วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

เกมกรรม บทที่ ๕ - แรงบีบคั้น (ดังตฤณ)

ยิ่งถูกบีบคั้นมากขึ้นเท่าใด ใจจะยิ่งคิดถึงทางออกที่ถูกต้องน้อยลงเท่านั้น

ความต้องการปัจจัยเพื่อการอยู่รอด
แม้ไม่รู้จักศาสนาพุทธ มนุษย์ก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ ทุกคนจะต้องมีปัจจัยพื้นฐานในการหล่อเลี้ยงชีวิต สิ่งเหล่านั้นคือปัจจัย ๔ ทุกคนยอมจำนนให้ ถ้าไม่มีก็ต้องทำให้มันมี หรือถ้ามีอยู่แล้วแต่เริ่มร่อยหรอก็ต้องหาเพิ่ม มิฉะนั้นก็ต้องตายสถานเดียว

๑) อาหาร ทุกคนต้องมีกิน เป็นสิ่งที่ถ้าไม่เติมก็ต้องตาย คนมีกินมีใช้จะไม่รู้สึกถึงความสำคัญของอาหารมากนัก ต่อเมื่ออยู่ในฐานะที่ไม่แน่ว่ามื้อต่อไปจะมีกินหรือเปล่า นั่นแหละจึงทราบว่าอาหารเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหน หากอาหารปรากฏเป็นความไม่แน่นอนว่าจะมีหรือไม่มี ก็เป็นตัวบีบให้เลือกว่าต้องทำอย่างไรถึงจะมีแน่ๆ

๒) ที่อยู่อาศัย บางคนไม่เห็นด้วยว่าที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ เพราะสามารถเร่ร่อนไปเรื่อยโดยไม่นำพาว่าจะอยู่ตรงไหนได้ช้านานเพียงใด อย่างไรก็ตาม ถ้าใครกล่าวว่าแผ่นดินสาธารณะเป็นพื้นบ้าน และท้องฟ้ากว้างเป็นเพดานใหญ่ เขาก็ต้องทำบางสิ่งเพื่อรักษาบ้านของเขาไว้อยู่ดี นั่นคือจ่ายค่าเช่าบ้านด้วยการเดินเท้าไปเรื่อยๆ แม้ขอทานก็หยุดอยู่กับที่ตลอดไปไม่ได้ เพราะที่อุจจาระปัสสาวะมันจะตันเอา พูดง่ายๆว่าอย่างไรก็ต้องโดนอึฉี่ของตนเองไล่ที่อยู่ดี

๓) เครื่องนุ่งห่ม การเป็นชีเปลือย แก้ผ้าล่อนจ้อนนั้น แม้ไม่โดนชาวบ้านเอาอิฐปาหาว่าบ้า อย่างไรเนื้อหนังมนุษย์ก็ไม่อาจทนต้านทานสภาพอากาศร้อนหนาวที่กดดันอยู่ทุกวินาทีได้ ทุกคนต้องหาเสื้อแสงผ้าผ่อนมาห่มคลุมกาย และต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วย เพราะร่างกายมนุษย์มีขนาดไม่เท่าเดิมในช่วงต้นชีวิต อีกทั้งเมื่อขนาดร่างกายคงที่แล้ว การซักผ้าก็ทำให้ผ้าเปื่อยยุ่ยไปตามกาล ต้องเปลี่ยนใหม่อยู่ดี ถ้าใครมีใส่เพียงสองตัวจะเห็นผลเร็วกว่าคนทั่วไปที่มีใส่หลายสิบชิ้น

๔) ยารักษาโรค สำหรับบางคนนับว่ามีความจำเป็นน้อยมาก เพราะทั้งปีทั้งชาติแทบไม่ป่วยไข้เลย แต่สำหรับบางคนที่ถูกกรรมเก่ากดดันให้ต้องใช้ยาเป็นประจำ ก็มีความเดือดร้อนตรงนี้ แต่ละเดือนแทบไม่มีของอะไรเข้าบ้านนอกจากยากับยา



ในสังคมทุนนิยม เงินเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนปัจจัย ๔ เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่าปัจจัย ๔ อันสลักสำคัญยิ่งนั้น บีบคั้นให้มนุษย์ต้อง ‘ทำงาน’ เพื่อ ‘หาเงิน’

อย่างไรก็ตาม ทางมาของเงินไม่จำเป็นต้องเป็นการทำงานเสมอไป ลูกเศรษฐีอาจใช้วิธีแบมือขอเงินพ่อแม่ไปตลอดชีวิตโดยไม่มีใครเดือดร้อน ลูกคนชั้นกลางและคนรายได้น้อยอาจใช้วิธี ‘ไถ’ บุพการีโดยไม่สนใจว่าพวกท่านจะต้องลำบากหาเงินไปจนแก่อย่างไร ดีขึ้นมากว่านั้นหน่อยคือบากหน้าขอยืมเงินคนรู้จักแบบตั้งใจจะใช้คืน แต่ถ้าใช้คืนไม่ได้ก็จะริชักดาบ และในที่สุดแล้ว สำหรับคนที่ไม่รู้จะขอ ไม่รู้จะรีดไถ ไม่รู้จะหยิบยืมใครก็อาจต้อง ‘ปล้น’ คนไม่รู้จัก แล้วค่อยอ้างเอาในศาลว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีก

การปล้นก็ยังแบ่งออกเป็นหลายแบบ ทั้งปล้นแบบย่องเบา ปล้นแบบฉ้อฉลซึ่งหน้า ปล้นแบบเหนือเมฆระดับชาติ แต่จะอย่างไรก็เข้าข่ายลักทรัพย์ทั้งสิ้น

หากโลกนี้ไม่มีแรงบีบคั้นเป็นปัจจัย ๔ อย่างน้อยที่สุดการปล้นระดับล่างๆจะสาบสูญไป เหลือแต่การปล้นและการฉ้อฉลเพื่อจุดประสงค์อื่น

นอกจากมองในมุมของผู้ซื้อ ก็ต้องมองในมุมของผู้จำหน่าย ปัจจัย ๔ ที่คนชอบนั้น เป็นเหตุนำมาซึ่งกุศลกรรมและอกุศลกรรมของผู้ประกอบอาชีพจัดหาปัจจัย ๔ อีกด้วย เช่น

๑) พ่อค้าอาหารอาจเลือกที่จะฆ่าสัตว์มาทำอาหาร เพราะเห็นว่าได้เงินดี เป็นที่ต้องการมาก หรืออาจเลือกทำอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ แม้ได้เงินน้อยกว่าก็สบายใจ

๒) พ่อค้าบ้านอาจต้องไล่ที่คนจนเพื่อปลูกบ้านจัดสรรให้คนรวย อาจต้องตัดสินใจฆ่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ที่ครองพื้นที่อยู่ก่อน

๓) พ่อค้าเสื้อผ้าอาจถลกหนังสัตว์บางชนิดมาทำเสื้อผ้าราคาแพง หรืออาจเลือกที่จะสังเคราะห์ผ้าเนื้อดีที่ไม่ทำลายธรรมชาติมาจำหน่าย

๔) พ่อค้ายาอาจต้องใช้ชีวิตหนูทดลองไปมากมายกว่าจะได้ยาใหม่สักตัว หรือมีสิทธิ์เป็นผู้ให้ทุนวิจัยกระทั่งค้นพบยาใหม่ที่รักษาโรคภัยร้ายแรงสำเร็จเป็นเจ้าแรก



จะเห็นว่าเพียงปัจจัย ๔ ก็ก่อให้เกิดกรรมทั้งฝ่ายหาเงินมาซื้อ และฝ่ายจัดหาสินค้ามาขาย มีการแข่งขัน มีการตลาด มีการแย่งชิง มีการเอารัดเอาเปรียบ มีการเพียรพยายามเพื่อทำเป้า ก่อให้เกิดอาชีพ ก่อให้เกิดวังวนกรรมแห่งการเป็นผู้ให้และผู้รับ กล่าวอย่างรวบรัดที่สุด ความจำเป็นของปัจจัย ๔ ทำให้เกิดพื้นฐานรองรับวงจรกรรมดีกรรมชั่วได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

แรงบีบคั้นให้ต้องมีปัจจัย ๔ มิใช่เรื่องของการให้ผลกรรม แต่เป็นเงื่อนไขของธรรมชาติที่วางไว้เพื่อให้เกิดการเลือกตัดสินใจว่าจะอยู่รอดแบบเอาดีหรือเอาชั่ว



เครื่องกระตุ้นโลภะ


๑) สิ่งไร้ชีวิต

ได้แก่ ทุกภาพที่ดูน่ารัก ทุกเสียงที่ฟังรื่นหู ทุกกลิ่นที่หอม ทุกรสที่หวาน ทุกสัมผัสที่สบาย รวมทั้งทุกสิ่งที่น่าพอใจของแต่ละคน อาจแบ่งออกเป็นทรัพยากรธรรมชาติเช่นน้ำมัน และสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์กับมือทั้งหลายเช่นเงิน เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีสิ่งไร้รูปทรงที่หอมหวนยิ่งกว่าดอกไม้ทุกชนิด คือชื่อเสียงเกียรติยศและตำแหน่งหน้าที่การงานอีกด้วย

ต่อให้โลกมนุษย์ไม่มีคนฉลาดคิดประดิษฐ์วัตถุล่อใจได้เลยสักชิ้น ธรรมชาติก็จัดสรรบางสิ่งบางอย่างไว้ให้อยู่ดี เพื่อเป็นอุปกรณ์ขับเคลื่อนเกมกรรมให้เดินหน้าไป ยกตัวอย่างเช่นบ่อน้ำมันดิบจะอยู่หลังบ้านของคนที่กรรมเก่าอนุญาตให้รวยง่ายๆ แต่ก็อาจไปอยู่ในทะเลลึกเพื่อให้พวกที่กรรมเก่าอนุญาตให้รวยด้วยการแสวงหาโดยยาก ทั้งนี้บางยุคที่ไม่มีเครื่องยนต์กลไกและไฟฟ้าใช้ น้ำมันดิบย่อมไร้ความหมาย หรือมีค่าน้อยกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในยุคเรา ธรรมชาติก็จะจับคนสมควรรวยในยุคนั้นไปวางไว้อีกที่หนึ่ง และจัดสรรทรัพยากรมีค่าชนิดอื่นมาประเคนให้

ส่วนวัตถุที่ไม่ได้มีอยู่โดยธรรมชาติเช่น ธนบัตรสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้า มนุษย์จะผลิตขึ้นมาให้พอดีกับความจำเป็น ไม่มีรัฐบาลไหนผลิตเงินไม่จำกัดสำหรับแจกจ่ายประชาชนทุกคน เพราะเงินจะเฟ้อ ค่าของเงินจะเป็นศูนย์ แม้ผู้นั่งงอมืองอเท้าก็ถือเงินเท่าคนทำงานทั้งวันทั้งคืนได้ น่าสนใจตรงที่ว่าทั้งธรรมชาติและมนุษย์เองต่างก็ไม่แจกจ่ายสมบัติพร่ำเพรื่อ เงินจะกระจายไปสู่มือที่ทำงานและมีบุญหนุน แต่คนเรามักเรียกร้องความเสมอภาคด้วยความไม่รู้เหตุผลของธรรมชาติกรรมวิบาก และนั่นก็นำไปสู่การตีชิงวิ่งราว การหลอกลวงซึ่งหน้า การฉ้อฉลระดับชาติ การปล้นระดับโลก หรือสร้างแนวคิดอันเป็นอุดมคติสุดโต่ง เช่นแบบการปกครองที่จะให้อำนาจรัฐแบ่งสมบัติแก่ประชาชนเท่าๆกัน ซึ่งไม่มีวันเป็นไปได้จริงเลย ตราบเท่าที่ธรรมชาติกรรมวิบากยังถืออำนาจสูงสุดในการจัดสรรปันส่วนไว้ในมือ

ชื่อเสียงเกียรติยศไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้คุณเลิกดูถูกตัวเอง ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ทำให้ตัวคุณหอมฟุ้ง แต่ยังเป็นโอกาสให้คุณเลือกทำในสิ่งที่ต้องการได้มากกว่าคนอื่น โดยทั่วไปชื่อเสียงเกียรติยศมักตามมาด้วยเงินทอง ทางเลือก และเพศตรงข้าม ทุกคนจึงอยากมีชื่อเสียงเกียรติยศกันนัก คนส่วนใหญ่ได้ชื่อเสียงมาจากหน้ากากแห่งความดี น้อยนักที่จะได้ชื่อเสียงมาจากผลงานอันบริสุทธิ์ซื่อ โดยมากเราจึงมักเห็นชื่อเสียงที่ติดกลิ่นของกรรมเหม็นๆมาด้วยเสมอ

ตำแหน่งหน้าที่การงานหาใช่เป็นเพียงเครื่องแสดงว่าคุณเป็นกลจักรชิ้นใดในองค์กร แต่ยังมีความหมายว่าคุณอยู่เหนือใครกี่คน และต้องอยู่ใต้ใครกี่ระดับ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการมีอำนาจ มีอิทธิพล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเป็นไททางความรู้สึกนึกคิด ฉะนั้นความโลภจึงเกิดขึ้นในทุกที่ทำงาน และรูปแบบการแย่งชิงตำแหน่งก็มักไม่โสภานัก จึงหาคนมีความสุขกับความเป็นของจริงในตำแหน่งสูงๆของตนได้ยากหน่อย



โดยรวมแล้ว ทุกสิ่งบนโลกเป็นเครื่องกระตุ้นความโลภได้หมด ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ยุคสมัย หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์แต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอาหารทุกชนิดปลุกเร้าอารมณ์โลภได้เสมอเมื่อกำลังหิวหรือกระหายจัดๆ เป็นต้น



๒) สิ่งมีชีวิต

ได้แก่คนรูปร่างหน้าตาดีมีแรงดึงดูดทางเพศสูง คนที่มีความเก่งเฉพาะทาง และคนที่มีเมตตาจิตน่าเข้าใกล้ ตลอดจนสัตว์สวยงามที่เหมาะจะเป็นเครื่องประดับบ้านเศรษฐี สัตว์ที่มีความน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ และสัตว์ที่มีความผูกพันเฉพาะตัว เป็นต้น

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าแม้ความรัก ราคะ ความกำหนัดยินดี ก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของโลภะ เพราะเป็นอาการทางใจที่ดึงดูดบุคคลอันเป็นที่ตั้งของกามารมณ์เข้าหาตัว ยิ่งมีแรงดึงดูดมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มความอยากได้มากขึ้นเท่านั้น

มนุษย์ทั่วไปหลงใหลใฝ่กาม ดังนั้นเมื่อมีหญิงหรือชายที่หน้าตาและเนื้อตัวส่งสัญญาณทางเพศได้แรง ก็ย่อมเป็นที่หมายปองเป็นพิเศษ เป็นเหตุให้เกิดการแย่งชิงด้วยความโลภของ ‘คนมีสิทธิ์’ จำนวนมาก กลายเป็นปัญหาวุ่นวายไม่รู้จบ ตั้งแต่สับสนเลือกคนรักไปจนกระทั่งการถูกบีบให้คบชู้สู่ชาย เจ้าตัวผู้มีพลังครอบงำทางเพศสูงๆนั้น มีอดีตกรรมคือเคยให้ทานหรือรักษาศีลอย่างดี ด้วยความปรารถนาจะเป็นที่สนใจจากเพศตรงข้ามมากๆ เมื่อเกิดใหม่ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงเรียกร้องความสนใจทางเพศได้สูงผิดปกติ

มนุษย์ทั่วไปต้องทำงานหาเงิน ต้องการให้บริษัทห้างร้านของตนเจริญรุ่งเรือง เจ้าของกิจการจึงต้องการคนมีความรู้ความสามารถมาจัดการงานยากๆให้สำเร็จลุล่วง ดังนั้นคนยิ่งเก่งเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการตัวมากขึ้นเท่านั้น เป็นเหตุให้เกิดการแก่งแย่งซื้อตัวจากผู้มีอำนาจทางการเงิน เจ้าตัวผู้มีความเก่งกาจเฉพาะทางหรือเก่งสารพัดรอบตัวนั้น มีอดีตกรรมคือเป็นครูผู้แพร่ความรู้ความเข้าใจไปในหมู่สานุศิษย์อย่างกว้างขวาง และมีปัจจุบันกรรมคือรักงาน ขยันคิดขยันทำ มีใจจดจ่อ และฉลาดแก้ไขกับฉลาดต่อยอด ไม่คิดย่ำอยู่กับที่

มนุษย์ทั่วไปนิยมการพึ่งพาผู้อื่นมากกว่าพึ่งพาตนเอง ดังนั้นเมื่อมีใครเข้มแข็ง ใจดี มีความเผื่อแผ่สูง จิตใจสะอาดไม่คิดร้ายหรือแม้นึกด่าใคร กระแสจิตจึงเยือกเย็น ดึงดูดคนรอบข้างให้อยากได้ใกล้ชิด กลายเป็นที่มาของการชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้เป็นคนสนิท เจ้าตัวผู้มีเมตตาจิตสูงๆนั้น ประกอบบุญในทางเสียสละให้ผู้อื่นไว้มาก หรือเจริญสมาธิแบบอาศัยเมตตาจิตเป็นที่ตั้ง และสามารถแผ่รัศมีจิตได้กว้างขวาง จนกลายเป็นความเยือกเย็นระดับใหญ่ที่ให้ความรู้สึกแก่คนอยู่ใกล้แปลกไป ยิ่งกว่ารอนแรมกลางแดดร้อนแล้วพบร่มโพธิ์ร่มไทร

โดยรวมแล้ว คนที่เป็นเครื่องกระตุ้นความโลภของผู้อื่นนั้น จะมีความโน้มเอียงไปในทางเป็นสุขและพึงพอใจกับอัตภาพตัวเอง แต่ความพึงพอใจนั้นก็จะแฝงไว้ด้วยความอึดอัดรำคาญจากการถูกไล่ล่าไขว่คว้าหลายๆด้าน ตลอดจนกระทั่งมีปัญหาร้อนใจจากความเป็นผู้มีเนื้อหอมหรือจิตหอมหลายๆทาง

สัตว์บางตัวเช่นนกหรือปลาพันธุ์งดงามนั้น แม้จะอยู่ในที่ที่ไม่ใกล้กับคน คนก็จะไปไขว่คว้ามาอยู่ใกล้ๆ ทั้งนี้เพราะคนเราชอบสะสมบริวารและเครื่องประดับที่มีชีวิต รวมทั้งเชื่อเคล็ดลางว่ามีสัตว์แบบนั้นแบบนี้แล้วจะดี จะเสริมดวง สัตว์สวยงามจึงเป็นที่ตั้งของความโลภ มีสนนราคาค่าตัวแพงลิบ โดยไม่จำเป็นต้องน่าเอ็นดูหรือผูกพันกับเจ้าของเป็นพิเศษ เพราะความงามของพวกมันก็มีค่าเกินเพชรพลอย หัวขโมยจ้องกันตาเป็นมันแล้ว กรรมเก่าของสัตว์พวกนี้คือทำบุญแบบที่เป็นเหตุแห่งความงดงามไว้มาก เช่นทำทานด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธา รักษาศีลโดยอธิษฐานหรือปรารถนาความมีรูปอันโสภา แต่ก็ทำกรรมบางอย่างที่เป็นชนวนให้เกิดใหม่ในอัตภาพสัตว์ เช่นก่อนตายผูกพันอยู่กับเรื่องไม่เป็นมงคล ตั้งจิตให้มั่นคงอยู่ในความสว่างเป็นกุศลไม่ไหว

สัตว์บางตัวเช่นสุนัขหรือแมวนั้น หลายตัวแม้ไม่สวยงามพอจะเป็นเครื่องประดับบารมีมนุษย์ แต่ก็มีความกระต้วมกระเตี้ยมน่ารักน่าเอ็นดู กับทั้งมีคลื่นจิตที่ปรับติดเข้ากับมนุษย์ได้ง่าย มีการสนองตอบคำสั่งและสามารถรับฟังภาษาคนได้พอสมควร มนุษย์จึงจับจองเป็นเจ้าของและให้การเลี้ยงดูอย่างดี ถ้าทิ้งภาพน่ารักน่าเอ็นดูไว้มากพอ เวลาคนในบ้านจะแยกกันอยู่ก็ต้องทะเลาะเพื่อถามหาสิทธิ์ในการเลี้ยงดูกัน กรรมเก่าของสุนัขและแมวที่ใกล้ชิดคนนั้นไม่จำเป็นต้องพิเศษอะไร ขอเพียงชาติใกล้ๆเคยมีโอกาสได้เป็นมนุษย์ แต่พลาดตกต่ำด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ก็มาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์กันแล้ว

สัตว์บางตัวไม่มีลักษณะโดดเด่น แล้วก็ไม่ได้เป็นพวกที่อยู่ใกล้มนุษย์โดยธรรมชาติ ก็อาจได้รับการอุปถัมภ์จากคนบางคนที่บังเอิญไปพบเจอตามชายป่า เกิดความถูกใจ หรือเห็นมันบาดเจ็บก็ตั้งใจนำมารักษา แล้วเกิดความผูกพัน อยากเก็บไว้เลี้ยงถาวร เช่นกระรอกกระแตบางตัว ซึ่งใครๆเห็นแล้วเฉยๆหรือมองผ่าน แต่คุณจะรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษอย่างหาคำอธิบายชัดเจนไม่ได้ ต้องนำกลับมาเลี้ยงดูประคบประหงมเป็นอย่างดี กรรมเก่าของสัตว์เหล่านี้ก็คือเคยมีความสัมพันธ์ที่ดี ที่แน่นแฟ้น ที่น่าอาลัยอาวรณ์กับคุณมาก่อน จึงมีเหตุให้มาพบและอยู่ด้วยกัน จนกว่าจะถึงเวลาจากเป็นหรือจากตายอีกครั้งหนึ่ง


โดยรวมแล้ว สัตว์ที่เป็นเครื่องกระตุ้นความโลภของผู้อื่นนั้น จะมีความโน้มเอียงไปในทางเป็นสุขอยู่บ้าง แต่อย่างไรอัตภาพความเป็นสัตว์ก็ให้เพดานความสุขที่จำกัด ไม่มีช่องทางบันเทิงที่หลากหลายเหมือนมนุษย์ แล้วก็ไม่อาจพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงส่งขึ้นกว่าอัตภาพเดิมได้ด้วยตนเอง ต้องรอคนมาอุปถัมภ์ชุบเลี้ยงและสอนสั่ง หรือรอกรรมดีเก่าๆได้จังหวะให้ผล จึงจะหลุดรอดจากอัตภาพความเป็นสัตว์ได้



เครื่องกระตุ้นโทสะ


๑) สิ่งไร้ชีวิต
ได้แก่ ทุกภาพที่ดูน่าเกลียด ทุกเสียงที่ฟังน่ารำคาญ ทุกกลิ่นที่เหม็น ทุกรสที่ขม ทุกสัมผัสที่ระคาย รวมทั้งทุกสิ่งที่ไม่น่าพอใจของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือวัตถุที่ปั้นแต่งขึ้นด้วยมือมนุษย์

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ความอดทนต่ำ แม้แสงแดดที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ หากร้อนขึ้นมาเพียงไม่กี่องศาก็ดลใจให้คนอยากเป็นบ้าอาละวาดได้ และมนุษย์ก็บอบบาง เพียงหนามกุหลาบเล็กๆที่สะกิดผิว ก็ทำให้ออกอาการคล้ายคลุ้มคลั่งกะทันหันได้ ทั่วทั้งโลกจึงดูรายรอบไปด้วยวัตถุกระตุ้นโทสะมากกว่าวัตถุที่จะกระตุ้นโลภะเสียอีก

กรรมอันเกิดจากความอ่อนแอของมนุษย์จึงมีได้มาก เช่นแกล้งปล่อยให้คนรอร้อนๆ แกล้งทำเสียงหนวกหู ฯลฯ และเมื่อบุคคลผู้ตกเป็นเป้าหมายอดรนทนไม่ได้ก็ต้องโมโหอาละวาด

ความอ่อนแอและเปราะบางของมนุษย์ยังเป็นโอกาสสร้างอาชีพ เช่นสร้างบ้านคุ้มแดดคุ้มฝนแข็งแรงทนทาน แข่งกันสร้างเครื่องปรับอากาศดีๆทำความเย็นได้ทั่วถึง ฯลฯ

สำหรับสิ่งที่มนุษย์เสกขึ้นด้วยความตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นภาวะมลพิษในอากาศ ภาวะน้ำเสีย ตลอดจนฤดูกาลที่แปรปรวน ล้วนแล้วแต่หาคนรับผิดชอบไม่ได้ มีแต่จะต้องก้มหน้ารับสภาพร่วมกัน ขุ่นมัวร่วมกัน เป็นภูมิแพ้ร่วมกัน เหล่านี้ล้วนเป็นภาวะจำยอมที่บีบคั้นจิตใจคนส่วนใหญ่ในยุคบริโภคเทคโนโลยีล้ำสมัยของพวกเรา

กล่าวโดยสรุปคือวัตถุทุกชิ้นที่ทำให้มนุษย์เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุที่ตั้งของโทสะไปเสียทั้งสิ้น น่าสนใจตรงที่ว่ายิ่งโลกหมุนไป วัตถุอันเป็นเครื่องกระตุ้นโทสะยิ่งดูเหมือนมากขึ้นเรื่อยๆ คนๆหนึ่งอาจฟุ้งซ่านสติแตก ทำร้ายตนเอง ทำร้ายคนอื่นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีศัตรูที่ชัดเจนนัก สำหรับคนบางคน ก็คล้ายประกาศตัวเป็นศัตรูกับโลกทั้งใบเลยทีเดียว



๒) สิ่งมีชีวิต

ได้แก่คนที่มีลักษณะชอบหาเรื่อง คนดึงดันอย่างไร้เหตุผล คนมีความเห็นแก่ตัวสูง และคนที่ผูกเวรกัน ตลอดจนสัตว์ที่ทำความรำคาญ สัตว์ที่มีรูปลักษณ์น่ากลัว สัตว์ที่มีความน่ารังเกียจ และสัตว์ที่มีความผูกเวรเฉพาะตัว

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าความเกลียดและความกลัวก็เป็นโทสะ เพราะเป็นอาการทางใจที่ผลักบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความกลัวออกห่าง ยิ่งมีแรงผลักมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มความอยากหลีกหนีมากขึ้นเท่านั้น

มนุษย์ทั่วไปไม่ชอบมีเรื่อง เพราะมีเรื่องแล้วเหนื่อย ดังนั้นถ้าใครมีหน้าตาท่าทางชอบหาเรื่องจนเป็นนิสัย ก็ย่อมฉายแววให้เห็นง่ายผ่านกิริยาและวาจา โดยมากเมื่อคบหาหรือจำเป็นต้องติดต่อกับคนจำพวกนี้ ไม่นานก็ต้องมีเรื่องกัน เพียงกระแสความรุนแรงที่คุณสัมผัสจากจิตใจพวกเขา ก็เพียงพอจะทำให้นึกหงุดหงิดและอยากหลีกเลี่ยงได้แล้ว เจ้าตัวผู้มีลักษณะชอบหาเรื่องนั้น โดยมากสั่งสมความชอบใจในทางรุกราน ชอบเอาชนะด้วยกำลังกายหรือกำลังวาจา มีความสะใจที่ได้เห็นความพ่ายแพ้หรือความกลัวเกรงของผู้อื่น ความชอบใจแนวนี้อาจก่อตัวขึ้นในปัจจุบัน หรือสืบเนื่องอย่างยาวนานมาจากอดีตชาติ แต่โดยมากแล้วถ้าไม่มีบุญใหญ่ประกอบอยู่ด้วยก็มักกร่างไม่ได้นาน เนื่องจากวิบากกรรมจะเล่นงานเขาหนักมาก เช่นมีเรื่องได้ไม่หยุดหย่อน หรือไปเกิดในอัตภาพอันหยาบ ทนทุกข์สาหัส เมื่อกลับมาเป็นมนุษย์อีกก็เหลืออำนาจวาสนาให้มีสิทธิ์รุกรานคนอื่นได้น้อย

มนุษย์ทั่วไปชอบให้เรื่องราวต่างๆเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล ดังนั้นจึงรังเกียจการดึงดันอย่างไร้เหตุผล คนจำพวกนี้มักฉุดให้คนอื่นพลอยตกต่ำ เนื่องจากความไม่มีเหตุผลของเขากระทบคุณและจูงจิตใครๆให้พลอยไม่มีเหตุผลตามไปด้วย คนเราเมื่อโกรธเกลียดกันอย่างไร้เหตุผล ก็มักตามมาด้วยการผูกใจเจ็บยืดเยื้อ เพราะไม่ทราบจะเอาเหตุผลใดไปดับความโกรธเกลียด เจ้าตัวผู้ร้อนได้อย่างไร้สติชนิดนี้ ทำกรรมคือเพาะนิสัยชอบเอาชนะหรือจะเอาให้ได้อย่างใจโดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ไม่สนใจความชอบธรรม เพียงแค่กระแสจิตที่ปราศจากสติ ถูกครอบงำด้วยอารมณ์จุกเสียดคับแค้นทั้งวัน ก็เพียงพอแก่การเป็นเครื่องกระตุ้นโทสะขนาดใหญ่ได้แล้ว ไม่มีใครอยู่ใกล้แล้วเย็นใจเลย

มนุษย์ทั่วไปเห็นแก่ตัวครึ่งหนึ่ง แต่ก็มีใจเห็นแก่คนอื่นครึ่งหนึ่ง ถ้าเอียงไปเห็นข้างแก่ตัวมากก็จะมีลักษณะจิตคับแคบ แต่ถ้าเอียงไปข้างเห็นแก่คนอื่นมากก็มีลักษณะจิตเปิดกว้าง แต่จะมีพวกที่เห็นแก่ตัวอย่างรุนแรงชนิดเกือบๆเต็มร้อย ซึ่งจิตจะปิดมืดและก่อความอึดอัดให้กับคนอยู่ใกล้ได้มากที่สุด ไม่ว่าพูดหรือทำอะไร ชวนให้ใครๆอยากเผ่นหนี ไม่ปรารถนาจะร่วมวงไพบูลย์ด้วยไปหมด เจ้าตัวผู้เห็นแก่ตัวได้จนคนอื่นไม่อยากคบตั้งแต่แรกเห็นนั้น ทำกรรมทั้งในทางเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น กับทั้งตระหนี่ไม่อยากแบ่งปันอะไรแก่ใครๆแม้ญาติ เขาย่อมมีความคับแคบเป็นที่น่าอึดอัดสำหรับคนอื่นในปัจจุบัน และตัวเขาเองย่อมประสบกับอัตภาพอันยากจนข้นแค้นน่าอึดอัดเกินทนในภายภาคหน้า

มนุษย์ทั่วไปเหนื่อยกับการจองเวรกัน แต่ทิฐิมานะและความผูกใจเจ็บก็ไม่ยอมให้เลิกแล้วต่อกันง่ายๆ ซึ่งคนแบบไหนก็อาจมีใจผูกเวรได้ทั้งนั้น ถึงแม้เคยเป็นเพื่อนรักกันก็ตาม และถ้าถึงระดับฆ่าแกงและจ้องล้างอาฆาตกัน ก็มักสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพยาบาทข้ามภพ ยิ่งหากผูกใจเจ็บกันในระดับเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่แค่จองเวรเป็นส่วนตัวยิ่งร้ายหนัก เพราะศัตรูผู้เป็นเป้าหมายจะไม่ใช่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทว่าเป็นประชาชนเชื้อสายนั้นๆทั้งหมด การผูกกรรมผูกเวรแบบนี้ก่อให้เกิดขบวนการก่อการร้ายฝ่ายต่างๆ จ้องเบียดเบียนบีฑากันแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยแต่ละชาติจะมีเหตุการณ์น่าเจ็บใจที่กัดลึกเกินถอน บีบคั้นให้อยากฆ่าเผ่าพันธุ์ศัตรูให้ล้มหายตายจากไปจนสิ้น ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องกระตุ้นโทสะของกันและกัน โดยเหมือนจะไม่มีเหตุผลใดในโลกไปบรรเทาให้ไฟแค้นอ่อนแรงลงได้

โดยรวมแล้ว คนที่เป็นเครื่องกระตุ้นโทสะของผู้อื่นนั้น จะมีความโน้มเอียงไปในทางเป็นทุกข์มีความอึดอัดไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี แต่ความไม่พอใจนั้นก็จะแฝงไว้ด้วยความสนุกกับการได้แผลงฤทธิ์ หรือชิงดีชิงเด่นเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น

สัตว์ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์เช่นยุงและมดนั้น พัวพันกับมนุษย์ในเชิงเบียดเบียนได้มาก ทั้งน่ารำคาญตา ทั้งกัดให้เจ็บ จะป้องกันหรือจะทำลายให้หมดไปก็ยาก เกมกรรมตั้งกฎไว้ว่าฆ่าสัตว์แม้ตัวเล็กตัวน้อยก็เป็นบาป ขณะเดียวกันก็ส่งสัตว์เหล่านี้มาให้ทำข้อสอบแทบทุกวัน อันนี้แหละเห็นได้ชัดที่สุด ว่าเกมกรรมกลั่นแกล้งยั่วยุให้คุณต้องทำบาปได้ง่ายเพียงใด

สัตว์บางตัวเช่นงูหรือเสือที่น่ากลัวนั้น ทั้งมนุษย์และสัตว์อื่นได้เห็นก็ตกใจลนลานเผ่นกระเจิงกันหมด แม้อยู่เฉยๆกับที่ก็มีคนอยากตี อยากทำร้าย หรือกระทั่งอยากฆ่าให้ตาย เพราะโดนหมายหัวไว้ก่อนว่ามีพิษภัย เป็นอันตราย กรรมเก่าของสัตว์พวกนี้คือชอบข่มขู่คุกคามขวัญ ชอบเห็นคนรอบข้างยำเกรงและพินอบพิเทาตน จิตจึงเข้าไปอยู่ในภพของความเป็นผู้มีอัตภาพอันน่าหวาดผวา กล่าวได้ว่าถือกำเนิดในระดับเดรัจฉานด้วยอำนาจโทสะ จึงกลายเป็นแหล่งกระตุ้นโทสะอย่างดี ทั้งรูปลักษณ์ ทั้งสำเนียงเสียง และทั้งวิถีชีวิตความเป็นผู้ล่า

สัตว์บางตัวเช่นแมลงสาบหรือหนอนในส้วมนั้น แม้มีขนาดเล็กและไม่เป็นพิษเป็นภัยมากมาย ทว่ารูปพรรณสัณฐานก็ชวนให้นึกขยะแขยงหรือสะอิดสะเอียน โดยเฉพาะเมื่อรวมพวกรวมเหล่ากันหลายๆตัว เรียกว่าชวนให้ขนหัวลุกได้ กรรมเก่าของสัตว์พวกนี้คือทำกรรมอันเหม็น กรรมอันน่ารังเกียจ เช่นพูดจาสกปรกเลอะเทอะด้วยความคะนอง พูดใส่ไคล้ให้ผู้ทรงศีลมีมลทิน หรือกระทั่งปล่อยเนื้อตัวมอมแมมเหม็นหึ่งทั้งรู้ว่าทรมานจมูกคนใกล้ตัวอย่างสาหัส

สัตว์บางตัวไม่มีลักษณะน่ากลัวหรือน่ารังเกียจเป็นพิเศษ ทว่าบางคนเห็นแล้วเกิดความหมั่นไส้ อยากกลั่นแกล้งให้ได้รับความทรมาน กรรมเก่าของสัตว์เหล่านี้จะเป็นไปในทำนองเดียวกันกับที่โดนกระทำ คือเคยกระทำผู้อื่นไว้ก่อน และไม่จำเป็นว่าภาวะน่ากลั่นแกล้งนั้นจะต้องสนองคืนด้วยเจ้ากรรมนายเวรตรงตัวเสมอไป อาจเป็นอันธพาลหรือเด็กเกเรที่ผ่านมาเห็นแล้วเกิดนึกมันเขี้ยวขึ้นมากะทันหันก็ได้

โดยรวมแล้ว สัตว์ที่เป็นเครื่องกระตุ้นโทสะของผู้อื่นนั้น จะมีความโน้มเอียงไปในทางเป็นทุกข์ได้มาก เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วมีโอกาสป้องกันตัวได้น้อย กับทั้งมีโอกาสก่อบาปเพิ่มเพียงการใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ เมื่อพลาดร่วงหล่นลงสู่ความเป็นสัตว์จึงยากที่จะกลับขึ้นสูง ทำนองเดียวกับตกเหวแล้วมีโอกาสพลาดต่ำลงไปอีก จะป่ายปีนขึ้นสูงนั้นยาก



เครื่องกระตุ้นโมหะ



ในบรรดาความบีบคั้นให้เกิดกิเลสทั้งหลาย ความไม่รู้น่ากลัวที่สุด เหมือนอยู่ๆคุณถูกจับไปขังในห้องมืดที่มองไม่เห็นอะไรเลย สำเหนียกได้แต่กลิ่นอายภยันตรายรอบด้าน ทั้งส่ำเสียงน่าพรั่นพรึง ทั้งกลิ่นเหม็นโชยเป็นระยะ ทั้งของแหลมคมบาดเนื้อ คุณไม่อาจบอกตัวเองว่ากำลังอยู่ที่ไหน และควรทำสิ่งใดเพื่อให้พ้นจากถ้ำนรกแห่งนั้น

ยังดีที่วิธีสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์มีการสั่งสอนกัน ให้ทุนความรู้และความคิดบ้าง แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อเอาตัวให้รอด สามารถหาปัจจัย ๔ มาดำรงชีพได้เท่านั้น เปรียบเหมือนคนในถ้ำมืดที่ต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ โดยได้รับการแนะนำว่าให้ใช้มือคลำดู ถ้าเจอของที่มีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ให้กินประทังชีวิตได้ แต่คนกินก็กินทั้งไม่เห็นว่ากินสิ่งใดเข้าไปกันแน่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมือนไม่มีใครเลยที่รู้ทางออก เหมือนไม่มีใครเลยที่รู้วิธีจุดไฟให้เกิดความสว่างพอจะเห็นสภาพรอบด้าน

ความไม่รู้ที่ก่อให้เกิดความหลงผิดนั่นแหละ ต้นตอของการเล่นเกมกรรมแบบไม่รู้จบรู้สิ้น ความหลงสำคัญผิดคือ ‘โมหะ’ อาจเทียบเคียงโมหะได้กับเมฆหมอก และเปรียบจิตได้กับดวงไฟ ยิ่งเมฆหมอกหนาทึบขึ้นเท่าไร ดวงไฟยิ่งอับแสงลงเท่านั้น

โมหะแยกออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆคือ

๑) โมหะอย่างหยาบ เช่นพวกเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นึกว่าการฆ่ามนุษย์เล่นเป็นเรื่องสนุก การร่วมกันข่มขืนผู้หญิงเป็นเครื่องวัดความใจถึง ตลอดจนสำคัญตัวผิด คิดว่าตนดีกว่าเขา ตนเหนือกว่าเขา ใครๆต้องชื่นชมตนมากกว่า ทั้งที่จริงไม่เคยทำอะไรดีๆเป็นประโยชน์ควรแก่การชื่นชม เป็นต้น กล่าวอย่างย่นย่อโมหะหยาบคือสิ่งที่ทำให้จิตโง่เขลาหลงเห็นผิดเป็นชอบอย่างแรง

๒) โมหะอย่างละเอียด แม้แต่คนดีเลิศประเสริฐก็มีโมหะละเอียด กล่าวคือหลงสำคัญว่านี่ตัวเรา นั่นญาติเรา โน่นสมบัติของเรา เพราะไม่มีการพิจารณาตามจริงว่าสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่ได้อย่างถาวร เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเป็นตนให้บังคับบัญชา สั่งให้อยู่นานเท่านั้นเท่านี้ได้ตามปรารถนา จิตจึงยึดมั่นถือมั่นว่าของตน ยึดมั่นถือมั่นว่าควรจะอยู่กับตนตลอดไป เมื่ออยู่ไม่ได้ ต้องมีอันแตกพังไปเป็นธรรมดา ก็บังเกิดความเศร้าหมอง และอาจก่อกรรมบางประการด้วยความเขลาหลงเข้าให้ได้



เครื่องกระตุ้นโมหะที่ร้ายแรงที่สุดคือทุกสิ่งที่คุณคิดว่าคุณมี ดังเราจะเห็นผ่านสมบัติหลักๆที่ต้องมีติดตัวมา ๑๐ ประการดังกล่าวแล้วในบทที่ ๓ ได้แก่ พ่อแม่ เพศ รูปร่างหน้าตา แก้วเสียง สุขภาพ ฐานะ ที่อยู่อาศัย ครู ความเฉลียวฉลาด และวิธีใช้สติคิดอ่าน ซึ่งไม่มีใครครอบครองเสมอกัน ต้องเหนือกว่าหรือด้อยกว่า ต้องได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ต้องมีทั้งด้านดีและด้านเสีย ยากจะหาใครได้จุดสมดุลสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด

การปักใจคิดปักใจเชื่อว่าตนเองมี นำมาซึ่งการเปรียบเทียบให้รู้สึกว่าคุณมีมากกว่าเขา หรือเขามีมากกว่าคุณ จึงเกิดทิฐิมานะ เกิดความลำพองใจ เกิดการดูถูก เกิดการน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความอิจฉาริษยาหมั่นไส้ แล้วก่อให้เกิดแรงขับดันกระทำกรรมต่างๆ เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชนะอย่างชอบธรรมบ้าง ใช้วิชามารลอบกัดบ้าง นอกจากนี้ความแตกต่างยังก่อให้เกิดช่องว่าง นำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน มองไม่เห็นกันแม้ลืมตาดูอยู่ตรงหน้า

บางคนแม้ไม่พยายามต่อสู้เบียดเบียนใคร ก็หลงเสียเวลาไปกว่าครึ่งชีวิตเพื่อโวยวายเรียกร้องความเป็นธรรม โดยอุทธรณ์เอากับพ่อแม่ที่ทำให้ต้องเกิดมาบ้าง อุทธรณ์เอากับฟ้าดินที่เชื่อกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลิขิตชีวิตตนบ้าง ผู้ปกครองประเทศที่พากันฝากความหวังว่าจะเป็นฮีโร่บ้าง เจ้านายใหญ่ของบริษัทที่นึกว่าเขาจะเห็นค่าของตนบ้าง

ถ้าอ่านเกมกรรมออก จะทราบว่าทุกคนเป็นอย่างที่ตนเองทำ มีเท่าที่ตนเองให้คนอื่นไว้ แต่พอถึงตาจนหรือตกที่นั่งลำบาก ความไม่รู้และความหลงสำคัญผิดก็จะบีบให้มองหาแพะรับบาป สุดแท้แต่ใครจะเดินผ่านเข้ามาให้จับเป็นแพะ

การที่มนุษย์ถูกหลอกให้มัวเสียเวลาบ่นน้อยใจกับลมแล้ง เสียเวลาโวยวายกับกรรมการที่ไม่มีแก้วหู เสียเวลากล่าวโทษเทวดาฟ้าดินที่ไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า ทำให้เกือบจะเสียทั้งชาติที่เกิดมาให้กับความน้อยใจไปจนหมดสิ้น แทบไม่ใช้โอกาสที่มีเพื่อสร้างกรรมทำทุนให้ได้สิ่งที่อยากได้เอาเลย

ในทางกลับกัน อีกด้านหนึ่งคนมีทุนเก่าสูงๆอาจถูกหลอกให้เอาแต่เล่น ใช้เวลาที่มีอยู่แสวงหาความสนุกสุขใจ เกิดความอหังการย่ามใจว่าตนอยู่เหนือโลก หรืออย่างน้อยก็สำคัญว่าโลกลำเอียงเข้าข้างตน โดยไม่ต้องสนใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จึงเหมือนคนเอาแต่เบิกเงินมาผลาญโดยไม่รู้จักหาใหม่ไว้เก็บต่อ



แรงบีบคั้นให้เกิดใหม่


ดังกล่าวแต่แรกว่าขึ้นต้นชีวิตมาทุกคนก็เจอสิ่งบีบคั้นให้ต้องเอาตัวรอด นั่นหมายความว่าถ้ายังรักชีวิต ก็ไม่มีสิทธิ์งอมืองอเท้านิ่งเฉย ทุกคนต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อความอยู่รอด และการอยู่รอดด้วยวิธีทำชั่วนั้นง่าย แต่จะอยู่รอดด้วยวิธีทำดีนั้นยาก

เมื่อทำกรรมดำขาวก็ย่อมต้องเสวยผลเป็นร้ายดีตามเหตุปัจจัย เมื่อเสวยทุกข์จากกรรมชั่วก็ย่อมบีบคั้นให้อยากเสวยสุขให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อเสวยสุขจากกรรมดีก็ย่อมติดใจและอยากรักษาระดับความสุขนั้นให้ยั่งยืน ความอยากสุขให้มากขึ้น หรือความติดใจในสุขที่มีอยู่แล้วนั่นเอง บีบคั้นให้สัตว์ทั้งหลายติดข้องอยู่ ไม่หลุดพ้นจากภาวะเกิดตายไปได้ เนื่องจากธรรมชาติของจิตจะติดตามสิ่งที่ตนเองติดใจหรือข้องใจไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสุดท้ายดับลง ก็มีจิตแรกในภพใหม่เกิดขึ้นสืบสานทันที ส่วนจะเป็นภพใดก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่สมควรแก่ตน

เมื่อเกิดแต่ละครั้งก็หลงลืมไปเสียสิ้นว่าเพิ่งก่อกรรมทำเข็ญอันใดไว้ จำได้แต่ภาวะอันเป็นปัจจุบัน อัตภาพปัจจุบันบีบคั้นให้เข้าใจว่ามีตนเองเพียงหนึ่งเดียว เกิดหนเดียวตายหนเดียว นอกจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดแล้ว ก็ไม่อยากเชื่อว่ามีเหตุผลลึกลับอื่นใดอีก ที่ทำให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ที่สุดแม้บางคนระแคะระคาย หรือกระทั่งเริ่มเชื่อว่าตนกำลังเล่นเกมกรรม ก็น่าเสียดายที่ยังถอนความติดใจไม่ได้ หรือแม้ถอนความติดใจเสียได้ ก็ไม่ทราบจะหยุดเล่นเกมจริงๆจังๆได้ด้วยการบอกเลิกเอากับใคร หรือต้องตั้งกายตั้งใจท่าไหนจึงสามารถเลิกได้สำเร็จ

กล่าวโดยสรุปคือความอยากเสพสุข กับความไม่รู้ว่ากำลังเล่นเกมกรรมซ้ำซาก ตลอดจนไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นจากเกมกรรมไปได้อย่างไรนั่นเอง คือแรงบีบคั้นให้ต้องเกิดใหม่อีกและอีก

บทต่อๆไปจะแสดงให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อแรงบีบคั้นทั้งหลายในโลก เพราะคุณมีวิธีที่จะเอาชนะแรงบีบคั้นทุกชนิดได้

อ่านต่อบทที่ ๖ >>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น