วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๓๒. ค่าตัว)

ตอนที่ ๓๒. ค่าตัว


คืนนั้นอมฤตคุยโทรศัพท์กับลานดาวด้วยเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ทั้งสองจะได้ยินสัญญาณเรียกซ้อน ซึ่งเมื่อลานดาวสลับไปรับสายนั้นไม่กี่พริบตาก็กลับมาเพื่อแจ้งให้ทราบว่าผู้โทร.ซ้อนไม่ใช่ใครอื่น แพทย์หญิงมาวันทานั่นเอง ลานดาวขอตัวไปคุยกับทางโน้นก่อน ซึ่งจิตแพทย์หนุ่มก็ยิ้มอย่างเข้าใจ มาวันทาเพิ่งหย่าขาดจากสามีได้สองอาทิตย์ กำลังต้องการเพื่อน ซึ่งคนสนิทที่สุดก็คือลานดาว ลานดาวเล่าให้ฟังว่าวันแรกๆของการอยู่ตัวคนเดียว มาวันทาโทร.มาวันละห้าหกรอบ ถี่ยิ่งกว่าครั้งเมื่อมีใจแบบหญิงรักหญิงต่อกันเสียอีก

ลานดาวชวนมาวันทามาอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็ช่วงหนึ่งในระยะที่กำลังปรับตัวให้เข้ากับสถานภาพโสด แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธและสมัครใจนอนค้างที่หอพักแพทย์ในรั้วโรงพยาบาลนั่นเอง โดยอ้างว่าดีแล้วที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง มีเวลาทำสมาธิภาวนาเพิ่มขึ้นอีกมาก มาวันทาวางแผนไว้ว่าถ้าหาคอนโดมิเนียมถูกใจได้ค่อยโยกย้ายขยับขยาย ไม่คิดแม้แต่จะกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่หรือพี่น้องที่ไหน

อมฤตนึกชื่นชมที่มาวันทาผ่านความทุกข์อันน่าจะหนักหนาสาหัสสำหรับคนทั่วไปได้ด้วยยิ้มชื่น ลานดาวชวนฝ่ายนั้นทานข้าวเย็นร่วมกันบ่อยขึ้น เขาจึงมีโอกาสเห็นสภาพจิตใจที่เบิกบานคงเส้นคงวาของหล่อน แสดงให้เห็นว่ามีหลักใจดีพอจะไม่วอกแวกย้อนคิดย้ำทุกข์กับเหตุการณ์ที่ผ่านล่วงไปแล้ว

ถามลานดาวว่าแต่ละครั้งที่มาวันทาโทร.หานั้น สำเนียงเอื่อยอ่อยอ้อยสร้อยประสาคนเพิ่งแยกทางกับสามีบ้างหรือไม่ ลานดาวตอบทันทีว่าสุ้มเสียงพี่สาวเต็มไปด้วยความแจ่มใส ชวนคุยในเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจตลอดเวลา แถมยังมักปรึกษากันเรื่องช่วยพวกคิดฆ่าตัวตายเป็นประจำ

คนที่หมั่นคุยเรื่องช่วยเหลือผู้อื่นสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาของตนมีน้อย หรือไม่มีอยู่ในจิตใจเอาเลย ซึ่งนี่ก็แปลว่าเปลือกชีวิตเช่นปัญหาและเรื่องยุ่งยากทั้งหลายนั้นเป็นแค่สิ่งที่เอาไว้ดูด้วยตาเปล่าว่าใครแบกภาระอะไรอยู่บ้าง แต่ตัวจริงใครเป็นอย่างไร ต้องดูกันที่ข้างใน ดูกันที่แก่นชีวิตคือจิตวิญญาณของคนๆนั้น

มาวันทาเลือกที่จะเยียวยาตนเองด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น จากที่มีนิสัยดั้งเดิมชอบช่วยคนอยู่แล้ว พอเกิดบาดแผลขึ้นเองก็ยิ่งตั้งหน้าตั้งตาทำดีกับสังคมมากขึ้น นับเป็นบุคคลที่ยากจะพบในโลกใกล้กลียุคเช่นนี้

วางสายจากลานดาวแล้วลุกขึ้นยืนเคว้งคว้าง ยังคุยกับแฟนสาวไม่เต็มอิ่ม เขาปรารถนาหล่อนมากขึ้นทุกที สัมผัสรู้สึกชัดถึงกระแสแม่เหล็กที่เปล่งประกายจัดจ้าออกมาทั้งทางจิตและทางกาย เมื่อตรวจตราใจตนอย่างละเอียด ก็พบว่าช่วงที่คบกันแรกๆนั้น เขามีความหมั่นไส้ หรือพูดตรงไปตรงมาคือรังเกียจหลายสิ่งในลานดาวอยู่ในส่วนลึก คล้ายเห็นกุหลาบสวยที่เต็มไปด้วยเสี้ยนหนามรุงรังชวนระคาย แต่บัดนี้คล้ายหนามไหน่เหล่านั้นถูกลิดทิ้งจนเหลือแต่ก้านใบเกลี้ยงเกลา น่าให้ถลาเข้าเชยชมอย่างยากจะห้ามใจ ความพิศวาสจึงทวีตัวขึ้นรุนแรงเต็มพิกัด

ช่วงที่ผ่านมาเขาไม่ได้สังเกตละเอียดนักว่าหล่อนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ทราบแต่ว่าลานดาวเหมือนเพชรที่ส่องประกายจัดจ้าบาดตาบาดใจจนตบะเริ่มแตก ครั้งหนึ่งเขาชวนหล่อนมาที่ห้องและพยายามขอมีสัมพันธ์ผ่านสัมผัสละมุนละม่อม ปฏิกิริยาและคำขาดของลานดาวทำให้เขาอารมณ์ค้างมาจนถึงเดี๋ยวนี้คือถ้าอยากได้ ก็เอางานแต่งมาแลก!

นั่นจัดเป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยมสำหรับเขา สมัยเพิ่งเริ่มเป็นวัยรุ่นที่ให้เพื่อนพาไปหาหญิงบริการชั้นสูง เขาได้เชยชมเรือนร่างอิสตรีด้วยการตกลงราคาค่างวดกัน เมื่อคุยเรื่องราคาจนผู้หญิงพยักหน้า ร่างกายเจ้าหล่อนก็อ่อนเปียกเป็นของง่าย เป็นสมบัติชั่วคราวที่เขาอยากทำอะไรก็ทำ เยี่ยงสินค้าที่เร่วางล่อตาค้าขายบนเตียงนอนทั่วบ้านทั่วเมือง

ต่อมาเป็นหนุ่มขึ้นอีกหน่อย รู้จักมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเหมือนผู้คนในโลก ก็รู้จักหนทางครอบครองร่างกายหญิงสาวอีกระดับ เริ่มจากคบหาพูดคุย พัฒนาเป็นหยอดคำหวาน สร้างความบันเทิงให้หลงเพลิน พาไปเลี้ยงข้าว จ่ายค่าตั๋วหนัง ซื้อของขวัญแพงๆน่าประทับใจ ค่อยๆร่วมกันสร้างความคุ้นเคยผ่านสุ้มเสียง กระแสตา และสัมผัสทางกาย กว่าจะพยักหน้ายอมก็ยากขึ้นกว่าสมัยตกลงราคาค่าตัวกันลุ่นๆโต้งๆหลายสิบเท่า

ทว่าถึงยากอย่างไร ก็ไม่เคยมีสาวคนไหนปฏิเสธเขาลงคอเหมือนอย่างแฟนคนปัจจุบัน ราคาค่าตัวของลานดาวแพงกว่าผู้หญิงทั้งชีวิตที่ผ่านมารวมกัน เพราะสิ่งที่หล่อนเรียกคือแหวนหมั้น สินสอด และความพรักพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตคู่

ทีแรกอมฤตหงุดหงิดและทำหน้าบึ้งตึง ไม่ยอมพูดจา ตอนส่งกันหน้าบ้านยังหลุดออกไปคำหนึ่งด้วยซ้ำว่าหล่อนเห็นแก่ตัว หวงเนื้อหวงตัวอย่างน่าหนักใจ จะยั่วให้เขาต้องหาทางระบายกับคนอื่นหรืออย่างไร แทนที่ลานดาวจะแสดงท่าหวาดหวั่นกลัวเขาทิ้งขว้าง หล่อนกลับพูดหน้าตาเฉยว่าอยากไปเที่ยวไหนก็เชิญ แต่จับได้เมื่อไหร่ก็เลิกกันเมื่อนั้น

ทีแรกอมฤตโกรธจุกอก ทว่าวันต่อมาก็เริ่มคิดได้ และเห็นค่าคนรักสูงขึ้นลิบลับ การปฏิเสธของลานดาวทำให้เขารู้สึกว่าหล่อนเป็นเพชรแท้ และการที่จะได้มาครอบครองก็ต้องด้วยวิถีทางของผู้ใหญ่ หล่อนทำให้เขาย้อนกลับไปเห็นความงดงามของขนบธรรมเนียมประเพณี พรหมจารีที่ต้องแลกซื้อด้วยงานวิวาห์เป็นพรหมจารีที่ดึงใจคู่บ่าวสาวให้ขึ้นสูง เมื่อได้มายากก็รู้สึกว่าต้องรักษาไว้ตลอดไป ไม่ใช่รู้สึกว่าแค่แกะกระดาษห่อของขวัญเชยชมของเล่นชิ้นใหม่หนำใจแล้วทิ้งขว้างกันง่ายๆ

มองออกว่านี่ไม่ใช่แค่ลีลาหลอกตา ถ้าลานดาวใจแข็งปฏิเสธเขาได้ ก็แปลว่าหล่อนไม่เคยเป็นของใครเลยสักคน อมฤตสัมผัสรู้ว่าเกือบทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง หล่อนก็คือปุถุชนธรรมดาที่ถูกความเรียกร้องทางธรรมชาติรบกวนกายใจไม่แพ้เขาเลย

เซ็กซ์ในหมู่มนุษย์แทนความหมายได้หลายอย่าง อาจส่อถึงความกระสันอยากแบบดิบๆตามสัญชาตญาณก็ได้ อาจหมายถึงการแสดงความเป็นเจ้าของครอบครองก็ได้ หรืออาจเป็นเครื่องบอกภาวะความพร้อมจะรับผิดชอบก็ได้ ความรับผิดชอบที่มาในรูปของการรู้จักหักห้าม ยับยั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำ ยกระดับให้ชีวิตมีกฎเกณฑ์ ส่องสะท้อนว่ามีความอดทนเพียงพอจะไม่ทำเรื่องบาดใจกับคู่ของตนในกาลข้างหน้าเมื่ออยู่ร่วมกัน

ผู้ใหญ่ฝ่ายของลานดาวต้องการเพียงบ้านหลังเดียว เพื่อขอดูว่าเขาจะเป็นหลักประกันความมั่นคงให้ลูกสาวได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อเขาเห็นบ้านอันจะต้องเป็นเรือนหอในข้อกำหนดของพ่อแม่ลานดาวแล้ว อมฤตก็ใจแป้วไปหน่อยหนึ่ง เฉพาะดาวน์ก็ฟาดเงินเก็บของเขาไปเกือบเรียบ คิดคำนวณสะระตะแล้ว หากจะไม่ขอหยิบขอยืมให้เดือดร้อนพ่อแม่ล่ะก็ เขาควรขยันทำงานทำเงินพิเศษร่วมปีหรือกว่านั้น เพื่อผ่อนต่อได้โดยไม่ต้องกระเสือกกระสนมาก เนื่องจากเพิ่งถอยรถใหม่ ต้องทยอยจ่ายอีกนานอยู่แล้ว

เหมือนเป็นการพิสูจน์อยู่ในทีด้วยว่าค่าของลานดาวมีแรงผลักดันเกินความรู้สึกทดท้อ เพียงชั่วข้ามคืนเขาเปลี่ยนจากความอยากถอยเท้ากลายเป็นมุมานะอยากเดินหน้าให้ถึงปลายทาง ที่ผ่านมาทั้งชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกต้องทุ่มเทต่อสู้เพื่อให้ได้ตัวผู้หญิงคนไหนอย่างนี้เลย น้ำเสียงของลานดาวคงก้องกังวานในสองหูเขาไปจนชั่วชีวิต… ถ้าอยากได้ ก็เอางานแต่งมาแลก!

ชีวิตคงสมบูรณ์พิลึกเมื่อยืนเด่นบนเวทีดูหน้าแขกในงานวันสมรส นาทีที่บังเกิดใจยินดีพร้อมคิดทำอะไรใหม่ๆเพื่อสู่ขอลูกสาวใครมาเป็นภรรยา เหมือนภาพชีวิตในใจแปลกเปลี่ยนไป รู้จักตนเองดีขึ้นอีกนิด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดถึงการแต่งงานมีครอบครัว มีภาระรับผิดชอบเป็นเรื่องเป็นราวจริงจังเอาเลย การครองชีวิตคู่ต้องอาศัยความคิดอีกแบบหนึ่ง มีการเข้าหาผู้ใหญ่ มีการวางแผน มีการคำนวณเงิน ต่างจากภาวะโสดที่ไม่ต้องคิดอะไรมากกว่าทำวันนี้ให้ผ่านไปเรื่อยๆ เงินจะเหลือหรือขาดก็ช่าง

แค่เงินลงทุนซื้อรถใหม่ น่าจะแปลง่ายๆว่าเฉพาะค่าพาตัวลานดาวไปเที่ยวก็เกินล้านแล้ว หากยิ่งอยากได้หล่อนเป็นเมีย ยังต้องทุ่มเพิ่มเข้าไปกว่านั้นมากต่อมาก ไหนจะเงินซื้อบ้าน ไหนจะเวลาสำหรับเที่ยวและพูดคุย ไหนจะต้องหลังขดหลังแข็งขยันทำกินมากขึ้นกว่าเดิม รวมแล้วก่อภาพลานดาวในใจเขาแจ่มชัดถึงขีดสุด สนนราคาค่าตัวทั้งหมดของหล่อนคือชีวิตเขาแทบทั้งชีวิต!

เมื่อได้มายาก ระบบครอบครัวก็น่าจะคลอนแคลนยากตามไปด้วย เพราะเขาคงไม่ยอมเสียหล่อนง่ายๆ จะด้วยเหตุอันใดก็ตามที

อมฤตเห็นตนเองยังไม่ง่วง จึงเปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเตอร์เน็ต ตั้งใจจะเข้าไปดูเว็บไซต์ของพี่น้องสองสาวเสียหน่อย เขาเคยเยี่ยมชมในช่วงแรกๆแบบผ่านวอบแวบ ยังไม่มีโอกาสอ่านให้ทั่วถึง คืนนี้ว่าง จึงนึกครึ้มอยากสำรวจมากขึ้นกว่าเดิม

เลือก เว็บของจ๊ะกับเอิน จากกลุ่มรายชื่อเว็บโปรดของตน ในเวลาไม่นานก็ปรากฏเว็บเพจหน้าแรกอันเก๋ไก๋ของไซต์ ซึ่งเขารู้ดีว่าเป็นฝีมือออกแบบของลานดาว ไม่มีลูกเล่นที่ต้องรอเวลาดาวน์โหลดนานๆ มีแต่ภาพกับอักษรงดงามสบายตา พร้อมทั้งเนื้อหาน่าสนใจเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้อยากเข้าถึงรายละเอียด

หน้าแรกปรากฏป้ายชื่อเว็บไซต์หรา… คู่มือนักฆ่าตัวตาย ด้านล่างลงมามีหนึ่งบรรทัดที่เหมือนประกาศเป็นนัยๆว่าจุดประสงค์ของการจัดทำเว็บไซต์คืออะไร…

“เราเคยผ่านเส้นทางนี้มาก่อน และหวังจะบอกกับทุกคนว่าปลายทางอาจไม่ใช่การหนีไปไหนรอดอย่างที่คิด”


ล่างลงมาอีกคือส่วนเด่นที่สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้แก่คติสะกิดใจ อย่างเช่นเข้ามาคราวนี้เขาเห็นคำคมคล้องจองคือ…


เกิดมาทั้งที ให้มีค่าคุ้ม ทุ่มเทกับงาน

ให้ทานกับคน ค้นหาสาระ เพื่อผละไปดี…


มีแต่ความตาย ได้เป็นที่หมาย สายตาทอดมอง เพื่อตรองเห็นจริง

ทุกสิ่งตั้งอยู่ ให้รู้ต้องดับ ลับแลแดดิ้น สิ้นใจทุกคน…


ลุกลนรีบร้อน ก่อนอายุขัย ใช่หยุดสุดทาง ลางร้ายบอกอยู่

คู่หน้าอมทุกข์ ฉุกใจให้ทัน หันหลังกลับมา ฆ่าทุกข์ทิ้งแทน…


อมฤตยิ้มมุมปากหน่อยๆ สองสาวไม่ได้ลงชื่อไว้ จึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่ง เท่าที่ทราบลานดาวและมาวันทามีความสามารถเชิงอักษรศิลป์กินใจด้วยกันทั้งคู่ เขาคลิกรูปไอคอนที่มีคำว่า ก่อนหน้า แปะอยู่ เพื่ออ่านคติธรรมคำคมชิ้นก่อน


สิ่งที่ทำให้เราฆ่าตัวตายได้คือความคิด

สิ่งที่ทำให้เราคิดฆ่าตัวตายได้คือความเศร้าถึงที่สุด

สิ่งที่ทำให้เราเศร้าถึงที่สุดคือการยอมจำนนจนมุม

สิ่งที่ทำให้เรายอมจำนนจนมุมคือความเจ็บปวดที่ไม่อาจเยียวยา


ความเจ็บปวดหายไปได้ด้วยความเปลี่ยนแปลง

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ด้วยความเคลื่อนไหว

ความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นได้ด้วยความมีแก่ใจ

ความมีแก่ใจเกิดขึ้นได้ด้วยความคิด


ความคิดอาจพาเราไปฆ่าตัวตาย

แต่ความคิดนั่นเองจะรั้งเราไว้ในโลกนี้ต่อ

ความคิดจึงเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเราไปสู่ภาวะต่างๆ

ทั้งภาวะอยู่อย่างเป็นสุข ภาวะอยู่อย่างซมซาน

ภาวะตายตามกาล หรือภาวะตายก่อนกำหนด

ทุกภาวะไม่อาจเกิดขึ้นโดยปราศจากความคิดมาเกี่ยวข้อง


ความคิดนั่นแหละที่จะทำให้ชีวิตเราเหมือนปลาเป็นหรือปลาตาย

ปลาเป็นจะดิ้นเสมอ ปลาตายเท่านั้นที่ยอมไหลตามยถากรรม

เมื่อยังมีโอกาสคิดใหม่จึงควรคิดให้ต่างจากชีวิตเดิมที่ผ่านมา

เพราะความคิดฆ่าตัวตายคือผลรวมของความคิดผิดๆทั้งหมดในชีวิตเดิมๆ


อ่านจบอมฤตก็ยิ้มอีก คติชิ้นนี้พอเดาได้ว่าเป็นของมาวันทา สำนวนกับกระแสความเป็นหล่อนฝากแฝงอยู่ในเนื้อความทั้งหมด เรียกว่าอ่านจบก็เกิดมโนภาพใบหน้าคุณหมอผู้มีใจโอบอ้อมอารีขึ้นในใจทันที

แม้ข้อความสำคัญอันโดดเด่นจะประกาศจุดยืนของเว็บค่อนข้างชัดเจน แต่เมื่อดูสารบัญเนื้อหาทางซ้ายมือแล้วใครต่อใครอาจต้องสะดุ้งหน่อยๆ เพราะขึ้นข้อแรกคือ‘วิธีตายอย่างสงบ’ ขอบเขตเนื้อหาจะจาระไนวิธีต่างๆสำหรับคนคิดอยากตายจริงๆ มีทั้งข้อมูลสำคัญเช่นสถิติการไปจริงและการรอดตาย มีทั้งวิธีกรีดข้อมืออย่างถูกต้องและแบบที่ผิดพลาด มีทั้งความเข้าใจที่ถูกต้องและคลาดเคลื่อนว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้จะสบายไร้ความเจ็บปวด เป็นต้น

จากนั้นส่วนของสารบัญจึงขึ้นข้อสองคือ ‘ฆ่าตัวตายแล้วไปไหน’ ขอบเขตเนื้อหาเป็นการบรรยายสิ่งที่เชื่อว่าเป็นความจริงของภาวะหลังขาดใจจากความเป็นมนุษย์ มีการรวบรวมประสบการณ์ทางวิญญาณพิสดารพันลึก ประกอบกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการศาสนามากมายอย่างน่าทึ่ง อมฤตเคยถามมาวันทาก็ได้ความว่ามีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับข้อมูลอยู่

หัวข้อถัดมาคือ ‘วิธีคิดใหม่’ ขอบเขตเนื้อหาจะมุ่งแสดงวิธีคิดผิดๆอันทำให้เกิดมุมมองเลวร้าย และนำไปสู่การตัดสินใจอันเป็นบาปทั้งหลาย ส่วนนี้คือแหล่งรวบรวมบทความที่พี่น้องสองสาวช่วยกันเขียนขึ้น ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัว และจากการพูดคุยกับแขกผู้เข้าเยี่ยมทั้งหลาย ถึงวันนี้มีบทความมากมายหลายชิ้นจนต้องซอยเป็นส่วนย่อย เช่นส่วนแบบสอบถามหาแนวโน้มหรือใจจริงว่าใครเริ่มคิดหรือล้ำหน้าไปถึงจุดของการตัดสินใจฆ่าตัวตายแน่แล้ว นอกจากนี้ยังมีส่วนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และศาสนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ส่วนของการคิดในทางที่จะเป็นกำลังใจกับตนเองและคนรอบข้าง รวมทั้งส่วนของการดำเนินจิตที่จะทำให้หลุดออกมาจากความเศร้าสร้อยตรงๆ อมฤตภูมิใจอยู่บ้างที่ลานดาวกับมาวันทานำคำสอนของเขาหลายๆชิ้นมาเรียบเรียงแปะไว้

หัวข้อถัดมาคือ ‘มรณศิลป์’ ซึ่งลานดาวรับผิดชอบจัดการอยู่เต็มๆ หล่อนเป็นศิลปินที่แต่งแต้มสารพัดสีสันไว้ในส่วนนี้ของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นโคลงกลอน เรื่องสั้น มุมมองตลกๆเกี่ยวกับชีวิตและความตาย พลังความบันเทิงของหล่อนถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งประพันธ์เพลงที่เป็นกำลังใจ เพลงที่ชักชวนให้กลับใจ เพลงที่พรรณนาสภาพหลังการฆ่าตัวตายอันชวนให้รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าความหดหู่ขณะทรมานแสนสาหัสบนโลกมนุษย์ ทำเอาใครต่อใครหลงเสียง อยากเห็นหน้าคนร้องกันจ้าละหวั่น

หัวข้อถัดมาคือ ‘รวมประสบการณ์รอดตาย’ มีทั้งเรื่องของพวกหล่อนเอง เรื่องของผู้เข้าเยี่ยมเว็บ และคำให้การของผู้ที่เคยฆ่าตัวตายไม่สำเร็จทั้งไทยและเทศ มีเรื่องของภาวะเฉียดตาย ภาวะที่เชื่อกันว่าตายแล้วฟื้นคืนชีพ ตลอดจนประสบการณ์ระลึกชาติของเด็กตัวน้อยที่เล่าเรื่องชาติใกล้ได้ถูกต้องและมีหลักฐานยืนยันชัดเป็นญาติมิตรกับสถานที่ในปางก่อนที่ยังปรากฏอยู่ มาวันทากับลานดาวจะคัดเฉพาะที่อ่านแล้วชวนให้สลดสังเวชและคิดเปลี่ยนใจ อยากกลับลำฮึดสู้ชีวิต ทำทุกสิ่งให้เป็นวันใหม่สดใสขึ้น การประชุมคนหัวอกเดียวกันมาช่วยพูดในทางจรรโลงใจได้กลายเป็นพลังยิ่งใหญ่ ปลุกเร้าให้ตื่นจากความหลับใหลได้อย่างน่าปลื้มปีติ

หัวข้อถัดมาคือ ‘กระดานสนทนา’ เป็นส่วนที่ผู้เข้าเยี่ยมจะสามารถพูดคุยกันเองหรือไถ่ถามขอความเห็นจากเจ้าของเว็บไซต์ ส่วนนี้จะได้รับความนิยมเข้าเยี่ยมมากกว่าส่วนอื่นๆ อันเป็นธรรมดาของเขตการสื่อสารสองทาง มีร่องรอยโต้ตอบ มีหลักฐานพัฒนาการทางสำนึก มีการระดมจิตวิญญาณเข้าร่วมทำสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดี หลายคนเคยผ่านประสบการณ์คิดหรือลงมือฆ่าตัวตายจริงๆมาก่อน บางคนเปลี่ยนใจหรือเริ่มลังเลก็เพราะเข้ามาร่วมวงกับส่วนกระดานสนทนานี่เอง

หัวข้อสุดท้ายคือ ‘เว็บไซต์น่าแวะ’ เป็นส่วนที่รวบรวมเว็บไซต์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ดารดาษกลาดเกลื่อน แสดงว่าในเมืองนอกก็มีคนเห็นความสำคัญของวิกฤตกระแสการฆ่าตัวตายมากขึ้นเรื่อยๆ

นับว่าเนื้อหาของคู่มือนักฆ่าตัวตายครบวงจรดีจริงๆ อมฤตชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนเลือกเข้าสู่ส่วนของกระดานสนทนาเป็นอันดับแรกสำหรับคืนนี้ ด้วยความอยากดูว่าพี่น้องสองสาวมีโอกาสเจรจาต่อรองกับพญามัจจุราชได้กี่ครั้งเข้าไปแล้ว

เลื่อนดูกระทู้ล่าสุด ชื่อของข้อกระทู้คือคำถามว่า ‘คนมาจากไหน?’ เมื่อคลิกเข้าไปอ่านก็เป็นไปตามคาด สาวเจ้าของกระทู้ซึ่งใช้ชื่อว่า ‘โบเอ้’ เหมือนใครต่อใครที่เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับความตาย คือสงสัยว่าโลกจะขนเอาคนที่ไหนมาเกิด ในเมื่อสมัยก่อนมีอยู่หยิบมือเดียว แต่ปัจจุบันซัดเข้าไปหกพันล้านอย่างนี้

ผู้ที่ตอบเป็นคนแรกใช้ชื่อว่า ‘หมอวันทา’ ซึ่งจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากมาวันทานั่นเอง หล่อนตั้งนามแฝงโดยใช้คำแรกว่า ‘หมอ’ เพื่อบอกเป็นนัยถึงคุณวุฒิที่ประกันความน่าเชื่อถือของข้อมูล ซึ่งหากติดตามมาระยะหนึ่งสมาชิกเว็บทุกคนคงพอทราบได้ว่าหล่อนเป็นหมอจริงๆ ส่วนชื่อ ‘วันทา’ ดึงจากส่วนหนึ่งของชื่อจริง บ่งบอกว่าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนทั้งหมด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดบังมิดชิดนัก หากเพื่อนหมอหรือพยาบาลที่ไหนผ่านมาพบเว็บไซต์นี้เข้า ก็อาจสงสัยและไปถามว่าใช่หล่อนหรือเปล่าได้

ต่อไปคือข้อความที่มาวันทาตอบกระทู้

“พวกเรามักถูกหลอกด้วยตัวเลขจำนวนประชากร เช่นอย่างที่ทราบกันว่าก่อนขึ้น ค.ศ. ๒๐๐๐ มีพลโลกทั้งสิ้น ๖,๐๐๐ ล้านคน เราก็จำไว้โดยอัตโนมัติว่ามีมนุษย์จำนวนเท่านั้นดำรงชีวิตอยู่ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ความเป็นจริงคือโลกนี้คือการยักย้ายถ่ายเทระหว่างคนเป็นกับคนตาย หากใครคิดประดิษฐ์กล้องส่องดูความเกิดความตายอยู่นอกโลกได้ จะเห็นมีคนเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดถึงวินาทีละสาม แต่ขณะเดียวกันวินาทีนั้นจะมีคนตายแลกเปลี่ยนกันสองด้วย…

“ตายวินาทีละสอง หมายความว่าวันละแสนเจ็ด ซึ่งฟังดูเหมือนมาก แต่ด้วยจำนวนพลโลกกว่าหกพันล้านคนในเวลานี้ คุณจะต้องรู้จักคนราวครึ่งตำบลถึงจะได้ข่าวการตายรายวันทีละคน…

“คำนวณกันไว้ว่าตั้งแต่ต้นตระกูลมนุษย์อุบัติมาจนถึงทุกวันนี้ น่ามีผู้ได้เหยียบโลกรวมแล้วไม่ต่ำกว่าแสนล้านคน เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อว่ามนุษย์ตายแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็อย่าได้แปลกใจอะไรเลย หกพันล้านยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำสำหรับการเวียนว่ายอยู่ในโลกใบเก่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา…

“แต่ข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะตามหลักความเชื่อทางศาสนาพุทธนั้น มนุษย์ไม่ได้มาจากอดีตที่เคยเป็นมนุษย์เสมอไป แต่อาจมาจากสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทวดา และพรหม โดยโลกนี้เป็นเพียงจุดศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนระหว่างภพด้านล่างกับภพด้านบน เป็นจุดตั้งหลักตัดสินว่าวิญญาณใดจะไปครองอัตภาพแบบไหนในอนาคตเบื้องหน้า…

“สำหรับภพภูมิอื่นที่ลี้ลับเช่นนรกสวรรค์นั้นขอยกไว้ เอาเฉพาะที่พวกเราสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็แล้วกัน คือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าจำนวนประชากรสัตว์มีอยู่เท่าใด เอาสัตว์ใหญ่เฉพาะวัวควาย หมู และแกะ ที่ผ่านโรงฆ่าสัตว์มาเป็นอาหารของมนุษย์นั้น หนึ่งปีรวมแล้วเกิน ๑,๖๐๐ ล้านตัว ส่วนสัตว์เล็กที่ฆ่ากันได้สะดวก ไม่ต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์อย่างเช่นไก่นั้น ยอดต่อปีเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดตกราวปีละ ๑๘,๐๐๐ ล้านตัว สัตว์เพียง ๕ ชนิดที่เป็นอาหารประจำของมนุษย์เหล่านี้ ก็เกินจำนวนพลโลกในปัจจุบันแล้ว อย่าลืมว่าตัวเลขข้างต้นนี้ยังไม่ได้นับพวกที่มีชีวิตโดยไม่ผ่านโรงฆ่าสัตว์นะคะ…

“สัตว์ยิ่งเล็กลงมาเท่าไหร่ก็ยิ่งมีปริมาณมากขึ้นเท่านั้น ประมาณว่าปลาทั้งมหาสมุทรมีอยู่ไม่ต่ำกว่า ๓.๗ ล้านล้านตัว ขนาดปลายังขึ้นหลักล้านล้าน ก็ขอให้ลองคิดเล่นๆว่าสัตว์เล็กกว่านั้นอย่างเช่นหนอน มด ปลวกที่บ้านหลังเดียวมีไม่ทราบกี่แสน รวมทั้งโลกจะยิ่งเป็นจำนวนอนันต์เกินจินตนาการปานใด เพราะฉะนั้นถ้าพูดแค่ตัวเลขของสรรพชีวิตแบบดิบๆ ไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ว่าสัตว์ใดบ้างที่มีสิทธิ์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่น่าสงสัยเลยค่ะว่าทำไมคนถึงล้นโลกได้อย่างทุกวันนี้ หากกล่าวเฉพาะสัดส่วนจำนวนประชากร เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เปรียบเสมือนชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในโลกใบมหึมานี้เท่านั้น…

“หากเชื่อว่าสัตว์มีแดนเกิดอันเหมาะสมกับกรรม ความหลากหลายของกรรมมีแค่ไหน ขอให้ลองดูจากความจริงที่โลกใบนี้ใบเดียวรองรับสิ่งมีชีวิตไว้ถึงประมาณ ๑๐ ล้านสายพันธุ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือโลกนี้ยินดีต้อนรับจำพวกกรรมหลักๆ ๑๐ ล้านประเภท และแต่ละสายพันธุ์ก็ไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่คู่โลกไปจนชั่วฟ้าดินดับ คือต่างก็กำลังทยอยสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆทั้งสิ้น…

“ถ้ามองจากภาพใหญ่ ก็จะเห็นว่าการแปรพันธุ์เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง แต่หากมองตามนัยของกรรม ก็อาจกล่าวว่าหมดวิญญาณที่ต้องเสวยวิบากกรรมในจำพวกนั้นๆแล้ว และต้องเร่ร่อนไปใช้กรรมรูปแบบอื่น ซึ่งอาจตกต่ำลงหรือสูงส่งขึ้น ถ้าคำนวณแค่อย่างหยาบที่สุดก็จะเห็นว่าขอเพียงสัตว์มีใจสูงขึ้นพอจะแปรพันธุ์เป็นมนุษย์ได้สักหนึ่งในล้านจากพวกของมันเอง รวมหนึ่งในล้านจากทุกเผ่าพันธุ์ทั้งหมดก็ต้องเกินจำนวนพลโลกขณะนี้ไปมากแล้ว…

“อีกอย่างขอให้สังเกตด้วยนะคะ โลกนี้ยินดีต้อนรับมนุษย์ในจำนวนจำกัด การบริโภคทรัพยากรของพวกเราบ่งบอกได้ดี คือเมื่อไหร่พลโลกขึ้นหลักหมื่นล้าน เมื่อนั้นทรัพยากรธรรมชาติจะไม่เพียงพอทันที ซึ่งก็คำนวณกันว่าอีกแค่ไม่กี่สิบปีข้างหน้านี่แหละ สิทธิ์ของการเกิดเป็นมนุษย์อาจลดลงฮวบฮาบ ขณะที่การด่วนตายจากอาจเพิ่มขึ้นพรวดพราดน่าตกใจ!”

ยายโบเอ้คงติดใจคำตอบของมาวันทา เมื่ออมฤตเลื่อนลงมาดูข้างล่างจึงเห็นโบเอ้ถามต่ออีก

“แล้วทำอย่างไรสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตในภพภูมิอื่นถึงมีสิทธิ์มาเกิดเป็นมนุษย์คะ?”

หลังคำถามของโบเอ้ มีคนมาตอบแบบไร้สาระสองสามข้อ เช่น “คงเป็นพวกสุนัขที่เริ่มล้างก้นตัวเองเป็น” หรือ “น่าจะเป็นพวกลิงที่เริ่มมักใหญ่ใฝ่สูงมากกว่า” ก่อนจะถึงคำตอบอันสุขุมของมาวันทา

“สิทธิ์การเกิดในภพภูมิไหนๆอยู่ที่ระดับของจิต จิตคิดก่อกรรมใดเป็นประจำ ก็จะมีภพภูมิมารองรับอย่างเหมาะสมเสมอ เป็นมนุษย์ต้องมีบุญสั่งสมไว้พอควร อย่างน้อยพื้นจิตพื้นใจต้องมีความละอายต่อบาปบ้าง นี่คือคำตอบว่าทำไมมนุษย์ทุกคนจึงมีมโนธรรมติดตัวมาแต่กำเนิด แม้กระทำเรื่องที่ดูชั่วช้าสามานย์สักปานใด วันหนึ่งเขาก็มีสิทธิ์สำนึกและกลับตัวกลับใจได้…

“สำหรับสัตว์ที่มีสิทธิ์เลื่อนชั้นมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น อาจจะเป็นหมาแมวตามบ้านคนใจบุญหรือตามวัดวาอารามที่มีพระผู้ทรงศีลพำนัก หากใกล้ชิดกับกระแสของคนมีเมตตา เลี้ยงดูไม่ให้พวกมันต้องฆ่าสัตว์กินเอง พอรับกระแสความดีของมนุษย์มากเข้าก็เกิดสำนึกในทางละอายบาปประการต่างๆได้เหมือนกัน ตอนตายมีสิทธิ์เกิดมโนภาพอันเป็นกุศล จุดชนวนให้เลื่อนสู่ภพที่สูงขึ้น…

“นอกจากนั้นสัตว์กินหญ้าพวกวัวควาย บางทีเขาแค่พักอยู่ในอัตภาพที่ต้องใช้เวรใช้กรรม เช่นอาจเคยเป็นพระที่เอาแต่นั่งๆนอนๆฉันข้าวชาวบ้านโดยไม่ทำกิจอันควร ก็ต้องมาเกิดเพื่อให้ชาวบ้านฆ่าเอาเนื้อหนังไปกินบ้าง พอพ้นจากภาวะจองจำของสัตว์เดรัจฉาน ก็อาจกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งด้วยบุญเก่าเมื่อครั้งบวชเรียนนั่นเอง”

สาวน้อยโบเอ้เจ้าของกระทู้มาถามต่ออีก

“น่ากลัวจัง อย่างนี้เป็นพระก็ไม่ดีสิคะ แค่ขี้เกียจก็มีสิทธิ์ไปเป็นวัวแล้ว คนทั่วไปมีนิสัยขี้เกียจ ไม่ค่อยรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองกันเป็นส่วนใหญ่นี่หน่า…”

มาวันทากลับมาตอบในเวลาไม่ช้านานนัก

“ขอให้เข้าใจว่าที่กล่าวข้างต้นเป็นแค่การยกตัวอย่าง ไม่ใช่พระขี้เกียจจะต้องเกิดเป็นวัวเสมอไป บุญกรรมเป็นเรื่องซับซ้อนและมีความหลากหลายพอๆกับจินตนาการของมนุษย์เรา มนุษย์เรามีภาพแห่งความรู้สึกทางใจชนิดใดเกิดขึ้นได้ ตายแล้วก็อาจพุ่งเข้าไปสู่ภพแห่งภาพความเป็นเช่นนั้นได้หมด เพราะกรรมจากการคิด การพูด การทำนั่นเอง ที่ปรุงแต่งให้เกิดจินตนาการต่างๆขึ้น คล้ายกับที่เกิดสภาพปรุงแต่งให้เกิดภพชาติทั้งหลายขณะขาดใจตาย…

“การเป็นพระนั้น เพียงปลงผมบวชอย่างไม่รู้อะไรเลย ก็ได้ชื่อว่าสืบทอดพระพุทธศาสนา ถือเป็นบุญใหญ่มหาศาลแล้ว ยิ่งหากเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของการบวชอย่างแท้จริง เขาจะเป็นคนโชคดีที่สุดในโลก เพราะมีสิทธิ์ไปอยู่ในสภาพเหนือการเวียนว่ายตายเกิด เป็นสุขสงบ พ้นทุกข์พ้นร้อนทั้งปวง…

“อันที่จริงถึงแม้ไม่เป็นพระนิสัยขี้เกียจ มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มจะไหลลงต่ำอยู่แล้ว ขอให้สังเกตว่าในหมู่คนเรานั้น เวลาทำอะไรด้วยความเห็นแก่ได้ของตัวเอง มักจะอ้างว่าใครๆก็ทำกันฉันเลยต้องทำมั่ง ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะทั้งโลกเสพติดและหลงเมากิเลสกันงอมแงม ก่อกรรมรับใช้กิเลสกันอย่างมักง่ายไม่ละอายบาป เป็นเหตุผลอันสมควรว่าทำไมตายแล้วจึงไหลไปสู่ความเป็นสัตว์ปะปนกันมากมายเกินจะนับขนาดนั้น”

โบเอ้กลับมาต่อคำถามแบบเด็กๆ

“หู… น่ากัวจังเยย อย่างโบเอ้เคยเกิดเป็นสัตว์หรือเปล่าคะ?” แต่เจ้าหล่อนก็ตอบคำถามของตัวเองเสร็จสรรพ “เคยหรือไม่เคยช่างมันเถอะเนอะ ทำยังไงจะไม่เป็นอีกดีกว่า”

ถัดจากนั้นมีใครอีกคนที่ใช้ชื่อ ‘เรืองเดช’ มาถามบ้าง

“ถ้าโลกนี้เป็นแค่แหล่งเวียนเกิดเวียนตายของสิ่งมีชีวิตต่างๆ สลับสับเปลี่ยนจากความเป็นอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่นนั้นแล้วสาระการปรากฏและดำรงอยู่ของสรรพชีวิตคืออะไร แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าทำอะไรถึงคุ้มค่าที่สุด ดีที่สุดในชาตินี้?”

มาวันทามาตอบว่า

“คำตอบเกี่ยวกับชีวิตมีอยู่หลากหลาย แต่คำตอบใดจะ ‘เข้าถึงใจ’ ของเราได้ก็ขึ้นอยู่กับพื้นเพความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของเราเองด้วย… สำหรับดิฉัน ศักยภาพที่ดีที่สุดของความเป็นมนุษย์คือเราตั้งคำถามได้ เราหาคำตอบได้ และถ้าเรามีโจทย์ที่เข้าเป้าที่สุดแล้วล่ะก็ การเกิดมาครั้งนี้อาจนับว่ามีความหมายอย่างที่สุดในบรรดาภพชาติทั้งหมดของเราเช่นกัน…

“บุคคลที่ดิฉันเคารพนับถือและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ได้แก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว คือพระพุทธเจ้า ท่านตั้งมุมมองไว้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ การประสบสิ่งไม่ชอบใจเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากคนรักเป็นทุกข์ เราหมุนเวียนเปลี่ยนรูปแบบการเผชิญทุกข์ไปต่างๆนานาอย่างไร้สาระแก่นสาร… หากโจทย์ของเราเหมือนกับโจทย์ของพระพุทธองค์ คือทำอย่างไรจะพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด ไม่หวนกลับคืนมาสู่วังวนทุกข์อีก ก็อาจเป็นการตั้งคำถามที่ยิ่งใหญ่ และให้ผลสะเทือนอันประเสริฐสูงสุด”

อมฤตอ่านด้วยความรู้สึกทึ่ง ถ้อยคำเหล่านั้นน่าจะเกินภูมิของมาวันทาไปมาก เบื้องหลังคำตอบคงเป็น ‘ผู้ใหญ่ที่ให้ความช่วยเหลือ’ ซึ่งหล่อนเคยอ้างถึงนั่นเอง เขาชักอยากเห็นหน้าผู้ใหญ่คนนั้นของหล่อนขึ้นมารำไร

ส่วนที่เหลือของกระทู้นั้นไม่มีสาระนัก เพราะพอมาวันทาทำท่าจะวกเข้าเรื่องศาสนา ก็เหมือนคนร่วมกระทู้จะเริ่มหมดความสนใจกันทันใด

จิตแพทย์หนุ่มกลับมาที่หน้ารวมกระทู้ กวาดตาหา เผื่อจะได้เจอกระทู้ของสาวน้อยโบเอ้ เพื่อแกะรอยความเป็นมาเป็นไปก่อนที่หล่อนจะมาถึงคำถามว่าคนมาจากไหน ปรากฏว่าหล่อนเคยตั้งกระทู้ไว้ก่อนจริงๆ ที่ใกล้สุดคือ ‘ความรักคืออะไร?’

เมื่อคลิกเข้าไปก็เห็นว่าแท้จริงเจ้าหล่อนไม่ได้อยากรู้นิยามของความรักมากนัก จริงๆแล้วอยากรู้มากกว่าว่าคุณหมอวันทากับ 'พี่จิ๊' มีทัศนคติเกี่ยวกับความรักอย่างไร เพราะข้อกระทู้เจาะจงว่า…

“คุณหมอวันทากับพี่จิ๊ว่าความรักคืออะไรคะ? โบเอ้สืบเสาะจากที่ไหนๆก็ไม่เจอคำตอบที่รู้สึกว่าใช่เลย”

คนแรกที่เข้าไปตอบคือคุณหมอวันทาอีกตามเคย…

“ความรักคือสาเหตุอันดับหนึ่งของคดีฆ่าตัวตายค่ะ”

คุณหมอวันทาห้อยรูปอมยิ้มไว้ในตอนท้ายด้วย ถัดจากนั้นมีคนเข้ามาช่วยออกความเห็นหลายต่อหลายราย เช่นที่ถัดจากคุณหมอวันทาใช้นามว่า 'น้ำนิ่ง'

“ความรักคือสายตาที่มองใครคนหนึ่งด้วยประกายพิเศษ คือปากที่เรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแตกต่างจากคนอื่น คือใจที่ส่งกระแสคิดถึงเขาผิดแปลกจากหญิงชายไหนๆ และขณะที่คนรักของเรามองผู้คนรอบตัวด้วยอาการตกประหม่า สั่นกลัว หรือท้อแท้สิ้นหวัง เพียงเห็นเราคนเดียวที่ส่งสายตามองหรือส่งเสียงเรียกชื่อเขาจากทางไกล เขาจะรู้สึกเข้มแข็งและไม่กลัวอะไรอีกต่อไป”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'ซมซาน'

“คุณจะรู้ว่ารักจริงเป็นอย่างไร เมื่อถูกใครตบตีจนปวดไปทั้งตัว แต่คุณยังกลัวว่าเขาจะจากไปอยู่ทุกวัน”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'Daylight Venus'

“ถ้าเขาสารภาพว่าไม่รวยด้วยท่าทีหวาดกลัวว่าคุณจะทอดทิ้ง นอกจากคุณจะไม่เดินจากไปอย่างที่เขาคิดแล้ว ยังยิ้มกระจ่างและพูดเต็มปากว่าคุณจะอยู่กับเขา แถมทำให้เขาประหลาดใจ ตื่นเต้นยินดีแทบเป็นบ้าเป็นหลังที่ได้รับของขวัญเป็นซีดีเพลง We’ve Only Just Begun ของคาร์เพนเตอร์สอีกด้วย… นั่นแหละรักแท้”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'นี่หน่า'

“เราว่าง่ายๆนะ ความรักคือสิ่งที่ทำให้หัวใจพองโตไงล่ะ”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'คนที่กำลังจะจากไป'

“ความรักคือสิ่งเลวร้ายที่สุดในโลกค่ะ”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'จิงๆ'

“คนสมัยนี้ไม่รู้จักหรอก ความรักระหว่างหญิงชายน่ะ ผู้ชายมองผู้หญิงก็สำรวจสัดส่วนก่อนว่าน่าฟันหรือเปล่า ส่วนผู้หญิงก็มองแต่กระเป๋าสตางค์ผู้ชายว่าใบโตแค่ไหน ความรักควรเป็นศัพท์ที่เอาไว้ใช้ระหว่างคนในครอบครัวที่ยังไม่ตบกันเรื่องแย่งมรดก คือตอนที่เรายังรู้สึกอุ่นใจว่ามีใครบางคนอยู่บ้านเดียวกัน พร้อมจะช่วยเรา และไม่หักหลังเรา”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'Stupid & Charming'

“คุณมีความเกลียดซุกซ่อนอยู่บ้างไหม? ลองงัดมันขึ้นมา เผชิญหน้ามัน แล้วพยายามเปลี่ยนความเกลียดจนกลายเป็นความรู้สึกตรงข้ามให้สำเร็จ แล้วคุณจะพบความรักในแบบที่น้อยคนจะรู้จัก”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'ฟุดฟิด'

“ความรักคือการยอมโง่ แกล้งทำเป็นซื่อบื้อ เชื่อทุกอย่างที่เขาโกหกเพียงเพื่อช่วยถนอมวิญญาณเขาไม่ให้ต้องทำบาปเพิ่ม เช่นหาข้อแก้ตัวมาโกหกต่อ”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'Death Penalty'

“ความรักเหมือนหลุมดักสัตว์หน้าโง่ให้ตกลงไป มีแต่ความตายรออยู่ในนั้น”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'ไฮโซอดโซ'

“ความรักคือแสงเทียนในห้องมืด คือแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว คือแสงจันทร์ในยามว้าเหว่… แต่เสียดายเรากินแสงสว่างต่างข้าวไม่ได้ อิอิ เพราะฉะนั้น no car no love นะจ๊ะ”

คนถัดมาใช้ชื่อว่า 'ดาบซามูไร'

“ดูความรู้สึกของคุณตอนบอกตัวเองว่ารักใคร รับรู้ตามจริงว่ามันคือรัก แล้วอย่าหาคำอธิบายเพิ่มเติม เพราะมันจะผิดหมด”

อมฤตอ่านกวาดลงมาเรื่อยๆจนเริ่มขี้เกียจ เกือบจะปิดกระทู้นั้นทิ้ง ก็พอดีกับที่นางเอกปรากฏตัว… ลานดาวในคราบ 'พี่จิ๊' ของน้องโบเอ้ ทำให้เขาตาตื่นขึ้นทันใดด้วยคำตอบที่ยาวเหยียด

“อิ๊อิ๊ หวัดดีน้องโบเอ้ผู้ตกอยู่ในห้วงรักเหวลึก คนเรานี่ก็แปลก เหมือนถ้าไม่เจอนิยามความรักที่เชื่อว่าใช่ ก็จะไม่มั่นใจว่าที่ตัวเองประสบอยู่นั้นใช่ความรักจริงๆหรือเปล่า พี่จิ๊ก็เคยเป็นอย่างนี้แหละ วิ่งหน้าตื่นไปถามเพื่อนว่าทำไมเราถึงต้องคิดถึงคนนั้นคนนี้แบบแกะออกจากหัวไม่ออก แล้วไอ้แบบที่เราหลงใครแทบคลั่งตาย ท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนพวกติดยานี่เรียกว่ารักแท้แล้วหรือยัง…

“เห็นด้วยกับความเห็นของคุณดาบซามูไร ความรักเป็นความรู้สึกที่เราเข้าใจได้เองอยู่ข้างใน ไม่อย่างนั้นเราจะพูดกันรู้เรื่องได้ยังไงว่าหมายถึงอารมณ์แบบไหน คำว่า'รัก' เนี่ยนะน้อง เกิดมาเจอหน้าพ่อแม่ คิดถึงพวกท่าน โหยหาพวกท่าน อบอุ่นเมื่อพวกท่านกอด แค่นี้ก็รู้จักรักกันแล้วล่ะ รักแบบอื่นๆก็ความรู้สึกทำนองเดียวกันนั่นแล ไม่ต้องสรรคำอธิบายให้ล้ำเส้นความรู้สึกออกมาร้อก…

“แต่ที่เราสับสนกันว่าเป็นรักจริงหรือรักเก๊ ก็เพราะความรักเป็นสิ่งมีเงื่อนไข ถ้าไม่ฝึกแผ่เมตตาแบบพระพุทธเจ้าสอน พวกเราก็รักกันแบบปราศจากเงื่อนไขไม่เป็น ต้องมีตัวแปรอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เรื่อย ใครเจอประสบการณ์มาอย่างไรก็จดจำไว้ว่ารักเป็นอย่างนั้น เช่นถ้าน้องโบเอ้เจอแฟนที่แสนดี เวลาน้องโบเอ้พูดถึงความรัก ก็จะเหมือนคนมองโลกในแง่ดี อยากยิ้มอยากหัวเราะให้ระเบิดเถิดเทิง แต่ถ้าเจอแฟนอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าม้าเหนื่อย น้องโบเอ้ก็จะพูดถึงความรักแบบหวานอมขมกลืน สุข เศร้า เหงา ซึ้ง ครบทุกรส ยิ่งถ้าโช้ะกะเด๊ะเจอผู้ชายร้ายๆ มาหลอกเรา เอาเปรียบเรา ทำร้ายร่างกายและจิตใจเรา อย่างนี้น้องโบเอ้คงอยากกรี๊ดแหลมๆเหมือนหมูยางถูกบีบ และพานเห็นความรักเป็นประตูเข้าชมหนังเรื่อง The End of the World ไปโน่น”

สิ้นความเห็นของพี่จิ๊ น้องโบเอ้ก็เข้ามาถามต่อภายในสิบนาที ตามเวลาที่บันทึกกำกับแต่ละความเห็นไว้ คงเพราะเผอิญออนไลน์พร้อมกัน

“ขอบคุณหลายเด้อสำหรับทุกความเห็น โบเอ้หูตากว้างขวางขึ้นเยอะเลยอ้ะค่ะ พี่จิ๊คะ… แล้วเราจะรู้ได้ไงว่ารักของเราจริงหรือเก๊? บางทีสับสน เลือกไม่ถูก”

เฉพาะข้อความดังกล่าว เพิ่งแสดงให้เห็นว่ายายโบเอ้หลงเข้ามาในเว็บฆ่าตัวตาย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้อยากฆ่าตัวตาย แต่คงอ่านๆแล้วติดใจ ประกอบกับเห็นหมอวันทากับพี่จิ๊เหมือนพี่สาวใจดี เลยอยากถามอะไรต่ออะไรประสาวัยรุ่นขี้สงสัยเท่านั้น

'พี่จิ๊' กลับเข้ามาตอบทันใจภายในครึ่งชั่วโมง

“แฟนของพี่จิ๊เคยบอกกับพี่จิ๊ว่ารักระหว่างหญิงชายมีสาเหตุเสมอ จะเพราะหลงรูปเสียงของเขา หรือเพราะช่วยเหลือเกื้อกูลจนเกิดความซึ้งใจก็ตาม แต่ที่จะวัดว่ารักนั้นแท้หรือเทียม ก็คงอาศัยเหตุการณ์พิสูจน์ในระหว่างอยู่ด้วยกัน ถ้ารักเราชนะกระทั่งความกลัวตาย รักนั้นคือรักแท้…

“เผอิญเขาพูดแทบจะยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเรื่องพิสูจน์ใจพี่จิ๊เกือบทันใด ทำให้พี่จิ๊รู้ตัวว่าตัวเองยังรักตัวกลัวตายมากกว่าจะยอมสละชีวิตให้ หรือกระทั่งตายพร้อมกับเขา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพี่จิ๊ตั้งใจจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาเขาไว้ แท้จริงแล้วเราแค่อยากครอบครองคนถูกใจไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เขาต้องดีสำเร็จรูปมาเสียก่อน เราถึงจะอยากได้ อยากหวง อยากอวด วงเล็บคือต้องตอนที่ยังเป็นๆ ยังหายใจได้เป็นปกติดีอยู่ด้วย…

“หลังเหตุการณ์พิสูจน์ใจ พี่จิ๊มานอนก่ายหน้าผากทบทวนอยู่หลายอาทิตย์ ตกลงที่เราโหยหาความรักมาทั้งชีวิต แทบอยากตายเมื่อไม่เจอความรัก หรืออยากตายเมื่อผิดหวังในรัก แท้จริงแล้วเป็นแค่อารมณ์หลอกตัวเองเท่านั้นหรือ? เราไม่เคยพร้อมจะตายเพื่อบูชารักเลย เราจะเป็นจะตายเมื่อไม่ได้อย่างใจมากกว่า นี่แหละ คนเรามีแต่รักตัวเอง เรียกร้องเอาอะไรเข้าตัวเองทั้งนั้น…

“แต่พี่จิ๊ก็ค้นพบตัวเองอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเราเจอคนมีน้ำใจเสียสละยิ่งใหญ่ เราชื่นชมบูชาความเป็นเขา วันหนึ่งเขาก็อาจเปลี่ยนแปลงเราได้ในทางอ้อม เช่นเห็นว่าการยอมตายเพื่อเขาอาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการพิสูจน์ใจว่าเรารักจริง แต่ช่วงเวลาของการตัดใจยอมตายมันสั้นแค่วูบเดียว ยังไม่เห็นธาตุแท้ของหัวใจนานพอหรอก คนเราบ้าเลือดขึ้นมาก็เผลอตัวกระโจนจากหน้าต่างตึกเอาง่ายๆเยอะแยะไป…

“ต่างจากการ 'แลกด้วยชีวิตทั้งชีวิต…' ถ้าหมอดูแม่นๆทำนายว่าเราจะเป็นคนดังระดับโลก เราคำนวณว่าใช้ชีวิตตามถนัดแล้วอาจรวยเป็นพันล้านหมื่นล้านในชั่วเวลาสามสี่ปี แต่มีข้อแม้ว่าต้องเสียเขาไป เราจะเลือกอะไร?… หลังจากสู้รบตบมือกับความคิดตัวเอง ร้องไห้เสียดายอนาคตจนใจแทบขาดแล้ว หัวใจยังสั่งให้เลือกเขาอยู่ นั่นแหละของจริง! ถ้าเรายอมเปลี่ยนแปลงนิสัย ยอมสละบางสิ่งที่สำคัญกับตัวเอง เลือกใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งซึ่งยุ่งยากกว่าเส้นทางที่ปูพรมรอเพียงด้วยเหตุผลคือ 'เพื่อรักษาเขาไว้'… เราถึงจะมีสิทธิ์รู้จักความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงด้วยกรรมลิขิตของตัวเอง”

อมฤตอ่านแล้วนิ่งงันไปทั้งร่างราวกับถูกสาป ลำคอตีบในอาการสะอึกตื้นตัน ลานดาวเขียนตามสบายโดยไม่นึกว่าเขาจะเข้ามาอ่าน เพราะปกติเขาไม่ค่อยมีเวลาออนไลน์นัก ทุกคำพูดจึงปล่อยออกมาจากใจหมดสิ้น ปราศจากลักษณะการแฝงสื่อเรียกร้องให้เขาเห็นใจแต่อย่างใด

ชายหนุ่มเม้มปากแน่น เพิ่งตระหนักว่าเขาก็มีค่าตัวเหมือนกัน หากหล่อนเห็นค่าตัวเขาแพงกว่าเกียรติยศชื่อเสียงกับเงินทองกองพะเนิน และหากหล่อนเห็นคุณค่าของเขาคุ้มพอจะแลกด้วยวิถีชีวิตทั้งหมดขนาดนี้ เขาก็จะตอกหลักปักย้ำให้ลงลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ ลานดาวจะเป็นตัวจริงเพียงหนึ่งเดียวของเขาไปจนชั่วชีวิต!




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น