ดาวน์โหลดอีบุ๊กกรรมพยากรณ์
ตอนชนะกรรม ได้ที่> http://bit.ly/karma1ebook
รับฟังแบบบทละครวิทยุ ได้ที่> http://bit.ly/karma1youtube
รับฟังแบบบทละครวิทยุ ได้ที่> http://bit.ly/karma1youtube
หรือคลิกที่ชื่อตอนด้านล่างนี้เพื่อเปิดอ่าน
ตอนที่ ๑. ครั้งแรก
นนทกานต์เดินผ่านกลุ่มโต๊ะหมอดูด้วยท่าทีเก้ๆกังๆเป็นรอบที่สามหรือสี่
ความจริงเขาเข้าห้างในวันนี้ด้วยความตั้งใจดูหนังคนเดียวแก้กลุ้ม
แต่พอผ่านโต๊ะหมอดูแล้วเกิดความครุ่นคิดบางอย่าง
เดินกลับไปกลับมาชั่งใจว่าจะเสี่ยงเอาเสียหน่อยไหม เกิดมายังไม่เคยดูหมอชนิดที่มีคนเป็นๆนั่งพยากรณ์ให้ต่อหน้า
อย่างมากเคยแค่เล่นหมอดูคอมพิวเตอร์
หรือให้เพื่อนซึ่งมีไพ่ยิปซีทายดวงเล่นให้แบบส่งเดช
แต่แบบนี้เป็นความรู้สึกที่ต่างกัน
เขากำลังจะเสียเงินเป็นร้อยเพื่อสนทนาถามตอบกับผู้ได้ชื่อว่าจับงานพยากรณ์เป็นอาชีพ
ซุ้มหมอดูที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นจัดแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยแผงไม้กั้น
มีทั้งหมด ๔ ห้อง หมอดูแต่ละคนล้วนมีอายุ ท่าทางเป็นผู้คงแก่เรียน
ทุกห้องต่างมีลูกค้า เว้นริมซ้ายสุดที่ยังว่าง นนทกานต์อ่านป้ายชื่อหมอดูบนโต๊ะ
เห็นชื่อ อุปการะ ตโมไพรี แล้วเกิดความตะครั่นตะครอแปลกๆ ฟังขลังราวกับเป็นหมอดูชื่อดัง
หรือเป็นชื่อที่สรรตั้งให้ฟังน่าเลื่อมใสในทางสงเคราะห์ผู้มืดบอดโดยเฉพาะ
แต่ถ้าเป็นหมอดูแม่นๆหรือมีชื่อเสียงจริง
คนคงแห่มาดูกันบ้าง นี่ยังนั่งว่างอยู่นาน
คงจะมือใหม่ในวงการหรือประเภทดูคลาดเคลื่อนเป็นประจำเสียกระมัง
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นนทกานต์ยังเดินงุ่นง่านชั่งใจอยู่
หมอดูคงเห็นเขาเดินละล้าละลังอยู่พักหนึ่งแล้วเหมือนกัน
ฝ่ายนั้นจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน มองเป็นมิตรน่าอุ่นใจ
แต่สมัยนี้เห็นยิ้มใจดีแล้วแทนที่จะอยากเชื่อถือ กลับก่อความรู้สึกระแวงขึ้นแทน
เพราะข่าวอาชญากรรมดังๆและข่าวฉ้อฉลอื้อฉาวนั้นเป็นผลงานของคนหน้าตาท่าทางใจดีเสียเกือบครึ่ง
ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินเข้าสู่ซุ้มหมอดู
ขาเขาไม่ค่อยออกอาการก้าวฉับๆอย่างเคย เพราะใจเฝ้าคิดว่าควรหรือ
ที่อยู่ดีๆจะหาเรื่องเสียสตางค์เปล่าเพื่อฟังใครไม่รู้
ทำนายทายทักเขาในสิ่งที่ยากจะพิสูจน์เดี๋ยวนี้ว่าจริงหรือเท็จ
“เอ้อ… ดูหมอคิดเท่าไหร่ครับ?”
ความจริงเขาเห็นป้ายบอกอัตราแล้วว่าครั้งละ
๒๐๐ แต่ถามไปอย่างนั้นเอง เผื่อมีฟลุกลดราคาให้บ้าง ถ้าฝ่ายนั้นกำลังหิวลูกค้า
“สองร้อยครับ เชิญครับ”
เจ้าของโต๊ะร่างท้วมตอบตามธรรมเนียม
ชายหนุ่มพยักหน้า ลงนั่งแบบคาใจเสียดายสตางค์ไม่รู้หาย
“เอ้อ… น้าดูดวงแบบไหนครับนี่? ผมต้องเอาข้อมูลอะไรให้หรือเปล่า
แบบว่าเป็นคนจำรายละเอียดจำพวกตกฟากตกไฟไม่ค่อยได้น่ะครับ”
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องใช้หรอก”
“แหะๆ บอกน้าตามตรงนะครับ
นี่เป็นครั้งแรกของผม เกิดมาเพิ่งเคยมานั่งตรงหน้าหมอดูมืออาชีพนี่แหละ”
“อันนั้นก็ดีครับ
เพราะน้องเป็นลูกค้ารายแรกของผมเหมือนกัน”
นนทกานต์เบิกตาขึ้นนิดหนึ่งแบบสะอึก
เกือบจะลุกหนีในทันทีเสียแล้ว
“น้องจะดูเรื่องผู้หญิงใช่ไหม?”
คำทักนั้นทำให้ชายหนุ่มเบิกตาโตกว่าเก่า
แต่คราวนี้เป็นด้วยความสนใจเพราะโดนทักถูกจุด
ทว่าพอคิดคำนึงแล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจแค่นิดหน่อยเท่านั้น
หนุ่มน้อยสาวน้อยเข้าหาหมอดูจะเรื่องพรรณไหนที่พ้นจากของพรรณนี้
“ครับ” ลูกค้าหนุ่มยอมรับ
“ผมต้องเอาวันเดือนปีเกิดของผมกับเธอให้น้าไหมครับ?”
นนทกานต์สะกิดใจอยู่บ้าง
ที่จนป่านนี้หมอดูอุปการะยังไม่งัดเอาอุปกรณ์ใดๆขึ้นมาวางบนโต๊ะเลยสักชิ้นเดียว
แม้แต่กระดาษปากกาก็หาได้มีไม่
“ไม่ต้องหรอก”
อุปการะตอบยิ้มๆ
นิ่งเพียงอึดใจก็พูดชนิดทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าถึงกับตาเหลือก
“น้องกำลังสงสัยว่าตัวเองรักข้างเดียวหรือเปล่า
เพราะบางทีเหมือนมีความหวัง บางทีรู้สึกว่ากำลังถูกหลอกใช้ใช่ไหม?”
นนทกานต์กลืนน้ำลายเอื๊อก ท่าทีเปลี่ยนไปสิ้น
“เอ๊ะ! น้าทราบได้อย่างไร?”
ใช่แล้ว
เรื่องเดียวที่กำลังวนเวียนในหัวคือสงสัยว่าตนเองกำลังตกเป็นทาสหน้าโง่ของเพื่อนสาวในสถาบันศึกษาเดียวกันหรือไม่
บางวันก็สำนึกรู้ว่าอยู่ในกลุ่มหมามองเครื่องบิน
แต่บางวันก็อยากหลอกตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มม้าตีนปลาย
“ผมให้น้องถามก็แล้วกัน น้องอยากรู้อะไรบ้าง
เชิญตามสบายครับ”
ชายหนุ่มอึกอัก เขามาเจอใครเข้าแล้วนี่
“เอ้อ… อ้า…
ผมจะมีสิทธิ์ได้เป็นแฟนตัวจริงของเขาไหมครับ?”
“ถ้าเป็นคำถามนี้
ผมต้องให้น้องเตรียมใจฟังคำตอบนิดหนึ่ง น้องอยากรับฟังคำตอบที่แท้จริง
ไม่ใช่คำตอบที่เป็นกำลังใจใช่ไหม?”
“ครับ ผมมีพวกเพื่อนให้กำลังใจลมแล้งทางโทรศัพท์มากพอ
มาถึงโต๊ะหมอดูนี้ผมอยากรู้ความจริงที่ทำให้สบายใจเสียทีมากกว่า”
“เขาไม่ใช่คู่ของเราหรอก
ถ้าเราคบกับเขาแบบเพื่อน เขาจะให้ความสนิท แต่ถ้าแสดงความอ่อนแอ
เปิดเผยหน้าตาที่ลุ่มหลง เขาจะนึกเหยียดหยามดูถูก ผู้หญิงที่สวยมากๆน่ะ
มีนิสัยชอบด่าผู้ชายที่มาหลงง่ายๆกันทั้งนั้น”
นนทกานต์รู้สึกสลดอยู่ในหน้า
แต่ประหลาดที่เขาฟังเสียงนุ่มของหมอดูแล้วทำใจได้อยู่ในส่วนลึก
ก็ขนาดเขาเองยังรู้สึกตั้งหลายครั้งว่าเป็นไอ้หน้าโง่
แล้วจะแปลกอะไรถ้าคำๆนี้ไปปรากฏอยู่ในหัวของหล่อน
“น้ารู้ดีจังนะว่าเขาสวยมาก…
แต่ผมอาจยังมีดีไม่พอ แต่วันหน้าถ้าเรียนจบแล้วพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว
ร่ำรวยกว่าที่เป็นอยู่เยอะๆ เขาจะมีทางมาสนใจบ้างไหมครับ กี่ปีก็ตาม…”
อุปการะยิ้มปลอบ ส่ายหน้าเล็กน้อย
“น้องไม่ใช่คนที่จะเป็นคู่ครองของเขาหรอก
สละเถอะ… อย่าหวงผู้หญิงของคนอื่นไว้ในหัวใจเราเลย
เราจะไม่ได้อะไรนอกจากความร้อนรุ่มกลุ้มใจอย่างเดียว”
ชายหนุ่มไหล่ตก
เกิดความห่อเหี่ยวรันทดขึ้นมาอย่างท่วมท้น
แต่ด้วยความเสียดายประกอบกับลูกฮึดของชายชาตรี ทำให้ตัดสินใจถามตรงๆ
“น้ารู้ได้ยังไง
ใช้หลักพยากรณ์แบบไหนหรือครับ? ขอโทษ ผมไม่เห็นน้าทำอะไรเลย”
อุปการะยอมเปิดเผยตามที่ตระเตรียมไว้แล้วเมื่อถูกลูกค้าถามเช่นนี้
“ผมไม่ใช้วิชาโหราศาสตร์หรือหลักการพยากรณ์แนวไหนหรอกครับ
แต่ใช้วิธี ‘อ่านกรรม’ ตรงๆ มันปรากฏอยู่แล้วในทุกอณูของความเป็นคนเรา
ตามหลักโหราศาสตร์อาจมีการทำนายเช่นที่เรียกว่า ‘ทักษาพยากรณ์’
คือพยากรณ์โดยอาศัยทักษา ทักษาเป็นชื่อเรียกอัฐเคราะห์ ได้แก่อาทิตย์ จันทร์
อังคาร พุธ เสาร์ พฤหัสบดี ราหู ศุกร์ โดยจัดเข้าระเบียบเป็นบริวาร อายุ เดช ศรี
มูละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกรรณี แต่การอ่านกรรมไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบเหล่านั้น
ขอเพียงรู้ว่าใครทำอะไรมา ก็ทำนายทายทักได้ว่าต้องได้รับผลอย่างไร
จะเรียกหลักการนี้ว่าเป็น ‘กรรมพยากรณ์’ ก็ได้”
นนทกานต์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“แปลว่าน้าใช้วิธีแบบนั่งทางในหรือครับ?”
“ก็แล้วแต่จะนิยามกันว่านั่งทางในคืออะไร
โดยมากมักหมายถึงคนหลับตาทำนายโดยใช้กำลังสมาธิดูเหตุการณ์ในอดีตและอนาคต
แต่สำหรับผม จะมุ่งเน้นดูว่าใครทำอะไรมาอย่างไร ทำอย่างนั้นๆแล้วจะให้ผลแบบไหน
ตรงนี้ผมไม่อาศัยนิมิตอันเกิดจากพลังสมาธิอย่างเดียว
แต่จะใช้จิตสัมผัสเข้ามาร่วมด้วย”
ชายหนุ่มฟังคำอธิบายแล้วงง
เพราะแยกไม่ออกว่าระหว่างนิมิตจากพลังสมาธิกับจิตสัมผัสแตกต่างกันอย่างไร
“ตอนน้าเห็น น้าเห็นยังไง?”
“ขอให้น้องลองนึกถึงญาติสักคนเดี๋ยวนี้
เอาแบบที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน น้องเห็นในใจอย่างไร? มันเป็นความรู้สึกเพียงวูบเดียวที่ระลึกถึงใครคนหนึ่งได้
แต่ก็เกิดกระแสรู้สึกถึงสายใยผูกพันในทางมงคลระหว่างเรากับเขาใช่ไหม? ในใจน้องเป็นอย่างไร ผมก็สัมผัสเห็นกรรมสัมพันธ์ของคนอื่นด้วยอาการคล้ายๆอย่างนั้นแหละ
เพียงแต่สามารถเข้าไปส่องสำรวจดูรายละเอียดได้ชัดเจนและกว้างขวางกว่าคนทั่วไป
เพราะมีกำลังสมาธิหนุนหลังอยู่”
“อย่างที่น้าพูดถึงผมกับเพื่อนผู้หญิง
น้าเห็นอย่างไร ผมทำกรรมกับเขามาอย่างไร?”
“ก่อนอื่นน้องต้องเชื่อว่าคนเราเวียนว่ายตายเกิดมาหลายครั้ง
เคยทำอะไรด้วยกัน เคยเป็นอะไรกันมาหลายแบบ อย่างเรากับเขาก็เคยเป็นแฟนกันมา
ถึงได้มีความรู้สึกแบบเพศตรงข้ามที่ดึงดูดกันอยู่บ้าง
แต่ชาตินี้เขากำลังเสวยวิบากเหนือเรา เลยทำให้มองผ่าน
แล้วเล็งหาคนอื่นที่เขารู้สึกเหมาะตัวเหมาะใจกว่า”
ลูกค้าหนุ่มน้อยทำหน้ากังขา
“วิบากนี่คืออะไรครับ
เสวยวิบากนี่หมายถึงเพื่อนผมกำลังรับผลอะไรอยู่หรือ?”
“อ๋อ… วิบากแปลว่าผลอันเกิดจากกรรม
กรรมคือคิด คือพูด คือทำ ก่อกรรมใดประจำก็เกิดเป็นนิสัยติดตัวอย่างนั้น
นิสัยอย่างไรก็ต้องรับผลของนิสัยอย่างนั้น เช่นรูปร่างหน้าตานี่ก็เป็นวิบากนะ
ผิวพรรณเขาสะอาดสะอ้านเพราะเคยอยู่ในกรอบศีลสัตย์
รูปศีรษะมนน่ามองเพราะเคยอ่อนน้อมถ่อมตนแบบคนไหว้ง่าย ไหว้สวย และถ้าผมเห็นไม่ผิด
จุดเด่นของเขาคือมีนัยน์ตาเป็นประกายลึก ดูสวยสะกดจิตสะกดใจใครๆได้ตั้งแต่แรกเห็น
อันนี้ก็เพราะเคยมองพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยใจศรัทธาบริสุทธิ์
และมองใครต่อใครรอบตัวด้วยความรัก ความปรารถนาดีตลอดชีวิตในอดีตชาติ”
นนทกานต์เริ่มมองอีกฝ่ายอย่างทึ่ง
“ครับ
เขาเป็นผู้หญิงตาสวยที่สุดที่ผมเคยเห็นมา
เคยอยากรู้เหมือนกันว่าทำไมธรรมชาติถึงลำเอียงนัก
ให้รูปสมบัติและคุณสมบัติกับพวกเราแตกต่างกันขนาดนี้”
“ธรรมชาติน่ะลำเอียงไม่เป็นหรอก
เราเอาท่อนไม้มาสีกัน ธรรมชาติก็คายไฟออกมาเสมอ แต่ไฟจะมากหรือน้อย ติดไฟช้าหรือเร็ว
ก็ขึ้นกับจำนวนไม้ ขึ้นกับความสดหรือแห้งของไม้ ตัวเราเองทั้งหมดก็คือธรรมชาติ
มีเหตุอย่างไร ปัจจัยแค่ไหน ก็ได้ผลไหลมาเทมาตามนั้น
ไม่มีใครควบคุมบงการอยู่เหนือธรรมชาติในตนเองได้เลย”
“อย่างที่จ๊ะ… เอ้อ… หมายถึงเพื่อนผมน่ะครับ
ที่จ๊ะเขาตาสวยแล้วคุณน้าบอกว่าเพราะมองใครต่อใครด้วยความรักใช่ไหมครับ? มันเกี่ยวกันอย่างไร
มองคนด้วยสายตาแบบหนึ่ง แล้วทำไมตาถึงสวยได้”
“มีหลักคร่าวๆอย่างนี้
คือกรรมจะให้ผลทางใจสอดคล้องกับเหตุที่เคยก่อไว้ อย่างเช่นการมองผู้คนด้วยความเมตตา
ด้วยความปรารถนาดีจริงใจ
จะให้ผลทันทีเป็นความเย็นตาเย็นใจทั้งกับตนเองและผู้ถูกมอง
ฉะนั้นจึงมีการบันดาลความงามขึ้นในดวงตาตั้งแต่เดี๋ยวนั้นแล้ว
นี่เองความจริงที่สามารถเห็นทันใจในชาตินี้ภพนี้ เดี๋ยวนี้แหละ
แต่จะเห็นชัดขึ้นในอัตภาพต่อมา
เพราะการเกิดใหม่คือการรวบรวมกรรมที่ทำประจำไปสร้างรูปลักษณะให้สอดคล้องกับความเป็นตัวเรามากที่สุด
คล้ายกับน้องเรียนหนังสือ ยิ่งกว้านความรู้เพิ่มขึ้น
ก็จะแตกฉานในสาขาวิชายิ่งๆขึ้น แต่เมื่อจบปริญญาได้งานทำ ชีวิตจะเปลี่ยนไปทั้งหมด
ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน ระดับเงินเดือน ความก้าวหน้าที่รออยู่
ล้วนตัดสินจากความรู้ความสามารถที่สั่งสมมาระหว่างเป็นนักศึกษานั่นเอง”
นนทกานต์ใคร่ครวญตามแล้วพยักหน้าฝืดๆ
“เอ้อ… แล้วที่น้าบอกว่าผมกับเขาเคยเป็นแฟน
หมายถึงเคยอยู่กินแบบคู่ผัวตัวเมียกันมาก่อนหรือเปล่าครับ?”
อุปการะนิ่งไปอึดใจ
“เคย… แต่ว่านานเสียจนป่วยการ
เปล่าประโยชน์จะไปพูดถึง ของเหล่านี้ถ้ารู้จริงต้องเข้าใจให้ซึ้ง
อย่างถ้าน้องมีความสามารถหยั่งรู้
เดินออกจากห้องนี้น้องจะพบกับคนที่เคยเป็นนั่นเป็นนี่เต็มไปหมด
จะเหนื่อยแค่ไหนถ้าน้องรู้ว่าคนขายน้ำตรงมุมโน้นเคยเป็นพี่สาวของน้อง
คนขายก๋วยเตี๋ยวตรงนั้นเคยเป็นพ่อของน้อง
หรือกระทั่งเดินออกจากห้างพบหมาข้างถนนตัวหนึ่งแล้วรู้ว่ามันเคยเป็นลูก
พวกเราเวียนว่ายตายเกิดมามากขนาดหาคนไร้ความสัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิงได้ยากมาก
ทุกคนเพียงแต่เล่นเกมแห่งความลืมเลือนเมื่อต้องข้ามภพข้ามชาติเท่านั้น”
“อย่างผมกับน้านี่เคยเป็นอะไรกันมาก่อนครับ?”
ชายวัยกลางคนเอนหลังพิงพนัก ผินหน้าไปทางอื่น
กะพริบตาคลี่มุมปากเล็กน้อย
“ยังไม่ใช่สิ่งที่สมควรบอก”
“ผมรู้สึกดี เหมือนน้าเป็นญาติผู้ใหญ่
อย่างนี้แปลว่าต้องเคยใช่เสมอไปหรือเปล่าครับ?”
“ก็อาจจะ… มนุษย์เรามีสัญชาตญาณในการเข้าหาและรู้สึกผูกพันกับใครบางคน
ชนิดที่ยากจะอธิบาย แต่มันก็อยู่ตรงนั้น ความรู้สึก…
ซึ่งทายความสัมพันธ์ในอดีตถูกหรือผิดคงมีความหมายน้อย
ขอเพียงความสัมพันธ์ในปัจจุบัน เราเป็นอะไรกันสักอย่าง นั่นแหละที่ถูกแน่ จริงแน่”
“อย่างนั้นแปลว่าคนเรามีเนื้อคู่หลายคนหรือครับ?”
“ชีวิตเดียวคนๆหนึ่งอาจแต่งงานได้ตั้งหลายหน
ชีวิตที่ผ่านมายิ่งไปจับคู่กับใครต่อใครไม่รู้เท่าไหร่ ตามเหตุ ตามปัจจัย
ตามความเหมาะสมในแต่ละจังหวะ
พวกเราเหมือนนักเดินทางผู้โดดเดี่ยวที่พลัดไปเข้ากลุ่มทัศนาจรกับพวกโน้นที
พวกนี้ที ขึ้นอยู่กับว่าพวกไหนบ่ายหน้าไปทิศทางเดียวกะเราในช่วงหนึ่งๆ”
“เฮ้อ!.. ฟังดูเหงาน่าเศร้าจังครับ
เคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าชื่อเราเข้ากันดี ผมชื่อโจ๊ก เขาชื่อจ๊ะ ผมชื่อนนทกานต์
เขาชื่อ ลานดาว เคยคิดกระทั่งว่าถ้าเขาเปลี่ยนมาใช้นามสกุลผม
จะฟังเก๋กว่านามสกุลเดิมของเขามาก… สรุปคือชื่อแซ่ดูรับกันไปหมด
เสียอย่างเดียวคือเขาไม่เคยรับว่าผมเป็นแฟน”
“อย่าว่าแต่ชื่อเข้ากันเลย
ต่อให้หน้าเหมือนกันเป๊ะอย่างแพะกับแกะ
ก็ไม่ได้ส่อเลยว่าต้องเป็นคู่แท้ที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต
คนเราคบกันด้วยธาตุนิสัยที่คล้ายคลึงได้ แต่ถ้าให้เป็นแฟนกัน
ต้องอาศัยความดึงดูดใจที่ทำให้ถวิลหาไปทางนั้นด้วย
ผู้หญิงที่น้องชอบเขาเป็นพวกมีสิทธิ์เลือกจนกว่าจะถูกใจ
โอกาสรอกระทั่งพบคนที่ทั้งเข้ากันโดยธาตุและความดึงดูดจึงมีอยู่สูง
ประเภทนี้เขาไม่ด่วนปักใจเร็วเพียงเพราะความเข้ากันผิวเผินหรอก”
“งั้นผมขอถามถึงเขาหน่อยเถอะครับ
ถ้าเขาไม่รักผม ไม่ใช่คู่ของผม แล้วเขารักใคร คู่ของเขาเป็นใคร?”
“เขายังไม่พบคู่ที่จะอยู่กับเขาตลอดไปหรอกน้อง
เส้นทางโคจรยังไม่บรรจบกัน”
“แล้วจะพบเมื่อไหร่?”
“ก็คงอีกพักใหญ่ ชีวิตเขาเหมือนแม่เหล็ก
ดึงดูดทั้งสิ่งที่ปรารถนาและไม่ปรารถนาเข้ามาหาตัวมากมาย ต้องวุ่นวายกับตัวเลือกเยอะแยะกว่าจะพบของจริงที่โดดเด่นขึ้นมา”
“เนื้อคู่เขาเป็นคนอย่างไร หน้าตาแบบไหนครับ?”
อุปการะเบนมามองหนุ่มรุ่นลูกด้วยสายตาตรง
“ถามเพราะอยากทำตัวให้เป็นแบบนั้นใช่ไหม? อนุญาตให้ผมทำหน้าที่ของหมอดูนะ
อย่างน้องถ้าพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่นเรียนให้เก่งขึ้น
ดูเข้มแข็งเป็นที่พึ่งได้กว่านี้ อย่างดีที่สุดก็ทำให้เขาทึ่งมากกว่าเดิม
ไม่มีส่วนเข็นให้ใจเขาขยับมาถึงเราหรอก หากอยากใกล้ชิดเขาตลอดไป
น้องต้องทำตัวเป็นเพื่อนสนิทที่เขาสบายใจจะพูดคุยด้วยได้ทุกเรื่อง
ไม่ใช่ดึงดันจะให้เขารับเป็นคนรัก เพราะความดึงดันในรูปนั้นรังแต่จะผลักเขาห่างจากเราไปเรื่อยๆ”
ใบหน้าของนนทกานต์หม่นหมอง ใจหนึ่งค้าน
และนึกด่าเงียบๆว่านี่จะดูหมอหรือเข้ามาบงการชีวิตเขากันแน่
ทว่าอีกใจหนึ่งก็จำต้องยอมรับ เพราะลานดาวเคยบอกกับปากว่าสนิทใจกับเขา
และบางครั้งอยากเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากกว่าเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเสียอีก
แต่บางวันหล่อนจะพูดจาห่างเหิน เมินบ่อย
หรืออยู่ดีๆอาจกระแทกเสียงตัดบทจบการสนทนาเหมือนรำคาญเขาเสียเต็มประดา
ซึ่งสังเกตดูมักจะอยู่แถวๆช่วงเวลาที่เขาพยายามออดอ้อนขอให้เป็นคนรักกันนั่นเอง
“ในเมื่อผมกับเขาเคยอยู่กินแบบคู่ผัวตัวเมียกันมาก่อน
อย่างน้อยก็ต้องแปลว่าเคยมีความเข้ากันได้ และมีใจทางนั้นอยู่บ้าง
ทำไมน้าพูดปิดทางหมด ไม่ให้กำลังใจผมเลย”
นนทกานต์ตัดพ้อด้วยสำเนียงละห้อย
“ถ้าบอกความจริงทั้งหมดก็เกรงน้องจะรับไม่ได้
คนเราใช่ว่าเวียนว่ายตายเกิดอยู่ภายในภพภูมิมนุษย์อย่างเดียว
บางครั้งเสวยชาติร่วมกับใครบางคนขณะอยู่ในภูมิต่ำกว่ามนุษย์
ก็ไม่ได้ประทับความรู้สึกดูดดื่มไว้ในวิญญาณของกันและกันมากนักหรอก”
ชายหนุ่มอ้าปากค้างเป็นครู่ คิดตามเพียงอึดใจเดียวก็ถามโพล่งออกมา
“ผมกับจ๊ะเคยเป็นสัตว์?”
“ทุกคนน่ะ เคยเป็นมาหมดนั่นแหละ
แล้วทางข้างหน้าก็ไม่มีอะไรประกันว่าจับพลัดจับผลูจะถอยหลังเข้าคลองกันอีกหรือเปล่า
สุดแท้แต่เวรกรรมที่ทำมาจะซัดไป และเมื่อเป็นคู่กันขณะอยู่ในภูมิต่ำกว่ามนุษย์ ก็มีเพียงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์และการเลี้ยงลูกตามมีตามเกิดมากกว่าอย่างอื่น
ต่างจากเมื่อเป็นมนุษย์ที่มีใจสูง มีความสัมพันธ์กัน สร้างความประทับใจได้หลายมิติ
เช่นเกี้ยวพาราสีให้ยินยอมพร้อมใจคบกัน ไปเที่ยวกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข
เผชิญภัยพิสูจน์น้ำใจกันหลายๆแบบ”
นนทกานต์มึนงงสนเท่ห์
คำพูดต่างๆของหมอดูซึ่งเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกผลักเขาไปอยู่ในสภาพของคนไม่เคยรู้อะไรเลย
ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย
และที่สำคัญคือไม่มีทางทราบว่าถ้อยคำของอีกฝ่ายน่าเชื่อถือขนาดไหน
บางครั้งเขาจำนนเพราะตรงกับเรื่องจริงในปัจจุบันที่รู้อยู่ด้วยตนเอง แต่บางครั้งเหมือนให้เรียนประวัติศาสตร์ที่ขาดหลักแหล่งอ้างอิงทั้งสถานที่และซากโบราณวัตถุ
เขาอยากจะเชื่อ แต่ก็กลัวเสียชื่อที่ได้กลายเป็นลูกค้าหน้าโง่รายแรก
ที่งมงายขาดสติของหมอดูมือใหม่ พูดอะไรเชื่อหมด
อย่างไรก็ตาม
ในเมื่อหมอดูเจ้านี้กระทำตัวเป็นผู้วิเศษ หยั่งรู้กรรมวิบากของชาวบ้าน
เขาก็เริ่มสนุกกับการแสวงหาความรู้ขึ้นมา
“ผมเคยนั่งคิดว่าความสวยของผู้หญิงอยู่ตรงไหน
บางทีเครื่องหน้าก็เหมาะเจาะจิ้มลิ้มเหมือนๆกัน แต่บาดตาบาดใจต่างกันมาก
เพื่อนในคณะก็สวยๆทั้งนั้น แต่เหมือนมีหนุ่มเข้าไปรุมคลั่งไคล้จ๊ะอยู่คนเดียว
เหมือนนิยายน้ำเน่าเลยนะน้า ประเภทชกต่อยเตะตี กินไม่ได้นอนไม่หลับ
หรือกระทั่งฆ่าตัวตายเพราะยายจ๊ะนี่ ถือว่าเหตุการณ์ปกติ ทำไมเป็นอย่างนั้นได้?”
“รูปทรงและเครื่องหน้าเป็นเพียงของล่อตาเท่านั้น
แต่สิ่งล่อใจอย่างแท้จริง ชนิดเห็นแล้วบาดเข้าไปถึงจิตนี่นะ
ต้องนับความมีสง่าราศีไว้ด้วย น้องเห็นสักกี่คนที่ฉายรัศมีสดใสชัดเจน อีกอย่าง
นอกจากการให้ผลของกรรมเก่าแล้ว ต้องมองด้วยว่าวิธีพูดจา เสน่ห์ในการวางตัว ในการหยอดมุข
ซึ่งถือเป็นกรรมในปัจจุบัน ก็ให้ผลใหญ่น่าดูชมเหมือนกัน บางคนไม่สวยแต่พูดเก่ง
ก็ดึงเอาดาวมาล้อมเดือนได้ แต่ถ้าสวยแล้วแถมเจ้าเสน่ห์อยู่ในกิริยาวาจา
อันนั้นก็เข้าพวกปั่นโลกให้ช้าลงหรือเร็วขึ้นได้ดังใจทีเดียว”
“แบบเดียวกับพวกดาราดังๆหรือครับ?”
อุปการะพยักหน้า
“คนที่มีลักษณะแตกต่าง โดดเด่นกว่าใคร
มักสร้างตบะเดชะบางอย่างที่ผิดแปลกจากคนอื่น เช่นถือศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง
หรือตั้งใจทำอะไรจริงแบบต้องเอาให้ได้แม้ต้องแลกด้วยชีวิต
บารมีและตบะเดชะอาจไม่ปรากฏแสดงในใบหน้า ลำคอ หรือแขนขา แต่จะเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยใจ
และกรรมที่ก่อแรงดึงดูดผู้คนอย่างที่สุดเห็นจะได้แก่การเสียสละเพื่อคนอื่นมาเยอะ
เช่นมีแต่ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน หรือเป็นผู้นำชักชวนให้ชนหมู่มากได้ดีร่วมกัน”
“จ๊ะก็ไม่ได้ชอบช่วยใครนี่ครับ
เห็นมีแต่คนเสนอหน้าไปรับใช้ แต่ทั้งๆที่ทำตัวเป็นนางพญา เห็นใครต่อใครเป็นข้าทาส
ก็ไม่ค่อยมีคนหมั่นไส้เท่าไหร่”
“นิสัยในอดีตกับนิสัยในปัจจุบันอาจต่างกันเยอะ
น้องเองสมัยเพิ่งเข้าวัยรุ่นก็ติดการพนันงอมแงม แต่ตอนนี้เลิกได้ขาดแล้วใช่ไหมล่ะ
นี่ขนาดชาติเดียวกัน ตัวเดียวกันในระยะเวลาไม่กี่ปีนะ”
นนทกานต์กะพริบตาปริบๆ ยกมือไหว้อีกฝ่ายแบบศรัทธาหมดใจ
“เชื่อแล้วครับว่าน้ารู้จริง”
“ของมันมีเหตุปัจจัย
อย่างที่น้องเลิกพนันได้ก็เพราะเห็นโทษของมัน โทษชนิดคอขาดบาดตาย
เดือดร้อนถึงผู้หลักผู้ใหญ่… ในทางกลับกัน เรื่องความหลงตัวลืมตนก็อาจเกิดขึ้นได้
คือเมื่อแรกทำดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนาคตจะรับผลดีขนาดไหน
แต่เมื่อได้ดีแล้ว ลืมเหตุแห่งฐานะแล้ว
ก็อาศัยฐานะขณะนั้นๆก่อกรรมใหม่ตามกิเลสบัญชากัน เช่นบางคนปากสวย ก็เพราะยิ้มหวาน
ยิ้มจริงใจให้คนอื่นเป็นสุข ประกอบกับพูดแต่คำที่ไพเราะรื่นหูไว้ก่อนในอดีตชาติ
มาชาตินี้ด้วยความสวยนั่นเองทำให้มีอีกอารมณ์หนึ่ง คือเอาแต่ใจ สนุกกับการยิงยิ้มดุใส่ตาคน
ชอบด่า ปากจัดเมื่อขัดใจ
อย่างนี้เกิดชาติต่อไปนอกจากปากไม่สวยเผลอๆอาจปากเบี้ยวเอา”
นนทกานต์หัวเราะ
“อย่างนั้นถ้าคิดถึงโสเภณีสวยๆก็น่าเศร้านะครับ
เคยทำดีแทบตายเพื่อเอาผลมาขายตัวหากิน ทำอาชีพอย่างนั้นโอกาสจิตใจตกต่ำก็คงง่าย…
มองแล้วเป็นเหตุเป็นผลกลับไปกลับมาดีนะครับ
พอไม่สวยก็มีแรงบันดาลใจทำเหตุแห่งความสวย แต่พอสวย
ก็ได้ฤกษ์ขาดความยับยั้งชั่งใจในการทำเหตุแห่งความอัปลักษณ์…
แต่จ๊ะก็ไม่ใช่คนปากร้ายหรือแม้กระทั่งปากจัดนะครับ อย่างมากคือชอบตีฝีปาก
เถียงคำไม่ตกฟากทั้งรู้ว่าตัวเองผิด หรือประเภทใครทำให้โมโหแล้วจะพูดทิ่มแทงด้วยท่าทีนิ่มๆให้แสบคันไปนานๆ”
“ใช่ว่าพูดคำเพราะแล้วจะรอดหรอกนะ
ต้องดูเจตนาด้วยว่าเบียดเบียนให้คนฟังเดือดเนื้อร้อนใจหรือเปล่าเป็นหลัก
คำหยาบกับคำส่อเสียดนั้นใกล้เคียงกัน แม้มาในรูปคำที่หยาบประณีตต่างกัน”
“น้าครับ” นนทกานต์ตีหน้าม่อย “ผมทุ่มเท
พยายามทำดีกับจ๊ะทุกอย่าง มันไม่มีความหมายบ้างหรือ
ถือว่าเป็นกรรมสะสมให้เขาเกิดความเห็นใจจริงในวันหนึ่งไม่ได้หรือ?”
“คิดซิ
ยุคนี้ถ้ามีเด็กเล็กๆปั้นวัวปั้นควายด้วยดินเหนียว ใช้แรงกายแรงใจทั้งหมด
อดตาหลับขับตานอนทำอย่างสุดฝีมือ แล้วมอบให้กับเรา
ด้วยความหวังว่าเราจะเห็นค่าวัวดินควายดิน
เห็นค่าของน้ำพักน้ำแรงที่เขาอุตส่าห์ปั้นให้สักนิด
น้องจะเห็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ไหม? ยิ่งไปกว่านั้น
ถ้าเขาขอว่าจะปั้นวัวปั้นควายให้เราครบร้อยตัว
ได้โปรดรับเขามาเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรมหรือน้องบุญธรรม เราจะรับเพราะเหตุที่เขาแสดงใจจริงแทบเลือดตากระเด็นนั้นไหม?”
นนทกานต์สะอึกอึ้ง
และเหมือนหลุดจากกรงขังที่จองจำตนเองไว้เนิ่นนาน
“น้องทำอะไรๆให้เขาสุดจิตสุดใจก็เพราะหวังว่าเขาจะเห็นใจ
หวังว่าจะได้เขามาครอง ไม่ใช่ด้วยใจบริสุทธิ์ผุดผ่องแบบพ่อพระที่ไหน
ยอมรับตรงนี้เถอะ บรรดาสาวที่มีตัวตนทั้งแท่งเสมือนเสน่ห์ยาแฝดน่ะนะ
ไม่มีหรอกที่เห็นค่าของบรรดาทาสความสวยของพวกเธอ
อย่าเสียเวลาคิดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไปเลย ทุ่มเทแค่ไหนก็สูญเปล่าแค่นั้น
ผมเห็นแล้วนึกอนาถ บางคนคิดฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ
หรืออยากให้สาวๆเหล่านี้รู้สึกผิดและจดจำตนเองไว้ตลอดไป ที่ไหนได้
พวกเธออาจตกอกตกใจเมื่อรู้ข่าวในนาทีแรก
แต่หลังจากนั้นจะมีแต่ยิ้มแสยะสะใจทุกครั้งที่นึกถึง
ผู้หญิงเป็นเพศที่พึงใจในรูปโฉมของตน
อัตตาของพวกเธอจะสูงขึ้นมากถ้าหากรู้ว่าความสวยที่มีนั้น รุนแรงพอจะฆ่าคนได้”
ชายหนุ่มฟังแล้วนิ่งทื่อ
เพราะเพิ่งไม่นานนี่เอง
เขาเคยคิดวูบวาบอยากเขียนจดหมายลาตายแบบที่จะทำให้ลานดาวจดจำ อาลัย
และรู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิต แม้แค่คิดเล่นๆ
ก็มีกำลังขับให้อยากเอาจริงอยู่ในส่วนลึก
“ครับน้า
ยากจริงๆที่จะหาของขวัญของกำนัลอะไรทำให้เธอดีใจ จ๊ะเป็นผู้หญิงสวยที่ไม่มีจุดอ่อน
บ้านเธอมีฐานะอยู่แล้ว มีรถขับอยู่แล้ว เรียนเก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งพาใคร
มีแต่ใครจะไปพึ่งพาเธอกัน เอ้อ!… อะไรทำให้เธอสมบูรณ์แบบขนาดนี้ครับ?”
อุปการะระบายลมหายใจอย่างเริ่มรำคาญคำถามจุกจิก
แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาเตรียมใจไว้แล้ว เขาจะต้องเผชิญกับลูกค้าเจ้าปัญหาอีกมากนัก
“เขาเคยมีครูดี มีผู้นำแสงสว่างในชีวิตที่ดี
โบราณเรียกมีกัลยาณมิตรชอบนั่นแหละ ในชาตินั้นเขาเพียรสร้าง
เพียรสั่งสมความดีทุกวิถีทางตามคำสอนของครู
ด้วยใจเชื่อมั่นศรัทธาว่าชาติต่อๆไปจะอยู่ดีมีสุขพร้อมพรั่ง
และตอนนี้เขาก็กำลังเสวยวิบากนั้นแล้ว ชีวิตเขาเหมือนฝัน เหมือนแต่งเอาได้ตามปรารถนา
คนพวกนี้มีตัวตนอยู่จริง และน้องก็ได้เห็นแล้ว”
“น้ารู้ละเอียดจังนะครับ
ไม่เห็นต้องนั่งสมาธิเคร่งครัดอะไรอย่างในหนังเลย”
“กรรมใหญ่ที่ส่งผลหลักๆนั้นดูง่าย
อย่างเรื่องรูปร่างหน้าตา ฐานะความเป็นอยู่ ใช้จิตสัมผัสนิดเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิเพื่อเล็งรายละเอียดหรอก”
“ผู้หญิงสวยๆเดี๋ยวนี้เอาเนื้อหนังมังสาไปแลกเงินกันเยอะ
บางคนหน้าตาท่าทางเหมือนลูกผู้ดีไปทุกกระเบียดนิ้ว อันนี้ว่าตามเนื้อผ้า
พูดง่ายๆสวยแล้วมักจะฉลาดน้อยหรืออย่างดีก็ปานกลาง
สวยแล้วมักจะยากจนหรืออย่างดีก็พอกิน ทำไมจ๊ะได้รับข้อยกเว้นพิเศษ มีครบกว่าใครเขา?”
"ทานคือเหตุแห่งความรวย
ศีลคือเหตุแห่งความสวย
การแก้ปัญหาต่างๆในชีวิตให้ลุล่วงด้วยเหตุผลที่ถูกต้องคือเหตุแห่งสติปัญญา
แต่คนเราจะเหมาเอาทั้งทาน ศีล และความรู้จักเหตุผลไว้ในตัวคนเดียวพร้อมกันนั้นยาก
เว้นแต่จะมีครูดี ชี้ทางถูก
และมีความเพียรพยายามให้ต่อเนื่องด้วยศรัทธาปสาทะแก่กล้าพอเท่านั้น”
“ฟังดูน่าจะเข้ากันดีนี่ครับ การให้ทาน
การมีศีลสัตย์ ทำไมน้าถึงว่ารวมไว้ในตัวคนเดียวยาก?”
“สวยระดับเพื่อนของน้องนั้น
โดยมากจะมาจากเหตุคือเคยรักษาศีลพรตบริสุทธิ์ผุดผ่องแบบนักบวชสตรีในปางก่อน
ซึ่งคนเราเมื่อเป็นนักบวชก็มักอยู่ในฐานะผู้ขอ
หาโอกาสเป็นผู้ให้ทรัพยทานใหญ่ๆได้ยาก ยิ่งถ้าเป็นพวกเก็บตัวในป่าตามลำพัง
โอกาสแบ่งลาภให้แม้เพื่อนในสำนักเดียวกันก็แทบไม่มี อย่างดีก็ให้แก่สัตว์
ส่วนคนรวยล้นฟ้านั้นมักเคยเป็นพ่อค้าวาณิชผู้ยินดีในทาน
ให้ทรัพย์เป็นทานเหมือนงานอดิเรก ยิ่งทำยิ่งสนุก ยิ่งชอบใจ ซึ่งถ้าเพลินทำทานมาก
ติดดีในระดับทานมากเข้า ใจก็อาจประมาทในความดีขั้นสูงขึ้น
เพราะหลงนึกว่าแค่นี้ดีพอแล้ว ไม่ต้องควบคุมกาย วาจา ใจมากไปกว่านั้น
เป็นเหตุให้บกพร่องในศีลสัตย์ได้ง่าย”
“แย่จัง ดีตรงโน้น ไปขัดตรงนี้”
“ก็ไม่เชิง ขอเพียงถ้าคนเราเพียงรู้หลัก
อยู่บ้านธรรมดาก็ถือศีลให้บริสุทธิ์ครบทั้งกาย วาจา ใจได้ คิดให้ทานเป็นอดิเรกได้
ยกตัวอย่างเพื่อนผู้หญิงของน้องคนที่เรากำลังพูดถึงกัน
ที่เขาสร้างกุศลใหญ่อันเป็นครุกรรม หรือกรรมหนักที่ให้ผลยืนยาว ก็มักอาศัยชัยภูมิขณะเสวยชาติเป็นธิดาคหบดีเหมือนชาตินี้แหละ”
“รายละเอียดเป็นอย่างไรพอจะเล่าเป็นตัวอย่างได้ไหมครับ?”
“ถ้าลงลึกผมต้องใช้กำลังมากเกินไป
เอาเป็นอย่างนี้นะ ทานของเขาจะมีลักษณะของจิตที่แผ่เมตตาไม่มีประมาณแถมท้ายไปด้วย
แล้วศีลของเขานั้นแข็งแกร่งขนาดมีเหตุลองใจมายั่วแค่ไหนก็ไม่ยอมละเมิด
เรียกว่ายอมลำบาก
ยอมกัดฟันสวนทางกิเลสเพื่อรักษาความตั้งใจอยู่ในกรอบของศีลมาเกินพอ”
“แปลว่าจ๊ะนี่แหกด่าน
ทะลวงข้อจำกัดได้เพราะมีครูดี ชี้ทางถูกให้ตลอดสาย?”
“ใช่”
“อือม์… มีครูดีนี่ก็รอดตัวไปนะครับ
แต่ชาตินี้ท่าทางเขายังไม่เจอครูดีกระมัง รวยแล้วก็เห็นยังงกอยู่
แล้วก็ไม่ได้ทำตัวเป็นแม่งานการกุศลที่ไหนเลย”
“ก็อาจจะยังไม่ถึงเวลา ชีวิตคนมีหลายปี
หลายช่วงจังหวะ ต้องดูกันยาวๆ เหมือนกับเกมหมากรุกที่ยังเล่นไม่จบ
ต่อให้ดูเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบอย่างไร ก็ยังไม่ถูกตัดสินว่าแพ้”
นนทกานต์ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง ถอนใจเฮือก
เหมือนมีคำถามอีกมากมาย แต่ก็คล้ายหมดคำพูดจะเอ่ยแบบชักเริ่มเกรงใจคนตอบ
“สรุปคือน้าจะให้ผมตัดใจจากเขา?”
“เรียกว่ายอมสละทุกข์ออกจากใจไปก้อนหนึ่งก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว
“ขอบคุณนะครับ
น้าทำให้ผมรู้สึกว่าบางทีเราฟังเรื่องลี้ลับแล้วนึกว่าตลก แต่เราเองนั่นแหละ
ที่อาจเป็นตัวตลก”
“โลกเราไม่มีคนดู ไม่มีตัวละครหรอก
เพราะฉะนั้นก็หาตัวตลกไม่เจอ ทุกคนแค่อยากได้ในสิ่งที่ไม่สมตัว
เลยเป็นทุกข์เพราะความทะยานอยากนั้นแล้วๆเล่าๆ เพราะความไม่รู้ ไม่ตระหนักตามจริง”
“น้านี่เหมือนพระจังเลย”
ด้วยความเอ็นดูในส่วนลึก
ประกอบกับที่เป็นลูกค้ารายแรก อุปการะจึงตัดสินใจเปิดเผย
“ผมเพิ่งสึกมาได้สักพักหนึ่ง
ความจริงเป็นพระมาทั้งชีวิต นี่เพราะไม่เหลือใครดูแลคุณแม่ซึ่งแก่มากแล้ว
เลยจำเป็นต้องสละผ้าเหลืองสักระยะ”
“อ้อ… อย่างนั้นเองหรือครับ”
ชายหนุ่มรับทราบด้วยความสนใจ
และมีความไยดีขึ้นมาเล็กน้อย เกิดความรู้สึกอยากแนะนำใครต่อใครมาเป็นลูกค้าของหมออุปการะให้มากๆเป็นการช่วยอุดหนุน
แม้เขาจะไม่ได้รับคำพยากรณ์ที่ถูกใจ แต่หมออุปการะก็ให้คำปรึกษา
คลายความยึดติดแน่นเหนียวในใจเขาลงได้มาก
พลิกข้อมือดูนาฬิกา
เห็นเป็นเวลาใกล้ฉายหนังรอบที่เขาจองไว้ จึงล่ำลา
“อย่างนั้นต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำต่างๆนะครับ
เอ่อ… สองร้อยใช่ไหมครับ?”
คำถามนั้นมีมาพร้อมกับท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย
อุปการะกะพริบตาทีหนึ่งคล้ายอ่อนใจ
“ถือว่าน้องมาใช้บริการผมเป็นรายแรก
เอาร้อยเดียวพอก็แล้วกันนะ”
นนทกานต์หัวเราะเขินๆ แต่นัยน์ตาเป็นประกายสมหวัง
“แหะๆ ครับ ขอบคุณคุณน้าอีกทีครับ”
ควักธนบัตรจากกระเป๋ายื่นให้
ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ กล่าวลาพร้อมคิดในใจว่าหาเรื่องชวนลานดาวเที่ยวได้อีกครั้ง
ผู้หญิงกับหมอดูเป็นของคู่กันอยู่แล้ว
แม่นขนาดนี้หล่อนคงเห็นเป็นบุญคุณแน่ถ้าเขาพามาพบ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น