วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๒๕. ทางเลือก)

ตอนที่ ๒๕. ทางเลือก


อาณาเขตนั้นเป็นส่วนต่อเสริมยื่นจากตัวอาคารคฤหาสน์ใหญ่ ออกแบบไว้ล้ำสมัย นับแต่สองเสาโลหะสีเงินขึ้นเงาวับสะท้อนแสงรอบทิศ พื้นห้องเป็นหินอ่อนสว่างตาราวหยกขาว โล่งกว้างด้วยเพดานสูงเทียมหลังคาชั้นสอง ส่วนโค้งทั้งหมดของห้องรูปตัวยูกรุกระจกใส รอบนอกคือแนวกุหลาบที่ระคนกันระหว่างพันธุ์ไม้พุ่มกับพันธุ์ไม้เลื้อย แตกกิ่งก้านสาขาผลิดอกทั้งแดงและขาวรายเรียงแลตระการ

แกรนด์เปียโนหลังมหึมาราคาหลายล้านตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง ข้างใต้ปูพรมเปอร์เซียขนสั้นและหนาหนักเพื่อช่วยดูดซับการสะท้อนจากด้านล่าง ปล่อยกังวานแห่งพลังเสียงให้ก้องกระจายออกสู่อากาศว่างกว้างขวางเบื้องบน กับทั้งได้พื้นหินอ่อนช่วยขับเสียงแหลมให้แพรวพริ้งยิ่งขึ้น นับเป็นห้องที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองตอบแรงปรารถนาในการเนรมิตเสียงสมบูรณ์แบบสูงสุดให้แก่เปียโนโดยเฉพาะ

ฝนพรำอยู่ด้านนอก ขณะที่ลานดาวพรมนิ้วลงบนคีย์ขาวดำอยู่ด้านใน ธิดาโฉมงามของเศรษฐีใหญ่วนเวียนบรรเลงเพลงหลากหลายอันเป็นไปด้วยกันกับใจกระจ่างยามนี้ สายตาหล่อนแวะเวียนไปพิศชมกุหลาบหลากสีและผืนหญ้าเขียวขจีนอกเรือนกระจกเป็นระยะ สยายยิ้มให้กับความงดงามรอบข้างอยู่ตามลำพัง

ในนาทีหนึ่ง หลังถอนมือจากคีย์เปียโนเมื่อจบเพลงหวานละมุนที่บีโธเฟ่นแต่งให้หญิงงามนามเอลิซ ลานดาวก็ยกมือกอดอกด้วยความเยือกหนาวปนสุข ท้องฟ้าเบื้องไกลแลมอซอเหมือนภาพศิลป์ ไอเย็นนอกเรือนกระจกขณะฝนตกทำให้อุณหภูมิในห้องที่ต่ำอยู่แล้วจากเครื่องปรับอากาศพลอยลดลงอีกจนเย็นเฉียบ

วินาทีแห่งความยะเยียบที่ก่ออารมณ์เหงานั้นเอง ไออุ่นจากอ้อมแขนใครคนหนึ่งก็สอดแทรกมา หน่วยตาหญิงสาวเปิดกว้างขึ้น ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มปรีดาละไม รู้ว่าเป็นอมฤตเพราะนัดไว้และหล่อนกำลังรอคอยเขา การปรากฏตัวชายหนุ่มคล้ายฝันที่เป็นจริง เพราะโหยหามานานกับสัมผัสอันทรงความหมายชนิดนี้ ทุกครั้งที่เล่นเปียโนจบท่ามกลางอากาศเปลี่ยวหนาว หล่อนปรารถนาจะถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนอันเป็นที่รัก เพิ่งเดี๋ยวนี้เองที่ทุกอย่างมิใช่เพียงจินตนาการอีกต่อไป

ลานดาวนั่งนิ่งดุจเทวรูป ไม่ขัดขืนการบุกรุกอุกอาจครั้งแรกของอมฤต เขาย่างกริบมานั่งเคียงและตระกองกอดอย่างถนอม ภาษากายนุ่มนวลดุจกลีบกุหลาบที่หล่อนกำลังเพลินพิศ บอกตนเองว่านั่นเป็นชั่วขณะอันสุดสุขเหนือการประมาณเปรียบด้วยบทกวีใดๆ

กระทั่งเขาโน้มใบหน้าลงหอมแก้ม ลานดาวจึงหลุดจากอาการหลงเคลิ้มในรสผัสสะชวนพิศวง คืนสติออกแรงดิ้นนิดๆ ส่งเสียงเอ็ดพอให้เหมาะแก่ภาพรักนวลสงวนตัวของกุลสตรี

“พี่แตร! อย่าค่ะ”

“ทำไม?”

หญิงสาวทำตัวอ่อน หน้าแดงเอียงอาย บ่ายเบี่ยงไม่ให้เขาเชยกลิ่นแก้มเป็นครั้งที่สองถนัดนัก

“เดี๋ยวพ่อแม่เห็น”

“ตอนพี่มาถึง พวกท่านกำลังสวนออกไปข้างนอกพอดี”

“นั่นแหละ พวกคนใช้ยังอยู่กันเต็มบ้าน”

“ละแวกนี้ไม่มีใครเลย พี่ดูแล้ว”

“นึกว่าไม่ใช่พวกชอบถือโอกาสเสียอีก จะทำให้จ๊ะเป็นเด็กใจแตกหรือคะ?”

อมฤตกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น แถมด้วยการฝังจมูกลงบนซอกคอ

“กลิ่นเนื้อจ๊ะหอมจัง”

“ดู! วิจารณ์อีก… ไม่เอาอ้ะ… ปล่อย”

พยายามเอนกายออกห่าง แต่คล้ายถูกพันธนาการไว้กับเสาเหล็กด้วยเชือกผูกสมอเรือ

“จ๊ะ…”

“อะไร? ปล่อยก่อนแล้วค่อยคุย”

“ทำไมต้องขัดขืน ในเมื่อนี่เป็นความสุขที่จ๊ะเองก็ปรารถนา”

ลานดาวอึ้ง ลดอาการนางกวางแกะกรงเล็บราชสีห์ลง ลืมสนิทว่าเขาอ่านใจคนได้

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่งามหรอกค่ะ รู้จักกันกี่วันเอง เดี๋ยวพี่แตรเห็นจ๊ะง่าย”

“ดิ้นพองามแล้ว ไม่ง่ายแล้ว อยู่นิ่งๆให้พี่กอดต่อดีกว่า”

คนถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถอนใจ

“ทำอย่างนี้กับผู้หญิงทุกคนหรือเปล่าคะ?”

“เปล่านี่”

“ไปนั่งคุยกันทางโน้นเถอะ กลัวคนเห็นจริงๆค่ะ ไม่ได้ปิดม่านไว้”

ลานดาวขอร้องอย่างสุภาพ อมฤตจึงจำต้องยอมคลายวงแขนอย่างแสนเสียดาย หญิงสาวปิดฝาครอบคีย์เปียโนแล้วเชิญผู้มาเยือนไปที่ชุดโซฟาภายในห้อง ส่วนตนเองเดินเลยไปเปิดตู้เย็นเล็ก รินน้ำอัดลมรสโปรดของเขาใส่แก้วพร้อมจานรองมายื่นให้

“ขอบใจ”

อมฤตรับมาวางบนโต๊ะกระจก เห็นหญิงสาวจะหย่อนตัวลงนั่งบนที่ว่างด้านข้าง ก็เอามือเกี่ยวเอวนิดหนึ่ง ส่งผลให้หล่อนเสียหลักเซลงมานั่งตักเขาแทน

“อุ๊ย!”

ลานดาวอุทานเบาๆ ถูกเขากกกอดไว้แนบอกแน่นหนา จึงได้แต่ระบายลมหายใจเหยียดยาวอย่างอ่อนใจ มือน้อยถูกกุมด้วยสองมือแกร่งที่เปี่ยมพลังปกป้องอันเจือด้วยความละมุนละม่อมเกินฝืนต้าน ที่สุดก็ยินยอมปล่อยตัวนิ่งอยู่กับอ้อมอุ่นโดยดี

“สงสัยมีผู้หญิงยอมพี่แตรง่ายๆกันเยอะนะคะ ท่าทางชำนาญมากเลย”

“พี่ใช้ใจ ไม่ได้ใช้ความชำนาญ”

หญิงสาวยืดกายตรง เชิดหน้าเล็กน้อย

“จ๊ะเป็นคนหวงตัวนะคะ ขอให้รู้ไว้ว่าถ้าพี่แตรกล้าหักหาญอย่างนี้กับจ๊ะ ก็ไม่มีสิทธิ์เอาแขนไปกอดใครอีก!”

“ตกลง…”

อมฤตรับคำอย่างอ่อนโยน เหนี่ยวนำจิตหญิงสาวให้โอนอ่อน คลายอาการขืนเกร็ง ยอมแนบชิดในลักษณาการยอมรับเขาเป็นชายคนรักเต็มตัว

ต่างจมอยู่กับภวังค์ละไมแห่งสัมผัสทะนุถนอมเนิ่นนาน ลานดาวหรี่ตามองสายฝนนอกเรือนกระจกด้วยรอยยิ้มปรีดา คล้ายจะเห็นตามจริงว่าความหนาวเย็นใดๆไม่อาจกล้ำกรายหัวใจระอุไอรักของหล่อนได้อีกต่อไป

“จ๊ะ”

“หือม์?”

“คิดอะไรอยู่?”

“ดูใจจ๊ะเอาเองไม่ได้เหรอคะ?”

“พูดจากปากจ๊ะให้พี่ได้ยินกับหูเถอะ”

ลานดาวเม้มปากยิ้มนิดๆ

“ทำไมชอบให้จ๊ะเป็นฝ่ายพูดก่อน ตัวเองเป็นผู้ชายแท้ๆ”

อมฤตนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนทำตามคำขอของหญิงสาว

“พี่รักจ๊ะนะ… รักมาก”

เป็นถ้อยคำอ่อนหวานที่ผ่านแก้วหูแล้วสะกดให้ปิดตาพริ้มและสยายยิ้มกระจ่าง

“จ๊ะก็รักพี่แตรค่ะ”

จำได้ว่าไม่เคยพูดด้วยความรู้สึกชนิดนี้มาก่อน แม้เคยหยอดทีเล่นทีจริงกับใครต่อใครมามาก ก็เพิ่งรู้จักยอดสุดแห่งความหมายของคำมีค่าขนาดไหน กระทั่งอยากริบคืนจากหูทุกคนที่เคยฟังหล่อนโปรยออกไปดุจกรวดทรายไร้ราคา

อมฤตคลายอ้อมแขน ช้อนร่างคนรักขึ้นจากตักวางลงข้างกาย มองลึกลงไปในดวงตาหล่อน แล้วลดสายตามองรูปริมฝีปากสวย อิ่มเต็มเย้ายวน ก่อนจะโน้มลงจุมพิตผะแผ่ว

ทีแรกอมฤตคิดแตะเพียงนิดเดียว ทว่ารสริมฝีปากลานดาวทั้งหอมหวาน ทั้งอุ่นนุ่มละมุนแตกต่างจากที่เคยพบมาทั้งชีวิต ถึงกับทำให้นิ่งงงไปชั่วอึดใจ คล้ายมีแรงดึงดูดให้อยากเคลียอีก และเขาก็ทำตามปรารถนา เริ่มจากทักทายความหยุ่นนิ่มเพียงสัมผัสผิว แล้วทวีน้ำหนักขึ้นเป็นจูบอย่างดูดดื่มเต็มริมฝีปาก

ถอนใบหน้าสบตากันในระยะประชิด แววตาลานดาวเป็นประกายคมหวาน แก้มขึ้นสีชมพูจัด ดูยั่วให้เขาเข้าประทับจูบซ้ำ และอมฤตก็ไม่รีรอที่จะทำตามแรงเรียก ครั้งนี้ยิ่งทอดระยะเยิ่นยาวกว่าเดิมมาก กระทั่งหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายดันอกเขาให้แยกออกอย่างสุภาพ เพราะรู้สึกดิ่งตามแรงดึงดูดจนหวิวโหวงใกล้ขาดสติเข้าไปทุกที

อมฤตเห็นหน้าหล่อนซีดแล้วยิ้มเล็กน้อย

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“หายใจไม่ทันน่ะค่ะ”

ลานดาวอุบอิบ นัยน์ตานิ่งทรงอำนาจของชายหนุ่มทำให้หล่อนต้องหลบด้วยความประหม่า และใช้ฝ่ามือยันใบหน้าเขาเบาๆ

“หันไปทางโน้น”

อมฤตปลดมือนิ่มออกจากแก้มตน แล้วยกขึ้นจุมพิตแทน ขณะอยู่กับกลีบปากละมุนของลานดาว ราวกับทั้งโลกปูด้วยกำมะหยี่ชวนสัมผัสเพลิน จนติดใจนึกอยากจูบอีกและอีก แต่เกรงหล่อนจะเห็นเขาทำตัวระรานเป็นเสือหิว จึงระงับความปรารถนา เก็บไว้คราวหน้าบ้าง

“ไปกันหรือยัง?”

ลานดาวกำลังอ่อนเพลียและเคลิ้มหลงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ฝัน ถึงกับงุนงงกับคำชวนของเขา

“ไปไหน?”

หน่วยตาอมฤตเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่ง เผลอหัวเราะอย่างขบขัน เพราะรู้ว่าลานดาวไม่ได้แกล้ง

“วันนี้เรานัดไปเที่ยวน้ำตกเอราวัณกันไง จ๊ะเป็นคนชวนพี่เองนะ”

“อ้อ…” หญิงสาวระลึกได้ และพยายามเรียกสติให้กลับเข้าที่ “ค่ะ ใช่… เที่ยวน้ำตก”

“ไปกันเถอะ ออกสายแล้วเดี๋ยวต้องกลับมืด เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จ๊ะจะว่าพี่เอา”

ลานดาวขอตัวเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา พอขึ้นรถเห็นความเคลื่อนไหวต่างๆบนถนนหนทาง ก็ค่อยสร่างฝัน สติสตังกลับคืนมาเหมือนเดิม ประจักษ์กับตนเองว่ารสจูบที่ให้ผลเป็นความเคลิ้มงงราวกับเสพยานั้นมีจริง อาศัยกระแสรักที่เชื่อมใจระหว่างกันเป็นปัจจัยสำคัญ

ที่เคยถูกนนทกานต์จูบนั้นฝืดฝืน เหมือนถูกบังคับให้รับรองสนองตอบสัญชาตญาณดิบของเพศผู้ และเมื่อหล่อนหลอกจูบมาวันทานั้น ก็เกิดความกำซาบแปลกเสมือนการแลกความหวานระหว่างเกสรดอกไม้ชนิดเดียวกัน แต่กับอมฤต ทุกอย่างแตกต่างสิ้นเชิง เขาทำให้หล่อนเข้าใจธรรมชาติความเป็นหญิงที่ตื่นเพริดเมื่อถูกรุกรานด้วยชั้นเชิงแห่งชายชาญ

อมฤตมีภาษากายที่ชัดเจนตามความคิดกับมุมมองของเขา ลานดาวรู้สึกว่าตัวเองมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีค่า ถึงแม้เกิดความผูกพันทางกายแน่นแฟ้นเห็นปานนี้ หล่อนก็ไม่เกิดจินตนาการเห็นตนเองในทางต่ำแม้แต่น้อย ทุกสัมผัสขับเคลื่อนมาจากหัวใจละเอียดอ่อนและอารมณ์ประณีต เขามีพลังของผู้นำ และชักจูงให้หล่อนเป็นผู้ใหญ่ไม่มักง่าย รู้จักยับยั้งชั่งใจรอคอย

นั่งคิดอยู่คนเดียวเงียบๆว่าบัดนี้หล่อนกับอมฤตได้ชื่อว่าเป็นคนรักของกันและกันเต็มตัวแล้ว สองอาทิตย์เศษที่ผ่านมาโทร.คุยกันวันละสามเวลา ดูหนังด้วยกันสี่เรื่อง ทานข้าวเย็นเจ็ดมื้อ ได้รับดอกไม้จากเขาทั้งจากมือและร้านมาส่งเกือบสิบช่อ หล่อนจดทุกรายละเอียดไว้ในไดอารี่ นับกระทั่งเขาบอกรักที่ไหน เมื่อไหร่ แต่ละครั้งปฏิกิริยาจากหัวใจหล่อนเป็นสุขเย็น ฟองฟู ลิงโลด หรือเบิกบานปรีดาเนิ่นนานเพียงใด

ทว่าต่อหน้าเขา ทุกครั้งที่อมฤตบอกรัก หล่อนมักมีลูกเล่นโต้ตอบแบบเฉไฉไปเรื่อย เช่น

“คุณแม่สอนไม่ให้เชื่อใครง่ายๆค่ะ ขอโทษนะคะ"

หรือไม่ก็แสร้งบ่นอุบ

“สงสัยจะนึกว่าจ๊ะยังความจำเสื่อม เมื่อวานเพิ่งบอกไป คืนนี้เอาอีกแล้ว”

แต่พอวันต่อมาเขาไม่เอ่ย ก่อนวางโทรศัพท์หล่อนก็เป็นฝ่ายทวง

“อะไรที่ควรพูด คุณพี่พูดแล้วหรือยังเจ้าคะ?”

หลังจากเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ เย้ายั่วให้เห็นว่ายากพอประมาณแล้ว วันนี้เมื่อบรรยากาศเป็นใจ หล่อนก็สารภาพรักตอบเขาบ้าง และนั่นก็อาจทำให้อมฤตกล้าจูบหล่อนเป็นครั้งแรก

ลานดาวพาอมฤตมาเปิดตัวกับพ่อแม่ด้วยวิธีที่ต่างจากเพื่อนชายอื่นๆ คือเชิญเขาร่วมทานข้าวเย็นโดยมื้อนั้นหล่อนเป็นแม่ครัวใหญ่ ลงมือในขั้นของการปรุง แต่ละจานทำยาก ใช้เวลาพิถีพิถันนาน ส่วนประกอบแพง เต็มไปด้วยขั้นตอนตกแต่งให้ดูสวย และสำคัญสุดคือเลิศรสชนิดที่หาได้เฉพาะจากภัตตาคารชั้นสูง ซึ่งใช้ความรู้ความสามารถของเชฟมืออาชีพเท่านั้น อุตส่าห์ลงทุนลงแรงขนาดนี้ก็เพื่อสื่อให้พ่อแม่รับทราบถึงความพิเศษของอมฤตโดยเฉพาะ

พ่อชอบใจเขามาก ชวนคุยราวกับเป็นเพื่อนสนิทที่ถูกคอ ถูกอัธยาศัย เพราะอมฤตรอบรู้และให้ความเห็นที่น่าฟังไปทุกเรื่อง อีกทั้งดูพ่อสบายใจขึ้นที่เห็นหล่อนหันกลับมาชอบผู้ชาย เลิกวอแวกับผู้หญิงด้วยกันเสียได้

แต่สำหรับแม่ แม้จะยินดีที่หล่อนเลิกยุ่งกับเมียชาวบ้านเสียที พอเห็นอมฤตมาบ้านหลายครั้งเข้าก็เริ่มตั้งข้อสังเกตทีละนิดทีละหน่อย เช่นเรื่องเกี่ยวกับฐานะและอนาคตของเขา บางทีถามซึ่งๆหน้าอมฤตจนหล่อนฟังแล้วอึดอัด เช่นทำไมไม่ลองเปิดคลินิกเองบ้าง หรือบางทีก็ชมว่าใจบุญดีนะ ทำโรงพยาบาลเอกชน แต่ก็ยังปลีกเวลาไปช่วยโรงพยาบาลรัฐ ร่วมกลุ่มหมออาสา ไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัว เสร็จแล้วทิ้งท้ายแบบกระตุกเล็กๆว่าอย่างนี้น่าให้เป็นหมอโสดตัวอย่างไปนานๆ

ลับหลังอมฤต แม่จะบ่นกระปอดกระแปดตรงไปตรงมาทีเดียว ว่ารถของเขาเก่าไปหน่อย ตกรุ่นตั้งหลายปีแล้ว ถึงแม้ยังดูใหม่แสดงการดูแลอย่างดี ก็ขาดความภูมิฐานไปเยอะ ไม่ค่อยสมกับความสง่าตามบุคลิกภายนอกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ถูกใจแม่นักหากลูกสาวต้องเปลี่ยนที่นั่งจากเบาะรถยุโรปไปเป็นเบาะรถญี่ปุ่น ถ้าให้ตีราคาขายทอดตลาด ณ วันนี้ก็คงแค่ไม่กี่แสน อยากรู้ว่าอมฤตไม่นึกน้อยหน้าแฟนบ้างหรืออย่างไร

แต่ไหนแต่ไรแม่ไม่เคยบ่นเรื่องรถของเพื่อนชายคนไหน เพราะที่แวะเวียนมาเทียบหัวบันไดบ้านเป็นปกติก็เช่นเบนซ์ บีเอ็มดับบลิว เล็กซัส วอลโว่ ออดี้ ตลอดจนเฟอรารี่และปอร์ช เพิ่งจะมีอมฤตนี่แหละ ขับฮอนด้า แอคคอร์ดปี ๙๓ มาเยือนคฤหาสน์เป็นรายแรก

ชีวิตกำลังอยู่ในรูปรอย ทุกอย่างกำลังเริ่มต้น และหล่อนก็จะหัดคิดแบบผู้ใหญ่ เป็นจริงเป็นจังกับขั้นตอนต่างๆเสียที เปิดฉากด้วยการเจ้าคารี้สีคารมกับแม่ด้วยหน้าตาขึงขัง พยายามชี้ให้เห็นว่าพวกขับรถยุโรปนั้นยังเป็นเด็กหนุ่มละอ่อนที่รู้วิธีเป็นเจ้าของด้วยการเขย่าแขนพ่อแม่ทีเดียว แต่อมฤตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวที่เอาสมองและความกรุณารักษาคนไข้นับหมื่นเข้าแลก แม่ควรจะเห็นคุณค่าของการได้มา ไม่ใช่แค่คุณค่าของตัวถังรถ ซึ่งผลของโวหารอันสละสลวยน่าฟังคือโดนแม่บิดหูสองเกลียวซ้อน โทษฐานตีฝีปากไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ต้องร้องโหยหวน ไหว้ปะหลกๆวิงวอนให้ปล่อยอยู่เป็นนาน

"เอินเป็นไงมั่ง?"

อมฤตชวนคุย เพราะเห็นหล่อนนั่งเงียบตั้งแต่ออกจากบ้าน นั่นเองลานดาวจึงออกจากห้วงความคิดลึกส่วนตัว

"ก่อนรับสายพี่แตรเมื่อคืนก็ได้คุยกันค่ะ รู้สึกจะสดใสขึ้นเยอะ เหมือนฟ้าหลังฝนที่นางมารร้ายอย่างจ๊ะถอยห่างออกมาจากชีวิตเขาเสียได้"

นายแพทย์หนุ่มหัวเราะปลอบ

“นางมงนางมารอาราย… นี่พี่กลัวเขาเคืองด้วยซ้ำนะ ที่ครองตัวจ๊ะไว้ตลอด จ๊ะเลยไม่มีเวลาไปหาเขาบ้าง"

“พี่เอินก็ไม่ว่างเหมือนกันค่ะ กำลังวุ่นวายทำเว็บไซต์สำหรับคนคิดฆ่าตัวตายอยู่ นี่จ๊ะก็ช่วยทำอาร์ตให้”

อมฤตเบิกตาขึ้นเล็กน้อย

“ชื่อเว็บอะไร?”

“คู่มือนักฆ่าตัวตาย ค่ะ”

“ทำไมได้ชื่ออย่างนั้น?”

“คอนเซ็ปต์ของพี่เอินคือมีข้อมูลทุกอย่างที่คนอยากฆ่าตัวตายต้องการ แม้แต่วิธีตายแบบไม่ทรมาน รวมทั้งความเชื่อและวิธีพิสูจน์ชีวิตหลังความตาย เรื่อยไปจนกระทั่งการอยู่ให้รอดอย่างมีความสุข… จ๊ะเป็นคนตั้งด้วยนะ ชื่อเว็บเนี่ย”

"น่าสนใจนี่ ทำอะไรกันไม่เห็นชวนพี่มั่ง"

"เห็นพี่แตรธุระยุ่งอยู่แล้วนี่คะ ไหนจะงานที่โรงพยาบาล ไหนจะไปช่วยศูนย์แพทย์ทางเลือก”

หล่อนไม่พูดต่อให้จบ คือเกรงว่าถ้าเขาไปเป็นธุระช่วยคนเพิ่มอีก ก็คงหมดเวลามาอยู่กับหล่อนกันพอดี เห็นท่ามาวันทาแล้วรู้เลยว่าตั้งใจทำจริงจังมาก ทั้งส่วนเนื้อหาข้อมูล ทั้งส่วนเว็บบอร์ดคอยช่วยตอบคำถาม ทั้งทุ่มโฆษณาไปตามสื่อต่างๆอย่างไม่เสียดมเสียดายเงินทองส่วนตัว แม้เพิ่งเปิดบริการต่อสาธารณะเพียงอาทิตย์เดียว ก็ปรากฏว่ามีคนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เมื่อตรวจสอบสถิติการเข้าเยี่ยมแล้ว พบว่ามีขาประจำที่เข้าทุกวันถึงเกือบ ๔๐% ของผู้เข้าเยี่ยมทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเนื้อหาของเว็บไซต์โดนใจใครต่อใครพอดู ต่อไปต้องชุลมุนวุ่นวายแน่ๆ

“จ๊ะเอาที่พี่แตรสอนไปใส่ไว้ในเว็บด้วยล่ะ ที่ให้ดูความวกวน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงของทุกข์ มองคนอื่นแล้วย้อนมาดูเราเหมือนดูเขา จ๊ะก็เอาเป็นไอเดียไปแปะที่เว็บเผื่อเป็นอุบายฉุดให้คนขึ้นจากหล่มความเศร้าได้”

“เหรอ… อยากเห็นแฮะ อย่าลืมบอกที่อยู่ด้วยนะ เดี๋ยวคืนนี้จะเข้าไปดู”

ลานดาวนิ่งไปอึดใจ ชักนึกเสียดายที่หลุดปากบอก แต่ก็เห็นว่ายังไม่สายที่จะพูดตีกัน

“ไม่รบกวนพี่แตรเข้าไปช่วยให้เหนื่อยหรอกนะคะ เดี๋ยวเห็นแล้วอดไม่ได้ จ๊ะก็ช่วยๆพี่เอินเขาอยู่คนหนึ่งแล้ว”

เพียงจับหางเสียง ไม่ต้องหยั่งใจกัน อมฤตก็ทราบได้ว่าลานดาวกลัวเขาจะมีเวลาให้หล่อนน้อยลงกว่าเดิม

“เอินได้แรงบันดาลใจมาจากไหนน่ะ?”

หญิงสาวเห็นว่าบัดนี้มีความสนิทกันมากพอ ถึงมาวันทารู้ว่าหล่อนเปิดเผยทุกสิ่งแก่เขาก็คงไม่โกรธ จึงเล่าตามจริง

“พี่เอินเคยจะฆ่าตัวตายตอนเกิดปัญหากับจ๊ะน่ะค่ะ”

อมฤตชะงักกึก เพราะคิดไม่ถึงว่าอย่างมาวันทาจะคิดสั้นชั่ววูบเป็น

“ถึงงั้นเลยเหรอะ?”

“ค่ะ… พี่เอินจะโดดตึกตาย แต่จ๊ะห้ามไว้ทันแค่เส้นยาแดงผ่าแปด ต่อมาพี่เอินฝันร้ายซ้ำซากจนกลัวเป็นโรคประสาท ผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยแนะนำให้ทำบุญทำกุศลซะ การช่วยคนอื่นก็นับเป็นการย้อนเกล็ดกรรม เคยอกุศลอย่างไร ก็ช่วยให้คนอื่นหลุดจากอกุศลอย่างนั้น”

“แล้วทุกวันนี้เลิกฝันเรียบร้อย?”

“ดูเหมือนยังมีอยู่ประปรายนะคะ แต่เริ่มรู้สึกตัวในฝันได้แล้ว เพราะหมอดู… เอ้อ… ผู้ใหญ่ที่จ๊ะพูดถึงนั่นแหละ แนะนำให้กลับไปที่เก่าแล้วเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ให้ติดตาติดใจไปอีกแบบ ก็ได้ผลพอสมควร”

“เอินไปหาหมอดูด้วย?”

ลานดาวไม่นึกปรารถนาจะให้อมฤตรู้อะไรเกี่ยวกับหมอดูอุปการะนัก เพราะเดี๋ยวเกิดอยากไปหาขึ้นมา อุปการะทำนายทายทักว่าหล่อนไม่ใช่เนื้อคู่เขาแล้วจะยุ่ง หล่อนอยากปักใจเชื่ออย่างมั่นคงแล้วว่าเนื้อคู่เป็นสิ่งที่สร้างได้ด้วยกรรมปัจจุบัน ขอเพียงถูกใจและมีพื้นนิสัยเกื้อต่อการปลูกรักความสมัครสมานเท่านั้น

คิดแล้วลานดาวก็ฉีกแนวสนทนาไปอีกทาง

“พี่แตรอยากให้จ๊ะเป็นนักร้องไหมคะ?”

ชายหนุ่มทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบตามหน้าที่คนถูกถาม

“อือ… เสียงจ๊ะมีมนต์ขลังอยู่นะ ยิ่งได้ยินยิ่งร้อยรัด ทำให้อยากได้ยินอีกเรื่อยๆ ถ้าเป็นนักร้องก็ต้องเหมาะแน่ อีกอย่างเรียนมาทางศิลปะการดนตรีอยู่แล้ว เอาดีทางนี้คงเป็นเรื่องธรรมดา”

“แล้วไม่แคร์ผลที่จะตามมาจากการเป็นนักร้องเหรอคะ อย่างถ้าจ๊ะดังขึ้นมา พี่แตรจะรับได้หรือ?”

“พี่บอกว่าพี่รักจ๊ะ หมายความว่าพี่กำลังยอมรับในสิ่งที่จ๊ะเป็นอยู่แล้ว รวมทั้งความก้าวหน้าที่จะมีตามมา”

“ถ้าจ๊ะต้องแต่งตัวโป๊ๆเป็นดาวยั่ว พี่แตรก็รับได้?”

“ยุคสมัยเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาพูดคำว่า ‘ดาวยั่ว’ กันแล้ว เพราะจะนางเอกแถวหน้าหรือนางอิจฉาแถวหลัง ก็ทำเหมือนดาวยั่วยุคเก่ากันหมดทั้งโลกนั่นแหละ”

“จ๊ะเพิ่ง… แบบว่ามีอะไรให้คิดขึ้นมาแว้บๆนะคะ ผู้หญิงทุกคนไม่อยากถูกข่มขืน แต่ยุคเราก็เหมือนช่วยกันแต่งตัวท้าทายให้เข้ามาทำอย่างนั้น พอเขาทำขึ้นมาจริงๆก็เป็นเรื่อง เป็นคดีถึงคุกถึงศาล ยิ่งอาชีพศิลปินยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งเมกอัพ ทั้งใช้แสงช่วยขับสีผิว กระตุ้นความต้องการยิ่งๆขึ้น เอาแค่กรรมที่แต่งตัวล่อตะเข้ ทำให้ใครต่อใครอยากเห็นแต่ไม่มีวันได้เห็น เท่านี้ก็ทำให้เกิดผลสะท้อนกลับยังไงไม่รู้แล้ว รู้แต่ว่าปัญหาชู้สาวและความแตกหักกับคู่ครองในหมู่ดารานักร้องจะดาษดื่นเป็นพิเศษ”

“ปัญหาแตกแยกเกิดกับคนทุกวงการมั้ง สถิติการหย่าร้างกระจายน้ำหนักไปทั่วแหละ”

“สรุปคือพี่แตรใจกว้าง ยอมให้แฟนตัวเองอวดเนื้อหนังกับคนทั้งเมือง ไม่หวงใช่ไหมคะ?”

“ก็… อาจหวงบ้างนะ แต่ทำไงได้ล่ะ ยุคนี้คนเขาเป็นกันอย่างนี้ จะไปขวางน้ำเชี่ยวได้อย่างไร”

“ถ้าตัดเรื่องความห่วงความหวงทิ้ง พี่แตรว่าจ๊ะทำบาปทำกรรมไหมคะ อย่างที่จ๊ะว่าเมื่อกี้ เรื่องแต่งตัว เรื่องออกลวดลายลีลายั่วยวนให้เขาติดหลง หรือเกิดความมักง่ายทางกามารมณ์ยิ่งขึ้น?”

“จ๊ะอาจคิดมากไปนะ การขับร้องเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ใครๆก็ทำกัน แล้วศิลปินแต่ละคนก็มีจุดเด่นหรือจุดยืนของตัวเองที่จะทำความเพลิดเพลินให้กับแฟนๆ การทำให้คนอื่นมีความสุขตามที่เขาอยากจะรับกัน ถือเป็นบาปเป็นกรรมได้ยังไง ถ้าจ๊ะไม่สบายใจเกี่ยวกับแง่นี้ ก็สร้างจุดยืนของตัวเองให้ออกแนวพาฝันซี นักร้องระดับโลกตั้งเยอะที่ปัจจุบันขายแต่เสียง ไม่มีภาพลักษณ์ทางเซ็กซ์เข้ามามีส่วนสำคัญ หรือไม่ก็ออกแนวอุดมคติ เป็นแบบอย่างให้คนยุคใหม่ไปเลย ดารานักร้องที่มหาชนชื่นชอบมากๆจะมีพลังบันดาลใจเหมือนมนต์ขลังสะกดจิตได้ ถ้าเราขยายภาพด้านดีของตัวเองให้เด่น เช่นเป็นลูกกตัญญู ต่อต้านยาเสพติด รณรงค์ศีลธรรมจรรยามารยาท หากภาพความดีของเราเป็นของจริงในระยะยาว ภาพล่อตาล่อใจในเบื้องแรกก็จะกลายเป็นคุณใหญ่ ไม่ใช่โทษร้ายแรงควรกังวลอะไร”

ลานดาวเหลือบตามาทางชายผู้เป็นที่รักแวบหนึ่ง เขามีศรัทธา มีความเชื่อในเรื่องกรรมและผลกรรม กับทั้งมีสัมผัสพิเศษหยั่งรู้เหนือคนธรรมดา แต่พอลงรายละเอียด หล่อนก็เริ่มพบว่าความเห็นแตกต่างจากผู้วิเศษอื่นเช่นอุปการะ ผลของการเป็นนักร้องยุคนี้ที่มีต่อมหาชนนั้น อุปการะกล่าวในแง่การเร่งราคะ โทสะ โมหะ ส่วนเขามองในแง่การมอบความสุขความบันเทิงและช่องทางบันดาลใจคนหมู่มาก จนหล่อนชักสับสนว่าใครถูกใครผิดกันแน่

หรือว่าถูกทั้งคู่?

“แล้วถ้าการออกอัลบัม การทัวร์คอนเสิร์ต การคลุกคลีกับใครต่อใครมากหน้าหลายตา ดึงให้จ๊ะห่างจากพี่แตรล่ะคะ จะยังยินดีอยู่หรือเปล่า?”

อมฤตทอดตาคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ

“พี่รักจ๊ะในแบบที่พร้อมจะเอาตัวเองเป็นเครื่องหนุนส่งให้จ๊ะได้ดีถึงที่สุดในทางของจ๊ะ อะไรก็ตามที่เส้นทางมืออาชีพของจ๊ะเรียกร้อง พี่จะยอมยกให้เสมอ คนเราต้องทำงาน และงานจะดีก็ต่อเมื่อเราทำในสิ่งถนัดที่สุด สิ่งนั้นต้องมาก่อนเพื่อน ถ้าพี่รักจ๊ะในแบบเอาอย่างใจพี่ ฉุดดึงหรือเตะถ่วงความเจริญของจ๊ะ จ๊ะก็น่าสลัดทิ้งมากกว่าหลงรักษารักพรรค์นั้นไว้”

ลานดาวอมยิ้ม อดเปรียบเทียบไม่ได้ คุยกับอมฤตแล้วรู้สึกว่าอยู่กับโลกความเป็นจริง ขณะที่คุยกับหมอดูอุปการะแล้วเหมือนอยู่ในโลกอุดมคติ หล่อนเพิ่งตระหนักว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่งไม่อาจอยู่บนทางสีขาวบริสุทธิ์ อาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องที่เหมาะกับความถนัดนั้น ต้องแข่งขันกันสูง นับว่ายากลำบากในตัวเองอยู่แล้ว ถ้าให้เอาบาปบุญคุณโทษเพิ่มเข้ามาเป็นตัวแปรอีก มิยิ่งทำชีวิตให้ลำบากขึ้นอีกสองเท่าสามเท่าหรอกหรือ?

ล่าสุดหล่อนไปพบอุปการะก็ด้วยเรื่องอมฤตเป็นสำคัญ อยากรู้ว่าทำอย่างไรจะรักษาเขาไว้ชั่วนิจนิรันดร แต่การณ์กลับปรากฏว่าได้คำทำนายสลักสำคัญกว่านั้น อุปการะทำให้ใจหล่อนคิดถึงชื่อเสียงและความร่ำรวยระดับโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยุคนี้ใครรวย ชีวิตจะยิ่งกว่าได้แก้วสารพัดนึกในนิทานโบราณเสียอีก หล่อนเชื่ออุปการะสนิท ทั้งจากความแม่นยำที่หล่อนประจักษ์แล้ว กับทั้งแนวโน้มความเป็นไปได้ที่วางแบอยู่ต่อหน้า ขอเพียงก้าวไปตามทางสู่ความเป็นดวงดาว ดาวดวงสวยที่สุดต้องมาอยู่ในมือหล่อนในเวลาไม่นาน!

วิถีชีวิตหล่อนทอดไปสู่ความเป็นนักดนตรีเอกโดยแท้ แข่งเปียโนก็ได้ที่หนึ่งบ่อย พอเริ่มฉายแววเด่นในวงการก็มีนิตยสารและหนังสือพิมพ์ขอสัมภาษณ์ แล้วเผอิญถึงหูถึงตาบอสใหญ่ของค่ายเพลงยักษ์ เขาอ่านพบเรื่องหล่อนในคอลัมน์การบันเทิงของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง พอทราบว่ามีความสามารถด้านอื่นทางดนตรีเช่นการขับร้องและการประพันธ์เพลงด้วย ก็สนใจให้คนโทร.มาชวนไปเทสต์เสียงและทำสกรีนเทสต์ เรียกว่าพิเศษกว่าคนอื่นอย่างเหลือล้น เพราะปกติต่อให้หน้าสวย เสียงดี ดนตรีเก่งขนาดไหน ก็ต้องไปสมัครเองแล้วรอผลเป็นเดือนเป็นปีทั้งสิ้น

ลานดาวมีโอกาสฉายความสามารถอย่างเต็มที่ในวันทดสอบ ผลปรากฏว่าความสามารถของหล่อนผ่านยิ่งกว่าผ่าน ทั้งพลังเสียง ทั้งลูกเล่นในการขับร้อง ทั้งความพรายแพรวแห่งลีลาเริงระบำรำเต้น ทั้งรัศมีดึงดูดสายตามหาชน ทุกอย่างครบสูตรชนิดตัดสินได้ทันทีด้วยตาเปล่าว่าหล่อนเป็น ‘คนดังสำเร็จรูป’ แบบเดียวกับพลุที่แค่กระตุกสายชนวนนิดเดียวก็พลุ่งขึ้นระเบิดฉายแฉกรัศมีน่าตื่นตาเต็มท้องฟ้าทันที

หนทางสู่ดวงดาวง่ายดายสะดวกโยธินราวพลิกฝ่ามือ แต่ลานดาวเองกลับเป็นฝ่ายกระบิดกระบวนพิโยกพิเกน ด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้น คือติดแข่งเปียโนสองหนในอีก ๑ เดือนและ ๕ เดือน อีกทั้งต้องรอเรียนจบเสียก่อนภายใน ๘-๙ เดือนข้างหน้า จึงสามารถทุ่มเวลาให้กับค่ายเพลงได้ไหว ทั้งที่เหตุผลแท้จริงในครั้งนั้นคือหล่อนยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ทราบดีว่าถ้าดังขึ้นมาเมื่อไหร่ ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ หล่อนจะไม่ใช่คนธรรมดา ไปไหนมีแต่คนชี้หน้ากรี๊ด

ทว่าแม้ปรารถนาความเป็นคนสำคัญ ความเป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย หล่อนก็ยังรักความเป็นอิสระ ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่เป็นบุคคลสาธารณะที่เหมือนใครต่อใครมีสิทธิ์เข้ามาล้วงความลับหรือขอแบ่งเวลาได้ทั้งปีทั้งชาติ

แต่หลังจากล่วงรู้อนาคตจากหมอดูอุปการะว่าตนเองไม่ใช่แค่ดังระดับประเทศ ทว่าจะถึงระดับโลก ซึ่งถ้าเป็นความจริงก็หมายความว่าหล่อนมีสิทธิ์ทำในสิ่งที่อยากทำอย่างไร้ขีดจำกัด รู้ซึ้งมานมนานว่าลูกสาวเศรษฐีร้อยล้านทำอะไรได้บ้าง แต่เศรษฐีที่มีเงินเป็นพันล้านด้วยตัวเองเขาใช้ชีวิตกันท่าไหน ยังไม่เคยรู้เลย

และตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามีสิทธิ์จะรู้…

ตามคำทำนาย หล่อนจะดังระดับข้ามชาติได้ด้วยเวลาเพียง ๔ ปีหลังจากเริ่มเข้าสู่วงการ ลานดาวสามารถเห็นภาพเป็นฉากๆอย่างสมเหตุสมผล หากหล่อนเริ่มต้นเดินทางวันนี้ ก็น่าจะออกผลงานเพลงอัลบัมแรกได้ภายในเวลาอันสั้น เนื่องจากค่ายเพลงปัจจุบันมีกำลังที่จะปั้นดินให้เป็นดาวด้วยเวลาอันรวดเร็วอยู่แล้ว ยิ่งหากเป็นดาวอยู่แต่แรก หน้าที่ของค่ายเพลงก็แค่พาดาวไปอวดคนเท่านั้น

ลานดาวมีเพลงแต่งเองร่วมครึ่งร้อย และประมาณ ๓-๔ เพลงในจำนวนนั้นก็เข้าตากรรมการ แทบจะนำมาบรรจุเทปและซีดีได้ทันที เนื่องจากหล่อนขับร้องและใช้ซินธิไซเซอร์ทำดนตรีไว้เสร็จสรรพ แถมค่ายเพลงก็มีเพลงในสต็อกที่เหมาะกับสไตล์หล่อน ฟังแล้วติดหูวัยรุ่นปุบปับอีกต่างหาก เพียงวางคอนเซ็ปต์ ซ้อมร้อง และทำตลาดอีกนิดหน่อย ทุกอย่างก็น่าจะเข้าสู่ภาวะเปรี้ยงปร้างฉับพลันทันใด

แม้มีลูกครึ่งไทยเช่นวาเนซซ่า-เมประสพความสำเร็จในวงการดนตรีระดับโลกมาก่อน แต่วาเนซซ่า-เมก็ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทย เพราะพ่อคนไทยแยกทางกับแม่ตั้งแต่เธอได้แค่ ๔ ขวบ เพราะฉะนั้นถ้าหล่อนขึ้นอันดับโลกจริง ก็จะถือเป็นคนไทยคนแรกที่ไปได้ถึงขั้นนั้น!

ลานดาวแอบคิดเปรียบเทียบประสาหญิง โดยเค้าโครงเครื่องหน้ากับเอวองค์แล้ว วาเนซซ่า-เมคือผู้หญิงธรรมดาที่สวยเด่นปานกลาง แต่กลายเป็นหนึ่งใน ๕๐ ผู้หญิงสวยที่สุดในโลกประจำปี ๑๙๙๖ ของนิตยสาร People ไปได้เพราะอัจฉริยภาพทางไวโอลินส่งเสริมโดยแท้ แต่หล่อนเห็นตามจริงชนิดไม่เข้าข้างตัวเองว่าตนมีเครื่องหน้าและสัดส่วนเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบกว่าวาเนซซ่า-เมมาก

ความสามารถทางดนตรีของหล่อนอาจไม่ถึงขั้นเป็น ‘ปรากฏการณ์มหัศจรรย์’ เยี่ยงวาเนซซ่า-เม ทว่าหล่อนก็มีมันสมองที่จะแต่งเพลงเองได้เช่นเดียวกัน และเมื่อวาเนซซ่า-เมออกอัลบัมเพลงร้องก็ไม่ประสพความสำเร็จนัก เนื่องจากสุ้มเสียงขาดเอกลักษณ์ชนิดเหนือชั้น มองในแง่นี้หล่อนก็ว่าหล่อนกินขาด

“ไม่มีผู้ชายสำนึกปกติที่ไหนอยากให้นารีอุปถัมภ์หรอกจ๊ะ เป็นชายต้องยืนด้วยตัวเองอย่างชาย วันหนึ่งถ้าจ๊ะรวย พี่ก็มีหน้าที่แค่ร่วมยินดี ไม่ใช่ร่วมด้วยช่วยผลาญ”

ลานดาวคอแข็ง

“เอ๊ะ!… ฟังเหมือนอีกหน่อยต่างคนต่างอยู่เลยนะคะ”

“วันหนึ่งเราอาจอยู่ร่วมกัน แต่พี่จะมีจ๊ะอยู่ในฐานะภรรยา ไม่ใช่ฐานะผู้เลี้ยงดูส่งเสียพี่”

อารมณ์ถูกกระตุกขึ้นมาอีก ลานดาวสะบัดหน้ามองขวับ

“ถ้าเราไปถึงตรงนั้น ยังต้องคิดเล็กคิดน้อยเรื่องแบ่งกระเป๋าสตางค์กันด้วยเหรอ?”

อมฤตส่ายหน้าเล็กน้อย

“เราพูดยื่นยาวไกลเกินไปแล้วล่ะ เอาแค่ตรงนี้เถอะ มันเป็นไปได้ที่พี่จะผ่อนรถใหม่ด้วยเงินเก็บของพี่เอง พี่จีบจ๊ะก็สมควรมีดีบ้าง ถามจ๊ะก็เพราะอยากให้จ๊ะภูมิใจที่มีส่วนเลือก มีส่วนช่วยตัดสินใจในฐานะแฟนกัน”

“งั้นเอาคันนี้ไว้!”

ลานดาวตอบห้วนๆอย่างคนเคยชินถืออำนาจสั่ง แต่พอรู้สึกตัวก็ลดเสียงลง

“จ๊ะยังต้องให้พ่อแม่เลี้ยงอยู่เลย ฐานะตามกำลังของจ๊ะถือว่าเป็นศูนย์ ไม่สมควรเสนอหน้าเรียกร้องในสิ่งที่ยังหาไม่ได้ด้วยตัวเองหรอกค่ะ พี่แตรให้จ๊ะมีส่วนตัดสินใจ จ๊ะก็ขอใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกเอาคันนี้ไว้นะคะ ต้องเห็นนะว่านี่คือความบริสุทธิ์ใจจริงๆ แม่จ๊ะจะคิดยังไงก็ช่างเถอะ”

“ช่างไม่ได้หรอก เขาเป็นเจ้าของจ๊ะ ถ้าวันหนึ่งพี่จะขอแก้วตาดวงใจเขามา ก็ต้องทำตัวให้น่ารักน่าชื่นชอบบ้าง”

ใบหน้าหญิงสาวขึ้นสีชมพูทันที แต่พยายามสะกดกิริยายินดีประเจิดประเจ้อไว้ ขมุบขมิบปากบอก

“ถ้าคิดอย่างนั้นก็สุดแล้วแต่พี่แตรเถอะค่ะ”

“พรุ่งนี้ไปช่วยพี่เลือกนะ”

“ค่ะ”

พอบรรยากาศคลี่คลายลงได้ ลานดาวก็ขอให้เขามีส่วนช่วยตัดสินใจบ้าง ทั้งยังสำคัญกว่าเรื่องรถราเสียด้วย

“ถ้าจ๊ะไม่อยากเป็นนักร้อง ไม่อยากเป็นนักดนตรี จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ พี่แตรคิดว่าจ๊ะน่าจะทำอะไรดี นี่ถามอย่างเชื่อสายตาที่อ่านคนออกนะคะ”

“อ่านคนออกไม่ได้แปลว่าเลือกอาชีพให้เหมาะกับใครได้นี่ ถ้าตัดอาชีพศิลปินออก จ๊ะเคยอยากทำอะไรบ้างล่ะ”

“ถ้าไม่ต้องยืนเอามือกุมสะดือคำนับเจ้านายล่ะก็ จ๊ะว่าจ๊ะทำได้ทุกอย่างแหละ”

อมฤตหัวเราะรื่น

“ที่ผ่านมานอกจากดนตรีแล้วถนัดอะไรมากสุด?”

ลานดาวนั่งนึกพักหนึ่ง ก่อนยืดอกตอบอย่างภาคภูมิ

“ถนัดถือเตารีด!”

ชายหนุ่มหัวเราะขบขันอีก เพราะรู้ว่าหล่อนหมายถึงความชำนาญการไถพ่อ เอาเงินมาใช้สะดวกๆ

“เอาล่ะๆ… ตามที่พี่เห็นแล้วกันนะ ฝีมือทำอาหารของจ๊ะ พี่ว่าถ้าศึกษาจริงจังก็เป็นเชฟราคาแพงได้เลย เดาว่าจ๊ะมีความรู้วิทยาศาสตร์การอาหารพอตัว ไม่ใช่แค่จำเฉพาะสูตรเหมือนแม่ครัวส่วนใหญ่”

ลานดาวปลื้มใจที่เขาเห็น

“ค่ะ แรงบันดาลใจเริ่มต้นคือทำอาหารให้อร่อยตามสูตรตามแม่ หรือคิดสูตรพิเศษขึ้นเองด้วยไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาแบบลองผิดลองถูก แต่พอดูรายการทีวีหรืออ่านสัมภาษณ์เชฟดังก็ชักสนใจ เช่นว่าเนื้อส่วนนี้เหมาะสำหรับไปทำอาหารแบบไหน ถ้าใส่สิ่งนั้นเติมไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องสนุกมากๆถ้าเราทำครัวอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ที่เข้าใจปฎิกิริยาเคมี เข้าใจที่มาที่ไปของวัตถุดิบ เข้าใจเรื่องผลการปรุงวัตถุดิบรวมกัน อย่างถ้าอธิบายได้ว่าทำไมกินพุงปลามันๆพร้อมแกงเผ็ดแล้วอร่อยลืมโลก ก็อาจแปลว่าเราสามารถสร้างสรรค์อาหารแปลกใหม่ขึ้นมาได้ไม่ซ้ำแต่ละวัน”

“พี่ก็เคยฟังมาเหมือนกัน ว่าถ้าไม่มีความรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ก็ต้องอาศัยพรสวรรค์และศิลปะ หรือสูตรสำเร็จเคล็ดลับมาสร้างความอร่อย แต่หากผ่านระบบการศึกษาศาสตร์ทางอาหารจนเข้าถึง ก็จะได้จานเด็ดใหม่ๆออกมาสม่ำเสมอ”

“เสียดายความรู้จ๊ะน้อย ขนาดอ่านคู่มือที่เชฟใหญ่เขียนมาเป็นสิบๆเล่มก็ยังเหมือนหางอึ่งอยู่เลย”

“งั้นก็ตั้งเข็มเป็นเชฟเลยสิ จะได้ไปเรียนให้แตกฉาน โรงเรียนการอาหารชั้นนำในอเมริกาเดี๋ยวนี้ก็ใช้เวลาศึกษาทั้งหมดแค่ปีหรือสองปีเท่านั้น”

หญิงสาวย่นจมูกนิดหนึ่ง

“เคยคิด แต่เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ โลกเราผู้หญิงครองงานครัวก็จริง แต่พี่แตรดูเถอะ ไม่เห็นสาวที่ไหนเป็นเชฟใหญ่ในเครือโรงแรมดังเลย แม้ในเมืองนอกถ้าผู้หญิงคนไหนเป็นขึ้นมาได้ล่ะก็ ถึงกับต้องมีสัมภาษณ์พิเศษออกข่าวทีเดียว ใครไปถึงตรงนั้นได้ไม่ใช่แค่เก่ง ไม่ใช่แค่รู้เรื่องอาหารมาก แต่ต้องแกร่ง ต้องรู้จักคน และสามารถทนแรงเสียดทานได้ยาวนานด้วย จ๊ะคงรับไม่ได้ถ้าต้องเป็นลูกกระจ๊อกใคร แล้วพี่แตรรู้มั้ย ก่อนเป็นเชฟใหญ่ต้องผ่านการเป็นกุ๊กเล็กๆหน้าเตานรกกี่ปี บางทีรอจนน้ำลายฟูมปากเชฟใหญ่ก็ยังไม่ไปไหนเลย”

“งั้นก็เปิดร้านเองเลยไง ถ้ามีความรู้เสียอย่าง เราผสมสูตร สร้างไอเดียใหม่อย่างไรก็ได้ ทำให้คนอิ่มอร่อยทุกวันน่าจะได้บุญเยอะด้วย”

แม่ครัวสมัครเล่นนิ่งตรอง แล้วขอไปอีกทาง

“จ๊ะน่าจะทำอะไรได้อีกคะ?”

อมฤตกะพริบตาสองที ก่อนลองเสนอใหม่

“นักข่าวเป็นไง จ๊ะเปล่งเสียงได้ชัดถ้อยชัดคำ ออกเสียงควบกล้ำได้เพราะหู จังหวะจะโคนลงตัว ตามีกระแสสะกดให้คนอยากฟัง แถมสวยครบสูตร รวมแล้วมีเสน่ห์พอจะไปสมัครทีวีช่องไหน ใครเขาก็รับ”

“จ๊ะไม่สนใจการบ้านการเมืองมากนัก อีกอย่างมีเพื่อนรุ่นพี่เป็นนักข่าว จ๊ะเคยแวะไปหาที่สำนักข่าวด้วยล่ะ เห็นเลย ทำงานกันหัวหกก้นขวิด ต้องรู้ทุกอย่างจนกลายเป็นไม่รู้อะไรเลย เพราะเจอภาวะข้อมูลท่วมเสียจนลืมหมด ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ศึกษาอะไรไม่ได้ลึก ต้องติดตามข่าวใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา นิสัยจ๊ะชอบค้นคว้าให้ถึงแก่นมากกว่ารู้แค่ผิวๆ”

“อือม์…”

อมฤตพยักหน้า ยกมือลูบคางอย่างเข้าใจ

“รำคาญหรือเปล่าคะ? เลือกอะไรให้ปฏิเสธหมดเสียอย่างนี้”

“เปล่า… ชักนึกสนุกต่างหาก ความจริงจ๊ะมีศักยภาพที่จะทำอะไรได้เยอะนะ แล้วก็เข้าใจตัวเองพอสมควรด้วย”

พอแน่ใจว่าเขาไม่รำคาญก็ฉายมุมมองของตนต่อ

“งานสื่อสารมวลชนก็ดีอยู่อย่าง คือทำให้คนรับรู้ข้อมูลสำคัญทุกวัน แต่ก็อาจร่วมทำบาปใหญ่เพราะบางข่าวที่ด่วนออกมาแบบไม่มีการสืบให้แน่ชัดอาจฆ่าคนได้ทั้งเป็น ถึงเราไม่ได้เป็นคนทำข่าว แต่ใครทั้งประเทศก็เห็นเราพูดอยู่คนเดียว”

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก

“คิดมากอีกแล้วมั้ง คนเขามองหน้าเราเพราะสนใจความสวยและการพูดเก่งเท่านั้น ไม่มีใครจำติดหัวไว้หรอกว่ารู้ข้อมูลข่าวไหนจากคนทำหน้าที่รายงาน”

“แต่ข่าวบางข่าว คนรายงานก็ทำหน้าฝืดๆออกอากาศชัดเลยนะคะ อย่างกับมีใครแอบบิดก้นอยู่ข้างหลังงั้นแหละ เคยฟังเพื่อนเล่าด้วย บางข่าวเขารู้กันในวงในว่ามันไม่จริง หรือจริงแค่ส่วนเดียว แต่คนอ่านข่าวต้องพูดตามบทเฉไฉที่เขาเขียนไว้ให้ ก็รู้สึกเหมือนกำลังนั่งโกหกคนทั้งประเทศ กลับบ้านนอนไม่หลับ”

“งั้น… อยากเป็นนักประพันธ์ไหมล่ะ? ถ้าชีวิตสนุก ก็เขียนนิยายได้สนุกตามประสบการณ์ หรือถ้าเป็นแค่คนคิดสนุก ก็แต่งเรื่องให้สนุกได้ พี่ว่าอย่างจ๊ะนี่ใช่เลย ทั้งประสบการณ์และวิธีคิด”

“น่าสนนิ… แต่ไม่เคยลองเลยค่ะ เคยแต่งเรื่องสั้นกะหลาป๋าสมัยเรียนประถม ไม่ได้รับกำลังใจเท่าที่ควร เลยวางปากกาอย่างถาวร”

“เรื่องกำลังใจก็สำคัญนะสำหรับเส้นทางนักประพันธ์ แต่บางคนก็ได้ลูกฮึดจากเสียงติหรือเสียงท้าทาย อย่าง ป. อินทรปาลิต ไง ทีแรกเขียนเรื่องบู๊ เรื่องรักโศก จนเพื่อนแกล้งแหย่ว่าท่านี้คงเขียนเรื่องเบาสมองไม่เป็น ป. เลยหันมาสร้างเรื่อง พล นิกร กิมหงวน ซึ่งกลับกลายเป็นว่ายิ่งดังหนักขึ้นกว่าทุกเรื่องที่เคยเขียนไว้ และปัจจุบันก็ยังเป็นอมตะ ป. ได้ชื่อว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งในงานหัสนิยายเบาสมอง คนเราบางทีไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำอะไรได้ดีที่สุด จนกว่าจะลงมือทำสิ่งนั้นบ้างแล้ว อยู่เฉยๆอาจไม่มีใครมองออกหรือคาดคิดไปได้ถึงหรอก”

ลานดาวเม้มปาก ทำตาโตอยู่ครู่

“จริงด้วย มวยปล้ำงี้ ยังไม่เคยลองเลย”

อมฤตหัวเราะ

“นุ่มนิ่มไปทั้งตัว ขืนขึ้นเวทีก็กระดูกหักตั้งแต่ไฟท์แรก นักมวยปล้ำหญิงโครงร่างไม่ใช่อ้อนแอ้นเป็นมดตะนอยอย่างจ๊ะหรอก” เว้นระยะนิดหนึ่งก่อนกล่าวสืบต่อ“บางทีเราอาจต้องกล้าลองที่จะเป็นอะไรสักอย่างพักหนึ่ง ค่อยตัดสินว่าชอบหรือชังพอจะต่อหรือหยุด ไม่จำเป็นต้องให้หมอดูทำนายหรอกว่าทำอาชีพอะไรแล้วดีหรือไม่ดี ได้คุ้มเสีย หรือเสียไม่คุ้มได้”

หญิงสาวนิ่งไป อมฤตเก่งที่จับทางความคิดของหล่อนถูกว่ากำลังชั่งน้ำหนักระหว่างได้กับเสีย แถมเดาแม่นอีกว่าปัจจัยที่ทำให้หล่อนคิดมากส่วนหนึ่งมาจากการดูหมอ แต่เขาคงไม่อาจล่วงรู้กระมังว่าองค์ประกอบในการพิจารณาเลือกของหล่อนนั้น แท้จริงก็คือตัวเขาเอง!

“จ๊ะเคยนึกๆเหมือนกันค่ะ ว่าคนเราก็ไม่ค่อยตริตรอง ชอบให้กิเลสบงการ ชอบให้หมอดูกำหนด เลยมักต้องทุกข์ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วพูดทีหลังว่าถ้าย้อนเวลากลับไปเลือกใหม่ได้ จะทำ จะไม่ทำ จะเป็น จะไม่เป็นอะไรอย่างนู้นอย่างนี้”

ชายหนุ่มผงกศีรษะยิ้ม

“นั่นน่ะซี”

“แต่ทุกคนมีจังหวะเหมาะที่จะเป็นอะไรขึ้นมาสักอย่าง ถ้าจ๊ะเลือกไม่สมตัวหรือผิดวัย ก็อาจพลาดที่จะเป็นในสิ่งที่ควรเป็นใช่ไหมคะ?”

“พี่ว่าทุกคนมีสิทธิ์จะเป็นในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างตาตั้ม โอนีล เป็นดารามายาเก่งจนได้รางวัลออสก้าตั้งแต่ ๑๐ ขวบ บาลามูราลี่ แอมบาตี้ จบหมอจากนิวยอร์กตั้งแต่อายุ ๑๗ ดอกเตอร์มาริโอ ฟริก เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศลิกเทนสไตน์ตอนอายุ ๒๘ ดูแล้วคนพวกนี้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ไม่สมตัวและผิดวัยทั้งนั้น แต่ความจริงก็คือพวกเขาทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้โดยไม่ต้องฟังใครว่าสมวัยหรือเปล่า”

“พวกนั้นอายุน้อยๆนี่คะ จ๊ะหมายถึง… อย่างถ้าจ๊ะตัดสินใจอยากเป็นแค่แม่ครัวในวันนี้ แล้วเกิดฟิตอยากเป็นดารานักร้องขึ้นมาตอนอายุสามสิบ ก็คงไม่มีใครเขาเอา”

“อ๋อ! อือม์… นี่แปลว่าตอนนี้ไม่อยากเป็นศิลปินจริงๆเหรอ?”

“แค่ลังเลน่ะค่ะ… ลังเลอย่างหนักทีเดียว”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น