วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๓๖. คู่สม)

ตอนที่ ๓๖. คู่สม


ทุ่มตรงของคืนนั้น ลานดาวนำรถสปอร์ตสองที่นั่งคู่ใจเข้าไปจอดในชั้นใต้ดินของตึกสูงเยี่ยมเมฆกลางกรุง แล้วพาร่างระหงเดินตัดตรงเข้าตัวอาคารเพื่อขึ้นลิฟต์สู่ชั้นบนสุด มีความสบายใจยามเดินเอาหน้าไปอวดชาวบ้าน หล่อนยังไม่ถึงกับดังจนต้องใส่แว่นดำเป็นยายบอดขายล็อตเตอรี่ น่าชอบใจกับการเป็นคนดังที่ยังเดินเหินสะดวก ไม่ต้องฝืนเกร็งหรือระวังตัวในทางใดทางหนึ่ง

เข้ามายืนรวมกับคนไทยและฝรั่งในลิฟต์อีกสองคน ชำเลืองสังเกตแวบเดียวจิตหล่อนก็แปลความหมายทางความรู้สึกของสองคนนั้นออก ฝรั่งหนุ่มใหญ่มองอย่างติดใจความสวยผิดมนุษย์มนาของหล่อน แต่หญิงไทยทำหน้าบอกบุญไม่รับให้กับความสวยที่ไม่ทราบว่าหล่อนไปใส่บาตรขอมาแต่ปางไหน ลานดาวยิ้มนิดๆ ใบหน้าเดียวกันนี่เองอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางความคิดได้หลายหลากในคราวเดียวกัน บัดนั้นหล่อนเห็นตนเองเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง โดดเด่นพอจะรบกวนจิตใจใครต่อใครให้คิดชื่นชมหรือริษยาอย่างง่ายดาย

บังเกิดความหยั่งรู้ขึ้นชั่วขณะว่าเพราะวิธีทำบุญที่สั่งสมมาแต่ปางก่อนๆนั้นโดดเด่น จึงมาได้อัตภาพที่ใครเห็นแล้วรู้สึกสะดุดตา คราวนี้หล่อนไม่ได้รู้สึกเกี่ยวกับตนเองด้วยความหลงตัว ทว่าเป็นการเห็นความจริงอย่างสมเหตุสมผล จิตหยั่งเข้าไปถึงรัศมีบุญเก่าที่มาบวกกับบุญใหม่อย่างกลมกลืนกัน ทราบชัดว่านามธรรมชนิดนั้นเองแสดงตัวผ่านรูปปรากฏภายนอก หล่อนและทุกคนในโลกกำลังอยู่ท่ามกลางเหตุและผล ผู้เไม่ได้ฟังเรื่องบุญบาปที่ถูกต้อง ไม่ได้ฝึกสติรู้เข้ามาภายในกายใจโดยปราศจากอคติ ย่อมอาแต่คิดทึกทักไปต่างๆนานา อิจฉาตาร้อนกันด้วยการเห็นรูปปรากฏเพียงฉาบฉวย นับว่าน่าเศร้าใจ

ขึ้นมาถึงภัตตาคารลอยฟ้า บอกพนักงานต้อนรับด้านหน้าว่านัดเพื่อนไว้ แล้วเดินลัดเลาะไปตามทางเพื่อเสาะหาอมฤตกับมาวันทาด้วยตนเอง วันนี้หล่อนเพลีย และเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้พบพี่ๆทั้งสองเสียหลายวัน

พ้นหลืบบังตาตรงมุมหนึ่ง สายตาก็ปะเข้ากับเป้าหมายห่างออกไปเพียงสิบก้าว ทีแรกลานดาวยิ้มใสอย่างดีใจ แต่ภาพที่ปรากฏในคลองจักษุทำให้ชะงักลงทั้งรอยยิ้มและกิริยาก้าวเดิน…

สองคนนั้นนั่งอยู่คนละฝั่ง คั่นด้วยแจกันปักกุหลาบแดงและเปลวไฟน้อยบนเทียนสูง มาวันทากำลังยิ้มบางๆยื่นหน้าให้อมฤต และอมฤตก็เอื้อมมือใช้นิ้วเกี่ยวเส้นผมออกจากแก้มหล่อนด้วยท่าทีเอาใจใส่ แม้เขาพยายามไม่ให้เนื้อสัมผัสเนื้อ แต่กระแสของทั้งสองช่างอบอุ่นกลมกลืนราวกับหัวใจสัมผัสกันอยู่ในภายใน กิริยาทางกายคล้ายช่วยดึงเส้นสายส่วนเกินออก แต่กิริยาทางใจเหมือนเสริมเติมสายใยยึดเหนี่ยวระหว่างกันให้แน่นเหนียวลึกซึ้ง

เสมือนคำสารภาพของอมฤตระหว่างอาหารเย็นนัดแรกแว่วกลับมาดังในแก้วหูของลานดาว

“แรกสุดที่เจอกับเอิน พี่ก็หลงรักทันที เพราะใจสัมผัสรู้ว่าเป็นหมอ และเป็นหมอออกมาจากความคิดอยากช่วยคนอื่นเหมือนกับพี่ อีกอย่างรูปร่างหน้าตาเอินก็สวยแบบนางในฝันที่พี่แสวงหามานาน…”

ดวงเนตรลุกโชนขึ้นในวินาทีแรกที่เมฆหมอกความหึงหวงเคลื่อนเข้าปกคลุมจิตใจจนมืดมิด คล้ายหัวใจถูกเคล้นบีบด้วยมือของมาวันทาจนเสียดแสบไปทั้งหัวอก

แต่อึดใจต่อมาก็กลับสติได้ นึกขำตัวเองที่บ้าบอสิ้นดี ครั้งหนึ่งเมื่อลัดธีร์แกล้งจูบแก้มมาวันทาเข้าตาหล่อน ทั้งคืนนั้นหล่อนนอนฝันร้าย แถมตื่นมาเจ็บยอกและเคียดแค้นลัดธีร์แทบวายปราณ แต่บัดนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรหมด อมฤตกำลังเอาเส้นผมออกจากแก้มมาวันทาโดยมิได้จงใจแกล้งให้เข้าตาใคร หล่อนมารู้สึกคับแค้นแน่นอกเอากับมาวันทาเสียแล้ว!

สลดวูบแทบไม่รู้เหนือรู้ใต้ รักแท้อยู่ที่ไหนหนอ? เรื่องมีแต่ว่าใจหล่อนไปเกาะอยู่กับใคร สำคัญมั่นหมายยึดถือไว้อย่างไร ก็สมหวังหรือร้าวรานกับคนนั้น หาใช่มีของจริงสิ่งแท้ถาวรฝังฝากอยู่ในใบหน้าหรือเรือนกายใครไหนเอาเลย

กลับหลังหันเดินกลับทางเดิมเพื่อตั้งหลักใหม่ แล้วหมุนตัวย้อนพ้นเหลี่ยมบังตามาอีกครา ก้าวฉับๆในแบบที่หางตาของพี่ๆน่าจะสำเหนียกถึงความเคลื่อนไหวของผู้มาใหม่พร้อมละอองไอฉ่ำชื่น ลานดาวเปิดใจยิ้มร่า ยกมือไหว้และทักทายเสียงใส

“หวัดดีค่า! พี่แตร พี่เอิน”

การปรากฏกายของคนดังมักมีรัศมีฉายเป็นวงกว้าง จับความสนใจรอบด้าน จึงไม่เฉพาะอมฤตกับมาวันทา ทว่ายังมีฝรั่งไทยจีนจากโต๊ะอื่นๆจับมองมาเป็นตาเดียว

“ว่าไง คนดัง!”

น้ำเสียงทักกลับของมาวันทาช่างบริสุทธิ์ซื่อ ลานดาวชักนึกเกลียดความผ่องแผ้วของพี่สาวขึ้นมาเสียแล้ว คลื่นจิตคลื่นใจของมาวันทาช่างราบเรียบสนิท หาร่องรอยยับยู่ยี่เยี่ยงคนมีพิรุธไม่ได้เอาเลย อาจเพราะยังไม่รู้ตัวว่าเพิ่งถูกจับได้คาหนังคาเขากระมัง!

แต่ทันทีที่เห็นความเกลียดในใจตนเอง ลานดาวก็ตระหนักว่าหล่อนกำลังจะกลับไปถูกปีศาจร้ายผู้ไร้เหตุผลตัวเดิมเข้าสิงสู่อีก ทั้งที่มีใจแสนสะอาดและอบอุ่นเยี่ยงผู้คอยให้ความช่วยเหลือ สงเคราะห์สังคมมาหลายเดือน

เม้มปากแน่นขณะหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง สั่งตนเองให้คิดว่ากระแสความอบอุ่นอ่อนหวานที่เห็นจากภาพเมื่อครู่ไม่ใช่ความจริง จากนั้นสำรวจความเรียบร้อยทางใจ จิตเริ่มเปิดเผยเย็นสบายขึ้น แต่ยังเห็นอาการคันคะยิกอยู่ในช่องอก เพียงแค่ไม่คับแน่นเหมือนจังหวะแรกที่ยินเสียงแสนซื่อของพี่สาวคนดีเท่านั้น

“ความจริงเมื่อบ่ายนี้จ๊ะขับผ่านหน้าโรง’บาลพี่เอินด้วยล่ะ เกือบแวะทักแล้ว แต่เห็นยังไงเย็นนี้ก็ต้องเจอ เลยผ่านไปธุระก่อน”

หล่อนเล่าเรื่องสัพเพเหระด้วยเจตนาจะพูดอะไรก็ได้ให้ใจหายขุ่น แต่เห็นรอยยิ้มพี่สาวแล้วอดคิดไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นกำลังแสดงละครตบตาอีกฉากหนึ่ง

“อือ… เมื่อบ่ายพอดีคนไข้เยอะมาก ไม่ได้เว้นวรรคหายใจหายคอเหมือนกันแหละ เธอเข้าไปอย่างมากก็คงแค่ส่งจุ๊บอยู่ห่างๆ”

ประกายแจ่มใสในน้ำเสียงบอกความรักและเอ็นดูเต็มเปี่ยม ทำให้ลานดาวรู้สึกผิดขึ้นมาอีก นี่หล่อนประสาทหรือเปล่า? ระแวงกระทั่งมาวันทาผู้เปรียบเสมือนพี่สาวที่หล่อนคลานตามมา หรือบางเวลาอาจเป็นได้กระทั่งตัวแทนของมารดาเลยทีเดียว!

เกิดมาไม่เคยรู้จักหน้าตาความหึงหวง อย่างมากเจอหนุ่มที่ชอบๆไปอยู่ใกล้สาวอื่นก็โมโห เร่าร้อนหัวใจนิดหน่อย การโมโหเร่าร้อนนั้นอาจทำให้พานเกลียดขี้หน้าแล้วหาเรื่องทิ้งขว้างกันแบบเจ็บๆไปเลย แต่การหึงหวงหมายถึงไฟร้อนแห่งความคิดแก่งแย่ง หมายถึงความกลัวการสูญเสียบุคคลที่ตนหมายปอง และคิดทำทุกวิถีทางไม่ให้คนรักตกไปอยู่ในมือหญิงอื่น

ปรายตาไปยิ้มหวานให้อมฤต พอสบตาเขาก็ยิ้มตอบด้วยแววบริสุทธิ์เช่นกัน เฮ้อ! หล่อนคงประสาทหลอนไปเองจริงๆ การมีสัมผัสทางจิตใช่จะหมายถึงรู้ทุกอย่างถูกต้องทั้งหมด ตราบใดที่สัมผัสรู้นั้นยังเป็นของปุถุชนผู้มีกิเลสชุก ยังดีที่ท่าทางอมฤตไม่ทันใส่ใจสังเกตความคิดหล่อน มิฉะนั้นอาจต้องเสียน้ำใจกันทั่วหน้าเพียงเพราะสัมผัสผิดๆของหล่อนเอง

“ว่าไงคะสุดที่รักของจ๊ะ วันนี้มีความสุขสบายดีอยู่หรือ?”

หยอดเสียงหวานรื่นบาดหัวใจเป็นพิเศษ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่ตนทราบอยู่เพียงลำพัง ที่จริงน่าจะรู้ว่าเขาอยู่ใต้อำนาจเสน่ห์ของหล่อน ยิ่งวันยิ่งหลงหล่อนอย่างกับอะไรดี มีหรือจะปันใจไปให้ใครอื่นได้

“อือม์ ก็สุขเหมือนหลายๆคนนะ วันนี้วันจันทร์ มีรายการหนึ่งส่วนสามฟัง เดี๋ยวต้องรอมะรืนถึงจะเป็นสุขแบบเมื่อเช้าอีก”

มาวันทาหัวเราะคิก

“เห็นพี่แตรบอกว่าเมื่อเช้าฟังเธอตอบได้แค่คนเดียวก็ต้องไปทำธุระ พี่เองก็เหมือนกัน ช่วงเช้าไม่มีเวลาเลย เราสองคนคงต้องขอเทปจากเธอไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ บอกตามตรง ติดรายการเธองอมแงม เปิดฟังก่อนนอนแล้วอมยิ้มทุกที เธอน่าร้องเพลงออกอากาศบ่อยๆนะ ฟังแล้วรู้สึกชื่นมื่นดี”

ลานดาวกะพริบตาทีหนึ่ง นั่นแปลว่าทั้งสองยังไม่ระแคะระคายว่าเช้านี้มีคนดังในรัฐบาลมาร่วมแจมรายการหล่อน ก็ดีเหมือนกัน อีกเดี๋ยวพอฟังเทปจะได้เซอร์ไพรส์

แต่งจิตให้สดใสขึ้น พูดออกมาจากใจจริงมากขึ้น

“พ่อก็บอกว่าฟังแล้วชอบ จะให้รางวัลที่ทำงานเป็นด้วยล่ะ อิอิ อานิสงส์อย่างเป็นรูปธรรมเลยอ้ะ บีเอ็มดับบลิวของจ๊ะจะเลื่อนชั้นจาก Z3 เป็น Z4 รุ่นล่าสุดภายในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้แหละ”

มาวันทาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแกมเอ็นดูเพราะรู้แกว

“เธอเห็นรถออกใหม่แล้วตื๊อขอมากกว่า เพิ่งใช้มาแปดเดือน จะเอาอีกแล้ว”

“มีพ่อไว้ขอเงินนี่คะ… ก่อนมาที่นี่แวะเอาขนมไปเยี่ยมอาจารย์ด้วยล่ะพี่เอิน” หล่อนหมายถึงอุปการะ “อาจารย์บอกว่าสร้างบุญอย่างสม่ำเสมอแบบนี้เรื่อยๆ อีกไม่นานคงรู้เห็นพอๆกับอาจารย์ได้”

แพทย์หญิงยิ้มอย่างพลอยยินดีตาม เพราะสัมผัสว่าน้องสาวหาได้อวดแบบจะวัดรอยเท้าผู้ใหญ่ แต่เป็นด้วยความดีใจที่ผู้ใหญ่ให้กำลังใจ

“ดีนะ เธอหัดไม่ถึงปี มีทั้งพี่แตร ทั้งอาจารย์คอยถ่ายเทสารพัดวิชาให้”

“นั่นน่ะซี ใครจะโชคดีเท่าจ๊ะ”

ลานดาวรับ อมฤตเรียกบริกรมาสั่งอาหาร เมื่อทั้งสามสั่งเสร็จชายหนุ่มก็พูดลอยๆ

“จนแล้วจนรอด ป่านนี้ยังไม่มีโอกาสพบอาจารย์ของจ๊ะกะเอินเลย นัดจ๊ะทีไรเหลวเรื่อย”

“สงสัยยายจ๊ะแกล้งเลี่ยงมั้งคะ เขากลัวอาจารย์ทักว่าพี่แตรไม่ใช่คู่เขา”

มาวันทาเผยสิ่งที่ลานดาวเคยกระซิบ โดยนึกว่าเดี๋ยวนี้สนิทแน่นแฟ้นกันมากพอที่จะพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องอมพะนำอำพรางสิ่งใดต่อกันอีก แต่การณ์ปรากฏว่าอมฤตเลิกคิ้วฉงน ส่วนลานดาวถึงกับใจหล่นวูบ มาวันทาสัมผัสได้ถึงอาการชะงักจ้องมายังหล่อนพร้อมๆกัน ก็กลืนน้ำลายฝืดๆ ขยับมือไม้เงอะงะ ก่อนพยายามพูดกลบเกลื่อนเป็นการแก้ตัว

“เอ้อ… ความจริงอาจารย์ก็บอกบ่อยๆเนอะ ว่าใครจะใช่คู่ใครหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำร่วมกันมา ไม่ใช่เป็นหรือไม่เป็นเพราะอาจารย์ตัดสิน เธอกับพี่แตรสร้างสรรค์สิ่งดีร่วมกันขนาดนี้ ถ้าขืนบอกว่าไม่ใช่ ใครล่ะจะเชื่อ”

ลานดาวกะพริบตาทีหนึ่ง ฝืนยิ้มเป็นปกติเพื่อช่วยลดอาการเก้อของพี่สาว ความจริงหล่อนควรเห็นเป็นเรื่องล้อเล่นและพูดถึงได้เหมือนเป็นเรื่องสนุกเสียที เพราะเชื่อมั่นเกินร้อยว่าตนมัดใจอมฤตให้ทั้งหลงทั้งรักชนิดไม่มีทางไปไหนรอด แล้วหล่อนก็สบายใจที่จะใกล้ชิดเขาไปจนชั่วชีวิต องค์ประกอบพรักพร้อมเห็นปานนี้ยังมีอะไรทำให้รู้สึกหวั่นไหวได้อีกเล่า?

แต่เหตุใดหนอ เมื่อฟังมาวันทาพูดแล้วจึงรู้สึกราวกับฝ่ายนั้นแฝงความจงใจสร้างคลื่นใต้น้ำขึ้นมาสั่นคลอนเสถียรภาพแห่งสายใยระหว่างหล่อนกับอมฤตชอบกล จะให้อมฤตเกิดความอยากรู้อยากเห็นแล้วไปถามอุปการะหรืออย่างไร?

รอตะครุบอยู่ล่ะสิ?

สะบัดหน้านิดๆสลัดไล่ความคิดอกุศลต่อพี่สาวทิ้ง เอื้อนเอ่ยแจ่มใสดังเดิม

“ไปเยี่ยมอาจารย์วันนี้ จ๊ะถามด้วยล่ะว่ารายการจ๊ะจะรุ่งไปเรื่อยๆ หรือรุ่งโรจน์แล้วรุ่งริ่งอย่างไฟไหม้ฟาง แบบแฟนๆเห่อของแปลกพักหนึ่งแล้วเบื่อหรือเปล่า”

เมื่อเห็นน้องสาวเว้นวรรคเรียกความสนใจ มาวันทาก็ถามด้วยท่าทางอยากรู้

“แล้วอาจารย์ทำนายว่าไง?”

“อาจารย์บอกว่าถ้าเดินชีวิตถูกทางแล้วก็อย่าดูหมอเลย เพราะเมื่ออยู่ในทางที่ถูก ก็ต้องเจอแต่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมกับตัวเอง”

มาวันทาฟังแล้วยิ้มออก

“จริงอย่างที่สุด… ให้กรรมดีของเราเป็นผู้พยากรณ์ตัวเองได้ เหมือนเธอกับพี่แตร สร้างทำกันมาขนาดนี้ ต่อให้อดีตชาติไม่ใช่เนื้อคู่ ตอนนี้ก็ต้องเข้าขั้นคู่แท้แล้ว ต่อให้ใครอื่นมีบุพเพสันนิวาสก็อาละวาดไม่ไหว แยกพวกเธอจากกันไม่สำเร็จ”

ลานดาวยิ้มกว้างขึ้น เพราะเห็นมาวันทาเจตนาพูดเอาใจตนเต็มที่ ความคิดตั้งแต่ระดับผิวเผินลงไปถึงก้นบึ้งของมาวันทามีแต่ความบริสุทธิ์แท้จริงล้วนๆ

แต่อีกใจของหล่อนเองกลับแกว่งอยู่ข้างใน ประตูวิวาห์เหมือนใกล้แค่เอื้อม อมฤตเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งตามประสงค์ และจะว่าไปเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกแล้ว ในเมื่อหล่อนเองก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำยิ่งกว่าเขาหลายเท่า เฉพาะหนังสือก็ขายได้เกินแสนเล่มก่อนที่ยอดจะตกลงมาตามกฎอนิจจัง เมื่อหักต้นทุนจัดพิมพ์คืนพ่อ กับจ่ายสายส่ง ๔๐% แล้ว เฉลี่ยหล่อนได้ตกเล่มละประมาณเกือบ ๖๐ บาท สรุปคือหล่อนมีเงินสดของตัวเองมากพอจะซื้อบ้านหรูโดยไม่ต้องรอเงินเก็บของเขาก็ยังไหว

หล่อนเคยเปรยๆเรื่องนี้ คือไม่ต้องรอแล้ว ช่วยกันซื้อบ้านเลย แต่อมฤตรับคำอือออแล้วเงียบๆไป ไม่รู้รออะไรของเขาอีก พอหล่อนพูดสองครั้งเลยเงียบบ้าง ได้แต่พยายามคิดน้อยๆ สงสัยเขาน้อยๆ จนถึงวันนี้ความคิดของเขายังหยั่งยากเหมือนเดิม เว้นแต่จะจงใจเปิดเผย

และเพราะอย่างนี้กระมัง พอเห็นเขาเกี่ยวเส้นผมออกจากแก้มพี่สาว หล่อนจึงคิดมากเตลิดเปิดเปิง

“น้องโบเอ้กับใครต่อใครถามถึงเธอกันใหญ่”

มาวันทาพูดถึงกระดานสนทนาในเว็บไซต์ ลานดาวทำหน้าเมื่อย

“เหนื่อยค่ะ แทบไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์มาเกือบสองอาทิตย์แล้ว วันๆตะลอนๆ”

“ไม่เป็นไร ตะลอนอีกเดี๋ยวก็ได้ดังไปทั่วโลกแล้ว”

ลานดาวยิ้มเนือยนาย

“แค่ในประเทศเอาให้รอดก่อนเถอะค่ะ ท่าทางกำลังจะดับอยู่รอมร่อแล้ว มีคนหมั่นไส้เยอะเหลือเกิน นี่ก็เพิ่งเจอบัตรสนเท่ห์ ด่าใหญ่เลย น่าสนเท่ห์สมชื่อจริงๆ”

แพทย์สาวยิ้มปลอบ ความจริงช่วงนี้ลานดาวไม่เข้าอินเตอร์เน็ตก็ดีเหมือนกัน เพราะเริ่มมีขบวนการอิจฉาตาร้อนเข้ามาโพสต์ข้อความ ทั้งหาเรื่อง ทั้งใส่ไคล้ ทั้งติเตียนสารพัด พอหล่อนลบๆไปก็มาด่าต่อว่าไม่กล้ายอมรับความจริง นอกจากนี้ยังมีโพสต์กันที่กระดานสนทนาอื่นๆมากมาย ซึ่งเกินวิสัยหล่อนจะตามไปช่วยแก้ต่างอย่างไรไหว

“มีสรรเสริญก็มีนินทา ของประจำโลก หรือที่เรียกโลกธรรมน่ะ ถ้าเขาหลงรัก ๖๐ ก็ควรจะเตรียมโดนหมั่นไส้ ๔๐ เคยได้ยินคำสุนทรภู่ไหม แม้แต่องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคำนินทา”

“ก็ติดหูอยู่เหมือนกันแหละค่ะ ความจริงจ๊ะเจอคนหมั่นไส้ เจอคำนินทาว่าร้ายมาตลอดแหละ จริงมั่งมั่วมั่ง เพียงแต่ช่วงนี้เจอบ่อยและเป็นรูปแบบที่ต่างไป ประเภทโทร.มาด่าถึงสถานีว่าเราตอแหลมั่ง บางทีจ๊ะนั่งกินข้าวเจอคนสุมหัวซุบซิบหัวเราะเอิ๊กอ๊ากมั่ง คอลัมน์สังคมในหนังสือพิมพ์พูดให้เข้าใจทำนองว่าเรากุ๊กกิ๊กกะหนุ่มๆมั่วไปหมดมั่ง แบบว่าไปขุดคุ้ยซอกแซกกับเพื่อนเก่าๆของเรา พอได้เค้ามานิดหน่อยก็ยำเละเลย คนเราใจร้ายกันซะจริงๆ”

“ในความเป็นจริง เราถึงเจอคนเดือดเนื้อร้อนใจหน้าดำคร่ำเครียดกันมากกว่าคนหน้าใสใจสบายไงล่ะ ใครนินทาว่าร้ายจนเป็นนิสัยประจำตัว เวลากรรมเผล็ดผล ก็คือความเดือดร้อนยืดเยื้อ เหมือนวาทะของเธอในรายการไง ที่บอกว่าอะไรนะ?… ทำนองเราเล่นเกมโหดที่ไม่มีใครบอกกติกา จะรู้ตัวว่าเล่นผิดก็ตอนโดนทำโทษแล้ว แย่กว่านั้นคือโดนทำโทษบางทียังไม่รู้เลยว่าทำผิดกติกาข้อไหนไว้เมื่อไหร่ ฟังแล้วพี่รีบสำรวจตัวเองเลยว่าตัวเองยังทำผิดกติกาข้อไหนอยู่มั่ง… จะว่าไปเพื่อนๆของเธอก็มีแต่ตาโจ๊กเท่านั้นที่รู้ตื้นลึกหนาบางมากเป็นพิเศษ แล้วโจ๊กก็ไม่น่าจะขายเพื่อน”

ลานดาวทำหน้าเมื่อยนิดๆ เวลาร้อนตัวกลัวโดนขุดคุ้ยผ่านเพื่อนเก่าๆ หล่อนจะนึกถึงนนทกานต์เป็นอันดับแรกเช่นกัน เพราะเขาเป็นคนเดียวในโลกที่รู้ว่า ลานดาว ลีลากีรติ เคยชวนผู้ชายเข้าบังกะโลที่บางแสน!

จะด้วยเหตุผลกลใด จะมีอะไรเกิดขึ้นในบังกะโล จะมีสายสัมพันธ์แท้จริงอย่างไรกับผู้ชาย สื่อมวลชนจะไม่สนใจเอารายละเอียดมาตีแผ่ ทุกคนในโลกจะเล่าขานบานตะไทกันท่าเดียวว่าหล่อนชวนผู้ชายเข้าบังกะโล! นี่คือความจริงที่พบเมื่อเลือกทำงานออกกว้าง ภาพลักษณ์มาก่อนรายละเอียดเสมอ จะไม่มีใครสนใจว่าหล่อนคิดอย่างไร หรือศึกษาให้ถ่องแท้ว่าตัวตนของหล่อนดีร้ายแค่ไหน แต่จะสนใจซุบซิบนินทากันตามที่ได้ยินข้อข่าวใหญ่เป็นอันดับแรกเท่านั้น

นึกภาวนาให้นนทกานต์โทร.มาหาบ้าง เผื่อจะได้เลียบๆเคียงๆ เดี๋ยวนี้ท่าทางมนต์สะกดเรียกใครต่อใครคงจะอ่อนกำลังลง อยากเท่าไหร่ตาโจ๊กก็ไม่โทร.ซักที ครั้นจะโทร.เองก็มีศักดิ์ศรีค้ำคอ ค่าที่นนทกานต์เป็นฝ่ายขอเลิกคบหล่อน ถ้าโทร.โดยไม่มีธุระจริงจังเดี๋ยวหาว่าตื๊ออีก

อันที่จริงมาถึงวันนี้การมีเพศสัมพันธ์กับแฟนก่อนแต่งงานไม่ทำให้เกียรติยศชื่อเสียงใครอับปางลงได้ เพราะทำกันทั่วไปจนไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว ประเด็นคือภาพของหล่อนคือสาวบริสุทธิ์ผู้รณรงค์เรื่องได้เสียกันหลังแต่ง โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาอกหักรักคุดทุกวันนี้เกิดขึ้นดาษดื่นเพราะหนุ่มสาวมีโอกาสลองลิ้มชิมรสแปลกไปเรื่อยๆ ของพรรค์นี้เมื่อตระหนักว่าเปลี่ยนง่ายก็ต้องอยากลองของใหม่กันทุกคน ถึงยุคที่เลิกมองว่าเป็นนิสัยสำส่อน เลิกระวังกันว่าถ้ามีฟรีเซ็กซ์ดาษดื่นแล้วจะก่อให้เกิดภาวะล่มสลายในระบบครอบครัวอย่างไร

ธรรมชาติของเซ็กซ์นั้น อีกกี่ร้อยกี่พันปีก็เป็นของบาดใจวันยังค่ำ มันควรเป็นความลับระหว่างคนสองคน แต่กลับเป็นขี้ปากของมหาชนได้ไม่จำกัดจำนวนอยู่เรื่อย ถ้าเพศหญิงมีเรื่องฉาวขึ้นมาก็จะเป็นคาวแรงกว่าเพศชายหลายเท่า ยิ่งหากถูกจับได้ว่าสาวผู้รณรงค์เซ็กซ์หลังแต่งงานเคยทำเรื่องงามหน้าเสียเอง ก็แน่นอนว่าชื่อเสียงคงป่นปี้เป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาแห่งการถูกจับตามองในฐานะคนดังรายใหม่เช่นนี้ มีอะไรแพลมหน่อยเดียวเป็นพังครืนยกกระบิลูกเดียว

ลานดาวรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเคยแช่งให้นนทกานต์ตายๆไปเสีย ความลับของหล่อนจะได้ตายตามตัวเขาไป แต่พอรู้ตัวว่าคิดแบบนั้นก็นึกเกลียดตนเองอีก นนทกานต์เป็นเพื่อนที่ดี จัดว่ามีบุญคุณในช่วงหนึ่ง แล้วหล่อนไปแช่งชักหักกระดูกเพียงเพื่อให้เกิดความสบายใจได้อย่างไร วิธีคิดเยี่ยงนี้นับว่ามีเชื้อมีแถวของจอมเนรคุณฝังอยู่ในรากความนึกคิดโดยแท้

มาวันทาจับกระแสความกังวลจากใจลานดาวได้ ก็เข้าใจว่าฝ่ายนั้นเกรงเพื่อนชายคนสนิทเก่าจะปูดอดีตความเป็นหญิงรักหญิง แถมเป็นหญิงมีสามีแล้วอีกต่างหาก จึงปลอบให้คลายกังวล

“ลืมเล่าให้เธอฟัง หลายเดือนก่อนมีวันหนึ่งพี่ไปหาอาจารย์ เจอตาโจ๊กด้วยล่ะ เขาเป็นคิวก่อนหน้าพี่… ดูหน้าตาอิ่มบุญเอิบอาบมากเลย ท่าทางเคารพเลื่อมใสอาจารย์ไม่แพ้พวกเรานะ อาจเข้าวัดเข้าวาบ่อยกว่าเธออีก น่าจะเป็นคนดีที่ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายเพื่อน ไม่ทำร้ายสังคมอีกคนหนึ่ง”

ได้ผล ลานดาวทำท่าเหมือนโล่งอก ระบายยิ้มออกมาได้

“เหรอคะ?”

อมฤตถามแทรกเพราะคุ้นชื่อ

“เพื่อนคนนี้หรือเปล่าที่เคยช่วยเบรกจ๊ะเรื่องเอินในช่วงต้นๆอยู่พักหนึ่ง”

“ค่ะ คนนี้แหละ”

ลานดาวตอบแบบไม่ปิดบัง ตั้งใจไว้แล้วว่าสำหรับอมฤต ถ้าถามอะไรหล่อนจะบอกหมด

“เขาเคยเป็นแฟนจ๊ะหรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ” แล้วหล่อนก็มองคนรักนิ่ง “หลังจากเห็นอะไรมาเยอะพอสมควร จ๊ะว่านับแล้วมีพี่แตรคนแรกและคนเดียวที่เป็นแฟนจ๊ะ คนอื่นแค่เพื่อนสนิท หรือคนที่จ๊ะปิ๊งเป็นพิเศษ”

จิตแพทย์หนุ่มสานตาตอบแฟนสาวด้วยแววลึกซึ้ง ถามยิ้มๆอย่างปราศจากวี่แววติดใจ

“แล้วโจ๊กนี่จัดเป็นเพื่อนสนิทหรือคนที่ปิ๊งเป็นพิเศษ?”

“หลายแบบ หลายจังหวะเวลาค่ะ จ๊ะไว้ใจเขามาก ยังเสียดายไม่หายที่เขาทำใจเป็นเพื่อนสนิทกับจ๊ะไม่ได้ จะต้องเอาเป็นแฟนให้ได้ เลยต้องเลิกคบกัน”

“ฟังเสียงจ๊ะตอนพูดถึงเขาพี่ก็รู้สึกว่าสนิทสนมและไว้ใจเขาดี เมื่อกี้ทำไมต้องกังวลอีกล่ะ?”

“มนุษย์มีความไม่แน่นอน แปรปรวนยิ่งกว่าดินฟ้าอากาศนี่คะ วันดีคืนดีใครรู้ว่าโจ๊กเคยสนิทกับจ๊ะแล้วเข้าไปรีดหน้ารีดหลัง อย่างไรก็คงมีแพลมให้เป็นข่าวบ้าง”

พอเห็นอมฤตจ้องลึกเข้ามาแบบอ่านใจและเห็นพิรุธที่ซ่อนเร้น ลานดาวก็สะท้านไหวอยู่เล็กๆ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย

“บอกให้ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องพยายามอ่านหรอก เดี๋ยวจะแปลความหมายผิดๆ… เมื่อครั้งที่จ๊ะสงสัยตัวเองว่าจิตใจบิดเบี้ยวแบบหญิงรักหญิงถาวรหรือเปล่า จ๊ะเคยชวนโจ๊กไป… ไปทำเรื่องทุเรศๆ… ซึ่งก็ด้วยเจตนาจะพิสูจน์ตัวเองมากกว่าด้วยเหตุผลอื่น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะคะ แม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นก็ไม่มีใครถอด โจ๊กเป็นเพื่อนที่ดี และไม่ฉวยโอกาสขณะที่เพื่อนกำลังเป็นทุกข์”

คายความลับได้ก็โล่งอก ความสบายใจประการหนึ่งคือทราบว่าบุคคลใกล้ชิดทั้งสองมีใจสูง และต่างสามารถเชื่อกันได้สนิทเพียงด้วยคำพูดปากเปล่าที่กระชับสั้น ไม่ต้องจาระไนยาว ไม่ต้องพึ่งพาคำสาบาน ไม่ต้องอาศัยหลักฐานยืนยัน

อีกประการคือนึกขอบคุณตัวเองย้อนหลัง จำความคิดของตนในวันนั้นได้ แม้หล่อนเกิดความต้องการขึ้นมาในช่วงเวลาก่อนออกจากห้องก็ระงับไว้ และศรัทธาที่จะมอบความเป็นสาวบริสุทธิ์ให้แก่คนพิเศษ มาวันนี้อ้างได้เต็มปากว่าตนยังบริสุทธิ์ ถึงแม้จะเหลือคุณค่าเพียงเล็กน้อยสำหรับบรรยากาศฟรีเซ็กซ์ที่ห่อหุ้มโลกยุคนี้ หล่อนก็ยังภูมิใจอยู่ดี

ฝ่ายอมฤตยิ้มกว้างขึ้นอย่างดีใจที่คนรักยังเปิดเผยตรงไปตรงมา ใจเขาสัมผัสได้ว่าความกังวลเมื่อครู่ของลานดาวเป็นความปกปิดซ่อนเร้น หรือความรู้สึกผิดทางเพศที่มีต่อเพื่อนชายเก่าแก่ แต่ถ้าไม่เผยกันด้วยคำพูดโต้งๆ เขาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ารายละเอียดเบื้องหลังมีความลึกซึ้งเพียงใด

แม้ลานดาวเคยมีความสัมพันธ์ถึงหมอนถึงเตียงกับใครมาก่อน เขาก็หัวใหม่พอจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะค่านิยมและทัศนคติโดยรวมของคนยุคปัจจุบันทำให้เขาถูกกลืน และเลิกหวังเจอสาวสวยแสนบริสุทธิ์ผุดผ่องไปโดยปริยาย แต่ที่อาจเสียความรู้สึกกันจริงๆก็น่าจะเป็นเรื่องฝนตกไม่ทั่วฟ้ามากกว่า ถ้าจับได้ว่าหล่อนเคยกับคนอื่นแต่มาปฏิเสธเขา พอเป็นเขาจะเอางานแต่งมาแลกตัวอย่างเดียว แบบนั้นคงเป็นเรื่องคาใจไปอีกนาน

ทั้งสามเงียบกันครู่หนึ่งระหว่างบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ เมื่อเรียบร้อยลานดาวก็ถามอมฤตซื่อๆต่อหน้ามาวันทา

“ยิ้มๆอย่างนี้คือภูมิใจใช่ไหมคะ ที่คนรักยังบริสุทธิ์อยู่?”

“เปล่า… จ๊ะจะเคยมีอะไรกับใครพี่ไม่สนนักหรอก เพราะสมัยนี้หวังได้ยากเต็มที แต่ดีใจที่จ๊ะมีจุดยืนสมน้ำสมเนื้อกับการเรียกค่าตัวเป็นงานแต่ง”

เขาตอบตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซากเหมือนกัน ลานดาวยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“รู้ไว้เถอะ จ๊ะหวงตัวก็เพราะพี่เอินนี่แหละสั่งสอน พี่เอินบอกให้เหลืออะไรสำหรับการไขว่คว้าเป็นครั้งสุดท้ายบ้าง ไม่หมดค่าเสียก่อนแต่ง”

มาวันทาทำตาเหลือกหน่อยๆ สองคนพูดเหมือนไม่มีหล่อนนั่งอยู่ด้วย ยิ่งอมฤตชำเลืองมองมายิ่งเกร็งจนทำหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ต้องกระแอมและชักชวนอ้อมแอ้ม

“เรามาทานข้าวกันเถอะ”


หลังอาหารมื้อค่ำผ่านไป ลานดาวไถ่ถามพี่ๆทั้งสองว่าจอดรถกันชั้นไหนบ้าง พอรู้ว่าอมฤตจอดอยู่ชั้นใกล้สุดก็ขอให้เขาขับไปส่งหล่อนกับมาวันทา อ้างว่าตอนมืดๆค่ำๆน่ากลัว เพราะเพิ่งมีข่าวปล้นทรัพย์ในที่จอดรถห้างดังไปเมื่อสองสามวันก่อน

อมฤตขับพามาถึงชั้นจอดของลานดาวก่อนมาวันทา เมื่อชายหนุ่มนำรถมาเทียบใกล้ช่องจอดของแฟนสาว หล่อนก็หันมายกมือไหว้ลาผู้ที่นั่งเบาะหลัง

“ลาล่ะนะเจ๊ ขอให้หลับฝันดี ตื่นมาเป็นที่รักของคนไข้ทุกราย”

มาวันทาหัวเราะและเอื้อมมือมาขยี้ศีรษะน้องด้วยความเอ็นดู ลานดาวยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนหันมาทอดแขนกระหวัดรอบคออมฤต และทำในสิ่งที่ไม่เคยทำต่อหน้าคนอื่นมาก่อน คือยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตริมฝีปากของเขาด้วยท่าทีละเมียดละไมชวนฝัน แล้วจึงถอนออกมาล่ำลา

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะที่รัก”

เปิดประตูก้าวออกจากรถลงมายืนโบกมือบ๊ายบายให้มาวันทา พี่สาวบ๊ายบายตอบ ยิ้มนิ่งด้วยใจที่บริสุทธิ์อย่างไรก็บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น กระทั่งลานดาวคลายกังวลด้วยไพ่ใบสุดท้าย นึกด่าตัวเองในใจที่คิดมากไม่เข้าเรื่องจนเกือบสำคัญผิดไป

เมื่อเห็นหล่อนเปิดประตูก้าวเข้านั่งประจำที่ในรถเรียบร้อย อมฤตจึงเคลื่อนจากไป ปล่อยหล่อนทิ้งไว้กับความเงียบตามลำพัง ลานดาวยังไม่เสียบกุญแจเข้าช่องสตาร์ท แต่ระบายลมหายใจเหยียดยาว หลับตาเอนคอพัก เพื่อปลดปล่อยความคิดฟุ้งซ่านให้กระจายออกไปจากศีรษะเสียก่อน

เมื่อคลื่นลมในศีรษะสงบลง ก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่วางตัวนิ่งอยู่บนเบาะหลัง ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ลานดาวเปิดตากว้าง หันขวับมองด้วยความตกใจ นี่หล่อนลืมพกมันติดมือลงจากรถไปทิ้งได้อย่างไรกัน?

ช่อกุหลาบใหญ่ยังหมอบสงบอยู่กับเบาะด้านซ้าย เห็นได้ด้วยแสงไฟนีออนในลานจอด ลานดาวเอื้อมมือคว้าขึ้นมาขมวดคิ้วพินิจพักหนึ่ง ก่อนคลายสีหน้าลง เปิดประตูรถก้าวกลับเข้าตัวอาคารอีกครั้งนำของในมือไปทิ้งถังขยะใกล้สุด แล้วกลับมาสตาร์ทรถ ถอยพรวดพราด พุ่งปราดออกจากจุดนั้นราวกับต้องการออกห่างจากของซึ่งตัดใจทิ้งขว้างไปแล้วให้เร็วที่สุด!

นำยานยนต์ค่ายใบพัดเครื่องบินฟ้าขาวห้อตะบึงมาแล่นลิ่วบนทางด่วนได้ค่อยสบายใจขึ้น เนื้อตัวลดอาการเกร็งลง ก็แค่ดอกไม้ช่อหนึ่ง ได้รับเป็นประจำอยู่แล้ว ทำไมต้องเคร่งเครียด คิดมากคิดมายขนาดนี้ด้วยเล่า มีพลังอิทธิพลประหลาดในช่อดอกไม้ช่อเดียวเพียงนั้นเชียวหรือ?

ย้อนทบทวนเหตุการณ์ก่อนเที่ยง เมื่อหล่อนออกจากห้องส่ง มีผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งมาขอพบพร้อมช่อดอกไม้สวยสะดุดตาในมือ ทีแรกลานดาวนึกว่าเขาเป็นเจ้าของเองก็ยิ้มให้อย่างมีไมตรี แต่เมื่อทราบว่าเป็นของกำนัลจาก สรณะ กรีธาพล ก็เกิดความสะดุ้งไหวหัวใจเฉียบพลัน นับเป็นครั้งที่สองในเวลาไล่เลี่ยกันที่เขาทำให้หล่อนตกใจอึ้งงันขนาดนั้น

สรณะ กรีธาพล… โฆษกรัฐบาลคนปัจจุบันที่ก้าวขึ้นมาจากความเป็นดาราดังและผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ที่ประสพความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของไทย ได้รับความนิยมทั้งขณะเมื่ออยู่เบื้องหน้าและอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งในฐานะดาราเจ้าบทบาทและพิธีกรระดับแม่เหล็ก แถมเมื่อก้าวเข้าสู่อาคารรัฐสภาในฐานะผู้แทนราษฎรก็ยังประสพความสำเร็จเข้าขั้นดาวสภาอีก เขาเคยตรึงผู้ชมรายการบันเทิงได้อย่างไร ก็ตรึงคนฟังอภิปรายโรมรันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านได้อย่างนั้น

ย้อนกลับไปเมื่อหล่อนเพิ่งอายุ ๑๑ ขวบเมื่อแรกเห็นโฉมหน้าของดาราดวงใหม่เป็นหนุ่มรูปงามรายใหม่วัย ๑๙ นั้น นับเป็นวาระที่รู้จักมองเพศตรงข้ามด้วยสายตาตะลึงจ้องหลงละเมอ และเมื่อเริ่มโตขึ้นแตกเนื้อสาว เขายังคงเป็นหนึ่งในบรรดามนุษย์ผู้ชายไม่กี่คนบนโลกที่สามารถสะกดหล่อนให้อยู่ในอารมณ์แอบรักและนอนตาลอยฝันกลางวันไปต่างๆนานา

คุณสมบัติที่ครบพร้อมในตัวสรณะทำให้เขาโดดเด่นและแตกต่าง เมื่อครั้งเรียนมัธยมปลายเขาได้ชื่อว่าเป็นเยาวชนผู้มีอัจฉริยภาพทางปัญญา ในฐานะตัวแทนนักเรียนไทยไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก ได้เหรียญทองมาครองชนิดคะแนนลอยลำ

เด็กที่มีโอกาสไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการถือว่าได้ใบเบิกทางชีวิตชั้นเลิศเสมอ ส่วนใหญ่ได้ทุนเรียนจนจบปริญญาเอกกันง่ายๆ และส่งผลให้หลายคนอยู่ในสถานภาพสมองไหล คือถูกซื้อตัวไปทำงานด้วยค่าจ้างแพงๆที่ต่างประเทศเหมือนสินค้าคุณภาพเยี่ยมอันหายากยิ่งทั้งหลาย

แต่สรณะไม่ใช่อย่างนั้น เขาปักหลักสร้างความรุ่งเรืองและชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเหนือเด็กโอลิมปิกวิชาการอื่นๆ เริ่มตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีทางเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์เมื่ออายุไม่ถึง ๑๘ จบโททางบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเมื่อเพิ่งเข้าวัย ๒๐ และเริ่มเป็นดาราดังทันที ด้วยบุคลิกพระเอกเต็มขั้น ทำเอาสาวไทยกรี๊ดกันคอแห้งเพียงด้วยการเห็นเขาปรากฏตัวในระยะไกล

สรณะฝึกร้องเพลงจนเข้าขั้นออกอัลบัมตามความต้องการของตลาดได้ และหลังจากเป็นดารากับนักร้องอยู่ ๓ ปีก็เริ่มผันตัวเองมาเป็นพิธีกร แล้วเขยิบขึ้นเป็นเจ้าของรายการโทรทัศน์ที่ประสพความสำเร็จสูงสุดถึงสองรายการ รับทั้งกล่อง รับทั้งเงิน กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านผู้สร้างตัวจากวงการบันเทิงขณะยังอยู่ในวัยเยาว์

เมื่ออายุ ๒๕ เขาเริ่มทำตัวอยู่เบื้องหลังเครือข่ายธุรกิจมากประเภทขึ้น และหนึ่งปีหลังจากนั้นก็ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สอบผ่านเข้าสภาด้วยคะแนนลอยลำชนะคู่แข่งแบบไม่ต้องลุ้น วงการพนันงดรับต่อรองอย่างเด็ดขาด

สิ่งที่ทำให้เขาต่างจากนักการเมืองผู้มีอดีตเป็นดาราอื่นๆคือผันตัวมาเล่นการเมืองตั้งแต่ยังไม่หล่นจากทำเนียบดาราดัง สรณะมีเจตจำนงจะเล่นการเมืองมาแต่ต้น เขายอมรับเสมอว่าวงการมายาเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่จะทำให้คนรู้จักชื่อเสียงและหน้าตาเท่านั้น ชีวิตที่แท้อยากใช้ความสามารถเพื่อประชาชนมากกว่า รายการโทรทัศน์ที่เขาเป็นเจ้าของช่วยสนับสนุนคำพูดได้อย่างลงตัว คือกึ่งบันเทิง กึ่งช่วยเหลือสังคมผู้ด้อยโอกาสด้วยวิธีชาญฉลาดมากมาย

เมื่อมาเล่นการเมืองในเสื้อพรรคที่กำลังรุ่งโรจน์โชติช่วง สรณะกลายเป็นดาวชัย เป็นความหวังใหม่ของคนจำนวนมาก คำพูดในสภาขณะออกทีวีทั่วประเทศของเขาน่าเชื่อถือ พูดอะไรใครก็อยากฟัง ภาพลักษณ์ของเขาจับตาน่าชมไม่รู้เบื่อ หลายคนถึงกับออกปากทีเดียวว่าราศีนายกรัฐมนตรีของหนุ่มคนนี้ฉายชัดตั้งแต่เพียงอายุขึ้นด้วยเลข ๒ เขาทำให้คนฟังหยุดคิดได้ด้วยคำพูดง่ายๆ ฟังเข้าใจเร็ว เป็นหนึ่งในไม่กี่คนในไทยที่รู้มาก ฉลาดเชื่อมโยง ชี้แจงแล้วประชาชนเห็นภาพว่าทำอย่างไรไทยจะปรับตัวให้สามารถแข่งขันกับชาติอื่น โดยเฉพาะด้านการตลาดและการบริหารเศรษฐกิจ หลายการให้สัมภาษณ์ของเขาจึงอาจล้ำเส้นและทำให้ผู้ใหญ่นึกเขม่นอยู่ตงิดๆ ค่าที่ดูเหมือนคนให้ความสำคัญกับความเห็นของเขามากกว่าเจ้าตัวซึ่งมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเสียอีก

สำคัญคือฐานชีวิตที่ผ่านมาหนุนส่งให้มีภาพลักษณ์ของผู้ประสพความสำเร็จมือสะอาด มีมนุษยสัมพันธ์ดี ขณะเดียวกันก็ทันเล่ห์ ฉลาดทั้งรับ ฉลาดทั้งรุกในเชิงให้ข่าวและสร้างข่าวการเมือง แถมไม่กลัวการปะทะคารมกับนักข่าวทั้งแบบผู้ดีและแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เมื่ออยู่ในพรรคแกนนำสองปีก็บารมีแก่กล้า หน้าที่โฆษกรัฐบาลถูกโยนมาให้แบบส้มหล่นทันทีที่โฆษกคนก่อนหน้าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน ยังความอิจฉาตาร้อนให้เกิดขึ้นกับนักการเมืองอื่นๆที่หวังอาศัยตำแหน่งนี้เป็นบันไดสู่ดวงดาว เพราะจะโดดเด่นเข้าหูเข้าตาเป็นที่จดจำของประชาชนเร็วสุดก็ตอนนั่งเก้าอี้โฆษกรัฐบาลนี่แหละ

วันนี้ได้สัมผัสเขาทางเสียง ความประทับใจแรกคือสรณะใช้เลขาถือสายรอให้ แทนที่จะอาศัยอภิสิทธิ์ของความเป็นผู้ยิ่งใหญ่แย่งคิวคนอื่น ซึ่งเขาสามารถทำได้แบบพลิกฝ่ามือโดยไม่มีใครกล้าว่าแน่ๆ

ความประทับใจที่สองคือเขาเอาตัวเองมาสนับสนุนรายการและวิถีทางของหล่อนอย่างเปิดเผย จะด้วยความใจดี ชอบสนับสนุนคนทำงานจรรโลงสังคมตามถนัดของเขาหรืออย่างไรก็ตาม นับว่าต้องจดจำเป็นพระคุณทีเดียว

ความประทับใจที่สาม ที่เหนือกว่าสองความประทับใจแรกอย่างมาก คือช่อกุหลาบงามพร้อมนามบัตรเหน็บข้อความสั้นๆ…

“อุดมการณ์และไฟทำงานของผมใกล้มอดอยู่พอดี ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจระลอกใหม่ ผมหายท้อและรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อเห็นเงาตัวเองในอดีต… คุณจ๊ะเป็นเงานั้น”

ทิ้งท้ายข้อความอ่อนหวานด้วยลายเซ็น เส้นสายบอกพลังที่งดงามและยิ่งใหญ่ ลายเซ็นที่ครั้งหนึ่งสมัยวัยรุ่นเคยหมายปอง เกือบยอมเสียมาดนางพญาลงไปเข้าขบวนกรี๊ดกับสาวๆซึ่งล่าของที่ระลึกจากเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย บัดนี้มาถึงมือหล่อนเองโดยไม่ต้องขอ ไม่ต้องยื้อแย่งเบียดเสียดกับใคร

มือไม้สั่นระริกอยู่หลายวินาทีหลังจากอ่านคำนิยมจากสรณะ เกือบลืมพูดคุยกับคนของเขาตามมารยาท รู้แต่ว่าโลกนี้สว่างไสว หัวใจพองโตราวกับได้รับกระแสเร้าใจพิเศษจากกลุ่มกุหลาบงามในมืออยู่ตลอดเวลานับแต่วินาทีนั้น

เมื่อขึ้นรถพ้นหูพ้นตาใครๆ ลานดาวแอบดมดอกไม้ของเขาด้วยอารมณ์เร้นลับ กว่าจะตระหนักว่านั่นคือการลักลอบทำ ทำแล้วน่าละอาย ก็เมื่อเผอิญที่อมฤตโทรศัพท์เข้ามาเพื่อยืนยันนัดทานข้าวเย็น หล่อนเกิดอาการผวาใจหายใจคว่ำจนต้องขออมฤตโทร.กลับในสิบนาทีต่อมา ด้วยเกรงเขาถามว่าเป็นอะไร ทำไมใจถึงมีอาการกระตุกแรงจนอั้นอึ้งพูดไม่ออกขนาดนั้น

สมัยก่อนตอนมีสองใจสามใจไม่เคยรู้สึกผิด เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของคนสวย แต่เดี๋ยวนี้แค่ปลื้มกุหลาบจากชายอื่นนิดเดียว กลับรู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรรมเลวร้าย แทบเห็นว่าสมควรต้องได้รับโทษบางอย่างที่สาสมเลยทีเดียว

แล้วโทษทัณฑ์ก็มาถึงตัวรวดเร็วเหลือหลาย ยังไม่ทันข้ามวัน แค่ตกเย็นก็เจอภาพลวงตา เห็นไปว่าคนที่หล่อนรักที่สุดสองคนร่วมมือกันหักหลัง…

ความจริงคือคิดไปเองทั้งเพ นึกว่าคนอื่นเริ่มออกอาการแปรใจเหมือนตัวเอง!

กระแสความอบอุ่นกลมกลืนกันสนิทระหว่างอมฤตกับมาวันทาหาใช่กลิ่นอายความรักที่ทั้งคู่แอบก่อร่างสร้างขึ้นลับหลังหล่อน แต่ทว่าเป็นความเข้ากันได้อย่างลึกซึ้งทั้งทางนิสัยใจคอและธรรมชาติดั้งเดิมหลายต่อหลายประการต่างหาก น่าแปลกที่หล่อนเพิ่งสังเกตเห็นชัดๆจากภาพบังเอิญกระทบตาวันนี้เอง

กว่าหล่อนจะเข้ากับอมฤต ต้องพยายามปรับเปลี่ยนตนเองแทบเลือดตากระเด็น แต่สำหรับมาวันทาแล้ว ทุกส่วนเหมือนถูกเนรมิตให้เข้าประกอบกันลงตัวสนิทมาแต่ต้น!

ลานดาวหัวเราะกับตนเองแผ่วซึม ที่ผ่านมาหล่อนมัวทำบ้าอะไร ชีวิตที่แท้แขวนไว้ตรงไหน กับใคร และเมื่อไหร่กันแน่?

เคยคิดว่าเกิดมาเพื่อพบกับรักแท้แสนหวาน บัดนี้เหมือนได้พบแล้ว…

ไม่เคยนึกว่าชีวิตที่มีแต่คิดเอา คิดหวังกอบโกยประโยชน์เข้าข้างตัวเองจะมีค่ากับคนอื่น บัดนี้เป็นคุณใหญ่หลวงกับวงกว้างไปแล้ว…

ที่เหลือล่ะ คืออะไร?




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น