วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๑๙. ความเปลี่ยนแปลง)

ตอนที่ ๑๙. ความเปลี่ยนแปลง


ลานดาวลดฟลุตลง พลังกายพลังใจคืนเข้าที่ บุคลิกต่างไปทันที นัยน์ตาทอแสงรู้คิดเจิดจรัส สยายยิ้มให้มาวันทาเหมือนดอกไม้ผลิบาน มีความคมคายเยี่ยงผู้สูงด้วยปฏิภาณ เป็นหญิงสาวเต็มตัว คนละคนกันกับเด็กสมองนิ่มเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

และเพราะเห็นเช่นนั้น มีหรือมาวันทาจะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนเลิกคิ้วสูง ใช้ประกายตาแทนเครื่องหมายคำถามว่าเธอคือน้องคนเดิมของฉันใช่ไหม? ลานดาวใช้รอยยิ้มและการเข้าสวมกอดแทนคำตอบ ปิดเปลือกตาลงซึมซับคุณค่าของสัมผัสแห่งรักที่ประจุเต็มอยู่ด้วยความทรงจำอันงดงาม เรือนกายแนบนิ่งกับไออุ่นของกันและกันสื่อใจโสมนัส เหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ

“ขอบคุณที่เอาตัวจ๊ะกลับมาจนได้นะคะพี่เอิน”

ลานดาวกระซิบบอกทั้งตาหลับ มาวันทานิ่งอั้นเป็นครู่ ก่อนตบหลังน้องสาวเบาๆ

“ขอบใจเช่นกันที่พยายามกลับมา”

เนิ่นนานจนเอิบสายธารแห่งความยินดีเพียงพอ มาวันทาจึงคลายอ้อมกอด

“เธอต้องขอบคุณพี่แตรมากๆนะ ถ้าเขาไม่รับตัวเธอไว้ตอนหมดสติ เกิดล้มลงหัวฟาดพื้นล่ะก็ อะไรๆอาจแย่กว่านี้”

ลานดาววาดใบหน้าไปยังชายหนุ่มซึ่งบัดนี้ยืนยิ้มละไมอยู่ทางเยื้องซ้าย นัยน์ตาของหญิงสาวส่องแสงรู้คุณ ก่อนจะวางฟลุตลงบนโต๊ะกลางเพื่อกระพุ่มมือไหว้

“ขอบพระคุณค่ะพี่แตร สำหรับความช่วยเหลือและความใจดีของพี่”

รัศมีตาอันฉายมาจากสำนึกของผู้มีความกตัญญูกตเวทีนั้นชวนพิศเสมอ อมฤตรับไหว้พลางสานตาด้วยความสนิทใจ

“ไม่เป็นไรเลย ใครอยู่ตรงนั้น ก็ต้องทำแบบพี่กันทุกคน”

มาวันทาอมยิ้ม เหลือบมองสองหนุ่มสาว แล้วแกล้งใช้สองมือประคองหน้าลานดาวให้หันกลับมาหาตน ไถ่ถามทั้งยังประกบมืออยู่กับแก้มอีกฝ่าย

“เราน่ะชื่อจริงชื่ออะไร?”

หญิงสาวแย้มยิ้มเริงร่า ตอบด้วยภาวะของคนที่นึกออกและบอกถูก

“ลานดาว!”

“นามสกุล?”

“ลีลากีรติ!”

“เรียนคณะอะไร?”

“ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์!”

“กรุ๊ปเลือดอะไร?”

“บี!”

“ชอบผู้ชายแบบไหน?”

ลานดาวสะดุ้งเล็กน้อย จ้องหน้าพี่สาวด้วยแววคาดไม่ถึง แต่แล้วก็หัวเราะหึๆรับมุขทัน

“แบบที่พี่เอินไว้ใจและอนุญาตให้คบได้น่ะค่ะ”

“อื้อม์!… ผ่าน” แพทย์สาวให้การรับรองผู้ป่วยแล้วหันไปยิ้มละไมบอกอมฤต “คนนี้แหละค่ะ น้องสาวของเอิน”

นายแพทย์หนุ่มยิ้มกว้างเอ่ย

“รู้ล่ะว่าตัวจริงเสียงจริงต้องเชื่อพี่สาวมากกว่าแฟน”

สองสาวหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะเบาๆ มาวันทาชวนลานดาวเหมือนอยากทดลอง

“ดูซิว่าสมองเข้าที่เข้าทางเต็มร้อยหรือเปล่า เมื่อกี้เห็นเล่นไม่ได้”

จูงมือน้องมาที่เปียโน กดไหล่ลงนั่งแป้น แล้วสั่งให้เล่น Polonaise ซึ่งหล่อนเคยเห็นลานดาวเล่นเพลงนี้ได้อย่างถึงอารมณ์ ทรงพลังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ลานดาวอยากทราบเช่นกันว่าความสามารถทั้งหมดกลับเข้าที่หรือยัง จึงทบทวนอยู่ในใจถึงความหรูหราโอฬาร ฉาบประกายไฉไลเอี่ยมอ่องตลอดกาล ตามแบบฉบับท่วงทำนองแห่ง Polonaise บทที่ ๕๓ อันเป็นผลงานประพันธ์สุดโด่งดังของโชแปง ซึ่งเพียงห้วงแรกของการระลึก นักเปียโนสาวก็ตาสว่าง เห็นตำแหน่งต่างๆของกลุ่มคีย์ขาวดำเบื้องล่างเชื่อมสัมพันธ์กันในบันไดเสียง A แฟลตทันที เป็นการเห็นอย่างรู้ว่าจะต้องลงสองมือกด ๔ คีย์แรกตรงไหน จากนั้นต้องไล่คู่เสียงมือขวากับโน้ตเดี่ยวมือซ้ายต่อไปอย่างไร จำได้กระทั่งอาการขยับของนิ้วมือว่าควรยืดหยุ่นหนักเบาท่าไหนเสียงจึงออกมาพลิ้ว

ทุกอย่างเกิดขึ้นในหัวก่อนเกิดเสียงจริงครึมใหญ่ตามบันทึกความจำในสมอง ไล่เลียงสู่ลวดลายรัวระทึกเหมือนตีกลองศึกโหมโรงเรียกความคึกคัก แล้วกระโดดโลดเต้นเร็วรี่สลับแช่มช้าตามลำดับคล้ายการเบิกอรุณฟ้าใหม่ของวันดีที่สุดในชีวิต เข้าทำนองสีสันเอิกเกริกวิจิตรแห่งการเต้นรำของชาวโปแลนด์ กลมกลืนสมนัยตามนิยามแห่งชื่อเพลง

นอกจากลานดาวจะเล่นได้ดีด้วยความฉลาดทางดนตรีดังเดิมแล้ว ยังแทรกอยู่ด้วยจุดเน้นย้ำหนักเบาเป็นพิเศษสะท้อนอารมณ์หฤหรรษ์แปลกใหม่เกินธรรมดา ฟังทราบได้ด้วยโสตแห่งผู้เข้าถึงดนตรีการด้วยกัน

ถ้าเล่นจบต้องใช้เวลาเกือบสิบนาที ขณะนั้นลานดาวยังไม่อยู่ในอารมณ์โชว์เดี่ยวยาว จึงเล่นเพียงครึ่งเดียวแล้วชะงักไว้

“เป็นอันว่าจ๊ะหายดีแล้วนะคะ”

นักเปียโนสาวปิดฝาครอบแล้วลุกขึ้นยืนหันมาส่งยิ้มถามมาวันทา ก่อนแปรสายตาไปยังอมฤต เห็นเขากำลังจับจ้องหล่อนนิ่งก็แย้มยิ้มตอบ

“เหมือนอย่างที่พี่แตรทำนายไว้ จ๊ะจำได้ทั้งหมดเลยค่ะว่าช่วงความจำเสื่อมเกิดอะไรขึ้นบ้าง นี่เป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่จ๊ะคงไม่ลืมไปจนตาย”

อมฤตพยักหน้า

“เห็นแล้วใช่ไหมว่าก่อนมีความเชื่อ ก่อนมีความรู้ โลกปรากฏเป็นอย่างไร”

“ค่ะ… การกลับไปสู่ความไม่รู้อะไรเลย ทำให้ทั้งโลกแตกต่าง ว่างเปล่าไปหมด”

หญิงสาวรับด้วยสุ้มเสียงของคนที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอีกมิติหนึ่ง

มาวันทาทำหน้าที่เจ้าบ้าน เชื้อเชิญให้ทุกคนนั่ง โดยตนเองนั่งชิดกันกับลานดาวในโซฟาใหญ่ พออยู่ในอิริยาบถสบายกันดีแล้ว แพทย์หญิงก็ทักน้องนิ่มๆ

“เป็นไง… ทำหน้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เชียว”

ลานดาวยิ้มแป้น

“เหมือนเกิดใหม่ก่อนตายจริงมากกว่าค่ะ ตอนนี้บอกถูกทีเดียวล่ะว่าคนเกิดชาติหน้าเขารู้สึกกันยังไง”

“ความจำเรายอกย้อน ซ้อนทับ กลับไปกลับมา กลายเป็นตัวใหม่ ตัวเก่า ตัวเรา ตัวอื่นเกือบทุกคืนตอนฝันอยู่แล้วนี่นะ”

“ถ้าคิดอย่างนั้น ก็นับว่าเมื่อกี้เป็นฝันที่ประหลาดที่สุดในชีวิตเลยค่ะ เพราะลืมตาตื่นและใช้เลือดเนื้อจริงๆในการฝัน… นึกถึงตอนพี่แตรบอกว่าเราชื่อจ๊ะ เราก็ต้องเชื่อว่าเราคือจ๊ะ เหมือนย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นที่แท้จริง เมื่อเป็นเด็กแบเบาะไม่รู้จักตัวเอง พ่อแม่เรียกอย่างไร ชื่อนั้นก็กลายเป็นเราทันที ไม่มีทางเชื่อเป็นอย่างอื่นไปได้”

ลานดาวเหลียวมองอมฤต แล้วหันกลับมาหามาวันทาอย่างมีลีลา

“ถ้าเกิดลืมตาขึ้นมา เจอพี่แตรบอกว่าจ๊ะคือนางบัวถุยหรืออำแดงจ๊วบที่ไหนก็เสร็จเลย ต้องเชื่อเหมือนกัน”

แพทย์สาวหัวเราะพรืด

“หน้าตาพี่แตรน่าเชื่อถือ เห็นทีแรกก็รู้แล้วว่าไม่หลอกเธอหรอก”

“เออ… จริงด้วยเนาะ หน้าตาน่าไว้ใจ”

แล้วลานดาวก็หัวเราะเพราะพริ้ง ยิ้มพรายปรายตาทิ้งแววหวานให้อมฤตหน่อยหนึ่ง ซึ่งในยามที่ลานดาวเป็นลานดาว ก็มีอิทธิพลทางกระแสตาราวกับเดินเอามีดไปปาดหัวใจชายทุกรูปนามให้เสียวแปลบเล่นได้ดื้อๆ

“ความจริงเกิดเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายนักนะคะ ความจำหายไปเดี๋ยวเดียว แต่ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเยอะแยะ”

“ติดใจไหมล่ะ จะได้ความจำเสื่อมเล่นแก้กลุ้มสักปีละครั้ง”

มาวันทาเคาะ

“ฮ่ะๆ คงไม่ล่ะค่ะ เดี๋ยวรู้สึกตัวอีกทีกำลังนั่งเอาอีโต้เฉาะดินเล่นแถวศรีธัญญา”

คำตอบของหญิงสาวทำให้สองหมอหัวเราะพร้อมกัน ลานดาวยิ้มรื่นและเกาะแขนประจบพี่สาว

“ถ้านี่คือการจำลองชีวิตหลังความตาย ก็แปลว่าจ๊ะยังกินบุญเก่าไม่หมดนะคะ ยังมีคนพร้อมยื่นมืออุปถัมภ์อยู่”

มาวันทาส่งค้อนให้หน่อยหนึ่ง

“ใครจะอุปถัมภ์เธอ แค่พูดปลอบพอเป็นพิธีแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าหรอก”

“อย่าแกล้งไก๋เสียให้ยาก รู้หมดแล้วว่าตัวเองรักเค้าขนาดไหน”

มาวันทาเกือบเผลอค้อนอีกที แต่พอนึกได้ว่าอยู่ต่อหน้าสายตาที่สามก็ยืดตัวตรง ถามนายแพทย์อมฤตเป็นงานเป็นการ

“จะมีผลข้างเคียงอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรระวังไหมคะพี่แตร?”

อมฤตสั่นศีรษะ

“พี่คิดว่าเคสของจ๊ะไม่น่าเป็นห่วงเลยนะเอิน คือเข้าข่ายสับสวิตช์ออน-ออฟเท่านั้น ไม่ใช่การทำลายหน่วยความจำหรือมีการฝังภาพหลอนแปลกปลอมไว้ การที่จ๊ะฟื้นความจำด้วยมือของเอินเอง ช่วยสลายสภาพเลอะเทอะเกรอะกรังของปัญหาเก่าๆออกจากความรู้สึกด้วยซ้ำ เหมือนการทำความสะอาดทางจิตใจครั้งใหญ่น่ะ”

มาวันทายิ้มอย่างหายห่วงสนิท หันมาพูดกับน้องสาว

“พี่แปลกใจจัง ทำไมเธอจำไม่ได้สักนิด ทั้งหน้าพี่ ทั้งห้องนี้ ทั้งเปียโนที่เธอคุ้นมาแต่อ้อนแต่ออก”

ลานดาวระลึกถึงสภาพจิตใจที่ว่างโหวงเมื่อครู่แล้วอธิบายด้วยความกระตือรือร้นเกือบทันที

“ถ้าเป็นตอนนี้ จ๊ะจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร เวลามองอะไรจะมองสิ่งนั้นๆแบบเชื่อมโยงว่าเกี่ยวกับจ๊ะยังไง ไม่ใส่ใจรายละเอียดของสิ่งต่างๆมากนัก แต่ตอนจ๊ะลืมว่าตัวเองคือใคร การเชื่อมโยงทุกชนิดก็ขาดสะบั้นหมด พอมองอะไร จะเห็นชัดเจาะละเอียดว่าวัตถุนั้นมีเหลี่ยมมุม รูปทรง สีสันแบบไหน… วัตถุทุกชิ้นเหมือนมีเสียงประกาศตัวเองโต้งๆว่าไม่ได้เป็นสมบัติของใคร ไม่ต้องการทำหน้าที่อะไรทั้งสิ้น สรุปคือวิธีมองต่างกัน ทั้งโลกเลยเหมือนเต็มไปด้วยของใหม่ที่จ๊ะไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่แสงและอากาศก็ถูกสังเกตว่าทำไมจึงมีลักษณะอย่างนั้น”

อมฤตมองลานดาวด้วยความทึ่ง เพราะนึกไม่ถึงว่ารูปร่างหน้าตากระเดียดไปทางวัตถุนิยมอย่างหล่อนจะสามารถบรรยายโลกทัศน์ภายในอันสื่อสารยากให้ฟังเข้าใจง่ายได้ขนาดนี้ นี่คงเป็นของแถมจากประสบการณ์ความจำเสื่อม สัมผัสของคน ‘ไม่มีอะไรในใจ’ อาจละเอียดลออเสียจนดูกลายเป็นความสามารถพิเศษ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง

“ถูกของน้องจ๊ะแล้วล่ะ ถ้าเราลืมเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง หมดความรู้สึกนึกคิดของตัวเองลงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นทั้งโลกก็ปราศจากความหมายไปหมด เหลือแต่อุปกรณ์ภายนอกคือหูตาจมูกปากที่เอาไว้รับข้อมูลใหม่เท่านั้น ข้อมูลเก่าถูกซ่อน ไม่อาจนำมาเชื่อมโยงกันได้กับปัจจุบัน”

ลานดาวหันมาทางอมฤต

“จ๊ะรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในสัตว์ประหลาดมีส่วนหัวโด่เด่ มีคอเป็นตัวหยัดตั้ง แล้วก็มีแขนขาเคลื่อนไหวได้ จำไม่ได้เลยว่าหน้าตาเราเวลามองจากภายนอกเป็นอย่างไร”

มาวันทายิ้มมุมปาก

“งั้นสำหรับงานนี้ อุปกรณ์สร้างอัตตาชิ้นแรกคงได้แก่กระจกเงา เห็นส่องใหญ่เลย”

“คงอย่างนั้นมั้งคะ ตอนเห็นเงาในกระจก สิ่งแรกที่รู้สึกคือความก้ำกึ่งระหว่างใช่กับไม่ใช่ อธิบายยาก เหมือนคุ้นว่าเค้าหน้านี้แหละคือเรา แต่อีกใจก็ร้องว่าเอ๋อ… ไหงหน้าตาเราเป็นอย่างนี้ ใครปั้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าต้องใช่แบบนี้”

“สงสัยเพราะจิตใจยังปวกเปียกนุ่มนิ่มไม่รับกับใบหน้าอยู่มั้ง”

ลานดาวหัวเราะหึๆ

“ก็น่าแปลกนะคะ พอความจำเสื่อม ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนของจ๊ะก็กลายเป็นคนละคนเลย… อย่างนี้แปลว่านิสัยที่แท้จริงชนิดฝังรากของจ๊ะคือต้องนุ่มๆนิ่มๆหรือเปล่าคะพี่แตร?”

ประโยคหลังหันไปขอความเห็นจากนายแพทย์อมฤตอย่างจะชวนเขาคุยบ้าง

“แค่นี้วัดอะไรไม่ได้หรอกจ๊ะ เงื่อนปมบุคลิกนิสัยซับซ้อนยิ่งกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์หมื่นบรรทัดเสียอีก คนเรามีหลายบุคลิกอยู่แล้ว แต่ละบุคลิกจะปรากฏเพื่อตอบสนองผู้คนและสถานการณ์แบบต่างๆโดยที่เราไม่ต้องจงใจหรือเสแสร้งสร้างขึ้น”

มาวันทาเสริม

“ตอนคนเรารู้สึกว่าไม่มีอะไรติดตัว แรกๆก็มักสงบเสงี่ยมเจียมตนเหมือนกันหมดมั้ง พอมีดีตั้งหลักได้ ความเสงี่ยมถึงจะเริ่มหดหาย กลายเป็นออกลายตามถนัดแทน…แต่พี่ก็ชอบจ๊ะในแบบหงิมๆ ดูซื่อแล้วก็ไร้พิษสงเหมือนกันนะ”

“แหม… ปกติจ๊ะก็ออกจะไร้เดียงสานี่คะ”

ลานดาวทำเสียงอ้อน มาวันทาฟังแล้วนึกหมั่นไส้ แต่ไม่อยากวิจารณ์ในเวลานั้นด้วยเกรงน้องสาวจะราคาตกในสายตาอมฤต จึงหันไปเปรยกับเขาแทน

“เอินชักสนใจเรื่องความจำเสื่อมแล้วสิคะพี่แตร ทางจิตเวชมีวิจัยเรื่องความสอดคล้องระหว่างโรคความจำเสื่อมกับการลืมอดีตชาติบ้างหรือเปล่า?”

“พวกจิตแพทย์ในห้องวิจัยก็เพ่งประเด็นนี้กันเยอะเหมือนกันนะ ชนิดที่เอาตัวเองเข้าไปทุ่มเทค้นคว้าหาหลักฐานสนับสนุนเป็นสิบๆปีก็มี จุดมุ่งหมายคือหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกลไกที่ทำให้เราลืม ดูว่ามันเริ่มจากตรงไหน หรือสมองส่วนใดเป็นตัวการ”

“เหรอคะ… แล้วสถิติหรือการวิจัยบอกอะไรชัดเจนบ้างหรือยัง?”

มาวันทาเริ่มจริงจังมากขึ้นเมื่อเผอิญยิงคำถามเข้าเป้า อมฤตเอนหลังพิงพนักตอบ

“อย่างที่เอินคงรู้ การเวียนว่ายตายเกิดและการระลึกชาติถือเป็นเรื่องเหนือธรรมดา การวิจัยประเภทนี้จึงเข้าข่ายพาราไซโคโลยี หรือปรจิตวิทยา ซึ่งแม้จะมีการร่ำเรียนและค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีการยอมรับเป็นสากล เพราะพอนักวิทยาศาสตร์ได้ยินอะไรเข้าข่ายปรจิตวิทยา ส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องเอาไว้ถกเถียง แสดงความเห็น หรือแสดงหลักฐานข้อมูลกึ่งโคมลอยมากกว่าอย่างอื่น”

ลานดาวทำหน้าฉงน

“ถ้าค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงไม่ยอมรับ แถมหาว่าเป็นเรื่องกึ่งโคมลอยละคะ?”

“เพราะ ‘หลักฐาน’ มักไม่แน่นอน ไม่สามารถควบคุมอย่างชัดเจนด้วยวิธีการทดลองตายตัว ยกตัวอย่างง่ายที่สุดคือคนตายไปแล้วกลับมาเข้าฝันญาติ สำหรับตัวญาติเองย่อมเชื่อมั่นไม่สงสัย แค่ฝันชัดเหมือนจริงหน่อยก็พร้อมจะยอมลงให้ ปักใจเชื่อมั่นเต็มร้อยแล้ว และแม้ทั่วโลกจะมีการตายแล้วกลับมาเข้าฝันมากมาย แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ตามสถาบันวิจัย นั่นไม่ใช่หลักฐานอะไรเลย หลักฐานไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ‘หลายครั้ง’ แต่ต้องเป็น ‘ทุกครั้ง’ พูดง่ายๆคือถ้าคนตายแล้วกลับมาหาญาติกันหมดร้อยทั้งร้อย รอผลได้ภายในสามวันเจ็ดวัน นั่นแหละถึงจะใช่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ต้องมีเสียงโต้แย้ง อย่างเช่นทำไมฉันกับญาติรักกันแทบตาย ไม่เห็นมาหาบ้างเลยสักคืน”

ลานดาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ยังตั้งแง่สงสัย

“ทุกวันนี้เทคโนโลยีตรวจจับการทำงานของสมองก็ออกก้าวหน้านี่คะ ถ้าตั้งจุดดักสังเกตในสมองถูก ก็น่าจะบอกผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้คงที่ไม่ใช่หรือ?”

“ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละจ๊ะ ตรงไหนล่ะที่ต้องดักสังเกต? ทุกวันนี้เรารู้เรื่องการทำงานของสมองผ่านระบบไฟฟ้าเท่านั้น เหมือนเห็นแค่เงาคนบนพื้น แต่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของเขาเลย การดักสังเกตเพียงเงา ไม่ว่าจะปรากฏที่ไหนเวลาใด ก็ไม่มีวันทำให้จินตนาการรูปร่างหน้าตาเจ้าตัวได้ถูกว่าเป็นอย่างไรแน่”

“แปลว่าเราไม่สามารถพิสูจน์เรื่องจิตวิญญาณ ภพภูมิ กับการเวียนว่ายตายเกิดด้วยวิทยาศาสตร์ที่บังคับให้เราต้องใจแคบอย่างนั้นหรือคะ?”

“ปรจิตวิทยาพยายามเป็น ‘วิทยาศาสตร์ที่ใจกว้างขึ้น’ อยู่แล้วล่ะจ๊ะ วิธีไหนเปิดเผยเรื่องลี้ลับเหนือธรรมดาได้ก็ยอมรับหมด อย่างสมัยโบราณมีอยู่วิชาหนึ่งที่สาบสูญไปแล้ว คือวิชาเคาะกะโหลก บอกได้ว่าวิญญาณคนตายไปเกิดใหม่ที่ไหน ก็มีคนสนใจวิเคราะห์กระดูกคนตายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ว่ามีเนื้อหาแตกต่างกันอย่างไร สัมพันธ์กับนิสัยใจคอ ชนิดที่สามารถแบ่งชั้นวรรณะทางวิญญาณได้ไหม”

“ผลล่ะคะ?”

“มันก็มีร่องรอยความจริงปรากฏอยู่ตรงนั้น มีคุณภาพบางอย่างของกระดูกคนตายที่แตกต่างกัน แต่นั่นไม่ได้บอก หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครสามารถผลิตเครื่องฉายภาพภพภูมิโดยมีกระดูกเป็นต้นแหล่ง การพยายามใช้หลักฐานที่บอกอะไรได้เพียงคลุมเครืออย่างนี้ นอกจากล้มเหลวทางความน่าเชื่อถือแล้ว ยังทำให้ปรจิตวิทยาถูกโจมตีว่าอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมทางปัญญาแบบวิทยาศาสตร์ ถอยหลังกลับไปสู่ยุคของความงมงายบูชาภูตผี ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจสำหรับคนไม่อยากเชื่อ”

มาวันทาพยักหน้า

“แย่จัง หลายๆคนที่บูชาวิทยาศาสตร์เหมือนศาสนาศักดิ์สิทธิ์ก็พร้อมจะยืนกรานความไม่เชื่อของตัวเองอยู่แล้ว ต่อให้โดนบีบคอจนหน้าเขียวลิ้นจุกปากก็ตาม ถ้าวิธีพิสูจน์เต็มไปด้วยจุดอ่อนทางรูปธรรมอย่างนี้คงยิ่งถูกโจมตีง่ายเข้า”

“เขาก็โจมตีกันไปโจมตีกันมาด้วยแหละเอิน ทางปรจิตวิทยานั้น ตั้งต้นขึ้นมาก็จำเป็นต้องโจมตีวิทยาศาสตร์กันถึงรากถึงโคนว่าเป็นอะไรที่คับแคบ จำกัดจำเขี่ย หรือกระทั่งระบุตรงๆเลยว่ามองผิดเหลี่ยมผิดมุม”

“เช่นอะไรคะที่บอกว่าวิทยาศาสตร์มองผิด?”

ลานดาวถาม

“อย่างเรื่องสมองนี่แหละ นักวิทยาศาสตร์จะมองว่าที่เรารับรู้โลก หรือจดจำอะไรต่ออะไรทั้งหลายได้ ก็ล้วนเป็นการทำงานของสมองอย่างเดียว แม้ประสบการณ์ใกล้ตายที่เอามาโจษจันกันทั่วโลกว่าเห็นแสง เห็นอุโมงค์ เห็นญาติมายิ้มรับ ก็สามารถอธิบายได้ว่าเหล่านั้นเป็นปรากฏการณ์ภายในขอบเขตสมองได้เกือบทั้งสิ้น แต่ทางปรจิตวิทยาจะพยายามจี้ลงมาเฉพาะจุด ว่าแม้แต่ขณะลืมตาตื่นกันอย่างนี้ ก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆพิสูจน์ได้ว่าสมองก้อนเดียวเป็นบ่อเกิดความรู้สึกนึกคิด พูดง่ายๆว่าถ้าเราเลียนแบบสร้างเซลล์นับแสนล้านหน่วยขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างเหมือนสมองเปี๊ยบ ก็ไม่อาจประกันว่าจะมีความรู้สึกตัวแบบที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่นี้ได้”

ลานดาวพยักหน้าอย่างเริ่มเข้าใจ

“ถ้าเชื่อว่าสมองเป็นตัวการใหญ่ หรือกระทั่งเป็นทั้งหมดของชีวิต ก็แปลว่าสมองตาย ชีวิตก็สูญ”

อมฤตผงกศีรษะ

“ใช่”

“แล้วนักปรจิตวิทยามีทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสมองกับจิตวิญญาณบ้างหรือเปล่าคะ?”

“ก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทฤษฎีการถ่ายทอด’ นะ เขาจะชี้ว่าสมองเป็นเพียงก้อนรูปธรรมทำนองเดียวกับก้อนหิน แต่เป็นก้อนหินที่ถูกธรรมชาติออกแบบไว้ให้รับสัญญาณถ่ายทอดคำสั่งจากจิตวิญญาณได้ ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าจิตใจและสมองแตกต่าง เป็นต่างหากจากกัน เพียงแต่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ข้อมูลที่ผ่านทางกายสัมผัส จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยสมองและถูกถ่ายทอดไปยังจิตใจ โดยนัยเดียวกัน จิตใจอาจจุดชนวนการกระทำใดๆได้โดยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการทางสมองขึ้น”

ลานดาวฟังนิ่ง

“สมเหตุสมผลดีนะคะ”

“ฟังดูดีตอนอยู่ในกระดาษเอกสารเท่านั้นแหละจ๊ะ ปัญหาคือทำยังไงจะพิสูจน์ให้เห็นว่าจิตวิญญาณที่แยกเป็นต่างหากจากสมองนั้นมีอยู่จริง ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่าสมองรับคำสั่งมาจากจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็ไม่ใช่อะไรที่เราสามารถเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์หรือกล้องดูดาว ที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่เพราะมันเล็กแบบเชื้อโรคหรืออยู่ไกลแบบแกแลกซี่อื่นจนเกินตาเปล่าจะรับรู้ แต่เพราะจิตใจเป็นทั้งหมดที่เรากำลังสำนึกรู้สึกอยู่เดี๋ยวนี้ มันไม่มีขนาด แล้วก็อยู่ใกล้เสียจนหมดวิธีมองด้วยทางอ้อมใดๆ”

มาวันทาแทรกขึ้น

“จริงนะคะ จิตเป็นต้นกำเนิดของการรู้เห็นทั้งหลาย เราจะรู้จิตเองด้วยสิ่งอื่นนอกจิตได้อย่างไร เอินเคยสงสัยตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ อย่างภาวะใกล้ตายของผู้ป่วยในห้องไอซียู ต้องดมยาสลบเพื่อรับการผ่าตัด คนเหล่านี้อยู่ในภาวะหมดสติ หมดสำนึกรับรู้แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งแปลว่าสมองน่าจะไม่อยู่ในสภาพทำงานอะไรได้ แต่จากบันทึกที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ก็แสดงว่าคนป่วยยังสามารถเห็นเหตุการณ์ได้อยู่ แถมตรงกับความจริงเสียด้วย เช่นบอกถูกว่ามีหมอกับผู้ช่วยอยู่ในห้องกี่คน ซึ่งตามหลักแล้ว ถ้าเชื่อว่าเป็นการทำงานของสมองอย่างเดียว ก็ไม่ควรเห็นหรือกระทั่งจดจำอะไรได้แม้ความฝัน อย่างนี้น่าจะเป็นหลักฐานการมีอยู่ของจิตที่ชัดเจนนี่นา”

อมฤตหัวเราะตอบสบายๆ

“มันอย่างนี้นะเอิน สมมุติว่าใครสักคนไม่เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว วันหนึ่งถ้ามนุษย์ต่างดาวร่อนจานบินลงมาจอดเมื่อไหร่ ข้อถกเถียงก็เป็นอันยุติ แต่ถ้าใครไม่เชื่อว่ามีจิตวิญญาณ เราจะทำอย่างไรได้ในเมื่อจิตวิญญาณกำลังปรากฏอยู่กับตัวเขาเองทุกวินาทีอยู่แล้ว แล้วเขาก็ยังไม่สามารถเชื่อ”

พออมฤตจูงมาถึงภาวะที่กำลังเป็นจิตปัจจุบันได้ มาวันทาก็คลายสีหน้า แต่ลานดาวยังข้องใจ

“คนเราจะเถียงชนะความจริงได้ยังไงคะ อย่างกรณีที่พี่เอินว่า สลบไปแล้ว สมองหยุดทำงานแล้ว แต่ยังรู้เห็นหรือฝันอะไรได้อยู่ ตื่นมายังจำได้อีก นักวิทยาศาสตร์จะอธิบายอย่างไร?”

“วิธีที่ดีของนักวิทยาศาสตร์เมื่ออธิบายอะไรไม่ได้ ก็จะบัญญัติศัพท์แปลกๆขึ้นมาล็อกความไม่เชื่อของตัวเองไว้ เช่นกรณีนี้ เขาจะบอกว่ามันเป็น ‘สิ่งที่ขัดแย้งกับความไม่รู้สึกตัว’ หรือ Paradox of Unconsciousness หรือดีกว่านั้นหน่อยก็ตั้งสมมุติฐานกันว่าสมองมนุษย์ยังคงความสามารถในการจำ การระลึก และการสร้างจินตภาพต่างๆได้ แม้จะอยู่ในภาวะที่หมดสติอย่างสิ้นเชิง พูดง่ายๆเมื่อวงจรของความจำถูกปิดลงขณะหมดสติ จะยังคงมีกลไกบางอย่างที่ปั่นสมองให้ทำงานต่อไป เพียงแต่ยุคเรายังไม่อาจระบุว่ากลไกนั้นคือสิ่งใด”

“เอ้อ! พี่แตรคะ เท่าที่เอินเคยแว่วๆมา เห็นมีเรียนปรจิตวิทยากันระดับปริญญาเอกแล้ว น่าแปลกที่วงการวิทยาศาสตร์สากลยังให้ความเชื่อถือปรจิตวิทยาน้อยอยู่”

“อันนั้นเป็นการทำดอกเตอร์ทางจิตวิทยาของบางมหาวิทยาลัยเช่นเอดินเบอร์ก เขาให้โอกาสเน้นประเด็นเกี่ยวกับปรจิตวิทยา เอินจะไม่เห็นใครบอกว่าจบดอกเตอร์ทางปรจิตวิทยาเลย ถ้าจะมีเครดิตดอกเตอร์ทางปรจิตวิทยาจริงๆ ก็คงเป็นมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย ซึ่งไม่ใช่แบบที่น่าเชื่อถือระดับโลก แถมเพิ่งอยู่ในยุคบุกเบิกด้วย พอจบมาดอกเตอร์ด้วยกันคงมองด้วยสายตาแปลกๆมากกว่าจะให้การยอมรับ”

“น่าเสียดาย คิดในแง่ความมั่นใจเพื่อการเตรียมตัวเดินทางข้ามภพข้ามชาติอย่างถูกต้อง ซึ่งมนุษย์มีส่วนได้ส่วนเสียกันทั้งโลก ก็ไม่น่ามองข้ามความสำคัญด้านนี้เลย หากตั้งใจพิสูจน์จริงจัง คนมีผลงานชัดเจนที่สุด ประเภทสามารถฉายภาพออกมาให้ดูด้วยตาเปล่าเต็มๆว่าตายแล้วไปไหน เงาของนักวิจัยคนนั้นคงทอดยาวไปให้ลูกหลานรู้จักอีกนับพันปีทีเดียว”

“อย่างที่บอกนะเอิน รวมๆแล้วมนุษย์คงบุญน้อยเกินไป ธรรมชาติไม่ค่อยเต็มใจให้พิสูจน์กันง่ายนัก วันไหนเกิดฮีโร่ สามารถเชื่อมโยงกลไกความจำเสื่อมชั่วคราวกับความจำเสื่อมแบบข้ามภพชาติ จนเข้าใจถ่องแท้และสามารถทำลายกำแพงความลืมอดีตชาติให้ทุกคนในโลกได้ล่ะก็ ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ ก็จะลงมาบรรจบพบกัน ยุติข้อขัดแย้งทั้งหมด แล้วเข้าสู่ยุคภูมิปัญญาสมบูรณ์ที่มีจิ๊กซอว์ทุกชิ้นมาประกอบครบ”

ลานดาวได้ยินแล้วชักเกิดแรงบันดาลใจ อยากเป็นฮีโร่ขึ้นมาบ้าง เพราะตนเองเพิ่งผ่านประสบการณ์ตรงทางโรคความจำเสื่อมมาหมาดๆ

“เสียดายจังค่ะ จ๊ะน่าจะเลือกเรียนหมอมั่ง โลกของนักวิจัยทางปรจิตวิทยาท่าทางท้าทายไม่ซ้ำแบบใครดี ว่าแต่วิจัยไปวิจัยมา มีใครพลาดท่าเป็นจิตเภทบ้างหรือเปล่าคะ?”

อมฤตหัวเราะ

“ไม่ค่อยมีมั้ง เท่าที่เห็นๆพวกสนใจงานวิจัยทางปรจิตมักเก่ง รู้รอบ แถมหนึ่งในร้อยอาจมีอำนาจจิตเหนือสามัญติดตัวแบบอ่อนๆอยู่ก่อน พวกจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่ต้องขลุกกับคนไข้จิตเภทเสียอีก มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่านักวิจัยปรจิตตั้งเยอะ เพราะเจอคลื่นจิตผิดปกติปะทะบ่อยจนถูกกลืน”

“ถ้าจบปริญญาทางปรจิตวิทยาแล้วเขาไปทำงานอะไรกันคะ? จะให้ตั้งสำนักหมอผีคนทรงเจ้าแข่งกับพวกที่เขามีจุดขายชัดเจนอยู่แล้ว ก็คงสู้ไม่ได้อยู่ดีนิ”

“นักศึกษาทางปรจิตวิทยาส่วนใหญ่จะเป็นเสือกระดาษ เอาแต่คิดๆเขียนๆมากกว่าจะเป็นนักพลังจิตผู้มีความสามารถหยั่งรู้เหนือธรรมดาด้วยตนเอง ส่วนใหญ่เชื่อตามๆกันว่าพอเรียนจบน่าจะได้งานตามแล็บเช่นในมหาวิทยาลัยดุ๊กซึ่งมีสถาบันวิจัยด้านนี้อย่างเปิดเผย แต่ความจริงก็คือทั้งโลกมีการจ้างงานวิจัยด้านนี้แบบเต็มเวลาไม่กี่สิบคน แล้วในจำนวนที่น้อยอยู่แล้วนั้นก็เสี่ยงกับการตกงานกะทันหันเสียด้วย”

“ถ้าสักวันคนทั้งโลกต้องการรู้เรื่องหลังความตายจริงจังพร้อมกัน โอกาสสำหรับนักปรจิตก็คงเพิ่มขึ้นนะคะ… ว่าแต่พี่แตรรู้เรื่องปรจิตมากขนาดนี้ สงสัยเคยผ่านคอร์สที่ไหนมาก่อนแน่เลยใช่ไหม?”

อมฤตพยักหน้ารับ

“พี่เคยเรียนซัมเมอร์คอร์ส ๘ สัปดาห์ที่สถาบันของดุ๊ก”

“นั่นไง ว่าแล้วเชียว… ถ้ามีแบบพี่แตรเยอะๆก็ดีเลย คนไทยเราส่วนใหญ่จะสุดโต่งสองขั้ว ฝั่งหนึ่งงมงายเชื่อตามกันทันที อีกฝั่งก็ด่าเอาดื้อๆว่าเชื่อแล้วโง่”

“ไม่เฉพาะคนไทยหรอกจ๊ะ เป็นกันทั้งโลกนั่นแหละ พี่เห็นประเทศไหนก็เหมือนกันหมด มนุษย์เราสมัครใจติดหลงวนเวียนอยู่เฉพาะกับปากท้องและความบันเทิงไปวันๆ อะไรพ้นจากนั้นก็แค่เลือกง่ายๆระหว่างเชื่อกับไม่เชื่อ โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลสนับสนุนอย่างแข็งแรงว่าเลือกอยู่ข้างใดข้างหนึ่งเพราะอะไร ต่อให้นักศึกษาปรจิตก็เถอะ หลายคนก็ไม่มีโครงสร้างความคิดแบบวิทยาศาสตร์เอาเลย”

“เอินแปลกใจจังค่ะ ฟังพี่แตรพูดตั้งแต่อยู่ในรถ เหมือนมีความรู้และความเชื่อที่ใกล้ชิด หรือกระทั่งอยู่ในขอบเขตของพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกรรมวิบาก ภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิด แต่ทำไมพี่แตรถึงเลือกที่จะบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีศาสนา”

อมฤตชะงักเล็กๆ และนี่เป็นครั้งที่สองที่มาวันทาเห็นกิริยาชะงักแบบลังเล คล้ายมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งค้างคาอยู่

“จากที่เปิดใจศึกษาศาสตร์และลัทธิต่างๆมามาก พี่เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธเสียก่อนจะเชื่อเรื่องเหล่านี้ เพราะของพรรค์นี้สืบทอดกันมานมนานแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาองค์แรกที่สอน แม้แต่ชนเผ่าลึกลับตามป่าเขา ตามทะเลทราย ก็รู้เรื่องจิตวิญญาณ พี่อยากจะนิยามตัวเองว่าเป็นคนไม่มีศาสนา เพราะเห็นมาถึงจุดร่วมที่สอดคล้องกันมากมายจนให้ความเคารพนับถือและยกย่องได้ทุกศาสนา”

มาวันทาเอียงคอเล็กน้อย กำลังจะชวนเสวนาให้ลึกลงไป แต่ขณะนั้นเองเสียงเรียกจากโทรศัพท์มือถือของหล่อนก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ต้องเดินไปหยิบเพราะวางไว้ไกลตัว

“สวัสดีค่ะ อ๋อ… สวัสดีค่ะคุณแม่ มาถึงกันพักใหญ่แล้วค่ะ… ค่ะ… จ๊ะมาตัวเปล่าน่ะค่ะ ไม่ได้เอามือถือติดตัวมา… สักครู่นะคะ”

แพทย์สาวโล่งอกและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอันมากที่มารดาของลานดาวติดต่อมาเมื่อสถานการณ์เรียบร้อยเป็นปกติทุกประการแล้ว หล่อนเดินกลับมายื่นโทรศัพท์ส่งถึงมือลานดาว

“จ๊ะค่ะแม่”

แม้อารมณ์จะเนือยลงที่ต้องกลับเป็นเด็กถูกผู้ปกครองตามตัว หญิงสาวก็พยายามเปล่งเสียงให้มีประกายสดใส เพื่อชดเชยกับพฤติกรรมร้ายกาจน่าหนักอกที่ผ่านมาทั้งหมด

“ก็มาพักบิดขี้เกียจที่บ้านพี่เอินมั่งซีคะ แหม!… อ้อ… แม่คะ มีข่าวดีด้วยล่ะ เดี๋ยวจ๊ะจะมีรถใหม่ใช้หนึ่งคัน… น่า… ไม่เดือดร้อนแม่เท่าไหร่หรอก อย่าเดาเลย จ๊ะกลับเดี๋ยวนี้แหละค่ะ เท่านี้นะคะ”

ลานดาวกดปุ่มวางสายแล้วทำหน้าเมื่อย

“เสด็จแม่เรียกตัวกลับแล้วล่ะ”

มาวันทายิ้ม

“เอาสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“กำลังฟังพี่แตรคุยสนุกๆเลย”

หญิงสาวหยอดเสียงละห้อยนิดๆ ซึ่งก็ได้ผล อมฤตเอ่ยเสียงนุ่มเกือบทันที

“วันหลังอยากรู้อะไรพี่ค่อยช่วยตอบให้อีกก็ได้”

“จริงเหรอคะ ใจดีจัง งั้นจ๊ะขอเบอร์พี่แตรไว้หน่อยแล้วกัน เผื่อหน่วยความจำของจ๊ะบกพร่องขึ้นมาอีก จะได้ขอคำปรึกษาด้วย”

“ได้… นี่นามบัตรพี่… พี่ขอเบอร์จ๊ะกับเอินไว้ด้วยนะ”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น