่าออกเรือนก็แล้วไป
แต่บางคนรู้ทั้งรู้ยังไม่วายตื๊อประสาคนยุคบริโภคกามหลากรสเป็นกิจวัตร
ผิดหรือไม่ผิดศีลช่างมัน กรณีเหล่านั้นง่ายจะจัดการ
พอเห็นหน้าว่าเป็นชายแค่เมินเสียก็สิ้นเรื่อง
แต่ลานดาวเริ่มก้าวเข้ามาแบบน้องสาว
นึกไม่ถึงเลยว่าพอเปิดใจให้จะเป็นเรื่องได้
ยังดีแค่ไหนที่ศีลไม่ขาดทะลุให้เป็นตราบาปหนักหน่วงกว่าทุกวันนี้
หักห้ามใจทันเสียก่อนปลูกต้นงิ้วสำเร็จ แต่ก็เรียกว่าฉิวเฉียดเต็มทน
ได้รับกรรมเบาะๆเป็นการถูกนินทาให้ขายหน้านี่ถือว่าบุญนักแล้ว
รู้สึกถึงสองเรียวแขนที่สวมสอดกอดกระหวัดมาจากเบื้องหลัง
แพทย์สาวปฏิเสธด้วยภาษากายคือเบี่ยงหนีนิดหนึ่ง แต่ฝ่ายนั้นยังตามกอดอย่างนุ่มนวล
ให้กระแสสัมผัสเยี่ยงพี่น้องประเล้าประโลมงอนง้อขอญาติดี จึงยอมยืนนิ่งในที่สุด
ลานดาววางคางเกยไหล่อีกฝ่าย
สายตาทอดมองใบไม้ใบหญ้าเบื้องนอกพลางกระซิบ
“จ๊ะรักพี่เอินนะ
ชาติก่อนๆก็คงรัก ชาติหน้าก็แน่ใจว่าจะรักอีก ลืมเรื่องที่ผ่านมากันเถอะค่ะ
ใครว่ายังไงก็ช่างปะไร ความรักของเราไม่ได้วางไว้บนหัวเขาเสียหน่อย
แค่รู้กันระหว่างเราว่านับแต่นี้จนตาย จะผูกพันกันบนฐานความรักบริสุทธิ์ก็พอ
จ๊ะสัญญาว่าจะเลิกพูดถึงช่วงเวลาที่เคยมัวหมองระหว่างเรา ไม่ว่าจะกับใคร”
สีหน้ามาวันทาคลายลง
ลานดาวเป็นอย่างนี้เอง
ชอบยั่วให้ว้าวุ่นเสียก่อนแล้วถึงค่อยออดอ้อนออเซาะในภายหลัง
ถ้านี่เป็นกรรมที่ลานดาวประกอบเป็นอาจิณในกาลก่อนๆ
ก็สมควรแล้วที่เคยเจียนคลั่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะคลี่คลายไปในทางดีภายหลัง
สำคัญคือยังมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลานดาวชัดเจนนัก
หล่อนยังคิด พูด และทำในแบบเดิมๆ
ก็น่าเกรงว่าเดี๋ยวจะต้องย้อนกลับไปรับผลแบบเดิมๆอีกเช่นกัน คิดเช่นนั้นจึงถามแผ่ว
“กลัวบาปกลัวกรรมขึ้นบ้างหรือยัง? เราน่ะ”
“กลัวแล้ว…”
ลานดาวตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน
“กลัวแล้วทำไมยังยียวนกวนประสาทไม่เลิก?”
“รักใคร
ก็ต้องยั่วคนนั้นบ้างซิ ไม่งั้นจะหลงเราเหรอ”
“ยั่วแหย่ให้โกรธน่ะซี
ไม่ใช่ยั่วยวนให้หลง เธอกลัวบาปกลัวกรรมท่าไหนของเธอกันหือ?”
ลานดาวใช้สองมือจับไหล่บังคับให้พี่สาวหันมาเผชิญหน้า
“ท่านี้ไง”
ท่าของคนกลัวบาปคือย่นคอยื่นหน้า
จีบปากเหลือกตาโตเท่าไข่ห่าน มาวันทาทั้งฉิวทั้งขำ
พอทนกลั้นไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาก็รู้สึกเก้อที่แพ้ทาง
จึงผลักอกน้องสาวค่อนข้างแรงก่อนหันหลังกอดอกเชิดหน้าหนี
“เหมือนลิงที่สุด!
ผู้หญิงอะไร”
ลานดาวยิ้มอย่างรู้จังหวะ
ประชิดกอดและเอียงหน้าซบแก้มแนบบ่าผู้พี่คล้ายลูกแมวขี้ประจบ
“อยู่กับพี่เอินกะพี่แตรทำให้จ๊ะเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรมแล้วจริงๆ
อย่างที่จ๊ะเอาไปแปะไว้ในเว็บไซต์ฆ่าตัวตายของเราไงคะ
พอดูสุขทุกข์ในจิตใจตัวเองและคนอื่นเป็น ทำให้เริ่มมองออกว่าเราเคยป้อนน้ำหนักทุกข์สุขแบบไหนไว้ให้คนอื่นซ้ำๆเป็นประจำ
น้ำหนักทุกข์สุขเท่ากันนั้นก็จะย้อนกลับมาสนองคืนเราในวันหนึ่ง
กิริยาอันเป็นเหตุเท่าไหร่ ปฏิกิริยาอันเป็นผลสะท้อนกลับก็เท่านั้น”
“แล้วเธอแหย่ให้พี่โมโหนี่นึกว่าจะได้ผลอะไรเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับหรือ?”
“พี่เอินก็แหย่กลับมั่งดิ้
จ๊ะเต็มใจ”
มาวันทาเงียบบึ้ง
ลานดาวจึงเตือนว่า
“ระวังนา…
เก็บความโกรธไว้นานๆเดี๋ยวผิวเสียไม่รู้ด้วย
ทีพี่เอินว่าเอาๆเมื่อกี้จ๊ะยังไม่โกรธเลย เพราะเชื่อที่พี่เอินเคยสอนไงคะ
สตรีผู้มักโกรธจะมีวิญญาณอัปลักษณ์ในชาติปัจจุบัน แล้วเกิดชาติหน้าผิวพรรณจะทราม”
เจอไม้นั้นมาวันทาก็อ้ำอึ้ง
ลดทิฐิที่จะเก็บความโกรธลง
พระพุทธเจ้าเคยตรัสพยากรณ์กรรมอันมักเกิดขึ้นกับสตรีเพศไว้เช่นนั้นจริงๆ
คือสตรีใดเป็นผู้มักโกรธ มากด้วยความแค้นใจ
ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ฉุนเฉียวกระฟัดกระเฟียด ทำกระด้างกระเดื่อง
แสดงความขัดเคืองให้ปรากฏ เช่นนี้เกิดในชาติไหนภพใดย่อมเป็นผู้มีรูปชั่ว
ผิวพรรณทรามไม่น่าดู
เป็นธรรมดาที่ทั้งโลกเต็มไปด้วยหญิงรูปไม่งาม
หรืองามไม่พร้อม
เพราะเหมือนธรรมชาติกลั่นแกล้งด้วยการมอบความดื้อกับนิสัยเจ้าโทสะไว้เป็นคุณลักษณ์เด่นของเพศหญิง
ความดื้อทำให้เจ้าโทสะ ความเจ้าโทสะจะเลี้ยงความดื้อไว้
ความกลัวอกุศลวิบากเท่านั้นทำให้ละนิสัยด้านเสียประจำเพศลงได้
มาวันทาหันกลับมาด้วยท่าทีที่เยือกเย็นลง
“จ๊ะนี่จริงๆเลยนะ
คนอย่างเธอต่อไปจะเป็นคุณอนันต์หรือมหันตโทษขนาดไหนก็ไม่รู้…”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น