วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๑๓. มลทิน)

ตอนที่ ๑๓. มลทิน


หลังกลับจากบางแสน ลานดาวพยายามทำใจคิดปลีกตัวออกห่างจากมาวันทา เนื่องจากรู้ตัวชัดแล้วว่าตนมีอารมณ์เร้นลึกน่าละอายกับผู้ที่ควรอยู่ในฐานะพี่สาว จะเพราะกรรมที่หล่อนหลอกผู้ชายให้หวังอย่างเป็นไปไม่ได้มามาก หรือจะผนวกกับเพราะเคยมีกรรมสัมพันธ์ลี้ลับยากจะรู้กับมาวันทาอย่างไรก็แล้วแต่ ที่แน่นอนคือใจหล่อนเจ็บลึกกับความขัดแย้งในปัจจุบันยิ่ง และไม่ปรารถนาจะทนทรมานนานต่อไป

แต่มาวันทาก็โทร.ตามเรื่อย ชวนทานข้าวบ้าง ไถ่ถามความคืบหน้าเรื่องฟลุตบ้าง ซึ่งถ้ามองตามมุมของคนไม่มีอะไรในใจก็นับว่าปกติ คนเราถูกคอกันเสียอย่าง ใครบ้างไม่อยากติดต่อสานไมตรี โดยเฉพาะเป็นเพศเดียวกันที่น่าจะไร้คำครหา ทว่าสำหรับคนทราบอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ความรู้สึกย่อมแตกต่างไป ทั้งดีใจ ทั้งทรมานใจ คละเคล้ากันจนยิ้มก็ยิ้มเฝื่อน หัวเราะก็หัวเราะฝืน

เพิ่งรู้จักรสชาติที่คนไทยเรียกกันว่าหวานอมขมกลืน หน้าชื่นอกตรม ตกที่นั่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็คราวนี้ เคยแต่ปล้นอัตตาผู้อื่นมาเป็นของตน บัดนี้ถูกชะตาริบคืนเข้าบ้าง ภาพอดีตความทรงจำเก่าๆค่อยๆผุดขึ้นเป็นระลอก รับกันกับความสุขระคนทุกข์ในนาทีปัจจุบัน เป็นต้นว่าพอฟังหล่อนเล่นเปียโนบางเพลงจบ มาวันทาก็เอ่ยถึงลัดธีร์ด้วยแววตาหวานฉ่ำว่าเขาเล่นเพลงนั้นบ่อย ฟังทีไรเคลิ้มและอยากเต้นรำกับคนเล่นเหลือเกิน ลานดาวได้ยินแล้วแทบอยากลุกหนีออกจากบ้านเดี๋ยวนั้น มันช่างเตือนให้นึกถึงหลายต่อหลายครั้งที่หล่อนเบื่อผู้ชายคนหนึ่ง ก็มักใช้วิธีเปรยถึงผู้ชายอีกคนหนึ่งในเชิงชื่นชม คล้ายใบ้ว่าหัวใจหล่อนอยู่ในกำมือของเขาคนนั้น ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ไม่มีวันมาแทนที่เขาได้

ถ้าตัดรูปแบบและเหตุการณ์ทิ้ง คงเหลือไว้แต่ก้อนสุข ก้อนทุกข์ ความเริงรื่น และความขมขื่น ลานดาวก็เห็นเงากรรมไล่ตามหล่อนมาทันแล้ว สิ่งที่หล่อนทำเป็นประจำ สิ่งที่หล่อนหยิบยื่นให้คนอื่น เสมอ คล้ายกับลูกบอลที่ปาเข้าผนัง แล้วเพิ่งได้เวลาเด้งกลับมาโดนตัว ณ บัดนี้

บางเช้าลานดาวก็ฮึกหาญ ตื่นนอนขึ้นมาด้วยการขบฟันสั่งตัวเองให้เลิกคบ เลิกติดต่อ เลิกพูดคุยกับมาวันทาอย่างเด็ดขาด ผลของเจตนาที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่งนั้น ทำให้ชั่วโมงต่อมาต้องร้องไห้ตัวโยนเป็นวรรคเป็นเวร นึกถึงวันแรกที่สวมกอดมาวันทา นึกถึงเสียงฟลุตในห้องดนตรีที่ไพเราะจับจิตเหมือนเพลงสวรรค์ นึกถึงถ้อยคำจำนรรจาต่างๆระหว่างคุยกันอย่างถูกคอกว่าใครอื่นไหน และแล้วมือเจ้ากรรมก็คว้าโทรศัพท์กดเบอร์หาพี่สาวที่แสนรักทันที ทั้งที่อาการสะอื้นยังไม่เหือดสนิทนั่นเอง พูดๆๆด้วยความคิดถึงเหมือนใจจะขาดจนมาวันทาฉงนฉงายไปหลายตลบ

เมื่อลานดาวตระหนักว่าตนไม่อาจตัดใจเลิกคบหามาวันทาแน่แล้ว หล่อนก็ไปเรียนฟลุตกับคุณครูตามปกติ ว่างตรงกันวันไหนก็นัดวันนั้น หล่อนพยายามเก็บทุกอาการอันอาจสะท้อนใจปฏิพัทธ์ ขณะเดียวกันก็ยังทำตัวน่ารักอย่างเคย ยิ้มและหัวเราะร่าเริงเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในเดือนเดียวความสามารถของลานดาวในการเป่าเครื่องลมชิ้นเก๋ก็รุดหน้าแบบก้าวกระโดด จนมาวันทาถึงกับเอ่ยว่าลานดาวเล่นเป็นเร็วกว่าทุกคนที่หล่อนเคยพบมา

เมื่อฝีมือลานดาวเริ่มเข้าฝัก สองสาวก็เริ่มเล่นฟลุตคู่กันได้ ชนิดที่สามารถเป่าให้พลิ้วคลอเคียงพร้อมทั้งเอียงคอฝากยิ้มหวานผ่านกระแสตาถึงกันในท่ามกลางส่ำเสียงประสานเสนาะโสต ทั้งสองรู้จักกับรูปแบบความสุขชนิดที่แม้นักดนตรีทั่วไปก็ยากนักจะเข้าถึง

ทว่ายิ่งใกล้กันเท่าไหร่ สุขล้ำยิ่งขึ้นปานใด ยามห่างลานดาวก็ยิ่งเป็นทุกข์และถวิลหามาวันทามากขึ้นเพียงนั้น เห็นชัดว่าพายุแห่งทุกข์ใหญ่ก่อตัววิ่งไล่หลังสายลมแห่งความสุขกระชั้นเข้ามาทุกที สายเสียแล้วหากคิดจะหยุด หรือคาดว่าวันหนึ่งความอาลัยเชิงชู้สาวจะตายไปเอง

และในห้วงเวลานั้นก็กล่าวได้เต็มปากว่าพี่หมอคนสวยมาติดหล่อนแจ ติดอย่างผิดปกติ หาใช่หล่อนเป็นฝ่ายคลั่งไคล้อยู่ฝ่ายเดียว ลานดาวทดลองออกอาการดื้อดึง แกล้งอาละวาดไปสองสามครั้ง ดูใจว่าพี่สาวจะโอ๋หล่อนแค่ไหน เห็นความสำคัญเพียงใด ก็ปรากฏว่ามาวันทาตามมาพะเน้าพะนอถึงบ้าน ทั้งที่หล่อนเป็นฝ่ายผิด และธรรมดาผู้หญิงอาละวาดแล้วถูกโอ๋ได้หนหนึ่ง ก็จะกลายเป็นความเคยตัว บ้าอำนาจ เอาอะไรต้องได้อย่างใจ ไม่เช่นนั้นเกิดเรื่อง

ท่าทียอมโอนอ่อนผ่อนตามในทุกกรณีของมาวันทายิ่งทำให้ลานดาวหลงเตลิด บางครั้งชักเพลินอารมณ์เสียจนลืมว่ามีเงาทะมึนของลัดธีร์ประกบติดเบื้องหลังมาวันทา แต่พอนึกขึ้นมาได้ก็ซึมเศร้า นั่งเท้าคางคิดไม่ตกบ่อยๆ ความสัมพันธ์ยังดำเนินไปโดยปราศจากข้อครหานินทาก็เพราะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นข้างในหัวใจหล่อน ในเมื่อเปลือกนอกคือหญิงด้วยกัน และแสดงออกหวานจ๋อยแบบพี่สาวน้องสาวที่รักแสนรัก เห็นดาษดื่นเป็นปกติ มิใช่พฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ใครจับได้ไล่ทันง่ายๆ

แต่ถึงแม้คนทั้งโลกไม่รู้ ขอแค่หล่อนรู้อยู่คนเดียวก็เพียงพอต่อการรู้สึกผิดกับตนเอง ความผิดเกิดขึ้นในใจ รู้ได้เพราะใจไม่ปกติ หาใช่เพราะสังคมบอกว่าถูกหรือผิด บางวันที่สำนึกผิดก็ตั้งสัตย์ย้ำกับตนเอง ว่าจะปรับหัวใจให้รักมาวันทาฉันพี่น้องที่คลานตามมา แต่เจ้ากรรมยิ่งเวลาผ่านนานขึ้นเท่าใด หัวใจก็ยิ่งสำแดงเดชมากขึ้นเพียงนั้น คล้ายมันแผดเสียงตะคอกทุกค่ำเช้าว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์ไปบงการบังคับบัญชามัน ว่าจะให้ชอบชังใครแบบไหน

คนเราถ้าไม่ใช่เจ้าของหัวใจตัวเอง แล้วจะเป็นเจ้าของอะไรได้จริงบ้าง?

นรกที่ก่อขึ้นจากไฟรักเป็นอย่างไร บัดนี้หล่อนรู้แล้ว ยังดีที่มีนนทกานต์เป็นเพื่อนให้ระบายทุกข์ได้ เพื่อนหนุ่มกลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ หล่อนซึ้งใจในน้ำมิตรที่เขามีให้มากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายนั้นไม่เคยถือสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของ ไม่เคยอ้างเหตุการณ์ถึงเนื้อถึงตัว และที่สำคัญไม่เคยลำเลิกบุญคุณเรียกร้องให้ประกาศตัวเป็นแฟน ไม่ว่าต้องทุ่มเวลาให้คำปรึกษากับหล่อนไปมากมายเพียงใด

ลานดาวไว้ใจเขาขนาดเล่ารายละเอียดทุกชนิดที่เกิดขึ้น เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์ว่าใจหล่อนคลี่คลายมาถึงไหนแล้ว นนทกานต์เป็นความอุ่นใจ เป็นหลักประกัน เป็นเข็มทิศว่าหล่อนจะไม่หลงทางตามลำพัง คนเราจะเห็นค่าของเพื่อนแท้ก็ขณะเผชิญสถานการณ์แก้ไม่ตกนี่เอง เขาแนะนำหลายอย่างที่หล่อนเชื่อฟังแล้วเห็นผลดี มีความสบายใจ เช่นให้หลีกเลี่ยงการแตะเนื้อต้องตัว เพื่อความโปร่งใส ถึงผิดอย่างไรก็ไม่มีวันละเมิดศีลธรรม และธรรมดาพอหักห้ามใจห่างเนื้อห่างตัวนานไป ใจจะค่อยๆสงบจากความวาบหวามได้เอง แม้มีบ้างก็ไม่ขนาดรุนแรงเกินทน

แต่คำแนะนำบางอย่างของนนทกานต์ก็ส่งผลสะเทือนใจอย่างแรง เช่นแนะให้หล่อนเล่นละครบ้าง โดยการแกล้งควงผู้ชายไปอวด เหมือนประกาศว่าหล่อนมีใจกับชายเยี่ยงหญิงปกติทั้งหลาย หาได้มาเกาะเกี่ยวผูกสนิทกับมาวันทาเพราะความพิศวาสเชิงชู้สาวไม่ อาจทำให้ขั้วความปฏิพัทธ์ทั้งสองฝั่งฝ่อตัวลงได้

ลานดาวเชื่อนนทกานต์ แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวคืออยากแบไพ่ตายทดสอบใจมาวันทาว่าคิดอย่างไรกับตนแน่ หล่อนเลือกเขานั่นเองไปเล่นละคร แถมร่วมกันแสดงได้สมบทบาทเสียด้วย เพราะมีความสนิทสนมที่สายตาภายนอกยากจะแยกได้ว่านั่นคือเพื่อนแท้หรือคนรัก

ผลคือมาวันทาซึมหงอยทันตาเห็นตั้งแต่นาทีแรกที่ลานดาวเกาะแขนนนทกานต์พลางแนะนำให้รู้จัก ซึ่งพอมาวันทาเศร้าสร้อย ทำตาแดงๆเพียงอึดใจเดียว ลานดาวก็ถึงกับกลั้นไม่อยู่ ต้องยกมือปิดปาก วิ่งหนีไปร้องไห้ไกลๆเสียเอง เหมือนนักแสดงมือใหม่ผู้ไม่อาจควบคุมตนเองให้อยู่ในบทลวงตาได้จนจบตอน

สรุปคือแทนที่ใจจะห่างกันได้มากขึ้น กลับกลายเป็นการก่อบรรยากาศรันทดหดหู่ เปิดเผยหัวใจกันและกันชัดเจนต่อหน้าพยานบุคคลไป และเป็นเครื่องบอกว่าจะไม่มีใครทำให้อะไรดีขึ้นได้ด้วยละครตบตาชั่วคราวเลย

ชายหนุ่มถูกดึงเข้ามาร่วมเล่นเกมแห่งความเจ็บปวดเพียงสามเดือนก็ต้องโบกมืออำลา ปฏิเสธการให้คำแนะนำปรึกษาใดๆกับลานดาวต่ออย่างสิ้นเชิง เขาพูดตรงไปตรงมาในวันจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยว่าขอปลีกตัวออกห่าง โดยให้เหตุผลว่าไม่อาจห้ามใจกับความผูกพันใกล้ชิดชนิดคุยกันทุกวันแล้วบอกว่าเป็นเพื่อน เป็นแค่ที่ปรึกษาหัวใจให้หล่อน

นนทกานต์เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แต่ก่อนเขาอ่อนแอและฟุ้งซ่านจัด ในหัวมีแต่ลานดาวทั้งวันทั้งคืน เคยกระทั่งคิดวูบๆวาบๆ อยากประชดด้วยการฆ่าตัวตายตอนลานดาวปฏิเสธรักอย่างไร้เยื่อใย ทว่าเมื่อเข้ามาสนิทสนม เห็นความคิด เห็นปัญหาทางใจ รวมทั้งช่วยเป็นธุระปะปังให้สารพัด เรียกว่าเอาตัวเข้ามาอยู่กับความจริงอันเป็นทุกข์มากกว่าความฝันอันอุดมสุข วิธีคิดแบบใหม่ก็เกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านสลายตัวลง กลายเป็นความหนักแน่น รู้จักชีวิตตามจริงแทน แม้ยังรักลึกซึ้งเหลือจะบรรยายถูก ก็ไม่มีเมฆหมอกแห่งความโง่หลงห่อหุ้มจิตใจอีกต่อไป

ลานดาวตระหนกกับการบอกลาของนนทกานต์ ณ เวลานั้นหล่อนพร้อมจะควงไปไหนต่อไหนด้วย กับทั้งยอมประกาศกับใครต่อใครว่าเป็นแฟนกันก็ยังได้ ด้วยความดีที่สั่งสมมามากพอของเขา แต่ชายหนุ่มปฏิเสธอีก เขาอยู่ใกล้และรู้เห็นรายละเอียดทางใจของลานดาวกระทั่งตระหนักว่าหล่อนไม่มีทางรักเขาเกินเพื่อน เพราะมีแต่มาวันทาอยู่คนเดียวทุกลมหายใจเข้าออก เกินจะฝันให้เอาเขาหรือใครอื่นไปแทนที่ได้ด้วยวิธีการใดๆ

พอขาดนนทกานต์ ลานดาวก็เคว้งไป หล่อนคิดถึงเขา แต่ไม่ใช่ด้วยความวาบหวามใจแบบเดียวกับที่คิดถึงมาวันทา ห่างจากนนทกานต์ไปทั้งอาทิตย์ยังแย่น้อยกว่าห่างจากมาวันทาไปเพียงสิบนาที ฉะนั้นวันๆจึงไม่ต้องทำอะไร เอาแต่ขลุกอยู่กับมาวันทา บางทีก็นั่งแช่รอที่โรงพยาบาลถึงหกชั่วโมง ซึ่งนับเป็นอาการเสพติดเข้าขั้นวิกฤตแล้ว

ยิ่งเมื่อปราศจากพี่เลี้ยงดูแลกำกับความเรียบร้อยประจำวัน แนวต้านกิเลสของลานดาวยิ่งอ่อนแอลงทุกที หล่อนประชดความไร้เยื่อใยของนนทกานต์ด้วยการหันมาตามใจตัวเองมากขึ้น มลทินเริ่มก่อตัวจากการขอนอนหนุนตักในบ้าน ซบไหล่ในโรงหนัง ตลอดจนกอดรัดและหอมแก้มทุกเวลาที่ต้องการ ซึ่งความจริงยังไม่ใช่สัมผัสต้องห้ามเท่าใดนักสำหรับพี่สาวน้องสาวที่คบหาสนิทสนมกันมาหลายเดือน

แต่ความสัมพันธ์เริ่มโลดโผนและต้องวัดใจกันมากขึ้นในคืนหนึ่งที่ลัดธีร์ไม่อยู่…

ลานดาวเดินเข้าบ้านมาวันทาด้วยท่าทีปั้นปึ่ง ขณะที่เจ้าของบ้านเดินออกมาต้อนรับด้วยการทักทายอ่อนหวาน

“จ๊ะ… ไหนว่าจะมาทุ่มนึงไง นี่เพิ่งหกโมงเอง พี่ยังทำกับข้าวไม่เสร็จเลย”

“ก็จะมาช่วยไง ไม่ดีเหรอ”

หล่อนตอบเสียงห้วนคล้ายเพิ่งหงุดหงิดอะไรมา

“ดีซี” คุณหมอคนสวยตอบด้วยสำเนียงสดใส “ว่าแต่ทำไมหน้าบึ้งนักล่ะ?”

ลานดาวเดินนำเข้าครัวเฉย ไม่ตอบคำถาม แต่โวยวายแทนเมื่อมาเห็นเครื่องแกงบนโต๊ะกลางครัว

“โอ๊! ทำแกงเขียวหวานไก่อีกละ เบื่อจริงๆเลย! จ๊ะไม่อยากหน้าเป็นไก่ตอนแบบพี่อ๋องนะคะ เปลี่ยนโฉมสามีไปแล้วรายหนึ่ง นี่จะหาเหยื่อรายต่อไป มาทำให้เราหน้าเหมือนไก่อีกคน!”

ว่าแล้วก็ยืนเท้าเอวหน้าง้ำอยู่ตรงกลางห้อง มาวันทาตามเข้ามาถึงก็ก้มหน้านิ่ง นับวันลานดาวยิ่งแสดงความเป็นปฏิปักษ์ลับหลังลัดธีร์บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ของอะไรที่เขาชอบ หล่อนจะบอกว่าเกลียด ติว่ารสนิยมเลว หรือไม่ก็ค่อนแคะจุดด้อยสักอย่างเพื่อโจมตีคนไกล เป็นการทิ่มตำคนใกล้เสียอย่างนั้น

พอสำเหนียกว่ามาวันทาเอาแต่ยืนเงียบหงอย ลานดาวก็รู้สึกตัว ทีแรกปรายตามองเงาร่างอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนเป็นตกใจปราดเข้าหา เมื่อเห็นว่าที่แท้มาวันทากำลังยืนร้องไห้อยู่เงียบๆ

“เป็นอะไรไปคะพี่เอิน?”

ลานดาวต่างไปเป็นคนละคนภายในพริบตาเดียวทั้งน้ำเสียงและท่าที มาวันทาหันหลังกลับและเดินหนี ซึ่งลานดาวก็ตามต้อย มาทันกันเมื่อถึงห้องรับแขก และต่างนั่งลงบนโซฟาใหญ่

“เป็นอะไร?”

ถามซ้ำร้อนรน ยื่นมือหยิบทิชชูจากโต๊ะกลางมาซับน้ำตาให้

“จ๊ะเปลี่ยนไปมากนะ รู้ตัวไหม?”

มาวันทาปริปากแถลงด้วยเสียงสั่นเครือ ลานดาวอึ้ง สำนึกได้ว่ามาถึงตนก็พาลหาเรื่อง จึงโอดส่งเดชเอาตัวรอดไว้ก่อน

“ก็คนเพิ่งถูกแฟนทิ้งนี่คะ เห็นใจหน่อยซี ขวางหูขวางตาง่ายอย่างนี้แหละ”

“อย่าพูดเลย เธอไม่เคยนับนายโจ๊กเป็นแฟนหรอก… หลังๆเธอเอาพี่เป็นถังขยะทิ้งอารมณ์ประจำ ทั้งที่พี่พยายามทำดีกับเธอทุกอย่าง”

“เฮ้อ!… ปัดโธ่เอ๊ย! ขี้แยจัง เรื่องแค่นี้… ขอโทษค่ะขอโทษ เล่าก็ได้ เมื่อกี้ก่อนออกจากบ้านแม่เรียกไปเทศนา เร่งรัดให้ทำงานทำการ จ๊ะอยากตาย…”

มาวันทาข่มสะอื้น พอทราบต้นสายปลายเหตุก็ทำเสียงเป็นปกติ

“ทำไมต้องอยากตายด้วย? แค่ทำงาน ค่ายเพลงก็เร่งรัดเช้าเย็น”

“ก็นั่นแหละ ทำงานแล้วกลัวจะไม่ได้เจอหน้าพี่เอินน่ะซี จ๊ะสังเกตการณ์มาแล้ว เซ็นสัญญาเมื่อไหร่นะ เป็นจับเรามัดมือมัดเท้า กระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้เลย โดยเฉพาะถ้าเป็นหน้าใหม่ในวงการ เรื่องทำงานตัวเป็นเกลียวตลอดเจ็ดวันน่ะ ปกติ”

“อยากดังก็ต้องแลกกันหน่อยสิ ใครบ้างอยู่เฉยๆงอมืองอเท้าแล้วประสพความสำเร็จ”

“ชีวิตจ๊ะ จ๊ะต้องการความรัก ไม่ใช่ความดัง”

ว่าแล้วก็กอดประจบ มาวันทาผลักเบาๆ แต่พออีกฝ่ายกระชับวงรัดแน่นขึ้นก็ยอมนั่งเฉย

“ยังไงก็ต้องทำงาน ถ้าไม่อยากเป็นนักร้อง ก็ไปสอนเปียโนตามโรงเรียนหรือตระเวนสอนตามบ้านซะ”

“อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆไม่ได้เหรอ พ่อมีตังค์ตั้งเยอะ ทำไมต้องทำมาหากินเพิ่ม แล้วแข่งเปียโนแต่ละที ก็ได้เงินรางวัลเยอะแยะ”

“เธอได้รางวัลมาก็เอาไปซื้อของหมด คนเราถ้าไม่ทำงาน ไม่ดิ้นรนหาเงินประจำ ได้เงินจากคนอื่นง่ายๆ ในที่สุดก็ดูถูกค่าของเงิน แถมกลายเป็นคนสมองเฉื่อย เหนื่อยง่าย เบื่อชีวิตในระยะยาวได้นะ อีกอย่างค่ายเพลงเขาง้อเราเพราะความสามารถและรูปร่างหน้าตา แต่ก็อาจเปลี่ยนใจเพราะเห็นความกระตือรือร้นต่ำหรือสังขารเราโรยราได้เหมือนกัน”

“เทศน์อีกคนแล้ว!” หญิงสาวดึงตัวขึ้นนั่งตรงบ่นกระฟัดกระเฟียด “ทำน่ะทำแน่ ไม่ต้องเร่งหรอก ตอนนี้เพิ่งเรียนจบ ขอเสวยสุขสงบๆซักพักไม่ได้หรือไง เหนื่อยมาตั้งกี่ชาติ ผู้ใหญ่ทำไมชอบว่าเด็กนัก เห็นเราทำผิดเสมอ ขนาดอยู่เฉยๆไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนยังโดน อีกหน่อยหาเรื่องเลยซี ทำไมตอนหายใจไม่ยอมป่องท้องมากๆ”

มาวันทาโดนทำเสียงแข็งใส่ก็เงียบสนิท ซึ่งพอลานดาวเห็นพี่สาวสุดที่รักกลับหน้าหมองลงอีก ก็เปลี่ยนกิริยาเสียใหม่อย่างรู้ทางลม

“จ๊ะคิดถึงพี่เอินนี่คะ อย่างน้อยช่วงนี้ก็อยากขออยู่ใกล้ๆให้ช่ำปอดก่อน”

“ทำงานแล้วก็เจอกันได้”

“เดี๋ยวหยุดไม่ตรงกัน ดูอย่างพี่อ๋องซิ ลองนับดีๆเถอะ ปีหนึ่งเจอหน้ากันกี่วัน”

มาวันทาทอดถอนใจยอมแพ้

“ตามใจนะ ถ้าเห็นความห่วงใยของคนอื่นเป็นเรื่องน่ารำคาญ ต่อไปพี่ก็จะเลิกยุ่ง เลิกพูดเรื่องของจ๊ะแล้ว”

“ทำไมต้องห่วงด้วยคะ คิดเสียว่าจ๊ะเป็นเด็กขายพวงมาลัยละกัน เห็นวิ่งตุหรัดตุเหร่ตามสี่แยกไฟแดง ผ่านไปกี่วันๆก็ยังโผล่หน้ามาเคาะกระจกเหมือนเดิม ไม่ถูกรถทับง่ายๆหรอก แต่ถ้าอดห่วงไม่ได้ก็ขอให้ทำใจบุญรับขึ้นรถมาเลี้ยงดูที่บ้านให้เป็นเรื่องเป็นราวซะ”

อ้อนพลางกระแซะเอนศีรษะซบไหล่แพทย์สาว

“ทำเป็นเฉไฉออกนอกเรื่องนอกราวดีไปเถอะ ประมาทในชีวิตเข้านะ แก่ตัวลงไม่มีใครอยากจ้างเดี๋ยวจะได้ขายพวงมาลัยจริงๆ”

“เรื่องอะไรจะไปขาย เอ๊อ!… หมดทางก็มาเกาะพี่เอินกินดิ้”

มาวันทาขยับตัว

“ลุกเถอะ ไปทำกับข้าวต่อ”

“เดี๋ยวก่อน”

“อะไรอีก?”

“ตั้งแต่คราวก่อน จ๊ะก็ยังหมั่นเช็กหน้าอกอยู่เรื่อยๆ สองสามวันที่ผ่านมาชักน่ากังวลอีกแล้วล่ะพี่เอิน”

“จริงหรือ?”

มาวันทาเป็นห่วงเป็นใยตาม เพราะคำนวณตามระยะเวลา หากมีสิ่งแปลกปลอมใหม่ก็นับว่าน่าเป็นห่วงมาก อาจเป็นเนื้อร้ายขึ้นมาได้จริงๆ

“พี่เอินช่วยดูเองแล้วกันค่ะ เดี๋ยวหาว่าจ๊ะอุปาทานอีก”

หล่อนแกะกระดุมเสื้อทีละเม็ด แล้วปลดสายบราเซียร์ข้างซ้าย

“ด้านเนี้ยค่ะ”

แพทย์สาวเหลือบลงมองของสงวนชิ้นงามที่เปิดเผยกระจะตาต่อหน้านั้น ความเป็นเขตรโหฐานลับแลและความคุ้นเคยเป็นส่วนตัวระหว่างกัน ทำให้เกิดความปรุงแต่งจิตนอกเหนือจากวิสัยพินิจแบบหมอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทว่ามาวันทาก็ขจัดส่วนเกินทางอารมณ์ทิ้ง ยื่นมือไปคลำชิ้นเนื้อหน้าอกด้านที่ลานดาวระบุว่าเป็นจุดต้องสงสัยตามหน้าที่

ย่นคิ้วฉงนเมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆแม้แต่น้อย พอเงยขึ้นขยับปากจะถาม ก็เห็นใบหน้าของลานดาวยื่นเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบเรียก

“พี่เอิน…”

กลิ่นไอหอมกรุ่น ความนุ่มนิ่ม และริมฝีปากที่ประกบกันสนิท เป็นความกะทันหันเกินกว่าจะตั้งตัว มาวันทาตกใจนิดหนึ่ง ทว่าด้วยอ้อมอุ่นเปี่ยมอำนาจดำฤษณาที่จู่โจมปุบปับ สะกดให้ลืมสิ้นทุกสิ่ง และตอบสนองออกมาจากความปรารถนาอันแฝงเร้นแรมเดือน

แต่เมื่อจะถูกผลักลงนอน ก่อนสำนึกผิดชอบชั่วดีจะขาดผึง ก็คล้ายแว่วเสียงกระซิบเตือนจากหมอดูอุปการะซึ่งฝากไว้เมื่อหลายเดือนก่อน

“ถ้ารักษาศีลได้บริสุทธิ์สะอาด ก็เป็นความอุ่นใจว่าเราไม่มีวันสร้างเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองในภายหลัง”

มาวันทาขืนตัว และผลักร่างลานดาวอย่างแรง

“อย่า!… จ๊ะ!”

ฝ่ายรุกชะงักนิ่ง มองฝ่ายปฏิเสธด้วยหัวคิ้วขมวด

“ทำไมคะ?”

“ก็เธอทำบ้าอะไร…”

ลานดาวตาวาวขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

“แล้วเมื่อกี้พี่เอินทำบ้าอะไร ทั้งจูบตอบ ทั้งลูบคลำจ๊ะไปทั้งตัวอย่างนั้น?”

มาวันทาหน้าแดง เบือนหลบสภาพเปลือยอกขาวอมชมพูครึ่งซีก เผยเม็ดทับทิมยวนสวาทเด่นตาของลานดาว ที่เห็นแล้วชวนให้ปั่นป่วนอุทธัจยิ่ง

“มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้”

“แล้วควรเป็นแบบไหนคะ?”

พอเห็นมาวันทาเงียบนาน ลานดาวก็กระแทกเสียงต่อ

“ใครบอกหรือ ว่าควรหรือไม่ควร เป็นผู้หญิงด้วยกันมันจะเสียหายสักแค่ไหน”

“ก็แค่เป็นชู้น่ะ! ควรจะเสียหายแค่ไหนล่ะ?!?”

ได้ยินเช่นนั้น ลานดาวก็ยิ่งออกอาการฉุนเฉียว

“ชู้เช้ออะไร จ๊ะไม่ได้เป็นผู้ชายซักหน่อย!”

มาวันทาลอบกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะตกอยู่ในสถานการณ์คลี่คลายยาก ในเมื่อเผลอตัวตอบสนองไปบ้างแล้ว จะแก้ตัวอย่างไรก็หมดสิทธิ์ปฏิเสธมลทินที่มีแก่ตน

“จ๊ะ… ถ้าเธอมีสามี เธอจะเข้าใจเหมือนอย่างที่พี่เข้าใจ พี่เป็นสมบัติถูกตีตราแล้วของเขา การแต่งงานคือพันธสัญญาว่าจะมีเพศสัมพันธ์กับเขาเพียงคนเดียว อารมณ์พรรค์นี้จะเกิดขึ้นกับหญิงหรือชาย มันก็คืออารมณ์ทางกายใจแบบเดียวกัน ให้ความรู้สึกผิดเหมือนๆกัน”

ลานดาวแค่นหัวเราะ

“แปลว่าที่เราคบกันอยู่ตั้งนานนี่ ไม่มีความผิดเลยใช่ไหม?”

มาวันทาเงียบ ลานดาวยิ้มเย้ย

“น่า… เห็นๆอยู่ว่ามีความผิดกันมาแต่ไหนแต่ไร ทางกายนิด ทางใจหน่อย แล้วแปลกอะไรหากจะเลยเถิดอีกสองสามกระเบียด ถ้าร่างกายพี่เอินเป็นกลีบบัว ก็รับรองเลยว่าพี่อ๋องกลับมาจะไม่พบรอยช้ำแม้เท่าจุดเข็ม… คิดดูนะ ใครจะทำให้ผู้หญิงมีความสุขได้เท่าผู้หญิงด้วยกัน แตะต้องตรงไหน ก็เข้าใจตรงกันไปหมดว่ารู้สึกยังไง มีหรือผู้ชายจะรู้ได้เท่า!”

หญิงมีเจ้าของฟังแล้วเม้มปากครู่ใหญ่

“ท่าทางรู้ดีเหลือเกินนะ ฟังใครมา หรือลองแล้วด้วยตัวเอง?”

“จ๊ะอยากกับพี่เอินคนเดียว ถ้าพี่เอินไม่ช่วยจ๊ะ จ๊ะก็ไม่มีใคร”

มาวันทาส่ายหน้าอัดอั้น

“พี่มีเจ้าของแล้ว…”

“เอาไหมล่ะ จ๊ะยอมเป็นเมียน้อยพี่อ๋อง คราวนี้จะได้มีเจ้าของเดียวกัน ไม่ต้องรู้สึกผิดอีก”

เสียงกดดันบีบคั้นของลานดาวเค้นให้มาวันทาเหลือฝืน ต้องซบหน้าลงกับฝ่ามือ จะสะอื้นก็สะอื้นไม่ออก เก็บกดทรมานค้างคาจุกอกอยู่อย่างนั้น

“พี่เอิน…”

ลานดาวเรียกพลางยื่นมือบีบต้นแขนกลมกลึงเบาๆ ตั้งต้นใช้ไม้นวมใหม่

“จ๊ะรักพี่เอินค่ะ”

“พี่ก็รักจ๊ะ แต่เราทำแบบนี้มันผิด”

“เลยเถิดมาจนป่านนี้แล้ว พูดเรื่องถูกเรื่องผิดไปทำไม บอกอยู่นี่ไง จ๊ะพูดจริงๆนะ ถ้าหากพี่เอินยินยอม จ๊ะจะมาเป็นเมียลับๆของพี่อ๋อง ถึงเขารู้เรื่องเราก็คงไม่ถือสาอีก ผู้ชายที่ไหนไม่ชอบ ได้หนึ่งแถมหนึ่งโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงเพิ่ม เชื่อมือเถอะ อย่างพี่อ๋องน่ะ จ๊ะหลิ่วตาให้หน่อยเดียวทุกอย่างก็เรียบร้อย”

มาวันทาฟังแล้วเกิดความหึงหวงสามีจนสุดทน เพียงเสี้ยววินาทีเดียวตัดสินใจได้ทันทีว่าระหว่างชายกับหญิงตนเลือกใช้ชีวิตกับเพศไหน จึงหลุดโพล่งออกมาเหมือนสปริงดีดอัตโนมัติ

“นึกว่าจะมียางอายบ้างนะ! พี่คงเป็นโรคจิตวิปริตไปด้วยถ้าคล้อยตามเธออย่างนั้น!”

ลานดาวคอแข็งด้วยความผิดคาดกับปฏิกิริยาของมาวันทา ความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ แต่พยายามสะกดไว้

“ถ้าทำใจยากนัก ก็หย่ากับพี่อ๋องซะสิ”

“พูดง่ายนี่ พี่อ๋องไม่ผิดอะไร ทำไมต้องทำให้เขาเสียใจ”

“แล้วจะเอายังไงคะ อย่าบอกนะว่าคบกันอย่างพี่อย่างน้องต่อไป ทุกอย่างชัดเจนเกินกว่าจะเสแสร้งแกล้งพูดท่านั้นแล้ว”

“เธอทำให้เรามาถึงจุดนี้กันเองต่างหาก ถ้าคบกันดีๆ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ใครจะไปว่า”

“จุดนี้?…” ลานดาวเค้นเสียงสูง “หมายความว่ายังไง?”

สำเนียงเกรี้ยวนั้นทำให้มาวันทานิ่งซึมอยู่เกือบสองนาที ก่อนตอบแผ่วคล้ายคนทรมานเจียนสิ้นลม

“เราน่าจะหยุดพบกันได้แล้ว…”

ดวงตาลานดาวลุกวาวขึ้นวาบหนึ่ง กริ้วจัดจนลืมตัว

“ฮื้ยย์!!”

ผุดยืนขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งเค้นคอมาวันทา ออกกำลังกดแล้วรุนผลักสุดแรงจนฝ่ายนั้นถลำ แล้วจ้องร่างแบบบางตรงหน้านัยน์ตาแทบถลน ยังไม่หนำใจ เหมือนมีพลังไร้ตนบังคับขับไสให้อยากทุบตีมาวันทาจนน่วม แต่ยังดีที่สติตามมาทันเสียก่อนจะลงมือเอาจริง ได้แต่ยืนเป็นเงาทะมึนค้ำหัวอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น

มาวันทาไม่หันมา และไม่ตอบโต้ใดๆ ซ่อนหน้าไว้เบื้องหลังม่านผมยาวที่บังข้างแน่นิ่ง คล้ายสิ่งที่หล่อนต้องกล่าว ได้หลุดจากปากออกมาหมดแล้ว

“เสียแรงที่จ๊ะรักและนับถือ”

ลานดาวเค้นเสียง เมฆหมอกแห่งความคั่งแค้นทำให้นึกไม่ออกว่าจะด่าอย่างไรให้เจ็บใจยิ่งกว่านั้น รวบรวมสติอยู่เกือบครึ่งนาทีจึงคิดออก

“นึกว่าตัวเองยังบริสุทธิ์ไร้มลทินอยู่ล่ะสิ โธ่เอ๊ย! จี๋จ๋ากับเค้ามาตั้งเท่าไหร่แล้ว เกิดจะมาสำนึกเป็นแม่พระขึ้นมาคืนนี้เอง… อื๋ย… ทุเรศ!”

ด่าเสร็จก็เอื้อมมือผลักศีรษะมาวันทาอย่างแรงอีกครั้ง แพทย์หญิงผู้พลอยมัวหมองเริ่มร้องไห้กระซิก เพราะเจ็บทั้งใจที่ถูกว่า และสะเทือนทั้งกายที่ถูกข่มขี่ แถมพื้นนิสัยก็อ่อนเกินกว่าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบขืนสู้

“อยากฆ่าให้ตายนัก!”

เสียงคำรามนั้นส่องให้เห็นวิญญาณนางมารร้ายเข้าสิงไปกว่าครึ่งตัว ลานดาวเดินงุ่นง่านครู่ใหญ่ พอเห็นมาวันทายังเอาแต่ร้องไห้ก็สืบเท้าปราดเข้าประชิด

“ก็ได้! จ๊ะจะไม่มาให้เห็นอีก มองกันดีๆอีกสักครั้งซิคะ”

คนถูกคุกคามค่อยๆเงยหน้า เผยให้เห็นน้ำตาแห่งความรักความอาลัยนองเปื้อน ลานดาวยิ้มหยัน เพราะเห็นถนัดว่าความรู้สึกแท้จริงจากก้นบึ้งหัวใจของมาวันทาเป็นอย่างไร

“จำไว้นะว่าพี่เอินเป็นคนไล่จ๊ะเอง”

“จ๊ะ…”

แพทย์สาวเรียกและพยายามฉวยข้อมืออีกฝ่ายไว้ แต่ถูกสะบัด ลานดาวเดินฉับๆเข้าห้องดนตรีพลางส่งเสียงน่ากลัว

“ฟิล์มยังอยู่ คงไม่เป็นไรนะ ขอสะใจ ทำอะไรให้สมอยากมานานทีเถอะ!”

ก้าวขึ้นยืนบนม้านั่งเปียโน กระชากกรอบรูปคู่วิวาห์ขนาดใหญ่ออกจากผนังด้วยกำลังโทสะ แล้วฟาดเปรี้ยงลงบนขอบเปียโน ก่อให้เกิดเสียงครึมตอบจากเส้นสายเครื่องเคาะ แต่นั่นแค่บทเริ่มต้นเบาะๆ ลานดาวเหวี่ยงกรอบรูปลงพื้น ดีดเท้าโผนจากม้านั่งด้วยความประเปรียวดุจนางเสือดาวทะยานคว้ากีตาร์ กลับมาเงื้อสุดง้างแล้วหวดโครมเต็มแรงลงกลางรูปกังวานกระหึ่ม สะท้านสะเทือนหลอนหูเจ้าของบ้านผู้นั่งมองเฉยอย่างปลงตกอยู่อีกห้อง

พอพบว่าโครงกีตาร์แข็งแรงดี ไม่แตกเป็นเสี่ยงง่ายๆให้กลายเป็นอาวุธฉีกรูปได้แบบฉับพลัน ลานดาวก็เปลี่ยนใจ โยนทิ้งแล้วเดินออกจากห้องดนตรี ผ่านมาวันทาก็เชิดใส่อย่างปราศจากความไยดีเกรงใจ บ่ายหน้าไปหาอุปกรณ์ชิ้นใหม่ ได้เป็นดาบสั้นตั้งแท่นบนโต๊ะวางโชว์กลางห้อง หล่อนจับด้ามชักออกจากปลอกฝังมุกในฉับเดียว มันเป็นดาบเนื้อเหล็กน้ำพี้ที่ถูกแกะสลักอย่างดี ซึ่งหล่อนนั่นเองคือคนซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ลัดธีร์ด้วยราคาเหยียบหมื่น

กลับหลังหันรุดเข้าห้องดนตรีด้วยรังสีทำลายล้าง มาถึงที่ลานดาวก็ตวัดปลายดาบกรีดรูปควากๆ กลายเป็นริ้วกระดาษที่ขาดจากกันย่อยยับ หนำใจแล้วจึงเหวี่ยงดาบทิ้งลงพื้นเปรื่อง ยกมือเสยผม จัดเสื้อแสงกลัดกระดุมเรียบร้อย ผันผายเนิบนาบออกมาหามาวันทาด้วยสีหน้าปกติ

“ลาล่ะนะคะ”

หญิงสาวพนมมือไหว้ถอนสายบัวงดงามละไมตา แล้วสะบัดหน้าเดินออกประตูไป มาวันทาได้ยินเสียงสตาร์ทรถ แต่สังหรณ์ว่าลานดาวจะกลับเข้ามาอีก แล้วก็กลับมาจริงๆ ประตูถูกเปิดผาง ร่างโปร่งระหงย่ำพื้นทั้งรองเท้าตัดตรงไปยังห้องครัว เกิดเสียงคว่ำโต๊ะขึ้นที่นั่นโครมคราม ถ้วยโถโอชามแตกวินาศโพล้งเพล้ง

ความจริงนางตัวแสบจะกลับเข้ามาคว้าลูกกุญแจไขประตูรั้วเท่านั้น แต่ดันนึกถึงแกงเขียวหวานไก่ที่ตนเกลียดเข้ากระดูกขึ้นมาได้ เลยเข้าไปก่อวินาศกรรมเป็นของแถมรายการราตรีสวัสดิ์ชุดใหญ่

มาวันทาเงี่ยฟังเสียงรถออกจากบ้านตนด้วยความใจจดใจจ่อ เมื่อได้ยินเพียงร่องรอยการขับเคลื่อนที่นิ่มนวลเป็นปกติก็เบาใจลง เพราะเกรงอยู่ว่าลานดาวจะหุนหันพลันแล่นด้วยแรงฉุดกระชากของอารมณ์ร้ายจนเกิดอันตรายบนท้องถนน แต่เมื่อท่าทางยังครองสติดีอยู่ก็เหมาะแล้ว หล่อนจะได้นั่งร้องไห้กับที่โดยไม่ต้องพะวงตามไปช่วยดูแลความปลอดภัยให้น้องอีก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น