ความฉลาดจะช่วยให้คุณลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมาก
โบนัสในเกมกรรม
โบนัสหรือคะแนนพิเศษที่ให้กันในเกมทั่วไปนั้น
อาจต้องผ่านด่าน ผ่านขั้นตอนหลายชั้น จึงจะไปถึงจุดที่ได้โบนัสมา หรือถึงจุดที่เล่นเพื่อเอาโบนัสโดยเฉพาะ
เป็นการทวีคะแนนให้ถีบตัวสูงขึ้นแบบพรวดพราด เพื่อสร้างพลังขับดันให้หูตาตื่น
เล่นเกมต่อด้วยความฮึกเหิมและรู้สึกพรักพร้อมเต็มพิกัด
และเช่นเดียวกับโบนัสปลายปีที่บริษัทสมนาคุณแก่พนักงานซึ่งตั้งใจทำงาน
ยิ่งได้โบนัสมากเดือนขึ้นเท่าไหร่
พนักงานย่อมเกิดความรู้สึกผูกพันและจงรักภักดีอยากทำกำไรให้กับบริษัทมากขึ้นเท่านั้น
โบนัสในเกมกรรมจะทำให้คุณทั้งฮึกเหิม
และทั้งติดใจอยากเล่นเกมกรรมต่อไปอีกตราบนานเท่านาน
เพราะจะมาในรูปของการเพิ่มคะแนนสะสมแบบล้นหลาม
ชนิดทำให้คุณมีแต้มต่อเหนือกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อไม่รู้ตัวว่ากำลังเล่นเกม อย่าว่าแต่จะแสวงหาโบนัส
แค่ใครบอกให้พยายามใส่ใจเก็บสะสมแต้มก็ยากที่จะฟังแล้ว ในทางตรงข้าม
หากรู้ตัวว่ากำลังเล่นเกม คุณจะแสวงหาโบนัสอย่างเอาเป็นเอาตาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ว่าโบนัสจะเพิ่มสีสันให้เกมของคุณ ไม่หลงเหลือความเอื่อยเฉื่อยน่าเบื่ออีกต่อไป
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างโบนัสหลักๆที่จะทำให้คุณรู้สึกถึงคะแนนบวกที่เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดและรวดเร็วทันใจ
๑) กราบพระปฏิมา
การกราบไหว้คือการน้อมกายน้อมจิตลงสู่อาการเคารพสูงสุด
หมายความว่าขณะแห่งการกราบแต่ละครั้ง หากทำด้วยใจจริงแล้ว จิตของคุณจะไม่มีมานะ
ไม่มีความถือตัวถือตน
การกราบคือการยอมรับว่ามีใครบางคนเหนือกว่าคุณ
มีพระคุณเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของคุณ และขณะที่แสดงความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือชีวิตนั่นเอง
นอกจากจิตจะเป็นมหากุศลด้วยความรู้คุณแล้ว
ยังเปิดรับกระแสความศักดิ์สิทธิ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบของรัศมีจิตอีกด้วย
ความรู้สึกภายในที่ยืนยันความจริงดังกล่าว
คือกายยิ่งค้อมลงต่ำต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ใจยิ่งผ่องแผ้วไร้มลทินมากขึ้นเท่านั้น
ความผ่องแผ้วไร้มลทินเป็นลักษณะหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ยิ่งรู้สึกชัด
ก็แปลว่ากระแสความเป็นเช่นนั้นเข้าถึงจิตคุณเต็มที่มากขึ้น
การนำอาหารหรือเครื่องยัญไปบูชาเทพเจ้าตลอดปีหนึ่งนั้น
ทั้งหมดก็ไม่เท่าหนึ่งในสี่ของการการอภิวาทท่านผู้ดำเนินไปอย่างถูกต้องตรงทางทั้งหลาย
ซึ่งก็ได้แก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งหลาย
แต่เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์แล้ว
ก็จำเป็นต้องนำรูปแทนหรือพระปฏิมามาเป็นสัญลักษณ์แทนกัน
ความเจริญแก่ผู้มีการอภิวาทเป็นปกติ ได้แก่เป็นผู้มีอายุยืน
คือไม่ตายเสียแต่ต้นวัย เป็นผู้มีตระกูลสูง คือไม่ไปเกิดกับตระกูลต่ำ
เป็นผู้มีความสุข คือใจไม่เร่าร้อนฟุ้งซ่านเพราะความกระด้าง
และเป็นผู้มีอำนาจในตัว คือไม่มีใครข่มเหงได้โดยง่าย
ลองคิดดู คุณลงทุนแค่กราบ
เอาแค่ก่อนออกจากบ้านกราบสามครั้งก็พอ เพียงเท่านั้นเท่ากับคุณเอามงคลอันมองเห็นง่ายติดตัวออกจากบ้านไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าบุคคลที่คุณกราบคือครูที่รู้จริงที่สุดในโลก
ก็แปลว่าใจคุณยอมรับบุคคลเช่นนี้ไว้เป็นครู
จึงเป็นประกันว่าแม้ต้องเล่นเกมกรรมอีกกี่ครั้ง
คุณก็จะได้พบครูที่ดีที่สุดเช่นนี้อีกจนได้
ส่วนใหญ่ที่กราบแล้วไม่ค่อยได้แต้ม ไม่ค่อยโกยโบนัสกัน
ก็เพราะกราบด้วยใจที่แห้งแล้ง กราบแบบกระโดกกระเดก ไม่นุ่มนวลสละสลวย
เพราะกราบตามๆกันโดยไม่ทราบความหมายของการกราบอย่างแท้จริง
ใจคุณจำเป็นต้องรู้อยู่ก่อนว่าบุคคลที่คุณกราบนั้น ทำประโยชน์กับโลกไว้เพียงใด
ถ้ายิ่งคุณได้ประโยชน์จากคำสอนของท่าน ชีวิตเจริญรุ่งเรืองขึ้น
นั่นแหละการกราบจะเป็นการกราบออกมาจากใจที่นอบน้อมเคารพ แล้วกิริยาก็จะประณีต
เงยขึ้นสุด ก้มลงกราบสุดอย่างเนิบช้า หน้าผาก ฝ่ามือ และศอกแตะพื้นสนิทไม่ห่างกัน
ขอให้จำคำสำคัญนี้ไว้ดีๆ คือ ใจต้องนอบน้อมเคารพ
ตัววัดง่ายๆคือกราบแล้วเกิดความรู้สึกว่าตัวคุณเล็กลง จิตใจอ่อนโยนเยือกเย็น
หรือกระทั่งเกิดความซาบซึ้งโสมนัสแบบไม่แกล้ง
นั่นแหละผลของการกราบด้วยความนอบน้อมเคารพ
ผลของการกราบพระปฏิมาด้วยใจนอบน้อมเคารพอย่างต่อเนื่องเพียงเดือนเดียว
จะทำให้คุณมีพลังกุศลสูงขึ้น ขนาดที่ชะล้างความสกปรกทางจิตได้ระดับหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นความฟุ้งซ่าน ความคิดอยากทำเรื่องชั่วร้าย
และพลังกุศลอันเกิดจากจิตอ่อนน้อมนั้นเอง
จะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดความคิดดีๆเข้าตัว
ซึ่งก็เท่ากับก่อร่างสร้างอนาคตที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาไว้ด้วย
๒) สัจจาธิษฐาน
สัจจาธิษฐานเป็นคำสนธิระหว่าง ‘สัจจะ’ และ ‘อธิษฐาน’
หมายถึงการเอาความจริงเป็นที่ตั้งในการอธิษฐานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เกมกรรมจะให้โอกาสตรงนี้ คือถ้าคุณอ้างถึงความจริงใดๆ
ก็สามารถใช้อธิษฐานขออะไรได้ตามขอบเขตที่ไม่เกินตัว ไม่เกินบุญ
หลังกราบพระ ขณะแห่งความอ่อนโยนและรู้สึกสว่างกระจ่างออกมาจากภายในนั้น
เป็นสภาวะของจิตที่เป็นกุศล
ตัวบุญที่เกิดขึ้นอาจมาในรูปของความรู้สึกอบอุ่นที่ห่อหุ้มกายให้สบายพอดี
ยิ่งกราบด้วยอาการนอบน้อมบ่อยเท่าไร
ใจคุณจะสัมผัสถึงความอบอุ่นนั้นชัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกราบครบเดือน
ก็ลองเปล่งวาจาต่อหน้าพระปฏิมา อาศัยความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นตัวตั้ง เช่น
ข้าพเจ้ามีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆจากการกราบไหว้พระปฏิมาอย่างถูกต้อง
ขอความจริงนี้จงทำให้ความฟุ้งซ่านลดลง (หรือให้เป็นคนขี้โมโหน้อยลง
หรืออะไรก็ได้ที่เคยเป็นความเสียหายทางจิต)
จากนั้นขอให้คอยสังเกตดูว่าจะเกิดปรากฏการณ์ใดขึ้นกับจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของคุณ
ตลอดจนเหตุการณ์ภายนอกที่จะเข้ามาส่งเสริมสนับสนุน
คุณจะพบกับความมหัศจรรย์อย่างรวดเร็ว
และคงเส้นคงวาตราบเท่าที่ยังสามารถกราบพระปฏิมาด้วยความเคารพ
และอธิษฐานซ้ำๆอยู่เช่นนั้นทุกเมื่อเชื่อวัน
ขอให้จำไว้ว่าการอธิษฐานที่ได้ผลที่สุดมักเป็นการอธิษฐานขอให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งทางใจ
ไม่ใช่ขอให้เกิดผลทางกาย ถ้ากราบพระหวังรวยทางลัด ขอให้ถูกหวย
ขอให้รวยชั่วข้ามเดือน คุณอาจไม่พบผลใดๆเลย นั่นเพราะคุณสร้างผลไม่ตรงกับเหตุ
ถ้าอยากรวยต้องฉลาดทำงานหาเงิน ไม่ใช่กราบพระขอพร แต่ถ้ากราบพระหวังพัฒนาจิตใจ
คุณจะสมหวังทันใจ เพราะสร้างเหตุไว้ตรงกับผล
เมื่ออ่อนโยนรับกระแสศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่จิตได้
จิตที่ศักดิ์สิทธิ์ย่อมพัฒนาไปแค่ไหนก็ได้เช่นกัน
การฝึกตั้งสัจจาธิษฐานนั้น จะทำให้จิตใจคุณมั่นคง
และถ้าผลบังเกิดตามคำอธิษฐาน ก็จะเป็นชนวนให้เกิดปีติยิ่งใหญ่
เชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้า คุณคิดดูว่าถ้าจิตสะอาดขึ้น ตั้งมั่นในกุศลมากขึ้น
เปิดรับเรื่องดีๆทั้งนอกกายและภายในใจมากขึ้น
จะเป็นเหตุบันดาลความสว่างความรุ่งเรืองได้ใหญ่หลวงปานใด
นอกจากนั้น
จากความจริงที่คุณประจักษ์ก็จะทำให้ตระหนักว่าการอธิษฐานมีจริงได้หลายแบบ
หากอธิษฐานโดยอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกตัว แนวโน้มคือจะไม่พึ่งพาตัวเอง
แต่ทำให้อ่อนแอหวังพึ่งพาคนอื่น ซึ่งก็มีคนอื่นให้พึ่งอยู่จริงๆ
มีพลังยิ่งใหญ่อันเกิดจากการบำเพ็ญคุณงามความดีของพวกท่านอยู่จริงๆ
เมื่ออธิษฐานแล้วได้ผลบ้างเล็กๆน้อยๆ คุณจะเริ่มเชื่อแบบงมงาย
ว่าท่านต้องช่วยได้ทุกเรื่อง พอช่วยไม่ได้ทุกเรื่องก็น้อยใจ
เห็นท่านไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง แล้วคิดทิ้งไปหาศาสดาอื่นแทน
๓) เปลี่ยนนิสัยที่เสียที่สุด
กฎของเกมกรรมประการหนึ่ง คือมีนิสัยเสียใดติดตัว
ก็จะนำบุคคลหรือเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับนิสัยนั้นมาเข้าตัว
ทุกคนมีนิสัยเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งก็แปลว่าเส้นทางชีวิตจะต้องเผชิญกับผลเสียของนิสัยนั้นๆเสมอ
ลองคิดดูว่าถ้าคุณเปลี่ยนนิสัยที่เสียที่สุดได้ เส้นทางชีวิตจะหักเหสักปานใด คุณจะรู้จักโบนัสของเกมกรรมอย่างแท้จริงก็เมื่อสามารถทำได้สำเร็จในข้อนี้
เพราะกฎข้อหนึ่งของเกมคือเมื่อกำจัดอุปสรรคยากได้ คะแนนจะยิ่งมาก
ผลลัพธ์จะยิ่งรวดเร็วทันตา
พฤติกรรมและนิสัยทั้งหมดมีรากมาจากความคิด
ฉะนั้นเมื่อปลงใจเลือกนิสัยเสียๆเช่นชอบด่าคน ก็ขอให้เฝ้าสังเกตความคิด
เวลาคิดอยากด่าคนขึ้นมา ให้รู้ว่านั่นไม่ดี ตั้งใจว่าไม่เอา แค่นั้นพอ
อย่าไปกลัดกลุ้มหาทางขับไล่ ขณะเดียวกันก็ไม่หลงตามกิเลสตัวเอง
สติรู้ทันแบบไม่ถอยและไม่สู้ เพียงดูอยู่เฉยๆนั้นเอง
นานไปจะเป็นสติชนิดตั้งมั่นแข็งแรง ทำให้จิตฉลาด และเห็นนิสัยเสียๆเหือดแห้งไปจากจิตเองดุจพยับแดดที่ไม่เคยมีอยู่จริง
เหมือนทุกเกมในโลก คุณไม่ได้มีเวลาเล่นมากนัก
คิดเสียว่าคุณเลือกนิสัยเสียที่สุดขึ้นมาเอาไว้แข่งกับความตาย
ก่อนตายคุณอยากเปลี่ยนให้ได้
เพราะถ้าเปลี่ยนได้ก็เท่ากับใช้ชีวิตมนุษย์นี้เป็นเดิมพันในการหักเหเส้นทางทั้งหมด
สำหรับบางคน
ต้องยอมรับว่าการชะล้างความคิดเสียๆไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม
แม้ความคิดไม่ดีอาจวนเวียนอยู่ในหัวคุณไปอีกสิบปี
แต่ตลอดสิบปีนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์เพียงเพราะการมีความคิดที่ห้ามไม่ได้นั้น
แค่คุณไม่ยินดีกับมัน ไม่ใส่ใจมัน ไม่เหนื่อยฝืนต้านมัน เดี๋ยวมันก็หายไปเอง
เพราะในขอบเขตของเกมกรรม
จะไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้อย่างถาวรโดยปราศจากอาหารหล่อเลี้ยง
และสำหรับความคิดไม่ดีทุกชนิดนั้น อาหารก็คือความยินดี ความใส่ใจ
และกระทั่งการออกแรงต้านบ่อยๆนั่นเอง
หากกำจัดนิสัยเสียได้สักข้อ คุณจะใจชื้น และเพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองเพิ่มขึ้นอีก
ให้รุกคืบต่อไป ขอให้เลือกนิสัยเสียอื่นๆมาฟอกอีก แล้วคุณจะพบความจริง
ว่าเมื่อนิสัยร้ายๆของคุณเปลี่ยนไปแต่ละอย่างนั้น
ชะตาร้ายๆจะค่อยๆหายไปด้วยทีละอย่างสองอย่าง หรือหลายอย่างพร้อมกันในคราวเดียว
อย่าหวังว่าคุณจะดีอย่างสมบูรณแบบในเวลาอันสั้น
แต่จงหวังว่าคุณจะดีขึ้นทีละข้อแบบไม่ต้องรอนาน
แล้วคุณจะเห็นเองว่าเกิดอะไรขึ้นจริงได้บ้าง
ผลพวงของความสำเร็จในการเปลี่ยนนิสัยนั้นมีมาก
แต่ที่น่าสนใจคงเป็นเรื่องของเสน่ห์ หลังจากคุณเปลี่ยนนิสัยบางอย่างสำเร็จ
เสน่ห์จะเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด เพราะคนเราชอบความเชื่อมั่น ความคมคาย
และการเปลี่ยนแปลงจากร้ายเป็นดีทันตาเห็น พลังของผู้ชนะมีแรงดึงดูดตาดึงดูดใจเสมอ
คุณนิยมภาพการปรากฏตัวของผู้ชนะในเกมกีฬาอย่างไร
ก็จะนิยมภาพการปรากฏตัวของผู้ชนะในเกมเปลี่ยนนิสัยอย่างนั้น
๔) วิชาดูดบุญ
บุญนั้นเหมือนแสงสว่างของเปลวเทียน
ขอเพียงมีเทียนไปรับต่อเปลวไฟ แสงสว่างก็เพิ่มขึ้นได้ไม่จำกัด
หลักการทำบุญด้วยวิธีอนุโมทนานั้น
ก็คือมีใจยินดีร่วมกับบุญของผู้อื่น
ใจที่ยินดีในบุญนั่นแหละคือแม่เหล็กดึงดูดบุญเข้าหาตัว
ถ้ามีความเข้าใจในกิริยาและค่าของวัตถุอันเป็นตัวบุญของคนอื่น อีกทั้งร่วมปลื้มไปกับเขา
คือใจประกอบด้วยโสมนัส ชุ่มชื่นเบิกบานอย่างแท้จริง
ก็เรียกว่าได้ส่วนบุญนั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยในฝ่ายเราแล้ว ส่วนจะได้เท่าเขาหรือไม่
ก็ขึ้นอยู่กับว่าใจเรา ‘เต็มที่’ อย่างเขาหรือเปล่า วัดง่ายๆ
คือคิดอยากทำให้เท่าเขาด้วยตัวเราเองไหม หรืออย่างน้อยอยากทุ่มแรงกายแรงใจกับกำลังทรัพย์ร่วมไปกับเขาไหม
การอนุโมทนาบุญเต็มรูปแบบ คือใจยินดีมีโสมนัสนำ
กับทั้งมีแก่ใจใช้แก้วเสียงเปล่งวาจาให้ผู้อื่นรับรู้ว่าจิตเราเป็นกุศลร่วมกับเขาด้วย
ยิ่งธรรมเนียมคนไทยมีการพนมมือไหว้ตัวบุญ
ถ้าอ่อนช้อยน้อมจิตตนจิตท่านให้เจริญในภาพเย็นตาเย็นใจเสริมเข้าไปอีก
ก็เรียกว่าได้ทั้งกุศลจากมโนกรรม วจีกรรม รวมทั้งกายกรรมครบสูตร
คุณจะเป็นนักอนุโมทนาตัวยงในเร็ววันด้วยอาการครบพร้อมดังกล่าวนั้น
ผลของการแสดงออกทางวจีกรรมและกายกรรม
จะทำให้เป็นผู้อาจหาญในการประกาศบุญมากกว่าเก็บเงียบ
สุ้มเสียงของคุณจะน่าฟังสำหรับเจ้าของบุญ มีส่วนทำให้เกิดความรื่นเริงบันเทิงใจ
กระชับมิตรกัน และเป็นการปรับจิตให้ตรงกันยิ่งๆขึ้นไป
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผลข้างเคียงในทางบวกที่ควรพึงใจแบบโลกๆ
กล่าวคือถ้าถึงเวลาให้ผลของบุญนั้นแล้ว
หากเหล่าเจ้าของบุญได้โคจรมาทำกิจการหรือธุรกิจร่วมกัน เป็นหุ้นส่วนกัน
ผลกำไรก็จะเบ่งบานอย่างรวดเร็วน่าอัศจรรย์
ทั้งที่เมื่อจับคู่เข้าหุ้นกับผู้อื่นก็ไม่เห็นออกดอกออกผลเช่นนั้นเลย
อย่างไรก็ตาม คุณจะอนุโมทนาไม่เป็น ถ้าทำบุญไม่เป็น
ไม่รู้จักปีติโสมนัสอันเกิดจากบุญ พูดง่ายๆคุณต้องมีทุนเดิมอยู่ก่อนระดับหนึ่ง
จิตจึงจะมีความสามารถรับรู้ เข้าใจ และเข้าถึงบุญคนอื่นแบบเต็มๆ
แต่ฝึกอนุโมทนาไว้ก็ไม่เสียหลาย
คิดเสียว่าของฟรีดีกว่าทิ้งเปล่า อย่างน้อยที่สุดคุณประกันตัวเองว่าไม่นึกดูถูก
ไม่นึกอิจฉา ตลอดจนไม่นึกขัดขวางทางบุญของใคร
๕) ธรรมทาน
เกมกรรมเปิดโอกาสให้คุณทำทานเอาบุญได้หลายแบบ เช่น
- ทานคือทรัพย์ หมายถึงบริจาคทรัพย์ส่วนเกินเป็นประโยชน์แก่ผู้สมควรจะได้รับ
- ทานคืออภัย
หมายถึงสละความผูกใจพยาบาทเพื่อตัดเวรระหว่างคุณกับคู่เวร
- ทานคือเวลา หมายถึงสละเวลาให้ความอบอุ่นใจแก่ผู้เหงาหงอย
- ทานคือแรงงาน
หมายถึงสละแรงงานช่วยเหลือผู้ต้องการทำกิจที่ต้องลงแรง
- ทานคืออวัยวะ หมายถึงสละเลือด
หรือบริจาคอวัยวะใดๆในศพของคุณให้เป็นประโยชน์แก่ผู้รอคอย
- ทานคือคำแนะนำ หมายถึงการชี้ทางออก
หรือใช้สมองช่วยคิดแก้ปัญหาที่ผู้อื่นคิดไม่ตก
- ทานคือความรู้
หมายถึงเนื้อหาเชิงวิชาการหรือศาสตร์อันทำให้ประกอบอาชีพเอาตัวรอดได้
- ทานคือธรรมะ
หมายถึงความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัจจะ
ทั้งเรื่องของกรรมวิบากและวิธีแก้ทุกข์
ในบรรดาทานทั้งปวง ทานคือธรรมะชนะหมด
คือคุณให้อะไรก็ไม่เท่าให้ธรรมะ เนื่องจากธรรมะคือความจริง
เมื่อคนรู้ความจริงก็หูตาสว่าง รอดจากนรก รอดจากความเป็นเดรัจฉาน
รอดจากความเป็นเปรต กับทั้งสามารถแสวงสวรรค์นิพพานตามอัธยาศัยและกำลังใจ
หากคุณให้ธรรมทานที่ถูกต้องตรงจริง
และเป็นความจริงที่สามารถเปลี่ยนชีวิตผู้รับให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
คุณจะรู้สึกสว่างทั่ว และเกิดเรื่องดีๆมากมายตามมาอย่างรวดเร็ว
ชีวิตคนๆหนึ่งที่เปลี่ยนไปด้วยธรรมะ
จะสะท้อนกลับมาเป็นแรงส่งให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปในทุกๆด้านอย่างเป็นธรรมเช่นกัน
ธรรมทานอาจเป็นการพูดชักชวน โน้มน้าว
หรือชี้ทางสว่างให้แก่ผู้หลงติดอยู่ในวังวนทุกข์แบบของเขาโดยตรง
แต่ก็อาจใช้วิธีมอบสื่อธรรมะอื่นๆ เช่นปัจจุบันมีทั้งเทป ซีดี และหนังสือให้เลือกมากมาย
หากเป็นสื่อธรรมะที่คุณใช้กับตัวเองได้ผลแล้ว
คุณมีความอิ่มใจและอยากมอบให้ใครๆแล้ว ก็จะปรุงแต่งจิตให้เกิดโสมนัสแรงได้
เพื่อประกันว่าคุณไม่ได้ให้ธรรมทานแบบด้นเดา
ควรศึกษาหาความรู้จากพระพุทธเจ้าให้ดี คำสอนที่น่าเชื่อถือที่สุดว่าเป็นของพระพุทธเจ้าบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
และหากคุณพบว่าพระไตรปิฎกฉบับเต็มมีความหนาเกินกำลัง
ก็ลองหาอ่านพระไตรปิฎกฉบับย่อของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพดูได้
นิสัยช่างสังเกตความจริงทางจิต
องค์ประกอบที่สำคัญของความฉลาดมีอยู่หลายประการ
ในหัวข้อนี้จะยกมา ๒ ประการ หนึ่งคือมีสติเท่าทันตามจริง
สองคือความช่างสังเกตเปรียบเทียบ
หากคุณมีสติและช่างสังเกตตัวเลข ในที่สุดคุณจะฉลาดเรื่องเลข
ทำนองเดียวกัน หากคุณมีสติและช่างสังเกตเข้ามาที่จิตและกรรม
ในที่สุดคุณจะฉลาดเรื่องจิตและกรรม คือทำอะไรแล้วจิตได้รับผลเดี๋ยวนั้นอย่างไร
เพื่อเป็นแนวทางสังเกตง่ายๆเบื้องต้น
ขอให้ถือตามแนวของทานและศีลก่อน ดังนี้
๑) เมื่อคิดสละทรัพย์หรือสิ่งของอันเป็นส่วนเกินให้ผู้อื่น
สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น จะพบว่าใจเบาลง
นั่นเพราะอำนาจของทรัพยทานไปละลายก้อนตระหนี่เหนียวๆกลางหัวอกลงเสียได้
๒) เมื่อคิดสละความพยาบาท ให้อภัยผู้อื่นที่เขาทำผิดกับเรา
หรือผูกเวรกับเราได้ สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น
จะพบว่ามีความโปร่งโล่งเยือกเย็น
นั่นเพราะอำนาจของอภัยทานไปดับไฟโกรธร้อนๆกลางหัวอกเสียได้
๓) เมื่อยับยั้งใจ
ไม่ฆ่าแม้สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ทำความรำคาญแก่เรา เช่นแทนการฆ่ามดที่ขึ้นจานชามด้วยวิธีเอาน้ำล่างง่ายๆ
แต่เป่าหรือเคาะไล่เสียก่อน สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น
จะพบว่าแต่ละวินาทีของความพยายามไล่จะไม่สูญเปล่า
คุณจะเห็นความเมตตาที่ค่อยๆเอ่อขึ้น เห็นกระแสต้านทานความคิดในเชิงฆ่าสัตว์
หรืออีกนัยหนึ่งเห็นภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๔) เมื่อระงับความโลภ ไม่ขโมย ไม่โกง
ไม่พูดฉ้อฉลเพื่อนำสิ่งที่ไม่ใช่สิทธิ์ของคุณมาครอบครอง
สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น จะพบว่ามโนภาพหน้าตาโกงๆของคุณเหือดหายไป
แทนที่ด้วยใจที่ใสซื่อตรงไปตรงมา เมื่อเปลี่ยนนิสัยขี้โกงเป็นนิสัยซื่อได้ถาวร
ลองส่องกระจกแล้วถามตัวเองว่ากรรมตกแต่งหน้าตาได้จริงไหม
จากคนขี้โลภมาเป็นคนชนะความโลภผิดๆได้ ทุกอย่างดูดีขึ้นหรือเปล่า
๕) เมื่อห้ามราคะผิดๆ ไม่คิดคบชู้
ไม่คิดเอาลูกสาวที่ยังมีพ่อแม่เลี้ยงดูมาทำมิดีมิร้าย
ตลอดจนกระทั่งหักห้ามใจไม่แตะต้องหญิงซึ่งมิใช่คู่ของคุณ สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น
จะพบว่ามีความหนักแน่น เข้มแข็ง และเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง
ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของราคะอันทรงอิทธิพลเหนือมนุษย์ธรรมดา
คุณอาจถูกประณามว่าโง่ในหมู่โลกียชนผู้เล็งเป้าไปที่ของดีๆภายนอก
แต่คุณจะภูมิใจในตนเองว่าเริ่มเป็นหนึ่งในผู้ฉลาดเล่นเกมกรรมที่เล็งเป้ากลับมายังจิตของตน
ลองเฝ้ามองเอาเองว่าการเป็นผู้กำชัยเหนือราคะได้นั้น
รสชาติเหนือกว่าชัยชนะในเกมกีฬาที่ต้องเหยียบบ่าผู้อื่นเพียงใด
๖) เมื่อหยุดคำโกหกไว้ได้แค่ที่ปลายลิ้น
ไม่ปล่อยให้มันผ่านออกไปเป็นเสียงพูดดังใจอยาก สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น
จะพบว่าจิตคุณมีความตรง เห็นทุกสิ่งตามจริง อยู่ข้างความจริง ไม่บิดเบี้ยว
ไม่เห็นทุกสิ่งพร่ามัว ไม่อยู่ข้างความเท็จ
คุณจะรู้สึกเหมือนม่านหมอกที่ปกคลุมจิตเลือนสลายหายหน มีแต่ความกระจ่างใส
อยากเห็นอะไร อยากเข้าใจอะไร จะดูเหมือนฟ้าเปิด รู้เห็นและเข้าใจจะแจ้งไปหมด
กับทั้งผ่านคนอื่นแล้วรู้ ว่าการกล่าวคำโกหกเป็นคลื่นรบกวนความจริง
เมื่อรบกวนความจริง เกมกรรมก็จะรบกวนความจริงของเขาเช่นกัน
อาจจะมาในรูปของคนใส่ไคล้ ตีไข่ใส่สี บิดเบือนภาพของเขาให้เบี้ยวบิดผิดรูปไปมาก
๗) เมื่อเก็บคำส่อเสียดที่เสียดแทงใจผู้อื่นไว้ได้
สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น จะพบว่ามีเมตตาอ่อนๆเกิดขึ้นแทนที่
หากคำเสียดแทงนั้นยังก้องอยู่ในหัวคุณ คุณอาจมีโอกาสเห็นเป็นครั้งแรก
ว่าคำเสียดแทงนั้นเหมือนเข็มแหลมๆ ยิ่งเสียดแทงเท่าไหร่ยิ่งแหลมเท่านั้น
การมีคำเสียดแทงอยู่ในจิตก็เหมือนเอาเข็มแหลมมาทิ่มตำตัวเอง
เมื่อระงับเสียได้กระทั่งในระดับความคิด คือไม่อยากแม้คิดร้ายกับใคร
จิตของคุณจะสบายขึ้น เป็นสุขกับตนเองมากขึ้นที่เห็นอาการโต้ตอบกับโลกในทางเย็น
๘) เมื่อเปลี่ยนคำหยาบเป็นคำสุภาพได้
สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น จะพบว่าแรงอัดหนักๆหายไป ความสกปรกของจิตเปลี่ยนเป็นความสะอาดแทน
เมื่อเห็นความต่างอย่างแท้จริง
คุณจะพบว่าการพ่นคำหยาบก็ไม่ต่างจากการเอาค้อนหนักๆทุบโป้งเข้ากลางหน้าผากตนเอง
จิตตัวเองได้รับความบอบช้ำทันทีนั้นเอง
อาการฟกช้ำดำเขียวของจิตจะมาในรูปของความมึนงงไปชั่ววูบ หรือรู้สึกคล้ายเอาม่านมืดมาคลุมหน้าทันทีทันใด
โดยเฉพาะถ้าคำหยาบนั้นเกิดจากเจตนาประทุษร้ายผู้อื่น
มิใช่คำหยาบที่เกิดจากเจตนาพูดหยอกเล่นหัวกับเพื่อน
เพียงเลิกพ่นคำหยาบพร่ำเพรื่อเสียได้ ใจคุณจะเหมือนผิวที่เปล่งปลั่ง
ไม่ฟกช้ำดังเคย
๙) เมื่อไม่พล่ามเพ้อเจ้อ หรือวิจารณ์ใครๆอย่างไร้สาระไร้เหตุผลเสียได้ทั้งที่ใจอยาก
สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น จะพบว่าคุณมีสติดีขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง
ยิ่งคุณเข้าข้างเหตุผล ยิ่งคุณพูดแต่คำที่มีประโยชน์ จะหยอกล้อเล่นหัวก็ให้พอดี
คุณจะยิ่งพบว่าสาเหตุหลักที่คนเราฟุ้งซ่านจนยากจะห้ามนั้น ก็มาจากการพูดไม่รู้จักหยุด
ขุดเรื่องคนอื่นแบบไม่รู้จักคิดนั่นเอง
ผลของการหยุดพล่ามเพ้อเจ้อจะลดพายุความฟุ้งในสมองได้กว่าครึ่ง
๑๐) เมื่อห้ามปากไม่ให้เปิดรับเหล้า หรือห้ามจมูก
ห้ามเนื้อหนังไม่ให้รับยาเสพติดสร้างความมึนเมาขาดสติใดๆ
สังเกตดูความจริงเกี่ยวกับจิตขณะนั้น จะพบว่าคุณมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
ยังครองสำนึกแบบมนุษย์คือรู้จักผิดชอบชั่วดีได้ครบถ้วน
เปรียบเทียบแล้วคุณจะเห็นถนัดว่าถ้าตายไประหว่างไม่เมา มีสติสมบูรณ์
จิตของคุณจะยังสมควรแก่ความเป็นมนุษย์อยู่ แต่หากสมองมึนชา จิตใจมัวมน
ก็จะไม่มีทางเป็นที่พึ่งของตนเอง ไม่มีทางแข็งแรงพอจะก้าวไปสู่เกมกรรมครั้งหน้าที่เสมอกันกับเกมกรรมรอบนี้ได้เลย
หากเห็นความจริงเกี่ยวกับจิตและกรรมอันเป็นปัจจุบันไประยะหนึ่ง
จุดรวบยอดคือคุณจะสามารถแยกแยะได้ว่ากรรมใดทำแล้วเป็นคุณประโยชน์ นำมาซึ่งความสุข
กรรมใดทำแล้วเป็นโทษ นำมาซึ่งความทุกข์
คุณจะจำแนกแยกแยะได้ตามจริง
ว่าแม้บางทีอาจต้องเดือดร้อนกายตอนนี้ แต่จะสบายใจในระยะยาว ก็นับว่าคุ้มกัน
คุณจะเลือกกรรมที่เป็นประโยชน์มากกว่าโทษ
หรือถึงแม้ไม่อาจละกรรมที่เป็นโทษได้เด็ดขาด จิตก็จะไม่ถลำลงไปหมกโคลนบาปทั้งดวง
จากนั้นคุณจะมีความสามารถสังเกตสังกาความจริงได้ละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นทั้งเหตุผลที่สุข เหตุผลที่ทุกข์ เหตุผลที่สงบ เหตุผลที่ฟุ้งซ่าน
เหล่านี้จะทำให้คุณเข้าใจว่ากรรมแต่ละอย่างทำแล้วให้ผลกับจิตใจเสมอ
นานไปคุณจะเห็นเหมือนจิตใจแบบต่างๆมีแรงดึงดูดเหตุการณ์เฉพาะตัว
กล่าวคือถ้าจิตสว่าง ก็จะดึงดูดเหตุการณ์ดีๆเข้ามา แต่ถ้าจิตมืด
ก็จะดึงดูดเหตุการณ์ร้ายๆไม่เลิก
และนั่นเองจะทำให้คุณเริ่มเชื่อว่ากฎของเกมกรรมมีอยู่จริง
คุณจะไม่เชื่อเพียงเพราะฟังใครอีกต่อไป
เพราะใจเห็นประจักษ์ด้วยตนเองอย่างถ่องแท้เสียแล้ว
พฤติกรรมทางจิตของคุณจะแปลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
คุณจะสังเกตได้ละเอียดกระทั่งจิตที่คิดทำร้ายเพียงนิดเดียวแม้ด้วยคำพูดประชดเล็กๆ
ยิ่งหากพลั้งปากหลุดคำกระทบกระแทกใจใครก็อาจรู้สึกผิดได้มาก
แต่ถ้าระงับทันก็จะเป็นสุข และเหมือนได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกขั้น
และที่สุดคุณจะรู้สึกเหมือนดั้งเดิมนั้น ในหัวเต็มไปด้วยปฏิกูลและสิ่งอุดตัน
จำเป็นต้องทะลวงผ่านด่านอุดตันไปทีละเปลาะ
การให้ทานและการรักษาศีลทีละข้อเท่าที่ทำได้ คือการเคาะ
การเจาะทะลวงสิ่งอุดตันที่ว่านั้น
บทต่อๆไปจะแสดงให้คุณเห็นว่าความยากที่สุดของเกมกรรมไม่ใช่เล่นอย่างไรให้ดี
แต่เล่นอย่างไรจึงยุติเกมเสียได้
อ่านต่อบทที่ ๙ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น