ตอนที่
๔๑. ชนะกรรม
“เป็นไง? ไม่มาเสียเกือบสามเดือน”
อุปการะทักมาจากเบื้องหลัง
ขณะที่ลานดาวกำลังช่วยกันกับเด็กคนใช้จัดข้าวของเข้าตู้เย็นและชั้นวางต่างๆ
เดี๋ยวนี้หล่อนมาครั้งใดจะหอบหิ้วข้าวปลาอาหาร น้ำผลไม้ วิตามิน
และอื่นๆเต็มคันรถมาฝากห้องครัวบ้านอาจารย์ของหล่อนเสมอ
หญิงสาวชะงักมือ หันมายอบกายพนมมือไหว้
“สวัสดีค่ะอาจารย์
พักนี้ยุ่งเรื่องรายการใหม่กับหนังสือใหม่จนไม่เป็นทำอะไรเลยค่ะ
อาทิตย์หน้าหวุดหวิดจะติดคิวต่างจังหวัด
เกือบไม่ได้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวของพี่เอินด้วยซ้ำ… อาจารย์สบายดีนะคะ?”
“ก็พอใช้”
“แล้วอาทิตย์หน้าจะได้เจออาจารย์ที่งานพี่เอินหรือเปล่าเอ่ย?”
อุปการะพยักหน้า
“ได้… ไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถอะ ปล่อยให้ส้มเขาจัดการไป”
ลานดาวยิ้มแป้น
เดินตามอาจารย์ต้อยๆไปที่ห้องรับแขกตามคำสั่ง
เมื่อมาถึงก็นำอุปกรณ์บันทึกเสียงชนิดแฟลชไดรฟ์วางไว้บนโต๊ะกลางแล้วกดปุ่ม
ด้วยความตั้งใจแต่แรกว่าจะมาขอข้อมูล
“จ๊ะกำลังจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ค่ะ
ต้องขอรบกวนอาจารย์อีกครั้ง”
“เหรอ… คราวนี้เกี่ยวกับอะไร ตั้งชื่อหนังสือว่ายังไงล่ะ?”
“คิดว่าคงเป็นชื่อ ‘ลานกรรมระบำดาว’ ค่ะ
เอาชื่อจ๊ะไปมีเอี่ยวด้วยหน่อย
เล่มนี้จะอยู่บนแนวคิดที่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลกับเส้นทางและเหตุการณ์ในชีวิตคนจริงๆ
แต่เนื้อหาทั้งหมดจะโยงให้เกิดความเข้าใจว่าทำอย่างไรจึงมาเกิดใต้อิทธิพลของดาวดวงไหน”
อุปการะยิ้มอย่างเข้าใจแนวคิดของลูกศิษย์สาว
“ฟังดูดีเหมือนกัน
คนส่วนใหญ่ฟังเรื่องกรรมแล้วรู้สึกว่าเข้าใจยาก แม้หลายคนเชื่อเรื่องกรรมก็ไม่จุใจ
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พืชที่ตนหว่านไปจะให้ผล
คนเลยอยากฟังเรื่องอิทธิพลของดวงดาวมากกว่า
เพราะถ้าตำราไหนแม่นๆก็บอกเลยว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่จะเจออย่างนั้นอย่างนี้
เขาไม่อยากทราบสาเหตุหรอกว่าทำไมตัวเองถึงตกมาอยู่ใต้อิทธิพลของดาวไหน
อยากรู้แค่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเองแน่ๆเท่านั้น
หนูเอาเรื่องกรรมกับโหราศาสตร์มาเชื่อมกันก็ดี ว่าแต่จะให้ผมช่วยยังไงล่ะ?”
“ขอเล่าแนวทางคร่าวๆก่อนนะคะ จ๊ะได้ไอเดียจากที่อาจารย์เคยพยากรณ์จ๊ะผ่านผังกรรม
เช่นเส้นทางหลักจะต้องได้เป็นดารานักร้องระดับโลกเพราะบุญเก่าหลายๆอย่างประกอบกัน
แต่บนเส้นทางดาราก็จะต้องเจอะเจอความผิดหวังเสียใจ
เพื่อชดใช้ความผิดที่ทำไว้กับหนุ่มๆ
รวมกับธรรมชาติของเส้นทางดาราที่ต้องวุ่นวายกับราคะ ชักนำให้ใครต่อใครเกิดราคะ
ผลเลยต้องเสวยวิบากไม่ดีเกี่ยวกับราคะเข้าด้วยตนเองบ้าง”
อุปการะผงกศีรษะ
“อือม์”
“จ๊ะสนใจเส้นทางหลักของชีวิต
เพราะเห็นว่าเราดิ้นหนีจากความเป็นตัวเองไม่ได้
เหมือนมีบางสิ่งรุนหลังบังคับให้ต้องดุ่มเดินไปตามทาง พูดให้ง่ายคือกรรมเก่าสร้างทางไว้ให้เดิน
อย่างไรก็ต้องเดิน แต่ระหว่างเดินก็มีสิทธิ์ทำอะไรให้ดีขึ้นได้เหมือนกัน…
นี่คือแนวคิดหลักๆค่ะ ขอถามก่อน อาจารย์เห็นว่าจ๊ะมองอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ผู้เป็นอาจารย์กอดอกด้วยท่าทีของผู้มีความสุขุมเป็นนิตย์
“กรรมเก่าจากอดีตชาติขุดทางให้เราเดินในชาติปัจจุบัน
แต่ถ้ากรรมปัจจุบันมีพลังเหนือกว่าที่ทำไว้ในอดีตชาติอย่างชัดเจน
ก็อาจยกระดับให้เดินสูงขึ้นได้ หรือกระทั่งฉีกทางแยกเป็นตั้งฉากเลยก็ยังไหว
หนึ่งชีวิตของมนุษย์เรามีศักยภาพได้ขนาดนั้น”
ลานดาวไหล่ตก ท่าทีเซื่องลงคล้ายนางม้าป่าที่ถูกกระหนาบจนหมดพยศอย่างสิ้นเชิง
“ตอนฮึดสู้อย่างคนที่แสวงหาความรักแทบพลิกแผ่นดิน
จ๊ะก็ไฟแรงจะเอาให้ได้อย่างนั้นแหละค่ะ แต่พอชีวิตปรากฏอยู่ตรงหน้าจริงๆ
ลองได้เพียรสู้ ลองพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีทางตัวเอง
ลองพยายามแม้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ถึงเห็นว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่เกินฤทธิ์กรรมเก่าๆของตัวเอง”
อุปการะหัวเราะแผ่ว มองลานดาวด้วยสายตาแบบหนึ่ง
ไม่เจือด้วยความหมั่นไส้เหมือนแต่ก่อน
เพราะอย่างน้อยหล่อนก็เพียรสร้างสมความดีจนสมควรแก่การยกย่อง
ไม่เอาแต่ยื่นหน้าอวดดี เห่อเหิมในบุญญาธิการท่าเดียวดังเคย
“หนูอยากได้คนรักไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ก็ได้แล้วนี่
ที่ผ่านมาก็ไม่เคยขาดด้วย”
หญิงสาวยิ้มซึมกว่าเดิมคล้ายถูกจี้ตรงจุด
“ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของอาจารย์ต่างหากล่ะคะ
พี่แตรเกือบใช่ แต่ในที่สุดก็ไม่ใช่ และก็จริงอย่างอาจารย์บอก
คือถ้าจ๊ะจะเอาเขาไว้จริงๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับจ๊ะจะทำให้เขาใช่หรือไม่ใช่
แต่จ๊ะล้าเองเสียก่อน ในเมื่อมองเห็นองค์ประกอบทุกอย่างถูกวางไว้แล้ว อาจารย์บอกว่าพี่แตรกับคู่แท้ของเขาเคยออกถิ่นทุรกันดารช่วยเหลือคนร่วมกันมา
จ๊ะรออยู่ว่าจะเป็นใคร
อุตส่าห์เทียวไล้เทียวขื่อไปหาพี่แตรถึงโรงพยาบาลหลายหนด้วยความระแวงว่าจะเจอเขาจู๋จี๋กับหมอสาวคนไหน
ในที่สุดก็อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง พี่เอินสุดที่รักของจ๊ะนี่แหละ! ชาตินี้เขาเป็นหมอด้วยกัน
แล้วจ๊ะก็เห็นกับตาว่าพอเป็นแฟนกัน
วันๆก็ไม่คิดทำอะไรอื่นนอกจากร่วมตะลอนไปช่วยคนแปลกหน้า…
สรุปแล้วจ๊ะไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับพี่แตรบนเส้นทางกรรมแบบเขา ถ้าเขาอยู่กับจ๊ะ
อย่างมากก็ดูหนังฟังเพลงด้วยกันตามเรื่องตามราว”
“แต่พอหนูสละเขาให้พี่สาว หนูก็ได้แฟนใหม่มาทันทีนี่
ถูกใจกว่าเดิมเสียด้วย”
“ได้มาแบบรู้ทั้งรู้ว่าในที่สุดก็ไม่ใช่อยู่ดี
อาจารย์บอกไว้แล้วว่าต้องอีกยี่สิบปีถึงจะเจอตัวจริง” ก้มหน้าตาปรอยเสียงอ่อย
“แต่ถึงจุดนี้จ๊ะก็เรียนรู้ที่จะยอมรับแล้วล่ะค่ะ พี่ณะเพิ่งขอแต่งงาน
และจ๊ะก็ตกลงรับคำไปแล้ว วันหนึ่งพี่ณะอาจเบื่อ อาจขอเลิก
หรือเขาอาจประสบชะตากรรมใดๆ ไม่ได้ร่วมทางกับจ๊ะไปจนตาย
แต่จ๊ะก็ดีใจแล้วที่มีโอกาสรู้จักเขา
ทุกอย่างใช่ไปหมดแม้กระทั่งความรู้สึกถึงรักแท้ในจินตนาการ
แม้จะยังไม่ใช่ตัวจริงของจ๊ะ จ๊ะก็เต็มใจและยินดีที่ได้อยู่กับเขาสักช่วงหนึ่ง”
อุปการะส่ายหน้าช้าๆ ริมฝีปากยังคงระบายยิ้มปรานี
“ป่านนี้ยังอ่านกรรมตัวเองไม่ขาดอีก ถือว่าไม่แน่จริงนี่”
ลานดาวย่นคิ้ว หางเสียงอาจารย์ทำให้เอะใจช้อนตาเหลือบขึ้นสบ
พอเห็นอีกฝ่ายกำลังมองมายังตนนิ่งด้วยแววชนิดหนึ่ง
ดุจบิดาร่วมปลื้มใจกับความสำเร็จของลูกสาว หล่อนก็ลุกพรวดอย่างลืมตัว
“พี่ณะเป็นคนนั้นของจ๊ะหรือคะ???”
แทบจำสุ้มเสียงของตนเองไม่ได้ เพราะทั้งตกตะลึงพรึงเพริด
ทั้งอยากได้คำตอบ ทั้งลังเลด้วยสารพัดคำถามที่โถมประดังเข้ามาพร้อมๆกัน
โหราจารย์ใหญ่นิ่งเฉย
มองตอบด้วยสายตาที่มีอำนาจปรามเยี่ยงผู้มีศักดิ์เป็นครู
ลานดาวจึงรู้สึกตัวว่าสติหลุด
อาจารย์ของหล่อนไม่ชอบให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่จนจิตเสียอย่างนี้
“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวพนมมือไหว้แล้วยอบกายลงนั่งซ้อนมือวางกับตักอย่างเรียบร้อย
เยี่ยงกุลสตรีพึงสำรวมกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์
แต่พยายามวางมือให้นิ่งอย่างไรก็สะกดความสั่นระริกไม่ลง
เพราะอยากได้คำตอบอันเปรียบประดุจคำพิพากษาจนใจแทบขาดอยู่แล้ว
“ถ้าใช่ก็ควรมีเหตุผลที่สมควรให้ใช่จริงไหม?”
“ค่ะ”
ลานดาวบีบมือตอบไม่เต็มเสียง
อุปการะเอ่ยเนิบนาบเยี่ยงผู้ที่ยากจะมีสิ่งใดมาทำให้ใจกระเพื่อม
“จำไว้เถอะ สิ่งที่เราสร้าง สิ่งที่เราทำ
อาจเบี่ยงเบนแม้คำพยากรณ์ของหมอดูที่แม่นที่สุดในโลกได้! ไหนลองวินิจฉัยตัวเองซิ
ที่ผ่านมาเราทำอะไรเข้าท่าพอจะคัดท้ายเรือชีวิตให้หันเหไปจากเดิมบ้าง
ตอบให้เหมือนกับคนอื่นถามแล้วเราต้องทำหน้าที่ตอบเขาน่ะ”
ลานดาวบีบมือเข้าหากันแน่น
สีหน้าสดชื่นราวกับดอกไม้ได้รับน้ำและแสงแดดจนบานสะพรั่ง ทั้งดีใจ ทั้งฉงนฉงาย
และทั้งตื่นเต้นกับความจริงในชีวิตที่พลิกไปพลิกมาราวกับฝันสนุก
“จากคำทำนายของอาจารย์
ถ้าเป็นไปตามผังกรรมและธรรมชาติวิสัยเดิมๆ
ป่านนี้จ๊ะน่าจะเป็นนักร้องดังระดับประเทศ และรอคิวต่อยอดเป็นคนดังระดับโลกในสองสามปีข้างหน้าด้วยบุญเก่าหลายๆอย่าง
และจะเป็นดาวค้างฟ้าไปถึงยี่สิบปี
ซึ่งก็พอดีเวลากับที่จะพบคู่แท้เมื่ออายุใกล้สี่สิบ อ้อ!…
อาจารย์ยังทำนายด้วยว่าเพราะวิถีทางที่ทำประโยชน์ให้กับวงกว้าง
จะเป็นตัวจูงให้ได้พบกับคนที่ใช่”
พักกะพริบตาถี่ๆ
นึกทบทวนคำพยากรณ์ของผู้อาวุโสแล้วปะติดปะต่อได้ภาพรวมอย่างรวดเร็ว
แล้วขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ก่อนกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น
“แต่เพราะจ๊ะสละทางที่เดินง่าย หันมาเลือกทางที่ยากขึ้น
กับทั้งทำประโยชน์กับวงกว้างตั้งแต่แรก เลยยืนเป็นเป้าให้บุคคลประเภทเดียวกันสนใจ
ซึ่งก็คือพี่ณะใช่ไหมคะ??”
ท้ายประโยคยิงคำถามด้วยใจระทึกเป็นล้นพ้น
แล้วก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวงเมื่ออุปการะผงกศีรษะช้าๆเป็นการรับรอง
ลานดาวพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
สะอื้นออกมาฮักหนึ่งเหมือนหัวเราะและร้องไห้พร้อมกัน หล่อนยกสองมือปิดหน้า
เหลือเพียงแนวตาฉายแววสำนึกคุณจับจ้องบุรุษผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เขาทำให้หล่อนไม่ต้องเสียเวลาไปครึ่งชีวิตก่อนได้รางวัลอันเป็นยอดปรารถนาไว้ในมือ
เป็นครู่กว่าความสะเทือนแรงในหัวอกจะลดระดับลง
ลานดาวพนมมือน้อมศีรษะเคารพอุปการะด้วยความรู้สึกลึกซึ้งยิ่ง
“ขอบพระคุณนะคะอาจารย์”
“ซื่อสัตย์กับเขาเถอะ
หนูจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์อะไรดีๆทิ้งไว้ในโลกได้อีกมาก
เหมือนอย่างที่เคยช่วยกันสร้างช่วยกันทำมาแล้วหลายชาติหลายสมัย”
“ค่ะ”
ลานดาวบอกตนเองว่าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘คู่บุญ’ และ
‘คู่บารมี’ ก็คราวนี้เอง ถ้าเป็นคู่แท้ที่เคยร่วมบุญร่วมบารมีกันมาก่อน
ก็มิใช่ว่าจะต้องด่วนเจอทันใจเสมอไป
แต่อาจรอจังหวะเหมาะสมที่เมื่อพบกันแล้วต่างอยู่ในภาวะพร้อมจะร่วมทางกุศลดังเดิมอีกด้วย
“พี่ณะกับจ๊ะจะได้พบกันทุกชาติหรือเปล่าคะ?”
“แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศลจะดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ
คล้ายดาวแม่กับดาวบริวารนั่นแหละ ตราบใดเรายังมีใจเห็นดีเห็นงามกับกุศลผลบุญของเขา
แล้วก็ร่วมกันทำประโยชน์ให้สาธารณชนไม่เลิกรา เกิดใหม่ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกเสมอไป
เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดไปอยู่ภพต่ำ ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดขึ้นไปอยู่สูงตามลำพัง
ก็อาจคลาดกันระยะหนึ่ง”
หญิงสาวนึกไปข้างหน้าแล้ววังเวงขึ้นมาฉับพลัน
ขนาดชาตินี้เพิ่งเข้าต้นวัย แถมมีบุญอุดหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ยังเหงาแทบตายกับการรอคอยเขาอย่างไม่มีกำหนด
จะน่าห่อเหี่ยวขนาดไหนหากชาตินี้เขาไปอยู่เสียที่อื่น
ปล่อยให้หล่อนคว้าคนผิดแล้วๆเล่าๆไปจนแก่ชรา กระทั่งได้ข้อสรุปว่าคู่แท้ไม่มี
มีแต่คู่เทียมชั่วคราว
การร่อนเร่เกิดตายท่ามกลางความไม่รู้ไม่เห็นนั้น
สิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่สุดเห็นจะได้แก่ความไม่แน่นอน
ไม่อาจบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนานี่เอง
“การเกิดตาย
การเติบโตขึ้นมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี่มีเรื่องน่าร้องไห้มากจังนะคะ”
“ก็ต้องวิ่งวนกันไป จนกว่าใครจะเจอทางออกก่อนกัน”
เขาเอ่ยเรียบเนือย “ยิ่งเวลาผ่านไป หนูจะยิ่งมีโอกาสไปงานศพบ่อยขึ้น
แต่ละงานอาจทำให้มีสักแวบหนึ่งที่หนูย้อนคิดแล้วเห็นชีวิตเหมือนความฝัน
เป็นฝันที่ดำเนินเร็ว สะบัดหน้าขวับหนึ่งเห็นรั้วโรงเรียน อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วมหาวิทยาลัย
อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วที่ทำงาน
อีกขวับหนึ่งกลายเป็นรั้วเมรุที่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อเสียแล้ว
ระหว่างมีชีวิตใครเตรียมเสบียงไว้เดินทางไกลแค่ไหนเท่านั้นแหละ”
ลานดาวนึกถึงอดีตของตัวเองแล้วบังเกิดความกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง
“จ๊ะกลัวเกิดใหม่ด้วยความลืม
ลืมแล้วกลับแผลงฤทธิ์เป็นนางมารร้ายอีก ต้องเสวยกรรมชั่วที่ทำไปด้วยความไม่รู้อีก
กลัวไม่เจอกัลยาณมิตรที่ดีอย่างพี่เอินกับพี่แตร
กลัวไม่เจอคนให้แสงสว่างได้อย่างอาจารย์”
“ก็อธิษฐานเอาสิ วิธีเล่นเกมเดินทางไกลในวังวนเกิดตายนี้
คืออยากเป็นอย่างไร ให้ทำอย่างนั้นตลอดชีวิต
แล้วอธิษฐานไปเรื่อยว่าขอเป็นคนอย่างนี้ ขอมีครูอย่างนี้”
“เป็นอย่างที่กำลังเป็น… พอรู้จักกลไกการทำงานของจิตมากเข้า
บางทีจ๊ะก็สับสนอยู่เหมือนกันนะคะ
จ๊ะเห็นตัวเองคิดเป็นกุศลและอกุศลสลับกันอยู่ตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกว่าชีวิตสว่างแล้ว
บางทีก็ยังคิดชั่วๆได้อยู่
อย่างนี้จะมีอะไรเป็นตัวชี้ขาดว่าชาติหนึ่งๆเราเป็นคนดีหรือคนเลว?”
“ความละอายต่อบาปไงล่ะ
ใครทำผิดแล้วยังสำนึกก็ไม่จัดเป็นคนเลว แต่ใครทำผิดแล้วไม่สำนึกเลย
อันนั้นประกันความเลวได้ จิตจับเอาภพมืดไว้เป็นที่หมายแน่นอนแล้ว ส่วนคนดีคือพวกที่ติดใจการคิด
การพูด การทำแต่ในเรื่องน่าชื่นใจ ถ้าต้องเฉียดเข้าไปใกล้เรื่องฉ้อฉลคิดคด
หรือต้องเบียดเบียนทำร้ายใคร ก็จะสะดุ้งกลัว พยายามหนีห่างออกมา”
ลานดาวย้อนนึกไป เมื่อไม่ช้าไม่นานนี้เอง
หล่อนยังทำร้ายจิตใจคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตา ทำแล้วไม่สำนึกละอายแม้แต่น้อย
ซึ่งก็ควรแก่การเสียวไส้อยู่หรอก
ถ้าตอนอยากฆ่าตัวตายแล้วได้ตายสมอยากจริงๆป่านนี้คงโต๋เต๋อยู่แถวๆเหวนรกกระมัง
“แล้วถ้าแค่อยากทำผิดอยู่ในใจเรื่อยๆโดยปราศจากความละอาย
แต่ไม่ได้พูด ไม่ได้ลงมือทำจริงๆล่ะคะ ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่คนเลวหรือเปล่า?”
“คิดเฉยๆไม่ใช่ตัวตัดสิน เขาตัดสินกันตอนพูด ตอนลงมือทำ
แต่ก็ประมาทความคิดไม่ได้ เพราะความคิดนี่แหละต้นแหล่งดีชั่วที่แท้จริง
ตราบใดยังคิด ตราบนั้นยังมีสิทธิ์พูดออกมาจริงๆ ทำออกมาจริงๆ”
“แล้วจะจัดการกับความคิดชั่วๆในหัวยังไงดีล่ะคะ
ทุกวันนี้จ๊ะสารภาพกับอาจารย์เลย ว่ายังมีความคิดเหลวแหลกอยู่มาก บางทีก็ทรมานจัง
แต่ก่อนตอนเลวๆยังคิดน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ”
อุปการะหัวเราะหึหึ
“ความอยากหยุดคิด กับความทรมานจากการคิดเหลวแหลกนั่นแหละ
ตัวกระตุ้นสำคัญให้ยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ หนูไม่ต้องไปทำอะไร มันจะเกิดก็ให้มันเกิด
พิจารณาดูให้รู้ว่านั่นแค่คลื่นสมองซึ่งผุดกระเพื่อมขึ้นเอง
ไม่ใช่เจตนาที่ส่งออกมาจากหัวใจของเราอย่างแท้จริง”
“ถ้าคิดเลวๆแล้วไม่รู้สึกผิด
มิเข้าข่ายที่อาจารย์ว่าคิดเลวได้โดยปราศจากความละอายหรอกหรือคะ?”
“ความคิดมีอยู่สองแบบ
แบบแรกเหมือนสายลมที่พัดมาเองตอนเราเดินอยู่กลางแจ้ง เราบังคับควบคุมไม่ได้
ทำได้แค่เพียงรับรู้ว่ามันผ่านมาปะทะเราแล้วปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ ความคิดอีกแบบเหมือนลมที่เกิดจากความจงใจพัดโบกของเรา
เราสมัครใจ หรือติดใจที่จะคิดอย่างนั้น
การคิดด้วยความติดใจและจงใจนี่แหละถึงจะเป็นมโนกรรมเต็มขั้น”
ลานดาวยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจแจ่มแจ้งแทงตลอด
“สรุปคือแค่ปฏิบัติต่อความคิดเลวๆเหมือนรู้ว่ามีสายลมพัดฝุ่นทรายมาโดนตัว
แล้วก็แล้วกันไปไม่ต้องคว้ามาใส่ปากเคี้ยวต่อ อย่างนั้นใช่ไหมคะ?”
อุปการะยิ้มอย่างพึงใจในการอุปมาอุปไมยของหญิงสาว
“อือม์”
“ความสามารถในการสำนึกผิด”
ลานดาวเอียงคอช้อนตาทะแยงขึ้นบนในท่าคิด
“จ๊ะจะให้ความสำคัญกับความสำนึกผิดไว้หนึ่งบทเลย ทำเลวแล้วยังสำนึกแปลว่าไม่เลวจริง
แต่ทำเลวแล้วติดใจโดยปราศจากความสำนึกใดๆ
แปลว่าจิตเคลื่อนไปอยู่ในภพที่เป็นอบายแน่แล้ว ถูกไหมคะ?”
“ก็จัดเป็นเครื่องวัดที่ค่อนข้างแน่นอน”
“จ๊ะอยากวิเคราะห์ว่าความดีเริ่มต้นมาจากไหน”
“ครูที่ดี เพื่อนที่ดี หรือเรียกรวมๆว่า ‘กัลยาณมิตร’
นั่นแหละ รุ่งอรุณของความดีงามทั้งปวง”
“จิตชั้นสูงระดับมนุษย์จะรู้จักความดีเอาเองโดยไม่ต้องให้ใครบอกไม่ได้หรือคะ?”
“อย่าไปเรียกจิตชั้นสูงเลย คนเราเนี่ย โดยเดิมดิบๆนั้น
ครึ่งๆกลางๆระหว่างเดรัจฉานกับเทวดามากกว่า จิตมนุษย์ช่างสงสัยเคลือบแคลง
และบ่อยครั้งทึกทักเข้าข้างตัวเองมากกว่าจะรู้เห็นอะไรตามจริง แค่คำว่า ‘ความดี’
คำเดียวก็เถียงกันได้ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
แล้วหนูจะให้คนๆหนึ่งดีขึ้นมาด้วยตนเองได้อย่างไร”
“ค่ะ… คือจ๊ะกำลังวิเคราะห์ตัวเองว่ากลับใจ
เปลี่ยนจากเด็กไม่รู้คิดเป็นผู้เป็นคนขึ้นได้บ้างอย่างนี้ เริ่มต้นขึ้นที่ไหน
คำพูดของใครทลายกำแพงทิฐิของเราได้ หากเราจับจังหวะสำคัญถูก
ก็น่าจะบอกต่อเป็นสูตรสำเร็จให้คนอื่นรู้ตามได้ไม่ยาก”
“ทำนองเดียวกับที่เราไม่อาจระบุว่าวันเวลานาทีไหนเป็นตัวทำให้ร่างกายเราโตขึ้น
เราไม่อาจรู้หรอกว่าคำพูดไหนของใครทำให้เราเริ่มเป็นคนดีขึ้นมา
แค่รู้ได้แต่ว่าการอยู่ใกล้ใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเลื่อมใสในความดี
เราก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาที่คลุกคลีกับเขา”
“อย่างนี้ถ้าไม่มีโอกาสพบกัลยาณมิตรก็แย่สิคะ?”
“เมื่อยังไม่ถึงกลียุค
มนุษย์ทุกคนมีช่วงเวลาในชีวิตที่เป็นโอกาสทองทางความดีเสมอ
เพราะในหมู่คนจำนวนร้อยซึ่งเรารู้จัก หรือได้พบ หรือได้ยินได้ฟัง
ต้องมีสักคนที่เป็นแบบอย่าง เป็นแรงบันดาลใจทางความดีให้เราได้”
ลานดาวค่อยๆนึกทบทวน
บางทีเรื่องใกล้ตัวที่สุดก็มักถูกมองข้ามไปอย่างง่ายที่สุด
ความจริงพ่อแม่ของหล่อนก็เป็นแบบอย่างที่ดีในหลายๆด้าน
ครูที่สถานศึกษาตั้งแต่อนุบาลยันอุดมศึกษาก็มีหลายท่านที่งดงามน่าเคารพ
อย่างน้อยหล่อนก็โตขึ้นมาท่ามกลางบุคคลแวดล้อมจำนวนหนึ่ง
ซึ่งช่วยชี้ให้เห็นว่าความดีไม่ใช่เรื่องตลก
ไม่ใช่เรื่องของคนยอมโง่เสียเปรียบใครๆ
แต่กัลยาณมิตรก็มีอิทธิพลกับชีวิตต่างระดับกันไป
เมื่อนึกถึงผู้ที่ฉุดชีวิตหล่อนขึ้นจากหล่มของความหลงผิด
นนทกานต์ปรากฏชื่อเป็นอันดับแรก ในฐานะผู้นำทางมาพบกับครูผู้ชี้ทางถูก
รวมทั้งอยู่ข้างหล่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ไม่ฉวยโอกาสในยามที่กำลังสับสนเหมือนหลงทางซับซ้อน
เขาพูดให้ได้คิดขณะที่หล่อนแทบคิดไม่ได้
และในยุคที่มีแต่คนยุยงส่งเสริมให้ผิดศีลเอามันกันโจ๋งครึ่ม
เขาเป็นทูตแห่งความดีเตือนหล่อนให้คบกับมาวันทาอย่างถูกทำนองคลองธรรมไม่ล้ำเส้นศีลข้อกาเมฯ
หากหล่อนลืมนับเขาเป็นกัลยาณมิตร ก็คงเป็นเรื่องน่าละอายพอดู
อันดับสองคงหนีไม่พ้นมาวันทา
มาวันทาเพียงคนเดียวทำให้หล่อนเห็นชีวิตหลายแง่มุมเหลือเกิน คือเป็นทั้งหมอรักษา
ทั้งพี่สาวใจดี ทั้งครูสอนดนตรีการ ทั้งหวานใจคนแรก ทั้งผู้ทำให้หล่อนอยากลาโลกด้วยรักขม
ตลอดจนกระทั่งเป็นผู้หญิงที่มาชิงชายคนรักของหล่อนไปโดยไม่เจตนา
ยิ่งคิดยิ่งมีความรู้สึกประหลาดล้ำกับสัมพันธภาพหลายชั้นหลายเชิงระหว่างหล่อนกับมาวันทา
แต่เหนือสิ่งอื่นใด มาวันทาทำให้หล่อนเชื่อว่าโลกนี้ยังมีคนคิดรักษาศีล
ถึงแม้อยู่ในภาวะเข้าด้ายเข้าเข็ม อยากละเมิดศีลเต็มอัตราเพียงใดก็ตาม
อันดับสามคืออมฤต ผู้ชายคนแรกที่หล่อนนับเป็นแฟนตัวจริง
เขาทำให้หล่อนรู้จักตัวเองว่าจะรักใครได้
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยล้นฟ้า
ขอเพียงมีความคิดและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่พอ ยิ่งกว่านั้นอมฤตยังเป็นแรงบันดาลใจให้หล่อนคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาเขาไว้
และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือมีน้ำใจเสียสละยิ่งใหญ่
คือยอมแม้กระทั่งเสียสละเขาให้กับคนที่เหมาะสมกว่าหล่อน!
อันดับสี่คืออุปการะ
หล่อนเริ่มนับถือเขาจากความแม่นยำในการทำนาย รวมทั้งที่เขาสอนให้รู้ว่าคำทำนายไม่จำเป็นต้องแม่นยำเสมอไป
เพราะคำทำนายเพียงบอกว่าผลกรรมที่ทำไว้ในอดีตกำลังจะออกดอกออกผลอย่างไร
แต่หากมีกรรมในปัจจุบันที่ทรงน้ำหนักเพียงพอจะคานกันหรือแทรกแซงของเก่าได้แล้ว
ชะตาก็อาจถูกดัดแปลง เปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี
หรือเปลี่ยนจากช้าให้กลายเป็นเร็ว นั่นหมายความว่าอุปการะมิใช่เพียงสอนหล่อนให้เชื่อเรื่องกรรม
แต่ยังเข้าใจเหตุ เข้าใจผล
ทำให้หล่อนรู้ว่าหน้าที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การเสียดายอดีต
ไม่ได้อยู่ที่การอยากย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรๆที่ผ่านมาแล้ว
แต่อยู่ที่การเห็นค่าของปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในมือ อยู่ในการตัดสินใจว่าจะเลือกก่อกรรมอันใด
“การที่จ๊ะมีโอกาสรู้จักและคบหาสนิทกับกัลยาณมิตร
เป็นเพราะกรรมเก่าแบบไหนคะ?”
“เพราะเคยมีครูที่ดี เคยอยู่ในโอวาทของพวกท่านมาก่อน
หนูเคยมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ ได้ทำบุญกับพวกท่านและเหล่าสาวกของพวกท่าน
รวมทั้งเลื่อมใสศรัทธา
ปรารถนาจะดำรงตนอยู่ในเส้นทางธรรมอันถูกต้องและสว่างแจ้งไปเรื่อยๆตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน
ผังกรรมในชาตินี้เลยจัดสรรคนดีๆมาเป็นป้ายบอกทางมากมายโดยไม่ต้องเสาะแสวงหา”
ลานดาวรับฟังด้วยความปลื้มปีติ
“งั้นทุกครั้งที่ฟังธรรมแล้วเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเห็นแจ้งแทงกุศลธรรม
จ๊ะจะอธิษฐานซ้ำไปเรื่อยๆ
ว่าขอให้ได้เลื่อมใสและมีโอกาสใกล้ชิดผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปทุกภพทุกชาติ”
อุปการะพยักหน้า
“นั่นก็จัดเป็นการเตรียมเสบียงเดินทางไกลที่ฉลาด
การอธิษฐานซ้ำๆจะตอกย้ำให้เราอยู่ในร่องในรอยเดิม มีพลังหน่วงเหนี่ยวอย่างใหญ่
แม้จะไถลพลาดคลาดเคลื่อนออกนอกเส้นทางบ้างก็จะกลับมาได้อย่างรวดเร็ว”
“เอ… อาจารย์คะ
จ๊ะพบครูดีเพราะเคยนับถือและอยู่ในโอวาทของครูดีมาก่อน
แล้วแบบนี้ถ้าอดีตชาติใครไม่เคยมีครูดี หรือเชื่อครูผิด ชาตินี้จะทำยังไงล่ะคะ
ไม่แปลว่าเขาหมดสิทธิ์พบทางสว่างตรงทางหรอกหรือ?”
“ก็อาจเจอได้
แต่ไม่ใช่แบบจัดวางใส่พานมาประเคนเหมือนอย่างหนู กลไกในโลกมนุษย์ที่จะพาเราไปพบครูนั้น
ได้แก่เสียงร่ำลือ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่าสัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกล
หมายความว่าชื่อเสียงของท่าน คำสอนดีๆของท่าน ย่อมกระจายออกไปกว้างไกล
จากปากต่อปาก จากสื่อต่อสื่อ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรักดี อยากเงี่ยหูฟังครูคนไหน”
“แต่ครูเต็มไปหมด
แล้วก็มีชื่อเสียงร่ำลือระบือไกลกันทั้งนั้นนี่คะ มองกวาดไปเห็นคละกันมั่ว
ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาดไปเจอคนนำทางนรกเข้า”
“แต่ละคนทำกรรมมาอย่างไร
กรรมก็จะจูงไปพบครูที่สอดคล้องกับเส้นทางนั้น คนไทยจำนวนมากเคยทำบุญในร่มโพธิ์พุทธศาสนามาก่อน
ตราบใดพุทธศาสนายังไม่สาบสูญไปจากประเทศ
ตราบนั้นเด็กไทยที่เพิ่งลืมตาดูโลกก็ได้ชื่อว่ามีโอกาสเห็นประตูสวรรค์นิพพานกันอยู่
ส่วนจะเข้าทางจริงหรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใครจะขวนขวายแค่ไหน
ทุกวันนี้น้อยคนจะตระหนักว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ใครๆยังเข้าเฝ้าท่านได้
เพราะยังมีสาวกที่ซื่อสัตย์กับพระองค์ จดจำและสืบทอดคำสอนตรงๆของพระองค์อยู่อีกมาก
อีกทั้งพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ยงคงกระพัน ไม่ถูกทำลายให้สูญหายไปไหน”
“แล้วจะมีอะไรเป็นหลัก เป็นเครื่องประกันคะ ว่าศึกษาธรรมะ
ศึกษาเรื่องกรรมไปแล้วจะไม่หลงทาง?”
“ตอนยังมีม่านอกุศลบังตา
คนเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าครูคนไหนนำทางไปสว่าง ครูคนไหนนำทางไปมืด
เพราะความมืดด้วยกันย่อมยกย่องกันและกันว่าเป็นแสงสว่าง เป็นทางที่ใช่”
ลานดาวตรองแล้วครางรับเบาๆ
เพราะจำได้ว่าเมื่อหล่อนหน้ามืดตามัวด้วยความใฝ่ต่ำอยู่นั้น
แม้มาวันทาและคนรอบตัวเพียรพูดให้สำนึกอย่างไร บอกทางสว่างกันคอแทบแตกขนาดไหน
ก็ไม่อาจเจาะกำแพงแปดทิศของคุกที่ขังหล่อนไว้กับความมืดมนอนธการได้เลย
“แปลว่าถ้าเจอครูดีขณะที่ใจเรายังมืดบอด
ยังทำผิดศีลผิดธรรมอยู่เป็นนิตย์ ก็เท่ากับพลาดโอกาสทองไปใช่ไหมคะ?”
“ใช่”
“สรุปคือเราจะรู้ได้ว่าคำสอนไหนถูก ไม่โดนใครหลอกพาไปลงนรก
ก่อนอื่นต้อง ‘มีดี’ อยู่ก่อน จิตใจพร้อมจะทำตัวเป็นพานทองรองรับของสูงบ้างแล้ว?”
“ใช่”
“ว้า! อย่างนั้นก็เหมือนงูกินหางเลยสิคะอาจารย์
จะดีได้ต้องมีครูสอนถูก แต่จะนับถือครูสอนถูกได้ก็ต้องมีดีเสียก่อน”
“เกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีดีอยู่บ้างแล้ว
การที่วิญญาณจะปฏิสนธิในท้องมนุษย์ได้นั้น จิตต้องเรืองสว่างเป็นกุศล
ประเภทจิตมืดๆไม่รู้ผิดรู้ชอบนั้นเข้าท้องมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นถือว่าโดยพื้นฐานทุกคนมีดี
มีเหตุผล มีความสว่างเป็นทุนเดิมอุดหนุนอยู่ก่อน
ขอแค่ไม่ไปสร้างเรื่องร้ายๆขึ้นเป็นม่านอกุศลบังตาบังใจในระหว่างมีชีวิตเสียอย่างเดียว
เมื่อพบกัลยาณมิตรเช่นพระพุทธเจ้า เห็นท่านเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในความไม่เบียดเบียน
สอนเรื่องการไม่เบียดเบียน และจาระไนผลของการไม่เบียดเบียนได้อย่างละเอียดลออ
ก็ย่อมเกิดความเลื่อมใสนับถือและบอกต่อกับลูกหลานได้แล้ว”
ลานดาวเปิดสมุดพกจดคำว่า ‘ไม่เบียดเบียน’
ไว้เป็นไอเดียพื้นฐานของหนังสือใหม่
รวมทั้งเขียนหวัดบันทึกกิ่งก้านสาขาความคิดที่งอกเงยขึ้นฉับพลัน
คือตั้งข้อสังเกตว่าโดยพื้นฐานนั้น มนุษย์เจอใครที่สอนการไม่เบียดเบียน
ไม่เข่นฆ่าบูชายัญ ไม่สังเวยตนเซ่นสงครามกิเลส
ก็ย่อมรู้สึกแต่แรกว่าเป็นคำสอนที่ยืนพื้นอยู่บนความถูกต้อง
แต่ถ้ากรรมเก่าส่งไปอยู่ในเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดจากความเกลียดชัง ความครุ่นคิดอาฆาต
ความมุ่งมาดทำร้าย พวกเขาย่อมประสบแต่สิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์ที่บันดาลโทสะไปวันๆ
ต่อให้พวกเขามีศาสดาผู้สอนให้รักสงบ
ก็อาจอยากลักลอบดัดแปลงคำสอนเดิมให้เป็นตรงข้ามเสีย
พอร่างไอเดียในการเขียนเสร็จหญิงสาวก็ถอนใจ
“มองย้อนกลับไป
ตั้งแต่เด็กจ๊ะมีแต่เบียดเบียนชาวบ้านด้วยกาย วาจา ใจมาตลอด เพราะความทะนง
ความหลงตัว และความอยากเหนือคนอื่น
นิสัยเสียๆทำนองนี้จะติดตัวไปก่อเรื่องทุกครั้งที่เกิดใหม่เลยหรือเปล่าคะอาจารย์?”
“กรรมเก่าจะพยายามรักษาเราไว้ในเส้นทางเดิมด้วยการส่งเรามาเกิดในสิ่งแวดล้อมที่บีบให้ต้องมีพฤติกรรมเหมือนๆเดิม
แต่กิเลสตัณหาจะบีบให้เราต้องตกต่ำลงกว่าที่เคยเสมอ หนูเคยทำทานมามาก
กรรมจึงส่งให้มาเกิดในบ้านผู้มีอันจะกิน
เท่ากับเปิดโอกาสให้ทำทานได้อีกมากๆโดยไม่ต้องกังวลว่าเราเองจะหมดไหม
แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโลภะ จู่ๆเมื่อลืมตาดูโลกแล้วเห็นตนมีทรัพย์มาก
โลภะก็ดลใจให้อยากเพิ่มพูนให้ล้นๆยิ่งขึ้นไป
เพราะทุกคนจะพบตรงกันว่าทรัพย์คืออำนาจใหญ่ในโลก
เงินยิ่งมากยิ่งทำตามอำเภอใจได้มาก มีหัวมาก้มให้เหยียบมาก”
ลานดาวฟังแล้วเหม่อไป
ปีก่อนหล่อนเคยอยากลิ้มรสอำนาจวาสนาและความหรูหราของความเป็นเศรษฐีนีพันล้าน
อยากพ้นสภาพลูกสาวขี้ขอของเศรษฐีหลายร้อยล้าน
แต่ความปรารถนาจะทำมหาทานเป็นแสนเป็นล้านยังไม่เคยแวบผ่านมาในหัวสักหน
ทานบารมีเก่าในชาติก่อนส่งหล่อนมารวยจริง
แต่ทรัพย์สมบัติที่วางกองตรงหน้าก็ทำให้หล่อนงกจริงเช่นกัน
แต่จะว่าไป หล่อนก็เริ่มมีน้ำใจคิดให้โดยไม่หวังผลตอบแทนบ้างแล้ว
เริ่มจากแอบโอนเงินค่าหนังสือทั้งหมดให้กับอมฤตและมาวันทา
รวมทั้งตั้งใจว่าเร็วๆนี้ที่กำลังจะเป็นคุณนายของบริษัทนีโอเทรนด์
หล่อนจะออกรถป้ายแดงงามๆให้ครูผู้อยู่ตรงหน้าสักคันพร้อมจ้างคนขับประจำครบเสร็จ
แต่ทว่านั่นเพราะความสำนึกคุณคนมากกว่าความอยากเจือจานไปในวงกว้างโดยปราศจากเงื่อนไข
พูดง่ายๆสั้นๆคือชาตินี้หล่อนยังไม่ได้เริ่มต่อบุญเก่าในเรื่องทานจริงจังนัก
เห็นทีจะต้องเริ่มวางแผนเอานิสัยเดิมในอดีตชาติกลับมาทำบารมีต่อกันใหม่
“อีกอย่าง…” อุปการะกล่าวสืบต่อ “หนูเคยรักษาศีลมาสะอาดหมดจด
กรรมจึงส่งให้มาครองอัตภาพหมดจดงดงาม เท่ากับเปิดโอกาสให้เห็นความสวยสะอาดทางกาย
แล้วบันดาลให้คิดอ่านแต่ในทางดี มีวาจาไพเราะ
ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเป็นเครื่องประดับโลก แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโมหะ
จู่ๆพอโตขึ้นเป็นสาวแล้วเห็นหนุ่มๆมาปรนเปรอ เอาอกเอาใจพะเน้าพะนอ
ใครต่อใครยอมทุกอย่างเพียงเพื่อได้ชมโฉมเราอย่างใกล้ชิดนานๆ
ความหยิ่งทะนงก็งอกเงยขึ้น สั่งสมความหลงตัวมากขึ้น
กระทั่งอัตตาโตขึ้นจนอยากสยบโลกทั้งใบด้วยความสวยของเรา
ถึงเวลานั้นภูมิต้านทานกิเลสตัณหาของเราจะต่ำ อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ก็ต้องอาละวาดให้พินาศกันไปข้าง
ศีลธรรมจรรยาไม่ต้องไปสนแล้ว อยากได้ก็ต้องเอาให้ได้”
หญิงสาวกะพริบตาสองสามหน
คล้ายถูกปลุกให้นึกออกว่าชีวิตนี้เพิ่งทำอะไรลงไปบ้าง
“ธรรมชาติเล่นแบบนี้เองนะคะ
อนุญาตให้ขึ้นสูงเป็นเส้นตรงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องส่งแรงรบกวนมาดึงดูดให้กลับหล่นลง
แม้ไม่ถึงขนาดกลับทิศจากเหนือลงใต้ อย่างน้อยก็เบี่ยงเบนให้ต้องไปทางตะวันตก
ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ไม่ปล่อยให้ลงต่ำท่าเดียว
จะมีแรงช่วยมาหนุนให้กลับขึ้นสูงบ้าง
อย่างถ้าคนเราหน้าตาอัปลักษณ์เพราะกรรมชั่วเก่าๆแต่ปางก่อน
จิตก็อาจถูกบีบให้เจียมตัว อันเป็นเชื้อของความอ่อนน้อม
แล้วพัฒนาไปสู่ความมีใจเป็นกุศล”
“หน้าตาไม่ดีแล้วยังคิดไม่ดีต่อก็มีถมไป
แล้วแต่การสั่งสมนิสัยมากกว่า อีกอย่าง สำนึกของคนเราพร้อมจะเกิดขึ้นเสมอ
เมื่อไหร่สำนึกผิดหรือห้ามใจได้ ชาติเดียวกันนั้นก็กลับดีได้ใหม่
อย่างหนูก็ไม่ต้องไปเกิดเป็นนางยักษ์อัปลักษณ์ที่ไหนเสียก่อนกลับใจนี่”
“ถ้าไม่เจอมิตรดีและครูดี ป่านนี้ก็ยังไม่หายโง่มั้งคะ”
“ชีวิตมนุษย์ในแต่ละชาติก็อย่างนี้แหละ
จะให้ดีพร้อมมาแต่เกิดไม่ได้ ทุกคนมีคุณสมบัติอันเป็นตัวตั้ง จะยากดีมีจน
จะขี้เหร่เก๋ไก๋ แต่ละคนต้องเรียนรู้เอาว่าควรใช้คุณสมบัติที่ตนมีอยู่อย่างไรในการขุดทองทางวิญญาณ”
ลานดาวก้มหน้าก้มตาจด
พักหนึ่งก็ชะลอมือช้าลงสู่การหยุดอย่างได้คิดก่อนเขียนจบ
“ถ้ามองคนๆหนึ่งเป็นเพียงจิตวิญญาณดวงหนึ่ง
ก็เห็นเลยนะคะว่าคนเราเกิดเป็นอย่างหนึ่ง
เพื่อตายไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้หลายครั้งเหลือเกิน
สมัยเด็กจ๊ะเคยทั้งเกเรเรียนไม่เก่งและทั้งรักดีขยันขันแข็งจนเป็นที่หนึ่งของรุ่น
เคยฝันหาเจ้าชายแล้วกลายไปเป็นหญิงรักหญิงก่อนจะกลับมารักผู้ชายได้อีก
เคยเห็นแก่ตัวจนหน้าเขียวเดี๋ยวนี้เห็นใครต่อใครแล้วรู้สึกสงสารอยากช่วยไปหมด
ภพภูมิมนุษย์นี่แปรปรวนไปมาได้ซับซ้อนจังค่ะ
อยากรู้ว่าภพภูมิอื่นยอกย้อนได้อย่างนี้บ้างไหม”
“ไม่หรอก
เพราะภพอื่นส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างไร
ก็จะคงความเป็นอย่างนั้นไว้ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดชีพ
แต่เพราะภพมนุษย์มีธรรมชาติของวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรามาเป็นขั้นเป็นตอน
เริ่มจากไม่ให้รู้อะไรเลย เขยิบขึ้นสู่การลองผิดลองถูก กระทั่งพัฒนาไปสู่สภาพตกผลึกของการเชื่อและการรู้สึกนึกคิด
หนึ่งชาติของมนุษย์จึงเหมือนภพใหญ่ที่ซอยแบ่งออกเป็นภพย่อยๆได้มากมายเหลือจะนับ”
ประโยคสุดท้ายของอาจารย์สะกิดให้เกิดความสนใจ
ลานดาวจึงจดไว้เป็นไอเดีย คือภพใหญ่นั้นอาจครอบรวมเอาภพย่อยๆไว้ได้มากมาย
ขอเพียงภพใหญ่นั้นมีปัจจัยเอื้อให้เพียงพอ
จดไอเดียเสร็จก็เงยหน้าขึ้นกล่าว
“ชักรู้สึกว่าภพมนุษย์เป็นภพที่น่าสนใจแล้วซีคะ”
“ภพที่เรียนรู้ได้ แม้แต่ภพของสัตว์ฉลาด
เป็นภพที่มีความหลากหลาย
แล้วก็พัฒนาจากความเป็นอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้ตลอดเวลา
อย่างพวกลิงชิมแปนซี ฝึกดีๆฉลาดกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก
น่าเสียดายแต่ว่าฉลาดอย่างไรก็ติดเพดานของภพภูมิเดรัจฉาน
ฉลาดแค่ไหนก็ไม่รู้ทางสว่างเพื่อเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ง่ายๆ”
“ตอนนี้เหมือนเห็นอดีตชาติของตัวเองเลยค่ะ
สมัยยังวุ่นวายกับการค้นหาตัวเอง ช่างเป็นวิญญาณที่เร่าร้อนกับการหาภพภูมิอาศัย
พอพี่เอินชี้ทางสว่าง หางานให้ทำ หาตัวตนให้เป็น
ก็ค่อยกลายเป็นวิญญาณมีภพมีภูมิกับเขาหน่อย แต่ตอนตายจริง เผาจริง
ก็ต้องเคลื่อนจากความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นอย่างอื่นอีกด้วยแรงเขวี้ยงของกรรม”
อุปการะหัวเราะด้วยความรู้สึกหลากหลาย ลานดาวพูดสะกิดให้เขาเห็นภพชาติเบื้องหน้าของหล่อนเป็นฉากๆโดยไม่ต้องเจตนาดู
แต่เขาเก็บงำไว้ไม่พูดถึง ยังคงสนทนากับหล่อนต่อเป็นปกติ
“หนูเอาไปเขียนเถอะ เราจะเข้าใจชาติหน้ามากขึ้น
ถ้าทำความเข้าใจชาตินี้ดีๆ
และมองแต่ละช่วงของชีวิตโดยความเป็นภพย่อยๆที่วิญญาณของเราเข้าไปยึด เห็นแต่ละภพว่าคือสภาวะที่ไม่แน่ไม่นอน
ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราก่อ และขึ้นอยู่กับความสมัครใจที่เรายอมติดอยู่กับภพหนึ่งๆ”
“เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองค่ะ
นี่จ๊ะเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปเรื่อยอย่างปราศจากจุดหมายปลายทางใช่ไหมคะ? กรรมแต่ละระลอกซัดไปสู่ฝั่งใหม่ ก่อกรรมอีกแล้วถูกซัดไปสู่ฝั่งใหม่อีก”
“ใช่… วิญญาณทั้งหลายถูกสะกดโดยผลกรรม
ให้หลงฝันว่าตนเป็นอย่างนี้ ตนอยากเป็นอย่างนั้น แล้วก็เคลื่อนไปเรื่อย
โดยมีหลักกรรมคือทุกคนได้อย่างที่ทำ ไม่ได้อย่างที่อยาก หากไม่มีใครบอกให้รู้ชัดๆว่าฝั่งสุดท้ายอันเป็นที่หยุดนิ่งมีอยู่และพิสูจน์ได้ขณะยังเป็นมนุษย์
สรรพวิญญาณก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยโดยปราศจากความแน่นอนว่าเมื่อไหร่จะตกตาดี
เมื่อไหร่จะตกตาร้าย”
“ชักอยากเข้าให้ถึงแก่นสารอันเป็นที่สุดของพุทธศาสนาแล้วสิคะ
อาจารย์ไม่เห็นสอนจ๊ะมั่งเลย”
หญิงสาวทำเสียงอ้อน
“ถ้าผมให้หนูพูดรวบรัดชีวิตของหนูทั้งชีวิตเป็นคำๆเดียว
หนูจะเลือกคำว่าอะไร?”
หญิงสาวเอียงหน้าเหลือบตาคิดนิดหนึ่ง
ก่อนเบนกลับมาทอดสายตามองอาจารย์ยิ้มๆอย่างรู้ล่วงหน้าว่าตนโดนดักทางไว้อย่างไร
“พูดถึงชีวิตจ๊ะทั้งชีวิตด้วยคำๆเดียว ก็คงเป็น ‘สนุก’
มั้งคะ”
“ทั้งๆที่เพิ่งทุกข์จนแทบอยากฆ่าตัวตายมาเมื่อปีก่อนเนี่ยนะ?”
ลานดาวหัวเราะสดใส เพราะอุปการะเอ่ยอย่างที่หล่อนเดาไว้เป๊ะ
“อาจารย์ถามคำเดียวจ๊ะเข้าใจไปถึงไหนต่อไหนแล้วค่ะ
จ๊ะแค่ตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงจากใจในขณะนี้
เห็นตัวเองแจ่มแจ๋วเลยว่ากำลังเพลินโลก สนุกกับงาน สนุกกับคนรัก สนุกกับชีวิต
ใจก็ต้องเห็นภาพรวมของตัวเองทั้งหมดเป็นความสนุก
และตราบใดที่ยังเห็นชีวิตเข้าข่ายเป็นสุข ก็ต้องหวงแหนไว้
และอยากตะกายหาสุขใหม่ๆมาเพิ่ม ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องเคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกภพหนึ่งแล้วๆเล่าๆ
โดยไม่มีวันคิดหาทางสละความยึดติดต่างๆอย่างแท้จริงเลย”
“อือ… รู้ดีหมดแล้วนี่”
“ใครบอกรู้หมด
รู้แค่เล็กน้อยแต่เข้าเป้าเพราะอาจารย์ชี้ต่างหากค่ะ”
หญิงสาวยิ้มระรื่นคล้ายคนไม่เคยรู้จักทุกข์มาก่อน “ถ้าไม่ถูกจี้ให้คิดย้อนมาถามตัวเองว่าเป็นใคร
หรือกำลังทำอะไร ก็เหมือนโดนเส้นผมบังภูเขาเหมือนกันนะคะ
เห็นความสำคัญของการตั้งโจทย์เดี๋ยวนี้แหละ
เป็นมนุษย์ที่ช่างคิดนี่อาจตั้งโจทย์กันได้ไม่จำกัด
แต่จะมีโจทย์อยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นที่บันดาลให้เราฉุกใจหาคำตอบเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มสุด”
อุปการะพยักหน้ารับ
“นั่นซี คนมีแต่ความคิดรอเจอแฟนตอนเย็นน่ะ
ผมว่าหมดสิทธิ์ตั้งโจทย์ชีวิตแบบพุทธแท้แน่ๆ”
ลานดาวหัวเราะโยกตัวไปมาเขินๆ เพราะทราบว่าอาจารย์ดักใจตน
ซึ่งอดคิดถึงสรณะเป็นระยะๆไม่ได้ เนื่องจากเพิ่งทราบชัดด้วยความอิ่มเอมเปรมใจว่าเขาคือเนื้อคู่ที่แท้
แต่พอโดนกระตุก หล่อนก็สำรวมระวังจิตให้จดจ่อกับการสนทนาเต็มที่ยิ่งขึ้น
“เมื่อยังมีโจทย์แบบพุทธแท้ไม่ขึ้นใจ
ก็ต้องหาโจทย์อื่นมาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีแก่ใจตั้งโจทย์ข้อสุดท้ายใช่ไหมคะอาจารย์?”
“ก็ต้องอย่างนั้น”
“แล้วพุทธศาสนามีวิธีใช้ชีวิตไปตามลำดับจนกว่าจะซึ้งเรื่องของทุกข์
แล้วใคร่ครวญจริงจังถึงการดับทุกข์ไหมคะ?”
“ก็มีสอนเรื่องการอธิษฐานและการพิจารณาโดยแยบคาย
กำหนดทิศให้จิตค่อยๆเลื่อนขั้นอยู่เหมือนกัน เช่นเมื่อทำทานครั้งใด
ท่านให้หมั่นอธิษฐานว่าขอจิตเราจงสละความยึดมั่นถือมั่นผิดๆได้โดยไม่เสียดาย
เช่นเดียวกับที่ไม่เสียดายข้าวของซึ่งทำทานไปนั้น
และเมื่อมีเหตุการณ์ยั่วยุให้ผิดศีลข้อใดแล้วใจเราแน่วแน่พอจะหักห้าม
ท่านก็ให้ระลึกว่าผู้มีศีลย่อมไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
ผู้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจย่อมมีจิตตั้งมั่นได้ง่าย ผู้มีจิตตั้งมั่นได้ง่ายย่อมรู้เห็นตามจริง
ไม่มีความบิดเบี้ยวทางจิตเหมือนคนอื่น นี่แหละ
ทำทานรักษาศีลด้วยอาการอย่างนี้เรื่อยๆ
ถึงจุดหนึ่งจะเริ่มมีความคิดเข้าเป้าใหญ่ของพุทธศาสนาไปเอง”
ลานดาวรีบจดยิกก่อนเงยหน้าขึ้นถามใหม่
“อย่างจ๊ะมีสิทธิ์อธิษฐานแล้วทำได้ภายในชาติเดียว
หรือจำเป็นต้องสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติคะ?”
“จิตคนน่ะ
เมื่อทำบุญแล้วสั่งสมแรงอธิษฐานด้วยใจจริงซ้ำๆเป็นประจำ
ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าให้ไกลเกินรอหรอก คิดง่ายๆอย่างนี้ ช่วงที่หนูดื้อๆอยู่น่ะ
ถ้าใครมาขอร้องอ้อนวอนให้อ่อนข้อรามือในเรื่องที่หนูไม่เต็มใจ
หนูจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเขา?”
หญิงสาวทำหน้าสลด ตอบเสียงอ่อยแทบไม่ต้องคิด
“ก็ไม่ยอมสิคะ ต่อให้รู้ว่าเราเลว
ต่อให้รู้ว่าเขาเต็มไปด้วยเหตุผลขนาดไหน ในเมื่อใจไม่ยอมเสียอย่าง
พูดเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์”
“นั่นแหละ จิตมีแต่ตัว ‘ไม่ยอม’
เป็นเกราะเป็นกำแพงล้อมอยู่หนาทึบขนาดนั้น ถ้าหนูแค่ท่องซ้ำๆถี่ๆว่า ‘ยอมๆๆๆๆ’
เพียงไม่นานเกราะและกำแพงที่ตั้งกั้นเหตุผลทั้งหลายไว้ก็จะอ่อนยวบลงทันตาเห็น
นี่สะท้อนว่าใจเราพร้อมจะเป็นไปตามความคิดที่สั่งสมซ้ำๆ”
ลานดาวยิ้มกว้าง เห็นเป็นอุบายที่น่าจดไว้แนะนำคนดื้อ
ก้มลงบันทึกข้อความอึดใจเดียวก็เงยหน้าขึ้นถามต่อ
“แล้วความยโสโอหัง ทะนงด้วยความสำคัญตนว่ายิ่งใหญ่ล่ะคะ
จะให้ใช้อุบายอะไรดี ที่สะกดจิตให้เปลี่ยนแปลงไปในทางอ่อนน้อมลง?”
อุปการะหยั่งทราบว่าลานดาวถามด้วยความอยากได้อุบายไปกล่อมเกลาตนเอง
เนื่องจากหล่อนเริ่มมีคนนับถือมากขึ้น
และประสพความสำเร็จรวดเร็วจนกิเลสบุกเข้ามาทุกทิศทุกทางจนตั้งสติรับแทบไม่ทัน
ยิ่งวันอัตตายิ่งโต เขาจึงแย้มริมฝีปากยิ้มแนะนำด้วยความปรานี
“พอได้สติว่ากำลังถือดีมีมานะ
ให้หนูยกมือพนมไหว้เดี๋ยวนั้นเป็นการใช้กิริยาทางกายสยบความผยองของจิต
นอกจากพนมมือไหว้แล้วก็ควรระลึกถึงผู้น่ากราบไหว้อย่างพระพุทธเจ้าด้วย
เสร็จแล้วเปรียบเทียบเอา ว่ามืดทึบเพราะอัตตาเป็นอย่างไร
สว่างไสวเพราะความอ่อนน้อมเป็นอย่างไร และระหว่างมืดกับสว่างอย่างไหนดีกว่ากัน
ไม่นานจิตจะฉลาดเลือกความอ่อนน้อมไปเองโดยไม่ต้องแกล้งฝืน”
ลานดาวเบิกหน่วยตากว้าง
“จ๊ะเพิ่งนึกออกว่าฝรั่งที่อยู่เมืองไทยนานๆแตกต่างจากเดิมตรงไหน
นอกจากปรับระบบการคิดพูดเป็นภาษาไทย กับมีร่างกายอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศแบบไทยๆแล้ว
ก็มีเรื่องของจิตอ่อนน้อมเพราะไหว้เป็นนี่เอง
ที่เปลี่ยนความกระด้างภายในให้นุ่มนวลลง”
อุปการะพยักหน้า
“การพนมมือไหว้เป็นกิริยาของวิญญาณชั้นสูง
กรรมสำคัญที่ทำให้จิตได้ช่องไปอยู่ในวรรณะประณีตคือความนอบน้อมถ่อมตน
ยิ่งถ้าเรายอมอ่อนให้กับบุคคลอันควรเคารพสูงสุดเช่นพระพุทธเจ้า
เกิดชาติไหนสมัยใดจะไม่พลัดตกไปเป็นพวกชั้นต่ำ
และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างใต้อำนาจของใครง่ายๆ”
“แต่ก่อนจ๊ะไม่เข้าใจนัก นึกว่ายกมือไหว้ก็เป็นอันเสร็จพิธี
ระยะหลังพอรู้เหมือนกันค่ะว่าใจต้องน้อมเคารพด้วย
การไหว้แต่ละครั้งถึงจะคล้ายหยอดกระปุก
สั่งสมความอ่อนโยนได้เรื่อยๆจนกว่าจะเต็มวิญญาณ”
“เป็นอย่างนั้น การไหว้แบบกระโดกกระเดก
หรือไหว้ไปก็แอบคิดด่าไป นอกจากไม่ได้บุญแล้วยังเป็นกรรมที่ก่อนิสัยไม่จริงใจ
กลายเป็นคนสองหน้าตาส่อนได้อีกด้วย”
“ใครไม่มีผู้ควรเคารพอยู่ใกล้ก็ถือว่าขาดโอกาสแย่สิคะ”
“ธรรมเนียมไทยถึงให้มีห้องพระไว้ในบ้าน ก็เพื่อมีโอกาสกราบองค์ปฏิมาแทนพระพุทธเจ้า
แล้วก็มีธรรมเนียมไปลามาไหว้ ทำความเคารพพ่อแม่อันเปรียบเหมือนพระในบ้าน
ธรรมเนียมอันเป็นกรรมดีอย่างนี้
เด็กรุ่นใหม่กลับเห็นเป็นภาระรุงรังน่าขบขันกันไปหมด”
ลานดาวส่ายหน้าดิก
“ส่องสำรวจไปตรงไหน อะไรๆก็เป็นกรรมไปทั้งนั้น แบ่งให้เกิดชั้นวรรณะทางวิญญาณได้ทั้งนั้น”
“คนเราถึงหน้าตาแตกต่าง บุคลิกแตกต่าง ฐานะแตกต่าง
อำนาจบารมีแตกต่าง ประสบโชคเคราะห์แตกต่าง
มีจังหวะชีวิตที่สำเร็จและล้มเหลวแตกต่าง
ทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะรวบรวมความแตกต่างยิบย่อยในการคิด การพูด
การทำมาประสานกันนี่แหละ การผสมผสานของวิบากกรรมนั้นเป็นไปได้นับอนันต์
ผู้ที่รู้ทันความจริงนี้จะเห็นกุศลทั้งปวงเหมือนเครื่องประดับ
แล้วเร่งสั่งสมความดีในแบบของตน
รวมทั้งกวาดเก็บกรรมดีอื่นที่ยังไม่มีในตนมาเพิ่มให้มากขึ้นไป
แล้วเขาจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากคนรอบข้างไปทุกชาติทุกภพ”
หญิงสาวนึกอยากไหว้บุรุษตรงหน้า ก็พนมมือไหว้ขึ้นมาเฉยๆ
“ขอทำบุญกับผู้ควรทำหนึ่งทีค่ะ”
แล้วหล่อนก็ยิ้มแช่มชื่นแบบอิ่มบุญ
“แต่ก่อนจ๊ะมองว่าต้นไม้แตกต่างกันได้โดยไม่ต้องทำกรรม
คนเราต่างกันบ้างก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เฮ้อ!
ธรรมชาตินี่จัดสรรปัจจัยมาให้เราคิดนอกลู่นอกทางสัจจะความจริงไปได้เรื่อยเลยนะคะ”
“กรรมจะไม่ง้อให้เราเชื่อกฎของเขาหรอก ตรงข้าม
สำหรับคนส่วนใหญ่จะถูกแกล้งบังตาไม่ให้เห็นกฎ
หรือทำให้ดูถูกกฎแห่งกรรมไปเลยด้วยซ้ำ”
“การเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรมนี่ผิดหรือเปล่าคะ?”
“ผิดซี่ กฎของกรรมก็อยู่ส่วนกฎของกรรม
กฎของพืชก็อยู่ส่วนกฎของพืช นอกจากนั้นกฎของจิต กฎของฤดูกาล กฎของฐานะ
กฎของโลกและจักรวาล ต่างก็แยกส่วนเป็นต่างหากจากกันหมด
กฎของกรรมเพียงพาให้เราต้องไปพัวพัน หรือต้องไปเกี่ยวข้องแบบอ้อมๆกับกฎอื่น
อย่างเช่นส่งให้ไปเกิดใต้ฤกษ์หรืออิทธิพลของดวงดาวดีร้าย
ส่งให้ไปอยู่ในเขตที่มีฤดูกาลมากน้อย ส่งให้ไปอยู่ในประเทศที่ชุ่มชื่นหรือแห้งแล้ง
พูดง่ายๆว่ากรรมมีหน้าที่แค่นำไปเกิด
หรือเกิดแล้วให้มีสิทธิ์เลือกว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้แค่ไหน
ทุกอย่างที่เราเห็น ได้ยิน และสัมผัส ล้วนแล้วแต่เป็นภาชนะรองรับผลกรรมก็จริง
แต่พวกมันก็มีกฎธรรมดาของตัวเองอยู่ ไม่ต้องอาศัยอำนาจดลบันดาลของกรรมใครหรอก”
“แล้วกฎแห่งกรรมที่นำมาเกิดเป็นชายและหญิงล่ะคะ? จ๊ะว่าจะถามอาจารย์ด้วยความอยากรู้มานานแล้ว ทำอย่างไรจึงเป็นชาย
ทำอย่างไรจึงเป็นหญิง?”
“ตามความเข้าใจของหนู ผู้ชายคืออะไร ผู้หญิงคืออะไร?”
ลานดาวชะงักไปนิดหนึ่งเพราะนึกไม่ถึงว่าอุปการะจะถามกลับเช่นนั้น
แต่แน่นอนว่าอุปการะคงไม่ถามเล่นเอาสนุก อาจารย์ของหล่อนไม่เคยถามลองภูมิ
ทุกคำล้วนมีความหมายกระตุ้นให้คิดในทางใดทางหนึ่งเสมอ
หญิงสาวจึงใคร่ครวญก่อนตอบอย่างระมัดระวัง
“ถ้าพูดถึงร่างกายภายนอก
ก็คงวัดกันด้วยอวัยวะต่างๆทั่วองคาพยพซึ่งแสดงลักษณะทางเพศที่เป็นตรงข้ามกัน
ฝ่ายชายเอื้อให้นำหรือรุก ฝ่ายหญิงเหมาะจะตามหรือรับ แต่ถ้าพูดถึงจิตใจภายใน
ยิ่งรู้จักคนมากขึ้นเท่าไหร่
จ๊ะก็ยิ่งเห็นเส้นแบ่งความเป็นเพศพร่าเลือนลงทุกทีค่ะ”
“ที่หนูตอบมาก็นับว่าเข้าเป้าแล้ว เอาล่ะ!
เพื่อเข้าใจเรื่องกรรมที่ทำให้เป็นชายหรือเป็นหญิงอย่างถ่องแท้
ก่อนอื่นเราควรย้อนกลับมาหาพื้นฐานความจริงเกี่ยวกับกายมนุษย์กัน
ความจริงอันเป็นที่สุดเกี่ยวกับกายคือแรกสุดมันไม่ใช่ชายหรือหญิง
แต่เป็นแค่การประชุมกันของกระดูกฉาบเนื้อ บรรจุน้ำเลือดน้ำหนอง
มีไออุ่นกระจายตลอดร่าง และเป็นที่พัดเข้าพัดออกแล่นขึ้นแล่นลงของลม”
“คือถ้าชำแหละออกมาเป็นกองๆจะไม่เห็นมีชายหรือหญิง
เหลือแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลมเท่านั้นใช่ไหมคะ?”
หญิงสาวช่วยสรุปให้อย่างผู้ที่เริ่มมีความรู้ทางศาสนาในเชิงลึกพอสมควรแล้ว
“นั่นแหละ” อุปการะผงกศีรษะรับ
“หากศพใครเหลือแต่กระดูกที่ป่นแล้ว หรือปรากฏแต่น้ำเลือดน้ำหนองกองไว้
จะไม่มีใครบอกได้เลยว่านั่นเคยเป็นชายหรือเป็นหญิง เพศเป็นแค่ภาวะอย่างหนึ่ง
เกิดขึ้นโดยกรรมบันดาลให้ดินน้ำไฟลมแสดงรูปชายหญิงชั่วคราว”
“เข้าใจค่ะ”
ลานดาวรับฟังได้ไม่ยากนัก
เนื่องจากพอมีฐานความรู้เชิงชีววิทยาอยู่บ้าง
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่าทารกในครรภ์มารดาเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้น
จะเริ่มต้นด้วยการมีอวัยวะเพศหญิงก่อน แต่ถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นชาย
อวัยวะเพศแบบชายจึงปรากฏยื่นออกมาภายหลัง
ส่วนถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นหญิง อวัยวะเพศจะฝ่อตัวหายไปก่อนคลอด
กล่าวให้ชัดคืออวัยวะเพศนั้น
เดิมทีเคยเป็นอันเดียวกันนั่นเอง!
“วิญญาณที่มาปฏิสนธินั้น
ถ้าพกเอาคุณสมบัติของบุรุษมาด้วยก็จะได้เป็นชาย คิดง่ายๆว่ามีพลังกุศลหนักแน่นพอจะผลักอวัยวะเพศให้ยื่นออกไป
และแสดงรูปภาวะอื่นๆให้ปรากฏโดยความเป็นชาย”
ลานดาวจดเฉพาะคำสำคัญคือ
‘เป็นชายได้ต้องมีพลังกุศลหนักแน่นพอ’
สิ่งที่หล่อนครุ่นคิดอยู่ในหัวขณะนี้คือการเปรียบเทียบกันระหว่างความรู้ที่ได้รับจากโลกวิทยาศาสตร์กับความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะ
ถ้าถามนักวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดจึงเป็นชาย ก็จะได้คำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำว่าเด็ก
‘บังเอิญ’ ได้รับโครโมโซม Y จากพ่อไปประกบคู่กับโครโมโซม X ของแม่ ยิ่งไปกว่านั้น นับวันวิทยาการยังมีสูตรสำเร็จที่หวังผลได้สูง
ถ้าอยากได้ลูกชายต้องใช้ไม้ตายท่าไหน เทคนิควิธีและเครื่องช่วยอันใดบ้าง
แพทย์แผนปัจจุบันจาระไนได้หมดว่าจะลด ‘ความบังเอิญ’
ลงให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร
แต่ในมุมมองที่ต้องมีวิญญาณเป็นปัจจัยประกอบในการปฏิสนธิ
การวางแผนให้กำเนิดบุตรชายเป็นเพียงการตระเตรียมหัวโขนไว้อันหนึ่ง
รอวิญญาณที่พร้อมพอจะมาอาศัยสวมเท่านั้น
สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในแนวพุทธจนแก่กล้าพอจะหยั่งรู้รายละเอียดของรูปนาม
ก็ย่อมรู้ประจักษ์ใจว่าจักรวาลนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ
“แล้วกรรมอะไรคะที่ทำให้เกิดพลังกุศลหนักแน่นพอจะได้เกิดเป็นชาย?”
“ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งโดยเฉพาะหรอก
ถ้าให้มองออกง่ายที่สุดก็คือ ‘วิธีคิด’
ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในขณะทำทานรักษาศีลนั่นเอง”
ลานดาวฟังแล้วเข้าใจคำพูดของอาจารย์อยู่รางๆ
แต่ไม่ถึงขนาดกระจ่างเหมือนเห็นรูปด้วยตา จึงซักถามเพื่อเก็บรายละเอียด
“ทำไมต้องเอาวิธีคิดขณะทำบุญเป็นตัวตั้งด้วยคะ?”
“เพราะการทำบุญเป็นของใหญ่ เป็นสิ่งครอบงำนิสัย
และมักเป็นตัวกำหนดเส้นทางหลักในการเวียนว่ายตายเกิด วิธีคิดในขณะทำบุญเป็นอย่างไร
ก็มีความโน้มเอียงจะคิดแบบเดียวกันนั้นในขณะใช้ชีวิตประจำวันปกติไปด้วย”
ลูกศิษย์สาวจดวลี ‘วิธีคิดขณะทำบุญ’
แล้ววงเป็นดวงเด่นไว้ก่อนเงยหน้าถาม
“อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างวิธีคิดขณะทำทานที่ส่งให้ไปเกิดเป็นชายได้ไหมคะ”
“ก็ควรเป็นผู้ริเริ่ม นึกอยากทำทานเอง
และชวนญาติสนิทมิตรสหายหรือคนรักไปทำด้วย จิตก่อนทำทานต้องมีความเลื่อมใสมั่นคง
อย่างถ้าจะถวายสังฆทานนั้น ต้องรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ในการถวาย
ไม่ใช่เห็นว่าการเตรียมของถวายเป็นภาระ
หรือเห็นการถวายเป็นเรื่องทิ้งขว้างเปล่าประโยชน์
ต้องไม่มีความเสียดมเสียดายเงินทองและเวล่ำเวลาที่หมดไปกับสังฆทาน
และขณะเมื่อกำลังถวายสังฆทาน จิตมีความเคารพ มีความชื่นชมยินดีในบรรยากาศการถวาย
สุดท้ายหลังถวายสังฆทานเสร็จก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย
รักษาความรู้สึกชื่นมื่นซึ่งบุญได้ปรุงแต่งจิตแล้วนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
นี่แหละ ที่มาของความหนักแน่นในทาน”
ลานดาวคัดเฉพาะคำสำคัญบันทึกไว้
ขณะเดียวกันหยั่งดูผลรวมของอาการทางใจในการทำทานทั้งหมดที่อาจารย์กล่าวมา
ก็สำเหนียกทราบถึงความมั่นคงทางจิตเต็มอัตรา
ใครนิ่งไม่กระสับกระส่ายในบุญได้อย่างนั้นจะให้ความรู้สึกเป็นแมนดีจริงๆ
“จ๊ะเคยได้ยินว่าผู้ชวนคนอื่นทำบุญ
คนที่ไปร่วมทำบุญจะตามไปเกิดเป็นบริวารหรือคะ?”
“ผู้นำบุญจะเป็นผู้มีบริวาร อันนั้นถูกแล้ว
แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกที่ตามไปทำบุญด้วยกันหรอก”
“งั้นคนที่เอาแต่ตามทำบุญ มีใจนิยมในบุญ แต่ไม่ริเริ่มเอง
และไม่เลื่อมใสในบุญเต็มกำลัง แม้จะได้รับอานิสงส์จากทานมากมายเพียงใด
ก็ได้เกิดแค่เป็นหญิงหรือคะ?”
“ทำนองนั้น พวกคิดเล็กคิดน้อย สองจิตสองใจ
ตอนแรกคิดเลือกของดีแล้วเปลี่ยนเป็นของคุณภาพด้อยกว่าในภายหลัง
กิริยาอาการคิดเทือกนี้แหละที่เป็นฝักฝ่ายของอิสตรี เมื่อจะถือกำเนิดเกิดใหม่
พลังกุศลย่อมไม่หนักแน่นพอจะปฏิสนธิในเพศบุรุษ
และถ้าเอาผลเฉพาะปัจจุบันที่เห็นทันตา คือจะเป็นผู้คิดมากไปทุกเรื่อง
จุกจิกหยุมหยิมได้หมดกระทั่งเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ”
“เข้าใจชัดเลยค่ะ”
ลานดาวพูดกลั้วหัวเราะ เพราะหล่อนเองมักเป็นเช่นนั้น
เช่นเวลานึกอยากใส่ซองทำบุญพันหนึ่ง ก็ชอบเปลี่ยนใจอยากชักออกสักครึ่ง
ต่างจากสรณะที่ตั้งใจทำพันแต่ถึงเวลาเอาเข้าจริงมักกลายเป็นหมื่น
แม้หล่อนทำบุญกับเขามาแค่สองสามหนก็เห็นนิสัยชนิดนี้ในเขาเด่นชัด
“จ๊ะคิดหยุมหยิมในการทำทานของตัวเองบ่อยๆ คงต้องปรับปรุงค่ะ
แต่เวลาทำบุญกับพี่ณะ
นิสัยช่างคิดของจ๊ะก็ทำให้เขาได้ไอเดียดีๆแบบไม่เคยนึกมาก่อนเหมือนกันนะคะ”
“ดีแล้ว ถ้าปรึกษาการบุญร่วมกันด้วยความปรองดอง
ระหว่างทางไปและทางกลับไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็เชื่อขนมกินได้ว่าชีวิตคู่จะเป็นสุข
เพราะทั้งสองคนจะปรึกษาปัญหาขัดแย้งอื่นๆได้ลงตัวเหมือนคุยกันในงานบุญนั่นเอง”
“วาว! ดีจังที่ได้รู้เสียอย่างนี้ จะจำไปบอกพี่ณะค่ะ”
“ความจริงถ้าเพิ่งคบกันแล้วอยากรู้ว่าพอไปด้วยกันได้ไหม
ก็แค่ดูง่ายๆด้วยการทดลองทำบุญร่วมกันนี่แหละ
ดูว่ามีใจเสมอกันในการคิดเห็นเรื่องค่าใช้จ่ายไหม
ดูว่าระหว่างเดินทางทำบุญมีเหตุให้ต้องขุ่นเคืองใจหรือเป็นปากเป็นเสียงกันไหม
หากทุกอย่างราบรื่นหลายๆหน ก็จะส่อเค้าชัดขึ้น
รู้กับใจทั้งสองฝ่ายทีเดียวว่าน่าจะครองกันอย่างมีความสุข”
“โอ้โห! นึกไม่ถึงมาก่อนเลยค่ะ
แต่ก็เป็นอย่างที่อาจารย์บอกจริงๆด้วย ครั้งแรกที่พี่ณะชวนไปทำบุญด้วยกัน
มีแต่เรื่องดีๆน่าชื่นใจเข้ามาเพิ่มปีติ
แล้วหลังจากพี่ณะตกลงจัดของสังฆทานตามคำแนะนำของจ๊ะ ก็เหมือนเห็นอะไรตรงกัน
อยากว่าอะไรว่าตามกันไปหมด”
“การทำทานด้วยความปรองดองจะมีผลสืบเนื่องไม่รู้จบทั้งชาตินี้และชาติถัดๆไป”
“ใจคนส่วนมากไม่ใหญ่พอจะคิดถวายสังฆทานอย่างชาย
อย่างนี้ควรจะฝึกเป็นขั้นเป็นตอนยังไงดีคะถ้าอยากเกิดเป็นชาย?”
“ก็ให้เริ่มไต่ระดับเป็นขั้นๆจากหยาบไปหาละเอียด
โลกนี้เต็มไปด้วยผู้พร้อมจะรับ
ซึ่งก็หมายถึงมีพื้นที่ฝึกหัดให้ลงหลายสนามจากง่ายไปหายาก
แรกสุดควรเลือกทำทานกับสัตว์ เพื่อสร้างใจที่ไม่หวังผลตอบแทนก่อน
จากนั้นขยับขึ้นมาทำทานกับขอทานข้างถนน แบบที่พิการชัดๆก็ดี เป็นการสร้างใจที่เอื้อเฟื้อต่อคนตกทุกข์ได้ยาก
ทำด้วยเศษสตางค์ทีละน้อยๆ แต่ขอให้บ่อย ให้เป็นกิจวัตรประจำวันได้ยิ่งดี
จิตจะเริ่มติดสุขในการให้เปล่า แล้วใจจะค่อยๆใหญ่ขึ้น
อยากให้ด้วยความเต็มใจยิ่งๆขึ้น เพิ่มพูนน้ำจิตคิดเมตตากรุณาจริงแท้ยิ่งๆขึ้น
ถึงตรงนั้นแหละ แม้ไม่มีใครชักชวน
อยู่ดีๆก็อาจนึกอยากทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยตนเอง”
ลานดาวยิ้มกริ่ม
ต่อไปถ้าใครถามเรื่องวิธีเลือกเกิดใหม่เป็นชาย
หล่อนจะเริ่มตอบจากวิธีให้ทานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้
“การทำบุญเอาหน้ามีส่วนลดทอนความหนักแน่นของกุศลหรือเปล่าคะ?”
“ก็แล้วแต่จังหวะการคิด การทำบุญเอาหน้านั้น
ในมโนทวารของเราจะมีหน้าตาใหญ่ๆของตัวเองแปะอยู่ในกองบุญ
อาการนึกขณะนั้นไม่แน่วบริสุทธิ์ไปในบุญ
ถ้าคิดอยู่ตลอดเวลาก็อาจเหมือนพระจันทร์ข้างแรม
แสงบุญหรี่เหลือน้อยเพราะถูกบดบังเห็นเป็นเงามืดไปเกือบหมด อย่างนี้ไม่จัดเป็นการทำบุญของบุรุษ
แต่ถ้าคิดเพียงเล็กน้อยก็เหมือนพระจันทร์ที่เพิ่งอยู่ในช่วงข้างขึ้น
แม้มีเงามืดบดบังแสงอยู่บ้างก็นับว่านิดหน่อย
อย่างนี้ยังเข้าข่ายการทำบุญของบุรุษอยู่”
“การทำบุญหวังผลด่วน การทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่
แบบพวกเห็นการทำทานเป็นการลงทุนทางธุรกิจ ก็มีผลลดทอนกำลังกุศลด้วยใช่ไหมคะ?”
“ใช่ แต่ถ้าอธิษฐานแบบสมเหตุสมผลบ้างก็ไม่เป็นไร
คนส่วนใหญ่เงินขาดมือ ชักหน้าไม่ค่อยถึงหลัง
หากทำทานเป็นประจำแล้วขอให้มีรายได้จากการขยันทำงานไม่ขาด
อย่างนี้ผลทานจะไปเพิ่มความสว่างทางการเงินในชาติปัจจุบันได้จริง แล้วก็ไม่ถึงกับลดทอนกำลังกุศลแบบชายลงมากนัก
แต่อย่างหนูไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน
ก็ควรตั้งจิตให้บริสุทธิ์ในบุญโดยไม่หวังผลไปเลยจะประเสริฐสุด”
“แล้วการกีดกันไม่ให้คนอื่นมีส่วนในกองบุญของเราหรือกลุ่มญาติของเราล่ะคะ
จัดเข้าฝักฝ่ายทานแบบสตรีได้หรือเปล่า? จ๊ะเห็นเต็มเลย
คนไทยชอบแยกกองบุญว่านี่ส่วนของฉัน ฉันจะภูมิใจของฉันเป็นเอกเทศ
อย่าได้เอาของเธอมาปะปนกัน”
“ทานแบบนั้นก็น้องๆวิธีการทำบุญเอาหน้านั่นแหละ
แต่เรียกให้ตรงตัวคือเป็นการทำบุญด้วยจิตใจคับแคบมากกว่า
ไม่ได้เป็นฝักฝ่ายบุรุษหรือสตรีโดยตรง เพราะบางคนกันกองบุญของตัวเองเป็นต่างหากจากคนอื่นก็ด้วยแน่วไปในความหวังว่าตนจะได้เสวยบุญส่วนตัวเต็มบริบูรณ์
ความคิดในการทำบุญทำนองนี้จะส่งผลให้ใช้ชีวิตปกติแบบไม่ค่อยเอื้อเฟื้อ
คิดเห็นแปลกแยกจากคนอื่น หรือคิดอยากได้ดีเด่นเหนือใคร ยอมน้อยหน้าไม่ได้
ผลทางอ้อมคือมีเพื่อนน้อย หน้าตาถึงแม้สวยหล่ออย่างไรก็เหมือนขาดเสน่ห์น่าคบหาไป
และชาติหน้าคนเห็นโหงวเฮ้งแล้วจะรู้สึกว่าเป็นพวกใจแคบด้วย”
“กรรมนี่ทำกันได้ละเอียดพิสดารจริงๆเลย”
ลานดาวรำพึง
อุปการะสาธยายอย่างเห็นประโยชน์ในการให้ความเข้าใจ
“เรื่องการทำทานน่ะนะ
ความจริงถ้าเข้าใจหลักสำคัญก็ไม่มีอะไรมากหรอก ขอแค่แม่นตรงจุดยอดจุดเดียว
คือบุญจะเกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับจิตที่เปิดกว้าง ที่เบิกบาน ที่เป็นปีติสุข
ถ้าเห็นตรงนี้ให้ได้ คนเราจะฉลาดทำบุญเหมือนๆกันหมด
สามารถนำไปเป็นหลักตรวจสอบใจตัวเองได้หมดว่าคิดเข้าร่องเข้ารอยหรือยัง”
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาจดสรุปพร้อมขยายความว่าทานจิตที่สมบูรณ์วัดกันด้วยความเปิดกว้างไม่คับแคบ
ความเบิกบานไม่หดหู่ กับความมีปีติสุขไม่เศร้าหมอง หากมีคุณสมบัติของกุศลจิตครบ
ก็สะท้อนให้เห็นถึงรากว่าวิธีคิดในการทำทานถูกต้องบริบูรณ์
“คราวนี้เอาศีลเป็นเกณฑ์บ้างล่ะคะ อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของชาย
อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของหญิง?”
“วัดกันที่ความแน่วแน่ในการตั้งใจรักษาศีล
ความตั้งใจไม่กระทำกาเมสุมิจฉาจารอย่างเด็ดขาด
ฝักฝ่ายของชายคือมีใจเดียวเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ไม่เอาแน่ๆ
ไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับการห้ามใจหรือลังเลว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี
ยืนกรานปฏิเสธแบบกระต่ายขาเดียวเลยเมื่อโอกาสมาถึงหรือมีใครมายั่วยวนชวนขึ้นเตียง”
“สรุปคือถ้าไม่ใช่สามีหรือภรรยาของตน
ก็จะไม่ใจแกว่งเป็นอันขาด?”
“ใช่!”
“ถ้าสนิทกัน
คิดว่าหยวนๆหน่อยเดียวแค่หอมปากหอมคออะไรงี้นับหรือเปล่าคะ?”
“นับสิ! ส่วนใหญ่เกิดเป็นหญิงก็เพราะใจอ่อน
หยวนๆนิดหยวนๆหน่อยนี่แหละ ใจคนน่ะ ไม่ต้องถึงขั้นหอมปากหอมคอหรอก
แค่ครุ่นคิดไม่เลิก ไม่ยอมหักห้าม ก็เริ่มผิดกันที่ตรงนั้นแล้ว”
“ผิดศีลตั้งแต่คิดแล้ว?”
“ถ้าใจคิดอย่างเดียว ยอมจุกอกปิดกั้นไม่ให้ลามมาถึงมือไม้ก็แค่ถือว่าศีล
‘พร้อมจะด่างพร้อย’ เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น ‘ด่างพร้อยไปแล้ว’ เรียบร้อย
ศีลจะเริ่มมีมลทินด่างพร้อยก็เมื่อแตะเนื้อต้องตัวกันด้วยความกำหนัดยินดี”
“แกล้งจับมือด้วยความยินดีในสัมผัสระหว่างเพศก็ถือว่าต้องมลทินแล้ว?”
“อย่างนั้น”
“แปลว่าตราบใดศีลยังไม่ด่างพร้อย
ยังไม่แกล้งเฉี่ยวมือเฉี่ยวไม้ ยังมีความหักห้ามยั้งคิด
ก็นับเป็นฝักฝ่ายของชายอยู่ใช่ไหมคะ?”
“ใช่! แต่พวกตัดเด็ดขาดไปเลยแม้กระทั่งความคิด
อย่างนั้นถึงจะเรียกว่ามีใจเป็นลูกผู้ชายเต็มร้อย”
“ฟังดูขัดแย้งชอบกลนะคะ
เรื่องพรรค์นี้โดยวิสัยของผู้หญิงจะระวังตัวมากกว่าผู้ชายไม่ใช่หรือ? ถึงแม้ยุคนี้เหมือนฟรีกันมากขึ้น จ๊ะสังเกตดูผู้หญิงยังมีความละอาย
ทำแล้วสำนึกผิดอยู่ดี ต่างจากพวกผู้ชายที่จะมองการคบชู้เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ
ทำไปไม่สำนึกผิดเลยสักนิดเดียว
นี่มิแปลว่าผู้หญิงมีแนวโน้มจะเกิดใหม่เป็นชายได้มากกว่าผู้ชายในชาติปัจจุบันหรอกหรือคะ?”
“ก็เป็นวิธีสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเพศไง
พออยู่ในอัตภาพหญิงก็เจียมในสภาพของตน เห็นว่าเป็นฝ่ายเสีย เป็นฝ่ายรู้สึกงามหน้า
เลยระมัดระวังรักนวลสงวนตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแต่งงานแล้วก็มีแนวโน้มจะซื่อสัตย์กับสามี
แต่พออยู่ในอัตภาพชายก็ทะนงในพลกำลังของตน แถมเกิดความมักง่ายด้วยเห็นว่าตนไม่เสียหายอะไร
เป็นฝ่ายได้ เป็นฝ่ายสนุกอย่างเดียว
นักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย ชาติต่อไปจะเป็นกะเทย
เป็นบทลงโทษให้เกิดความอับอายแรงๆชดเชยกับที่ไม่เคยอายเอาเสียเลย
ส่วนพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร
แต่ยังเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง
ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง”
ลานดาวหัวเราะอย่างถึงบางอ้อ
“พูดง่ายๆคือเป็นทอมใช่ไหมคะ?”
“ทำนองนั้น”
“ถามหน่อยเถอะค่ะ จ๊ะกับพี่เอินเป็นหญิงแท้ทั้งคู่
ทำไมเคยรักเคยหลงในแบบชู้สาวกันได้? เป็นการบีบคั้นของกรรมอย่างเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาความต่างศักย์แบบขั้วหนึ่งเป็นทอม
ขั้วหนึ่งเป็นดี้เลยหรือ?”
“คู่ที่รักและผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติมานาน
ก็มักก่อกรรมร่วมกันมาหลายแบบ จึงมีฐานะได้หลากหลายอย่างนี้แหละ
พอพบเจอจะตั้งต้นด้วยความรู้สึกว่าเป็นอะไรกันก็ได้ ขอให้มีความผูกพัน
มีโอกาสใกล้ชิดกัน ทำอะไรร่วมกัน ตัวหนูเองในชาตินี้นั้น
วิบากด้านดีทำให้มีเสน่ห์เป็นที่น่าหลงรักสำหรับทุกเพศอยู่แล้ว
พอหนูโดนวิบากด้านร้ายบังคับให้ตกหลุมรักหมอเอิน กระแสความอยากในเชิงชู้สาวของหนูก็บีบให้เขาพลอยหลงผิดตามกัน
เพราะมีความผูกพันลึกซึ้งนำหน้า แถมหมอเอินเองก็มีความเหงาหนุนหลังอยู่”
“เป็นเหตุเป็นผลที่เหมือนปรากฏอยู่ตรงหน้าชัดๆ
แต่อธิบายไม่ถูกอย่างอาจารย์เลยค่ะ
แล้วจ๊ะหลุดจากบ่วงกรรมได้เพราะหมดแรงส่งของกรรม หรือว่าตามขั้นตอนของผังกรรมนั้นจ๊ะจะต้องเจอพี่แตร
หรือว่าเป็นเพราะจ๊ะทำใจสละบาปแล้วอธิษฐานขอพบคนใหม่กันแน่คะ?”
“ทุกอย่างประกอบกัน แต่จุดใหญ่ที่สุดคือจาคะ
ความมีใจคิดสละบาปนั่นแหละเป็นตัวประกอบสำคัญสูงสุดในกรณีของหนู
เพราะเดิมหนูมีความคิดเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัวจัด ถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงตัวตนเดิมๆ
ก็จะต้องหลงวนอยู่ในวงโคจรเดิมๆ ไม่อาจเจอคนใหม่ที่ดีกว่า
คล้ายสร้างเขาวงกตให้ตัวเองหาทางออกไม่เจอ
หรือเหมือนขุดหล่มให้ตัวเองติดอยู่อย่างไม่อาจถอนเท้าขึ้นมาสำเร็จ”
“ถ้ามองตามจริงว่าชีวิตต้องผ่านการเลือกคู่หลายครั้ง
คิดสละคนที่ไม่ใช่ไปเรื่อยๆ ก็คงทำใจให้ปักแน่วมั่นคงในศีลได้ยากสิคะ
เหมือนๆจะต้องเตรียมใจรับสภาพว่าเขาอาจไม่ใช่ของเราในวันหนึ่ง
เราเองก็มีสิทธิ์สอดส่ายสายตาหาคนเหมาะกว่านี้ พูดตรงๆเลยก็ได้ แม้แต่จ๊ะในวันนี้
ถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าพี่ณะใช่ จ๊ะก็คงไม่ทุ่มใจให้กับเขาหมดหรอก กลัวว่าในที่สุดก็ไม่ใช่เหมือนพี่แตรอีก”
“อือม์… หนูก็พูดถูก เกมกรรมน่ะเล่นยาก เตรียมใจยาก
ทุ่มมากไปก็กลายเป็นยึดมั่นถือมั่นผิดตัวได้ เผื่อมากไปก็กลายเป็นหลายใจได้
เอาเป็นว่าเมื่อตัดสินใจอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับใคร
ต่างคนต่างก็ไม่ทำเรื่องบาดใจกันด้วยการรักษาศีล
ไม่ล่วงละเมิดศีลข้อกาเมฯแน่ๆจนกว่าจะแยกเตียงเป็นเรื่องเป็นราวก็แล้วกัน โลกนี้นะ
ถ้าเอาตามอุดมคติ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ฝ่ายชายเลี้ยงดูและปกป้องภรรยา
ภรรยาปรนนิบัติรับใช้สามีด้วยความซื่อสัตย์ มีค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว
ก็ได้ชื่อว่าทั้งคู่ทำจิตไม่ให้ซัดส่ายสับสน
ไม่ต้องชดใช้บาปกรรมทางเพศทั้งชาตินี้และชาติหน้ากันแล้ว
ต่อให้ชาตินี้ยังไม่รักกันดูดดื่มปานจะกลืน
ศีลสัตย์ก็จะกลายเป็นพลังดลใจให้รู้สึกรักลึกซึ้งเมื่อเจอกันในปรโลกไปเอง”
“เพื่อนจ๊ะหลายคนบ่นกันมากเลย ว่าอยากเกิดเป็นผู้ชาย
เป็นผู้หญิงมีแต่เสียเปรียบ หากผู้หญิงเกิดอยากเป็นผู้ชายในชาติหน้า
ถ้ารักษาศีลข้อกาเมฯให้บริสุทธิ์แล้วอธิษฐานเอา
อย่างนี้จะเกิดผลสำเร็จตามปรารถนาไหมคะ?”
“สำเร็จซี่ เพราะใจที่เลื่อมใสในศีล
รักษามั่นในศีลอย่างหนักแน่น เป็นฝักฝ่ายของบุรุษอยู่แล้ว
หากอธิษฐานกำกับไว้ด้วยก็ต้องได้เป็นชายแน่นอน”
“อย่างนี้ถ้าอยู่ตัวคนเดียวไม่แต่งงานก็หมดสิทธิ์สร้างกรรมว่าด้วยความซื่อต่อสามีสิคะ?”
“อยู่ตัวคนเดียวก็คิดได้
ว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาแล้ว ถ้าให้ดีครองตัวบริสุทธิ์ไปเลย
เพราะการถือครองพรหมจรรย์ การถือศีลแปดประพฤติธรรมจนเกิดปีติสุขปลอดโปร่ง
จะบันดาลผลให้ได้เป็นชายตามปรารถนาแน่นอนที่สุด”
“เพราะอะไรคะ?”
“เพราะพรหมจรรย์ทำให้จิตมีกำลังเป็นกุศลหนักแน่นไงล่ะ
ต้องใช้กำลังใจไม่ใช่น้อยๆนะถึงจะอยู่รอดตลอด กามน่ะเหมือนห้วงน้ำ
ทำให้จิตเอิบชุ่มด้วยยางเหนียว เป็นตัวลดทอนอำนาจกุศลให้อ่อนกำลังลงอย่างมาก
คนที่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงกามรสหนักๆจิตมักจดจ่ออยู่กับเครื่องเพศของหญิง
ยิ่งจดจ่อมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งยึดในอัตภาพหญิงมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนภพของหญิงเป็นแม่เหล็กดึงดูดจิตให้ไปติดจนแกะยาก
พอติดจมมากเข้าในที่สุดเลยกลายเป็นหญิงไปเสียเองเมื่อเกิดใหม่ครั้งต่อไป”
ลานดาวเขียนคำว่า ‘ความมักมากในกาม’ แล้วขีดเส้นใต้
“แค่ไหนถึงเรียกว่า ‘มักมากในกาม’ ในความหมายของอาจารย์คะ?”
“คือมีความคิดส่วนใหญ่ตรึกไปในกาม
อย่างเห็นใครก็เน้นมองเป็นวัตถุกามไปหมด ไม่ค่อยอยากรู้แง่มุมอื่นของใครเท่าไหร่
ที่สำคัญคือมีใจอุทิศร่างกายให้กับกามท่าเดียว วันๆแทบไม่อยากหยิบจับอย่างอื่น”
หญิงสาวหน้าแดงหน่อยๆ เม้มปากหัวเราะออกจมูก เหลือบตาลงต่ำเพื่อจดบันทึกก่อนเปรย
“ผู้ชายหลายคนมองว่าการประกาศศักดาของชาติชาตรีคือการมีผู้หญิงเยอะๆ
บางทีจ๊ะยังเคยคิดเลยค่ะว่าเป็นผู้ชายไทยนี่ดีเนอะ
เมียยิ่งมากสังคมก็ยิ่งยกนิ้วโป้งให้ว่าเก่ง
บางประเทศเขากีดกันไม่ยอมให้พวกขุนแผนเล่นการเมืองระดับประเทศด้วยซ้ำ”
อุปการะพยักพเยิด
“ค่านิยมของคนทั่วไปมักยืนพื้นอยู่บนความเชื่อในทางเสื่อม
พูดง่ายๆว่าชอบแข่งกันเก่งในทางลง ไม่ใช่ทางขึ้น
ทั้งนี้ก็เพราะความไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วได้ผลตอบแทนท่าไหนนั่นเอง
อย่างเช่นคนมักเข้าใจว่าแมนเต็มร้อยคือต้องแข็งกระด้างหรือแสดงออกในทางก้าวร้าวฉุนเฉียว
ปล่อยอารมณ์เต็มที่โดยไม่ต้องใช้เหตุผลยั้งคิดให้มาก
หรือเข้าใจผิดอย่างหนักคือควรพิสูจน์ความเป็นชายด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเยอะๆ
ทั้งที่กรรมเหล่านั้นเป็นฝักฝ่ายให้ได้เกิดเป็นหญิงแท้ๆ”
“แล้วพวกจิตวิปริต ชอบกดขี่ทารุณผู้หญิงล่ะคะ ต้องไปเกิดเป็นหญิงเพื่อโดนเอาคืนในรูปแบบเดียวกันหรือเปล่า?”
“กรรมจำพวกนั้นไม่ต้องทำบ่อยเป็นอาจิณก็มีน้ำหนักถีบลงนรกได้
เพราะการข่มขืนหรือการกดขี่ทารุณทางเพศบาดจิตบาดกาย
เบียดเบียนผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
ก่อให้เกิดความสกปรกแก่จิตของผู้กระทำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าโชคดีหน่อยลงไม่ถึงนรก
อย่างน้อยก็ไปเป็นสัตว์ที่ถูกทำทารุณแบบหมดสิทธิ์ป้องกันตัว
และในชาติถัดๆมาหากบุญถึง มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีก
เศษกรรมย่อมเสกรูปหญิงมาเพื่อชดใช้หนี้เก่าซ้ำ
ตามหลักที่ผู้เอาเปรียบย่อมกลายเป็นผู้เสียเปรียบ ผู้กระทำย่อมถูกกระทำคืน เขาจะงุนงงว่าเหตุใดตั้งแต่ต้นชีวิตตนจึงพบเจอแต่การทารุณทางเพศ
ทั้งที่หญิงอื่นหลายต่อหลายคนไม่เคยถูกกล้ำกรายแม้เท่าแมวข่วน”
ลานดาวกะพริบตาถี่ๆ
ข่าวอาชญากรรมทางเพศเป็นเรื่องน่าหวาดผวาสำหรับลูกผู้หญิงทุกคน
แต่หลังจากตระหนักว่าโลกทั้งโลกถูกดูแลโดยกรรม หล่อนก็เดาว่าอดีตชาติตนคงไม่เคยทำเรื่องโหดร้ายมาก่อน
ชาตินี้จึงไม่มีเรื่องโหดร้ายแผ้วพานมาใกล้ตัวแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งที่เพื่อนบางคนมาปรับทุกข์ให้ฟังแล้วต้องฉงนว่าสมัยนี้คนส่วนใหญ่อยู่กันเข้าไปได้อย่างไร
บางรายเจอเป็นปกติแทบปีละหนทีเดียว
“น่ากลัวจังนะคะ เหมือนหมุนวนเป็นวัฏจักรอย่างนี้เอง
ธรรมชาติให้เครื่องล่อใจมา พอบุ่มบ่ามคว้าเหยื่อล่อด้วยวิถีทางที่ผิดบาป
กระทำชำเราคนอ่อนแอ อนาคตก็ต้องกลับเป็นคนอ่อนแอให้ถูกชำเราคืน
โดยจำไม่ได้ว่าตัวก็เคยทำเขามา มีแต่จะเคียดแค้นอยากจองเวรกันไม่เลิกราต่อไป”
“ถ้ามองจากมุมของผู้อยู่เหนือกรรมอย่างพระพุทธเจ้า
ทุกคนน่าสงสารหมด ทุกความเลวทรามเป็นกรรมอันน่าสลดสังเวชหมด
เพราะเป็นเหตุให้ต้องรับผลย่ำแย่ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเสมอ
ตราบใดยังไม่มีการสำนึกผิด ตราบใดยังไม่มีการอโหสิ ตราบนั้นเวรจะยังไม่ระงับ
แล้วก็ต้องอยู่บนเส้นทางเดิมที่น่าเหน็ดหน่ายไม่สิ้นสุดกันต่อไป”
หญิงสาวนิ่งไปอึดใจ ภาวนาอย่าได้ต้องมีเวรมีภัยกับใครอีกเลย
“จ๊ะสรุปอย่างนี้ถูกไหมคะ…” กระแอมนิดหนึ่งก่อนดูโน้ตรวมๆ
“จิตวิญญาณไม่มีเพศ คือทางนามธรรมไม่มีใครเป็นชาย ไม่มีใครเป็นหญิง
มีแต่กรรมทางการคิด การพูด การทำของแต่ละคนที่ ‘สมชาย’ หรือ ‘สมหญิง’
ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมมีความสมชายก็ทำให้เกิดรูปชาย
ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมไม่พอก็ได้รูปหญิงกันไป เพราะเป็นเพศหญิงกันง่าย
ตอนเป็นตัวอ่อนทุกคนก็เป็นหญิงอยู่แล้ว”
“ถูก!” อุปการะรับรอง “ว่าแต่รู้ช่องทางอย่างนี้แล้ว
ยังพอใจจะเป็นหญิงต่อไปไหมล่ะ?”
คำถามนั้นแฝงน้ำเสียงสัพยอก
ลานดาวยกมือลูบเส้นผมยาวของตนเองลงมาถึงปลาย
กิริยานั้นทำให้รู้สึกถึงความเป็นหญิงจนต้องระบายยิ้มที่มุมปากนิดๆ
ความเป็นหญิงทำให้หล่อนรู้สึกว่าเป็นสมบัติของผู้ชายคนหนึ่ง
ขณะเดียวกันนั่นก็เป็นนาทีแรกที่รู้สึกแปลกไป เดิมทีหล่อนไม่ได้เป็นหญิง
ไม่ได้เป็นสมบัติของใคร
ไม่แม้แต่จะเป็นเจ้าของครอบครองร่างกายตนเองได้ชั่วกาลนานด้วยซ้ำ
แต่กรรมเก่าส่งให้มาใช้ชีวิตในภาวะอิตถีชั่วคราว
เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นหล่อน หล่อนเป็นเจ้าของร่างหญิงนี้
แต่ความติดใจในการครองรูปหญิงก็ยังเหนียวแน่น เพราะ…
“ถ้าเป็นหญิงแล้วได้ตามพี่ณะไปเรื่อยก็ดีเหมือนกันนะคะ”
อุปการะหัวเราะแล้วเบนหน้าไปอีกทาง
“อือ… ก็ดีตามอัธยาศัยเก่าของเรา”
“จ๊ะรู้สึกว่าพี่ณะมีความเป็นชายออกมาจากข้างใน บอกไม่ถูก
เหมือนเขาเป็นชายตลอดมาทุกภพทุกชาติ และจะไม่กลับเปลี่ยนเป็นหญิงเลย
จ๊ะเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”
อุปการะดึงสายตากลับมามองลูกศิษย์สาว
“คุณสรณะก็เหมือนแฟนคนก่อนของหนู
พวกนี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีมามากแล้ว จิตใจหนักแน่นเกินมนุษย์
เสียสละขนาดตายแทนคนไม่รู้จักได้ ก็ธรรมดาที่หนูจะรู้สึกว่าเขาเป็นชายเต็มพิกัด”
“พระโพธิสัตว์นี่คือพวกที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตใช่ไหมคะ?”
“ใช่…
ในอดีตกาลพวกนี้เคยพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆแล้วเกิดแรงบันดาลใจ
แทนที่จะบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จอรหัตตผลเอาตัวรอดเฉพาะตน ก็ขอเดินทางอ้อม
อยากอยู่บำเพ็ญบารมีต่อจนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพื่อช่วยรื้อถอนสัตว์จากสังสารวัฏด้วยกำลังแห่งตน
มโนกรรมอันเป็นมหากุศลนั้นส่งผลให้ชาติต่อๆมาเป็นผู้มีความริเริ่ม
มีความหนักแน่นในการทำกุศลยิ่งใหญ่มาก กำลังใจที่จะคิดเองทำเองนั้นสูงเหนือธรรมดา
เดินเดี่ยวได้โดยไม่ต้องมีใครนำ
ชอบแต่จะชักจูงหรือนำพาใครต่อใครไม่เลือกหน้าให้ได้ดีตามตน นับว่าเป็นกรรมในฝักฝ่ายของบุรุษสุดขั้ว
จึงมีความเป็นชายติดตัวไปตลอดตราบเท่าเข้านิพพาน”
“จ๊ะจะได้เป็นตัวจริงของพี่ณะตลอดไปด้วยใช่ไหมคะ?”
“หนูเคยอนุโมทนายินดีกับความปรารถนาพุทธภูมิของคุณสรณะมาหลายครั้ง
มีน้ำใจหนักแน่นขนาดออกปากเปล่งวาจาอธิษฐานขอยินดีในกุศลร่วมกับเขาทุกภพทุกชาติได้
วจีกรรมที่เกิดซ้ำๆด้วยใจจริงหลายภพหลายสมัยนั้น จะดลให้ได้เป็นคู่แท้ของเขา
เพราะชนะบุญที่หญิงอื่นทำร่วมกับเขามาทั้งหมด
พูดให้เข้าใจง่ายคือเมื่อไหร่เขาเป็นราชาหรือมหาจักรพรรดิผู้มีบาทบริจาริกาตามประเพณีหลายนาง
เราจะเป็นมเหสีเอกเสมอ ไม่มีทางเป็นนางสนมอย่างเด็ดขาด”
ลานดาวสยายยิ้มกว้างด้วยแรงฉีดของปีติ
“เมื่อกี้แค่อาจารย์พูดถึงการปรารถนาพุทธภูมิของพี่ณะ
จ๊ะก็นึกยินดีจะติดตามเขาตลอดไป ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน
อันนี้คือสัญญาณทางใจที่ติดมาจากการอธิษฐานเดิมใช่ไหมคะ?”
“อย่างนี้แหละ ธรรมดาของการอธิษฐานจะให้ผลแบบข้ามชาติในรูปความเต็มใจคิดแบบเดิมๆเมื่อถูกกระตุ้นเตือนให้ระลึกได้
เหมือนไฟลึกลับที่ผุดโพลงขึ้นมาจากส่วนลึกอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
เราจะบอกตัวเองว่าใช่โดยปราศจากคำถามหาเหตุผลที่มาที่ไป”
“คิดทบทวนแล้วก็ประหลาดดีจังค่ะ
ตอนยังไม่ทันอายุเข้าวัยรุ่นดี จ๊ะเห็นพี่ณะออกทีวีก็หลงใหลคลั่งไคล้เอามากๆ
และเชื่ออยู่ลึกๆว่าจ๊ะเป็นของเขา
แต่ความเชื่อนั้นก็สลับกับความคิดว่านั่นน่าจะเป็นแค่อาการละเมอเพ้อพกของเด็กผู้หญิงช่างฝันคนหนึ่ง
แล้วจ๊ะก็เริ่มเมียงมองหาเจ้าชายในโลกความจริง
ค่อยๆโตขึ้นพร้อมกับความตระหนักชัดว่าพี่ณะคงอยู่ไกลเกินเราจะตามทัน
แต่เขาก็เป็นเครื่องวัดระดับผู้ชายอื่นๆของจ๊ะ
และเหมือนคอยเป็นเครื่องบอกอยู่ตลอดเวลาว่าให้ดีแค่ไหนก็ยังไม่ใช่ไปหมด
ไม่น่าพอใจไปทั้งนั้น เพราะยังเทียบเขาไม่ได้สักคน
เว้นพี่แตรที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว”
“อือ… ก็เพราะแฟนเก่าของหนูอยู่บนทางพุทธภูมิเหมือนกัน
บำเพ็ญบารมีมาใกล้เคียงกัน”
หญิงสาวหัวเราะนิ่มๆ
“สิ่งที่สำคัญว่าเป็นอุปาทานกลับกลายเป็นของจริงไปได้
อย่างนี้จะมีวิธีรู้ไหมคะว่าตกลงอันไหนอุปาทาน
อันไหนคือสัญญาณเก่าจากอดีตชาติจริงๆ?”
“ปุถุชนธรรมดาที่ปราศจากญาณหยั่งรู้กรรมสัมพันธ์ระดับข้ามภพข้ามชาติ
ไม่มีทางแยกได้ออกหรอก เป็นเรื่องอจินไตย คือพระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิด
ถือเป็นอุปาทานไปก่อนจะปลอดภัยที่สุด
ไว้มีเหตุปัจจัยคลี่คลายพิสูจน์ตัวเองค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย”
“เอ่อ… ในเมื่อการติดตามพี่ณะเป็นเรื่องจริง
และเขาจะเป็นผู้ชายตลอดกาล อย่างนี้ก็หมายความว่าจ๊ะไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนเพศตลอดไป?”
อุปการะพยักหน้า
“การติดใจ การปักใจอธิษฐานขอติดตามพระโพธิสัตว์
เป็นเหตุผลหนึ่งของการเกิดเป็นหญิง”
“เมื่อกี้ตอนอาจารย์ยกตัวอย่างเล่นๆว่าถ้าชาติไหนพี่ณะเกิดเป็นมหาจักรพรรดิ
ชาตินั้นจ๊ะจะได้เป็นมเหสี จ๊ะขนลุกไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะยินดีกับตำแหน่งนะคะ
แต่เหมือนเห็นนิมิตพี่ณะกับตัวเองอยู่ในเครื่องทรงกษัตริย์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!”
“ก็คงเป็นความจำในส่วนลึก เพราะบำเพ็ญบารมีแบบโพธิสัตว์มานานขนาดนี้
บุญญาบารมีมักส่งให้ไปเกิดเป็นใหญ่เป็นโตบ่อย”
“กรรมอะไรที่ทำให้คนเราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิคะ?”
“ฐานะของคนเราโดยมากก็ผูกอยู่กับผลของทานที่ทำนั่นแหละ
ไม่ให้ทานเลยก็เป็นอยู่อย่างคนไม่มีอะไรเลย ให้ทานอย่างคนธรรมดาก็เป็นอยู่อย่างคนธรรมดา
ให้ทานอย่างราชาก็เป็นอยู่อย่างราชา
ให้ทานอย่างจักรพรรดิก็เป็นอยู่อย่างจักรพรรดิ”
“ทานของคนธรรมดาเป็นยังไงคะ?”
“ดูจากตัวหนูเองก็แล้วกัน ตอนเลือกซื้อของมาใส่ครัวผม
หนูเข้าซูเปอร์มาเก็ตด้วยความตั้งใจอย่างไร?”
หญิงสาวทบทวนไปถึงวาระจิตก่อนเข้าซูเปอร์มาเก็ตแล้วตอบตามซื่อ
“จ๊ะรู้สึกว่าถ้าไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาฝาก
ก็เหมือนขาดสิ่งที่สมควรน่ะค่ะ”
“ตอนเลือกของจากชั้นหนูคิดอย่างไร?”
“ก็เลือกสิ่งที่จ๊ะคิดว่าคุณภาพดีที่สุด
บางชิ้นจ๊ะรู้ว่าอาจารย์ชอบ แต่บางชิ้นจ๊ะก็ชอบของจ๊ะเองและอยากให้อาจารย์ลองบ้าง”
“หนูกะงบประมาณในการซื้อแค่ไหน?”
“เวลาให้ของอาจารย์หรือถวายของพระ
จ๊ะชอบเห็นของเต็มๆรถเข็นสองสามคัน ไม่ได้กะเป็นงบประมาณ และไม่เคยดูด้วยซ้ำว่าจ่ายไปเท่าไหร่
แค่ยื่นบัตรเครดิตให้แคชเชียร์อย่างเดียว”
“หนูไม่รู้สึกเดือดร้อนกับค่าใช้จ่ายเลยใช่ไหม?”
“ไม่เลยค่ะ สำหรับอาจารย์ แค่นี้นับว่าน้อยมาก”
“ลองกะได้ไหมว่าของทั้งหมดนั่นกี่บาท?”
หญิงสาวเหลือบตาลงต่ำ
พยายามทบทวนโดยนึกถึงตัวเลขดิจิตอลบนเครื่องคิดเงินของซูเปอร์มาเก็ตซึ่งผ่านตาเพียงแวบเดียว
แล้วก็ฟังเสียงพนักงานแค่ผ่านๆหูโดยไม่นึกว่าจะต้องจำไว้ให้ตัวเลขกับใคร
ถึงแม้โดยทั่วไปหล่อนยังตระหนี่ถี่เหนียวอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นการซื้อของให้อาจารย์แล้วไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องหมดเงินไปสักเท่าไหร่
“ดูเหมือนจะเป็นห้าพันเจ็ดกว่าๆนะคะ จำไม่ถนัด”
ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
“ช่างเถอะ ผมไม่ได้จะเอาความแม่นยำเรื่องตัวเลขหรอก
แค่อยากถามว่าหลังจากซื้อของด้วยจำนวนเงินประมาณนั้น
กับทั้งขนของจากรถมาเข้าห้องครัวบ้านผมแล้ว หนูรู้สึกยังไง?”
ลานดาวลำดับภาพอีกครั้ง
ประมวลรวมลงเป็นความรู้สึกโปร่งเบาแช่มชื่นขึ้นทันที
“มีความสุขค่ะ ชื่นใจที่ได้ทำอะไรตอบแทนอาจารย์บ้าง
แม้เล็กๆน้อยๆเหมือนไม่ค่อยมีความหมายก็ยังดี”
“จำประมาณของความสุขไว้นะ… เอาล่ะ! ทีนี้ลองย้อนนึกถึงวันที่หนูทำงานหนัก
ต้องเหนื่อยและทนหิว จำความหิวจนไส้แทบขาดได้ไหม?”
ลานดาวต้องเค้นนึกอยู่พักหนึ่ง เพราะตั้งแต่เกิดมา
คำๆหนึ่งในพจนานุกรมที่หล่อนไม่ค่อยเข้าใจความหมายก็คือ ‘หิว’ นี่เอง
แต่พอระลึกถึงวันคืนที่ตนดื้อดึงและประท้วงอดข้าวเพื่อขอแลกใบหย่ากับมาวันทา สภาพหิวไส้กิ่วหน้ามืดตาลายก็ย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ
มันเหมือนร่างกายเหี่ยวแห้ง อยากงอตัวตลอดเวลา
มีความทุรนทุรายเรียกร้องหาอาหารดับความทรมาน
โดยเฉพาะในช่วงวันแรกที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง
ทว่าครั้งนั้นหนองน้ำแห่งความเศร้าก็ปิดปากหล่อนไว้สนิท ไม่ให้ยอมรับสิ่งใดเข้าท้องได้เลย
พอนึกถึงความหิวได้ครั้งหนึ่ง
ก็โยงความทรงจำไปถึงความหิวอีกครั้งหนึ่งได้อีก ครั้งนั้นหล่อนอยู่ในช่วงประถม
เป็นเนตรนารี มีกิจกรรมที่ต้องทำหนักหน่วง หล่อนเหน็ดเหนื่อย เหงื่อท่วมและหิวโซ
แต่ก็ปลีกตัวออกมากินข้าวตามลำพังไม่ได้ เพราะงานปลูกค่ายยังไม่สำเร็จลุล่วง
และเพื่อนๆในกลุ่มก็ยังไม่ได้กินกันสักคน
ครั้งนั้นหล่อนเหลือบไปเห็นกลุ่มอื่นที่ทำงานเสร็จและนั่งกินข้าวปลาอย่างเอร็ดอร่อย
บังเกิดความอิจฉาตาร้อนขนาดคิดว่าจะยอมแลกชีวิตกับพวกนั้น
ขอเพียงสลับที่ได้เป็นฝ่ายกินข้าวแทนก็พอ
เมื่อนึกถึงสภาพตามที่อาจารย์กำหนดได้ก็พยักหน้า
“ค่ะ จำได้”
“จดจ่ออยู่กับความรู้สึกหิวนั้นไว้
แล้วลองลบความรู้สึกว่าหนูเป็นลูกคนรวยออกไป ตอนที่ทั้งเหนื่อยและทั้งหิวน่ะ
คนเราจำไม่ได้หรอกว่าเคยมีทรัพย์สินเงินทองแค่ไหน
คราวนี้สมมุติว่าหนูเป็นนางทาสคนหนึ่งที่ถูกเขาใช้แรงงานเกินกำลังทั้งวันทั้งคืน
อดตาหลับขับตานอนจนถึงรุ่งเช้าก็แล้วกัน”
ด้วยจิตที่กำลังคลุกเค้ากับความทรงจำครั้งเมื่อเป็นเนตรนารี
แถมมาเจอกับการพูดเหนี่ยวนำด้วยจิตตานุภาพของอุปการะ
ลานดาวก็รู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่าตนคือนางทาสผู้แสนทุกข์ทรมานขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
และก่อนที่มโนภาพอันแจ่มชัดในชั่วขณะนั้นจะผ่านไป อุปการะก็เอ่ยเสริมขึ้นอีก
“ถ้าหนูทำงานเสร็จ ท้องกำลังว่าง ปากกำลังแห้ง
แล้วได้รับปันส่วนอาหารเป็นข้าวสุกเพียงกำมือเดียว หนูจะทำอย่างไรเป็นอันดับแรก”
“เอาข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างรีบด่วนเลยค่ะ”
หญิงสาวตอบยิ้มๆโดยไม่ลังเล
“ถ้าใครมาเอ่ยปากขอ บอกว่าเขาหิวมากกว่าหนู
หนูจะให้ข้าวในมือไหม?”
ลานดาวเบ้ปาก
ส่ายหน้าน้อยๆตอบตามความสัตย์จริงโดยไม่เกรงถูกหาว่าใจร้าย
จิตไม่มีกำลังบุญพอจะเมตตาให้ทาน
“คงม่ายล่ะค่ะ ยอมรับว่าใจไม่ถึง ถ้าคิดจะแย่งข้าวจ๊ะตอนกำลังหิวคงต้องข้ามศพกันไปก่อน”
“แล้วถ้าเผอิญขณะนั้นหนูเหลือบขึ้นมาเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาบิณฑบาตพอดีล่ะ
ท่านไม่ได้เอ่ยปากขอ และหนูก็รู้อยู่ว่าท่านไม่ได้หิว
หนูจะยังคิดเอาข้าวใส่ปากตัวเองเหมือนเดิมหรือเปล่า?”
จุดรวมสายตาของลานดาวแปรไปเล็กน้อย มโนภาพพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมาในระหว่างทางปรากฏแจ่มชัดยิ่งในห้วงนึก
วาระนั้นหล่อนลืมความสำคัญของทุกสิ่ง เกิดน้ำจิตกระซิบบอกตนเองอย่างเฉียบขาด
ว่าต่อให้ถวายแล้วตายดับลงไปจริงๆเดี๋ยวนี้หล่อนก็จะถวาย!
“โอกาสดีที่สุดผ่านมา จ๊ะคงไม่ปล่อยให้ผ่านไป
ชีวิตหนึ่งเป็นได้มากที่สุดก็แค่ทาสรับใช้กิเลส
จ๊ะจะไม่เสียดายถ้าต้องตายเพราะถวายข้าวคำสุดท้ายใส่บาตรพระพุทธองค์!”
ขาดคำน้ำตาก็เอ่อท้นล้นขอบด้วยแรงแห่งมหาปีติ
ลำคอจุกแน่นด้วยความตื้นตันเกินระงับกับความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวของตน
บังเกิดความเย็นซ่านตลอดทั้งสรรพางค์ โล่งหัวอกถึงที่สุดเยี่ยงผู้เคยถูกภูเขาแห่งความเห็นแก่ตัวกดทับแล้วยกลอยออกเสียได้ทั้งลูก
อุปการะปล่อยให้ลูกศิษย์สาวเสพรสแห่งความปราโมทย์เงียบๆอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถาม
“เห็นความต่างระหว่างทานสามัญกับทานอันวิเศษไหม?”
ลานดาวกะพริบตาถี่ๆเพื่อเรียกความรู้สึกตัวเป็นปกติกลับมาตอบ
“ชัดที่สุดเลยค่ะ อาจารย์สะกดจิตจ๊ะเหรอคะ?”
“หนูเป็นตัวของตัวเองเต็มร้อยเมื่อตัดสินใจเลือกทำกุศลกรรม…
ดูไว้นะ
ขอให้สังเกตเปรียบเทียบว่าข้าวของกองพะเนินที่หนูซื้อหามาด้วยเงินครึ่งหมื่นนั้น
ไม่ต้องใช้กำลังใจในการสละเงินสักเท่าไหร่
อย่างมากคือใช้กำลังใจในการคัดเลือกสิ่งดีที่สุดมาให้ผม แต่ข้าวคำเดียวที่อาจหมายถึงการประทังชีวิตให้รอดนั้น
ต้องใช้กำลังใจในการสละยิ่งกว่ากันเกินประมาณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับทานเป็นพระพุทธเจ้า
ก็เหมือนได้ภาคขยายผลที่ก่อให้เกิดกำลังใหญ่สูงสุด
ความสุกสว่างของทานย่อมแตกต่างกันลิบลับ”
หญิงสาวก้มหน้าจดบันทึกอย่างรวดเร็วก่อนเงยขึ้นถาม
“เมื่อครู่จ๊ะทำมหากุศลกรรมไปจริงๆหรือเปล่าคะ?”
อุปการะผงกศีรษะ
“จริง! จริงเต็มร้อยทางมโนกรรม แต่ไม่เต็มร้อยทางกายกรรม
เพราะขาดองค์ประกอบเช่นข้าวในมือ และขาดพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
แต่วิบากกรรมที่ได้รับเดี๋ยวนี้คือปีติสุขยิ่งใหญ่ซึ่งหนูรู้ประจักษ์อยู่กับตนเอง
และนี่อาจเป็นชนวนเปลี่ยนนิสัยทางความคิดในชาติปัจจุบัน
จากการให้ทานแบบมีเงื่อนไขเป็นไม่มีเงื่อนไข
จากคิดหยุมหยิมเป็นไม่มีอะไรในใจในระหว่างให้ทาน
ส่วนวิบากในอนาคตชาติคือจะได้เป็นผู้มีโอกาสถวายข้าวกับพระพุทธเจ้าองค์จริงในพุทธกาลถัดไป
นี่แหละ! ผลของมโนกรรมที่ทำอย่างสมบูรณ์เพียงแค่นี้แหละ”
ลานดาวรับฟังด้วยความตื้นตันจนนึกอยากพนมมือไหว้
ไหว้พระพุทธเจ้าในมโนนึก ไหว้อาจารย์ตรงหน้า
“หนูลองเปรียบเทียบดู” อุปการะสั่งสืบมา
“เอาน้ำหนักปีติสุขเป็นเกณฑ์ก่อน นึกออกไหมว่าทานธรรมดาที่ทำกับผม และทานอันวิเศษที่ทำกับพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไร?”
หญิงสาวนึกออกแจ่มชัด ทั้งขณะทำ ระหว่างทำ และหลังทำ
เหมือนน้ำอ่างเล็กกับน้ำบ่อใหญ่
แต่ด้วยเพราะความเคารพในอาจารย์จึงไม่กล้าปริปากตอบ
เดี๋ยวจะเป็นการหลู่คุณท่านอยู่กลายๆ
“คราวนี้ลองเอาขอบเขตแสงสว่างแห่งกรรมเป็นเกณฑ์
หนูนึกในใจดูว่าความต่างระหว่างทานทั้งสองชนิดเป็นขนาดประมาณไหน”
ลานดาวเหลือบตาลงพื้น
ย้อนกลับไประลึกถึงใจในเหตุการณ์อันเป็นทานธรรมดาที่ทำกับอาจารย์
ประมาณความรู้สึกสว่างได้ระดับหนึ่งซึ่งกว้างขวางกว่าทานทั่วไปอักโข
เนื่องจากอาจารย์ท่านเป็นผู้ทรงศีล แล้วหล่อนก็ทำไปด้วยจิตคารวะ
มีความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้งอีกด้วย
จากนั้นจึงระลึกถึงขณะแห่งเจตนาทำทานวิเศษ
ที่สำคัญตนเองเป็นนางทาสกำลังจะถวายข้าวอันเป็นสิทธิ์เพียงคำเดียวแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ถึงกับเบิกตาโพลงขนลุกเกรียว อุทานอย่างลืมตัว
“โอ้โห!”
กุศลกรรมได้ชื่อว่า ‘กรรมขาว’
ก็เพราะเห็นด้วยจิตเป็นความสว่างขาวจริงๆ
และถ้าเปรียบความสว่างของทานที่ทำกับอาจารย์เป็นไฟร้อยแรงเทียน
ความสว่างของทานที่เพียงคิดทำกับพระพุทธเจ้าแบบไม่คิดชีวิตนั้น
แม้ขาดพระองค์จริงรับทาน ก็ยังเทียบเท่ากับไฟล้านแรงเทียนเข้าไปแล้ว!
นั่นทำให้นึกถึงสิ่งเทียบเคียงบางอย่างในธรรมชาติฝ่ายรูปธรรม
ขอเพียงเราเข้าใจเหตุและผลแบบวิทยาศาสตร์ดีพอ ก็ไม่มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ
อย่างเช่นถ้าบีบแสงแดดด้วยเลนส์นูนธรรมดา
ก็สามารถเพิ่มความร้อนระดับปกติที่เนื้อคนทนอยู่ได้ให้ทวีขึ้นเป็นความร้อนระดับย่างเนื้อให้ไหม้เกรียมลงไปถึงกระดูกภายในเวลาไม่นานเกินรอ
หรืออย่างเช่นที่เราป้อนพลังอัดเข้าไปนิดเดียว
ระบบไฮดรอลิกสามารถคายพลังขับดันออกมาเป็นสิบเป็นร้อยเท่าได้ราวกับมายากล
ก็เพราะนักวิทยาศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับการส่งถ่ายแรงดันผ่านของเหลวที่อัดตัวไม่ได้
จากลูกสูบหน้าตัดเล็กไปสู่ลูกสูบหน้าตัดใหญ่
แต่เรื่องของการขยายกุศลผลบุญอันเป็นนามธรรมนั้น
มีความซับซ้อนวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าธรรมชาติทางรูปธรรมมาก เพราะทั้งกำลังใจในการทำ
ทั้งบุคคลอันเป็นภาคขยายผล
ล้วนเป็นสิ่งที่ปราศจากขนาดและน้ำหนักให้ชั่งตวงวัดได้ชัดเจน
แม้ผู้มีจิตสัมผัสความสว่างหรือน้ำหนักของกรรมได้ก็ต้องฝึกฝนเข้าไปรู้ เข้าไปจำแนก
และมีความสงบนิ่งเป็นกลางปราศจากอคติอย่างยิ่งยวดด้วย จึงจะทราบได้ตามจริง
อุปการะสรุป
“ทานที่หนูทำกับผมนั้น เป็นทานบนฐานของความกตัญญู
จะส่งผลให้หนูมีความเจริญรุ่งเรืองไม่ตกอับง่ายๆ
ส่วนทานที่หนูคิดทำกับพระพุทธเจ้านั้น เป็นทานบนฐานของศรัทธาในบุคคลอันควรบูชาสูงสุด
จะส่งผลให้หนูมีโอกาสทำบุญและเสวยบุญอย่างใหญ่ หนูเคยทำมาก่อน
เมื่อเจอสถานการณ์ที่ปลุกความจำในบุญเก่าก็กระตุ้นให้นึกอยากทำซ้ำอีก
บุญประมาณนี้แหละสามารถติดตามพระโพธิสัตว์ไปทุกภพทุกชาติได้ไหว
แม้เมื่อท่านเสวยชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็คู่ควรกับการเป็น ‘นางแก้ว’ ของท่าน”
ลานดาวแย้มยิ้มอย่างสุขสมและภาคภูมิใจในตนเอง
แต่ขณะเดียวกันก็อดกังขาไม่ได้ ขนาดประมาณบุญแห่งตนยังแค่ระดับบาทบริจาริกา
แล้วกรรมอันควรแก่ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องยิ่งกว่านี้ขนาดไหน
ทั้งในแง่กำลังใจ ทั้งในแง่คุณภาพกับปริมาณของทาน
และทั้งในแง่ผู้รับอันเป็นภาคขยายผลของทาน
“แล้วทานแบบไหนที่ทำให้เป็นใหญ่ระดับจักรพรรดิคะ?”
“ทานที่ทำกับคนทุกระดับ ครบทุกประเภท
และสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติเหมือนเก็บแต้มจนถึงจุดที่จะบันดาลทุกสิ่งให้พรั่งพร้อมบริบูรณ์พอกับการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก”
หญิงสาวรีบจดพลางถาม
“ทานที่ทำกับคนทุกระดับคืออย่างไรคะ?”
“คือให้กับทุกคนที่อยู่แวดล้อมรอบตัวเรา
นับตั้งแต่ในบ้านเช่นพ่อแม่พี่น้องลูกเมีย ไปถึงนอกบ้านเช่นลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน
เจ้านาย ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้า ตลอดจนผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง
เช่นสัตว์ ขอทาน เด็กกำพร้า คนไข้อนาถา คนชรา หรือแม้กระทั่งคนปกติที่รวยกว่าเรา
แข็งแรงกว่าเรา มีเรื่องแค้นเคืองกับเรา สรุปรวมเรียกสั้นๆว่าเป็นทานที่
‘ให้แบบไม่เลือกหน้า’ นั่นเอง จะใกล้ชิดหรือห่างเหิน จะต่ำกว่าหรือสูงกว่า
เป็นเหมาหมดไม่เกี่ยงงอนทั้งสิ้น”
“แล้วการให้ทานครบทุกประเภทล่ะคะหมายถึงอย่างไร?”
“ทานมีหลายแบบ ‘ทรัพยทาน’ คือให้ข้าวของเงินทองปัจจัย ๔
‘อภัยทาน’ คือยกโทษไม่ถือโกรธยุติได้แม้กระทั่งการผูกใจเจ็บ ‘อวัยวทาน’
คือช่วยเหลือด้วยกำลังกายหรือบริจาคอวัยวะเช่นเลือดขณะมีชีวิตและร่างกายหลังตายให้นักเรียนแพทย์ใช้ศึกษา
‘วิทยทาน’ คือช่วยเหลือด้วยกำลังความรู้ความคิดคำปรึกษาแนะนำต่างๆ ‘ธรรมทาน’
คือให้ปัญญารู้เรื่องกรรมวิบากและทางดับทุกข์”
ลานดาวเงียบคิดไปครู่หนึ่ง พยายามเทียบเคียงกับชีวิตจริง
สำหรับคนทั่วไปนั้น แค่อะไรง่ายๆเช่นเอื้อเฟื้อกันบนถนนให้รถของอีกฝ่ายไปก่อนก็ยากแล้ว
อย่าว่าแต่จะให้ควักกระเป๋าจ่ายสตางค์ หรือจะให้สละความผูกใจเจ็บ
หรือจะให้ถ่อสังขารไปบริจาคเลือด
หรือจะให้เสียเวลาปากเปียกปากแฉะสอนใครทางโลกและทางธรรม
แต่ละอย่างนับว่ายากเต็มกลืน นี่กรรมของการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังมีเงื่อนไขว่าต้องทำให้ครบทุกประเภทกับคนทุกระดับเข้าไปอีก
ก็ไม่ควรแปลกใจหรอกที่ตำแหน่งจักรพรรดิจะเป็นของหายาก
“หากทำทานได้ครบถ้วนอย่างนี้จริงก็น่าเชื่อแหละค่ะว่าจะเกิดใหม่มีศักดิ์ใหญ่เหนือมนุษย์แน่ๆ
เพราะธรรมดาคนเราเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกว่าต้องทำเพื่อตัวเอง
เอาเข้าตัวเองเท่านั้น อะไรไม่ต้องแจกก็ไม่อยากแจกเลย”
“ถึงต้องอาศัยบารมีระดับโพธิสัตว์
คือเคยปรารถนามาก่อนว่าจะเสียสละตนเองในทุกๆทางเพื่อคนอื่นไงล่ะ
และเส้นทางของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่พรวดพราดขึ้นมาก็ทำทานได้ครบถ้วนอย่างที่ผมว่าภายในชีวิตเดียวหรอก
ต้องค่อยๆสะสมแต้มกันข้ามภพข้ามชาติเพื่อมาต่อแต้มเอา กระทั่งบุญหนักศักดิ์ใหญ่พอจะเป็นราชาในเวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติ
ได้ถวายมหาทานยิ่งใหญ่เกินใคร กับทั้งมีโอกาสเป็นศาสนูปถัมภก
อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาใหญ่ในประเทศของตน
ขั้นนั้นบุญจึงไพบูลย์ถึงขีดสุด
เกิดใหม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิของโลกทันทีที่เจริญวัยพร้อมพอ”
ลานดาวนึกอะไรขึ้นได้ก็ชักกังขา
“อาจารย์คะ
การที่จิตวิญญาณไปปฏิสนธิในฤกษ์จักรพรรดิได้ก็เพราะบุญอย่างอุกฤษฏ์
แต่ทำไมการเป็นจักรพรรดิที่เห็นๆในอดีตถึงต้องลำบากตรากตรำอยู่แต่ในสนามรบแทบทั้งชีวิต
มหาจักรพรรดิบางพระองค์กว่าจะสวรรคตก็ต้องบั่นคอศัตรูด้วยพระหัตถ์เป็นพัน
อย่างนี้มิขัดแย้งแย่หรือ? ชาติหนึ่งทำบุญด้วยหัวใจบริสุทธิ์
เพื่อมาก่อกรรมทำเข็ญด้วยความกระหายอำนาจในอีกชาติหนึ่ง”
“จักรพรรดิประเภทนั้นเป็นจักรพรรดิธรรมดา”
คนฟังทำตาโต
“แม้แต่จักรพรรดิก็มีแยกประเภทด้วย?”
“ที่หนูกับคนในโลกรับรู้ตามบันทึกในประวัติศาสตร์น่ะ
เป็นจักรพรรดิซึ่งบุญเก่าส่งฐานอำนาจมาให้ครึ่งหนึ่ง
แล้วต้องบวกกับความเก่งในการรบอีกครึ่งหนึ่ง
จึงสามารถสร้างชัยชนะเหนือราชาทั้งปวงได้
แบบนั้นอาจเป็นผู้ครองโลกด้วยเวลาไม่กี่สิบปีเพื่อไปรับโทษในอบายภูมิเป็นร้อยเป็นพันปีกัน”
“แต่อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากปราบโลกได้แล้ว
ท่านก็หันมาทำนุบำรุง
และเป็นประมุขในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วทุกสารทิศไม่ใช่หรือคะ?”
“ท่านก็ได้รับผลสมควรกับกรรมสืบต่อไป
พระหัตถ์ที่เปื้อนเลือดในช่วงชีวิตแรก กับพระหัตถ์ที่ชูพระคัมภีร์ขึ้นเหนือเศียรในช่วงชีวิตหลัง
ทำให้ท่านเป็นกษัตริย์นักรบที่มีพลังชนะเหนือกษัตริย์อื่นๆในชาติต่อๆมา
และไปเกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนาประสบกับวิกฤตการณ์
ต้องการบารมีของท่านมารักษาให้อยู่รอดและยั่งยืนต่อไป
แต่แม้เป็นศาสนูปถัมภกขนาดนั้นแล้ว ท่านก็เป็นจอมจักรพรรดิตามคติของโลก
ยังไม่เข้าข่ายพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้”
ลานดาวเอนหลังพิงพนัก อดหัวเราะด้วยความอ่อนใจไม่ได้
“กรรมจำแนกสัตว์ซับซ้อนพิสดารขนาดนี้นี่เล่า มิน่าล่ะ
พี่เอินเคยบอกว่าเฉพาะสัตว์ในโลกนี้ก็ร่วม ๑๐ ล้านสายพันธุ์เข้าไปแล้ว”
“โดยย่นย่อให้เหลือเพียงแก่น
สัตว์ทั้งหลายต่างกันด้วยวิธีคิดในการก่อกรรมเท่านั้นแหละ
ผลกรรมหลากหลายได้เป็นอนันต์แค่ไหน
ก็สะท้อนความวิจิตรพิสดารของความต่างระหว่างวิธีคิดก่อกรรมได้แค่นั้น”
“แล้วพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงไว้เป็นอย่างไรหรือคะอาจารย์?”
“คือคนที่บุญถึงอย่างแท้จริง
ขนาดที่โลกต้องยอมสยบให้เพียงเพราะเห็นบุญฤทธิ์ที่แสดงออกมาในรูปแบบความศักดิ์สิทธิ์ประการต่างๆ
ผู้เป็นโพธิสัตว์นั้น ก่อนเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ชาติสุดท้ายมักเกิดใต้ร่มโพธิ์พุทธศาสนา ศรัทธาพระพุทธเจ้า พยายามใช้สติปัญญาและบารมีทุกๆทางกระทำให้อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์อยู่ในกรอบศีลธรรม
ไม่ใช้อาชญาขั้นประหารในการลงโทษผู้ประพฤติผิด
แต่มีวิธีทำให้สำนึกผิดกลับตัวเป็นคนดีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…
“ด้วยฤทธิ์ของทานและฤทธิ์ของศีลที่พระโพธิสัตว์ทำแล้ว
และชักนำให้คนอื่นร่วมทำตาม ส่งให้ชาติต่อมาของท่านเป็นใหญ่ได้โดยสวัสดิภาพ
ไม่ต้องรบพุ่ง ไม่ต้องอาศัยอาญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ก็สามารถครองทวีปทั้งหลายโดยธรรม
เพราะเมื่อมีสมบัติมากพอก็แจกจ่ายให้ทุกคนอิ่มท้อง เมื่อทุกคนท้องอิ่มก็ปราศจากขโมยขโจร
ปราศจากการเบียดเบียนฆ่าฟัน ปราศจากการโกหกมดเท็จ… ฟังยากหน่อยนะ
เพราะเรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นกับตา
เผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้ก็ยังไม่เคยมีตัวอย่างบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”
ความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะทำให้ลานดาวนึกถึงดำริของสรณะ
เขาบอกหล่อนเสมอว่าปรารถนาที่จะเห็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์พอจะพัฒนาเป็นธรรมาธิปไตย
เขาอยากขจัดอาชญากรรม อยากให้ทุกคนรู้ทางบุญ
ซึ่งแม้หล่อนจะสนับสนุนให้ฝันอะไรดีๆอย่างนั้น ใจก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้
เพราะยอดแห่งฝันของเขาห่างไกลความจริงเหลือเกิน
ต่อเมื่อใกล้ชิดเขามากขึ้น ทำงานด้วยกันมากขึ้น
เห็นวิสัยทัศน์กับปัญญาอันเอกอุของเขาแจ่มกระจ่างขึ้น
ถึงวันนี้หล่อนกลับเกิดมุมมองใหม่ นั่นคือมนุษย์เราเคยชินกับคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
เพียงเพราะโลกนี้ขาดคนทุ่มเทสติปัญญาคิดสร้างเหตุปัจจัยให้มันเป็นไปได้ขึ้นมา
ช่องทางที่คนอื่นไม่เคยมอง โอกาสที่คนอื่นไม่เคยเห็น
สรณะพยายามเข้าไปมองจนเห็นมาแล้วหลายครั้ง
“พี่ณะพูดถึงอุดมคติทางการเมืองการปกครองให้จ๊ะฟังมามาก
แรกๆจ๊ะฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก
แต่ยิ่งวันก็ยิ่งตลกน้อยลงทุกทีเมื่อจ๊ะเห็นความสำเร็จในแผนต่างๆของเขา
หลายครั้งดูเหลือเชื่อ แต่ในที่สุดก็ต้องเชื่อเมื่อผลออกมาตามเป้าหมาย”
“หนูอย่าไปดูถูกเขา
ความเป็นไปได้จริงเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยสองประการ
อันดับแรกคือมีความตั้งใจมุ่งมั่น อันดับที่สองคือมีบุญเก่าหนุนอยู่อย่างเพียงพอ
ขอเพียงมีเหตุและปัจจัยที่เหมาะสม ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกที่มนุษย์ทำไม่ได้”
“พระเจ้าจักรพรรดิของแท้มีจริง แล้วก็เกิดขึ้นได้ยากจริงๆ
เหมือนการอุบัติของพระพุทธเจ้าเลยใช่ไหมคะ?”
“การอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นไปได้ยากกว่าการอุบัติของพระเจ้าจักรพรรดิหลายร้อยหลายพันเท่า!
อันที่จริงเส้นทางโพธิสัตว์ต้องผ่านการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์มาด้วยกันทั้งสิ้น
และการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์จนใกล้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น
ส่งผลให้ได้ครองโลกแบบพระเจ้าจักรพรรดิก่อน
เพื่อกวาดบริษัทบริวารทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ไปถึงชาติสุดท้ายที่ทรงเป็นธรรมราชา”
“แปลว่ายกชั้นขึ้นเสวยภพจักรพรรดิแล้วจะไม่ตกกลับเป็นราชาหรือสามัญชนคนธรรมดาได้อีก
รอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าต่อเลยหรือคะ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
ฐานะจักรพรรดิยังตกอยู่ในการครอบงำของอนิจจัง
ยังกลับมาเป็นกษัตริย์ธรรมดาหรือสามัญชนได้เสมอ
ชาติต่างๆมีปัจจัยบีบคั้นให้ก่อเหตุลงต่ำและขึ้นสูงได้เรื่อยๆ”
“จ๊ะนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ถ้าหากจำไม่ผิด
มีโหราจารย์ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะไว้ว่าจะเลือกเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือพระบรมศาสดาก็ได้”
อุปการะพยักหน้ารับรอง
“ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่เลือกออกผนวช
ถึงตอนนี้หน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกการมีอยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิตัวจริง
เหนือยิ่งกว่าพระเจ้าอโศกมหาราช อเลกซานเดอร์มหาราช ตลอดจนเจงกิสข่านรวมกัน!
เหตุเพราะท่านมีบารมีพอจะครองโลกในแบบธรรมาธิปไตยได้สำเร็จเป็นพระองค์แรกในเผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้!”
หญิงสาวทำหน้าสงสัย
“แล้วอย่างนั้นทำไมท่านไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิก่อน
แล้วค่อยออกผนวชเป็นศาสดาล่ะคะ? โลกจะได้มีศาสนาเป็นหนึ่งเดียว”
อุปการะส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่ใช่วิสัยหรอก
เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติอันทรงบารมีแก่กล้าถึงขีดสุด
ก็ต้องเลือกว่าจะให้บารมีทางโลกหรือบารมีทางธรรมเบ่งบานขึ้นมา
จะเหมารวมทั้งทางโลกทางธรรมไม่ได้
ถ้าเทียบเคียงกับโหราศาสตร์คือจะมีจุดตัดของการบันดาลผลสำเร็จสูงสุดครั้งเดียว
เมื่อเลือกด้านหนึ่งก็จะต้องเสียอีกด้านหนึ่งไป
ลองมองตามความจริงของช่วงอายุขัยมนุษย์ปัจจุบันซึ่งไม่เกินร้อยปี
ถ้าท่านครองราชย์ก็ต้องรอจนชราหรือใกล้ชราจึงเหมาะควรกับการออกบวชตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณ
แล้วท่านจะเอาพระกำลังจากไหนมาลองผิดลองถูก ตรากตรำทรมานตนตั้ง ๖-๗ ปีก่อนสำเร็จธรรมอย่างที่เรารู้ๆกัน”
เครื่องหมายคำถามที่หัวคิ้วของลานดาวคลายลง
“การตัดสินใจเลือกของผู้มีบุญญาธิการระดับโลกนี่ส่งผลกระทบในวงกว้างใหญ่และยืดยาวมากนะคะ
ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่เลือกการบรรพชา ก็คงไม่มีมรดกธรรมมาถึงอาจารย์
แล้วอาจารย์ก็จะส่งทอดมาถึงจ๊ะไม่ได้ จ๊ะก็โง่ต่อไป ระหว่างการเที่ยวเกิดตาย
คงมีน้อยครั้งที่จ๊ะจะเข้าใจกรรมวิบากได้กระจ่างเหมือนชาติที่เกิดใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาอย่างนี้”
“การตัดสินใจของทุกคนมีผลกระทบที่สำคัญต่อโลกเสมอ
ตอนหนูร้าย หนูไม่ได้เดือดร้อนคนเดียว และตอนหนูดี หนูก็ไม่ได้เย็นสบายเพียงลำพัง
คนรอบตัวหนูจะช่วยกันกระจายคลื่นความเดือดร้อนหรือคลื่นความเย็นสบายออกไปกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆโดยที่หนูไม่อาจตามไปดูผลได้หมด”
ลานดาวประสานมือบิดตัวนิดๆ
คุยเรื่องพระโพธิสัตว์มากๆแล้วคิดถึงสรณะขึ้นมาอย่างแรง
จึงแย้มยิ้มในลักษณาการของผู้มีความยินดีปรีดาในเส้นทางกรรมแห่งตน
ตอนที่
๔๑. ชนะกรรม
“เป็นไง? ไม่มาเสียเกือบสามเดือน”
อุปการะทักมาจากเบื้องหลัง
ขณะที่ลานดาวกำลังช่วยกันกับเด็กคนใช้จัดข้าวของเข้าตู้เย็นและชั้นวางต่างๆ
เดี๋ยวนี้หล่อนมาครั้งใดจะหอบหิ้วข้าวปลาอาหาร น้ำผลไม้ วิตามิน
และอื่นๆเต็มคันรถมาฝากห้องครัวบ้านอาจารย์ของหล่อนเสมอ
หญิงสาวชะงักมือ หันมายอบกายพนมมือไหว้
“สวัสดีค่ะอาจารย์
พักนี้ยุ่งเรื่องรายการใหม่กับหนังสือใหม่จนไม่เป็นทำอะไรเลยค่ะ
อาทิตย์หน้าหวุดหวิดจะติดคิวต่างจังหวัด
เกือบไม่ได้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวของพี่เอินด้วยซ้ำ… อาจารย์สบายดีนะคะ?”
“ก็พอใช้”
“แล้วอาทิตย์หน้าจะได้เจออาจารย์ที่งานพี่เอินหรือเปล่าเอ่ย?”
อุปการะพยักหน้า
“ได้… ไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถอะ ปล่อยให้ส้มเขาจัดการไป”
ลานดาวยิ้มแป้น
เดินตามอาจารย์ต้อยๆไปที่ห้องรับแขกตามคำสั่ง
เมื่อมาถึงก็นำอุปกรณ์บันทึกเสียงชนิดแฟลชไดรฟ์วางไว้บนโต๊ะกลางแล้วกดปุ่ม
ด้วยความตั้งใจแต่แรกว่าจะมาขอข้อมูล
“จ๊ะกำลังจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ค่ะ
ต้องขอรบกวนอาจารย์อีกครั้ง”
“เหรอ… คราวนี้เกี่ยวกับอะไร ตั้งชื่อหนังสือว่ายังไงล่ะ?”
“คิดว่าคงเป็นชื่อ ‘ลานกรรมระบำดาว’ ค่ะ
เอาชื่อจ๊ะไปมีเอี่ยวด้วยหน่อย
เล่มนี้จะอยู่บนแนวคิดที่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลกับเส้นทางและเหตุการณ์ในชีวิตคนจริงๆ
แต่เนื้อหาทั้งหมดจะโยงให้เกิดความเข้าใจว่าทำอย่างไรจึงมาเกิดใต้อิทธิพลของดาวดวงไหน”
อุปการะยิ้มอย่างเข้าใจแนวคิดของลูกศิษย์สาว
“ฟังดูดีเหมือนกัน
คนส่วนใหญ่ฟังเรื่องกรรมแล้วรู้สึกว่าเข้าใจยาก แม้หลายคนเชื่อเรื่องกรรมก็ไม่จุใจ
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พืชที่ตนหว่านไปจะให้ผล
คนเลยอยากฟังเรื่องอิทธิพลของดวงดาวมากกว่า
เพราะถ้าตำราไหนแม่นๆก็บอกเลยว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่จะเจออย่างนั้นอย่างนี้
เขาไม่อยากทราบสาเหตุหรอกว่าทำไมตัวเองถึงตกมาอยู่ใต้อิทธิพลของดาวไหน
อยากรู้แค่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเองแน่ๆเท่านั้น
หนูเอาเรื่องกรรมกับโหราศาสตร์มาเชื่อมกันก็ดี ว่าแต่จะให้ผมช่วยยังไงล่ะ?”
“ขอเล่าแนวทางคร่าวๆก่อนนะคะ จ๊ะได้ไอเดียจากที่อาจารย์เคยพยากรณ์จ๊ะผ่านผังกรรม
เช่นเส้นทางหลักจะต้องได้เป็นดารานักร้องระดับโลกเพราะบุญเก่าหลายๆอย่างประกอบกัน
แต่บนเส้นทางดาราก็จะต้องเจอะเจอความผิดหวังเสียใจ
เพื่อชดใช้ความผิดที่ทำไว้กับหนุ่มๆ
รวมกับธรรมชาติของเส้นทางดาราที่ต้องวุ่นวายกับราคะ ชักนำให้ใครต่อใครเกิดราคะ
ผลเลยต้องเสวยวิบากไม่ดีเกี่ยวกับราคะเข้าด้วยตนเองบ้าง”
อุปการะผงกศีรษะ
“อือม์”
“จ๊ะสนใจเส้นทางหลักของชีวิต
เพราะเห็นว่าเราดิ้นหนีจากความเป็นตัวเองไม่ได้
เหมือนมีบางสิ่งรุนหลังบังคับให้ต้องดุ่มเดินไปตามทาง พูดให้ง่ายคือกรรมเก่าสร้างทางไว้ให้เดิน
อย่างไรก็ต้องเดิน แต่ระหว่างเดินก็มีสิทธิ์ทำอะไรให้ดีขึ้นได้เหมือนกัน…
นี่คือแนวคิดหลักๆค่ะ ขอถามก่อน อาจารย์เห็นว่าจ๊ะมองอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ผู้เป็นอาจารย์กอดอกด้วยท่าทีของผู้มีความสุขุมเป็นนิตย์
“กรรมเก่าจากอดีตชาติขุดทางให้เราเดินในชาติปัจจุบัน
แต่ถ้ากรรมปัจจุบันมีพลังเหนือกว่าที่ทำไว้ในอดีตชาติอย่างชัดเจน
ก็อาจยกระดับให้เดินสูงขึ้นได้ หรือกระทั่งฉีกทางแยกเป็นตั้งฉากเลยก็ยังไหว
หนึ่งชีวิตของมนุษย์เรามีศักยภาพได้ขนาดนั้น”
ลานดาวไหล่ตก ท่าทีเซื่องลงคล้ายนางม้าป่าที่ถูกกระหนาบจนหมดพยศอย่างสิ้นเชิง
“ตอนฮึดสู้อย่างคนที่แสวงหาความรักแทบพลิกแผ่นดิน
จ๊ะก็ไฟแรงจะเอาให้ได้อย่างนั้นแหละค่ะ แต่พอชีวิตปรากฏอยู่ตรงหน้าจริงๆ
ลองได้เพียรสู้ ลองพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีทางตัวเอง
ลองพยายามแม้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ถึงเห็นว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่เกินฤทธิ์กรรมเก่าๆของตัวเอง”
อุปการะหัวเราะแผ่ว มองลานดาวด้วยสายตาแบบหนึ่ง
ไม่เจือด้วยความหมั่นไส้เหมือนแต่ก่อน
เพราะอย่างน้อยหล่อนก็เพียรสร้างสมความดีจนสมควรแก่การยกย่อง
ไม่เอาแต่ยื่นหน้าอวดดี เห่อเหิมในบุญญาธิการท่าเดียวดังเคย
“หนูอยากได้คนรักไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ก็ได้แล้วนี่
ที่ผ่านมาก็ไม่เคยขาดด้วย”
หญิงสาวยิ้มซึมกว่าเดิมคล้ายถูกจี้ตรงจุด
“ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของอาจารย์ต่างหากล่ะคะ
พี่แตรเกือบใช่ แต่ในที่สุดก็ไม่ใช่ และก็จริงอย่างอาจารย์บอก
คือถ้าจ๊ะจะเอาเขาไว้จริงๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับจ๊ะจะทำให้เขาใช่หรือไม่ใช่
แต่จ๊ะล้าเองเสียก่อน ในเมื่อมองเห็นองค์ประกอบทุกอย่างถูกวางไว้แล้ว อาจารย์บอกว่าพี่แตรกับคู่แท้ของเขาเคยออกถิ่นทุรกันดารช่วยเหลือคนร่วมกันมา
จ๊ะรออยู่ว่าจะเป็นใคร
อุตส่าห์เทียวไล้เทียวขื่อไปหาพี่แตรถึงโรงพยาบาลหลายหนด้วยความระแวงว่าจะเจอเขาจู๋จี๋กับหมอสาวคนไหน
ในที่สุดก็อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง พี่เอินสุดที่รักของจ๊ะนี่แหละ! ชาตินี้เขาเป็นหมอด้วยกัน
แล้วจ๊ะก็เห็นกับตาว่าพอเป็นแฟนกัน
วันๆก็ไม่คิดทำอะไรอื่นนอกจากร่วมตะลอนไปช่วยคนแปลกหน้า…
สรุปแล้วจ๊ะไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับพี่แตรบนเส้นทางกรรมแบบเขา ถ้าเขาอยู่กับจ๊ะ
อย่างมากก็ดูหนังฟังเพลงด้วยกันตามเรื่องตามราว”
“แต่พอหนูสละเขาให้พี่สาว หนูก็ได้แฟนใหม่มาทันทีนี่
ถูกใจกว่าเดิมเสียด้วย”
“ได้มาแบบรู้ทั้งรู้ว่าในที่สุดก็ไม่ใช่อยู่ดี
อาจารย์บอกไว้แล้วว่าต้องอีกยี่สิบปีถึงจะเจอตัวจริง” ก้มหน้าตาปรอยเสียงอ่อย
“แต่ถึงจุดนี้จ๊ะก็เรียนรู้ที่จะยอมรับแล้วล่ะค่ะ พี่ณะเพิ่งขอแต่งงาน
และจ๊ะก็ตกลงรับคำไปแล้ว วันหนึ่งพี่ณะอาจเบื่อ อาจขอเลิก
หรือเขาอาจประสบชะตากรรมใดๆ ไม่ได้ร่วมทางกับจ๊ะไปจนตาย
แต่จ๊ะก็ดีใจแล้วที่มีโอกาสรู้จักเขา
ทุกอย่างใช่ไปหมดแม้กระทั่งความรู้สึกถึงรักแท้ในจินตนาการ
แม้จะยังไม่ใช่ตัวจริงของจ๊ะ จ๊ะก็เต็มใจและยินดีที่ได้อยู่กับเขาสักช่วงหนึ่ง”
อุปการะส่ายหน้าช้าๆ ริมฝีปากยังคงระบายยิ้มปรานี
“ป่านนี้ยังอ่านกรรมตัวเองไม่ขาดอีก ถือว่าไม่แน่จริงนี่”
ลานดาวย่นคิ้ว หางเสียงอาจารย์ทำให้เอะใจช้อนตาเหลือบขึ้นสบ
พอเห็นอีกฝ่ายกำลังมองมายังตนนิ่งด้วยแววชนิดหนึ่ง
ดุจบิดาร่วมปลื้มใจกับความสำเร็จของลูกสาว หล่อนก็ลุกพรวดอย่างลืมตัว
“พี่ณะเป็นคนนั้นของจ๊ะหรือคะ???”
แทบจำสุ้มเสียงของตนเองไม่ได้ เพราะทั้งตกตะลึงพรึงเพริด
ทั้งอยากได้คำตอบ ทั้งลังเลด้วยสารพัดคำถามที่โถมประดังเข้ามาพร้อมๆกัน
โหราจารย์ใหญ่นิ่งเฉย
มองตอบด้วยสายตาที่มีอำนาจปรามเยี่ยงผู้มีศักดิ์เป็นครู
ลานดาวจึงรู้สึกตัวว่าสติหลุด
อาจารย์ของหล่อนไม่ชอบให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่จนจิตเสียอย่างนี้
“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวพนมมือไหว้แล้วยอบกายลงนั่งซ้อนมือวางกับตักอย่างเรียบร้อย
เยี่ยงกุลสตรีพึงสำรวมกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์
แต่พยายามวางมือให้นิ่งอย่างไรก็สะกดความสั่นระริกไม่ลง
เพราะอยากได้คำตอบอันเปรียบประดุจคำพิพากษาจนใจแทบขาดอยู่แล้ว
“ถ้าใช่ก็ควรมีเหตุผลที่สมควรให้ใช่จริงไหม?”
“ค่ะ”
ลานดาวบีบมือตอบไม่เต็มเสียง
อุปการะเอ่ยเนิบนาบเยี่ยงผู้ที่ยากจะมีสิ่งใดมาทำให้ใจกระเพื่อม
“จำไว้เถอะ สิ่งที่เราสร้าง สิ่งที่เราทำ
อาจเบี่ยงเบนแม้คำพยากรณ์ของหมอดูที่แม่นที่สุดในโลกได้! ไหนลองวินิจฉัยตัวเองซิ
ที่ผ่านมาเราทำอะไรเข้าท่าพอจะคัดท้ายเรือชีวิตให้หันเหไปจากเดิมบ้าง
ตอบให้เหมือนกับคนอื่นถามแล้วเราต้องทำหน้าที่ตอบเขาน่ะ”
ลานดาวบีบมือเข้าหากันแน่น
สีหน้าสดชื่นราวกับดอกไม้ได้รับน้ำและแสงแดดจนบานสะพรั่ง ทั้งดีใจ ทั้งฉงนฉงาย
และทั้งตื่นเต้นกับความจริงในชีวิตที่พลิกไปพลิกมาราวกับฝันสนุก
“จากคำทำนายของอาจารย์
ถ้าเป็นไปตามผังกรรมและธรรมชาติวิสัยเดิมๆ
ป่านนี้จ๊ะน่าจะเป็นนักร้องดังระดับประเทศ และรอคิวต่อยอดเป็นคนดังระดับโลกในสองสามปีข้างหน้าด้วยบุญเก่าหลายๆอย่าง
และจะเป็นดาวค้างฟ้าไปถึงยี่สิบปี
ซึ่งก็พอดีเวลากับที่จะพบคู่แท้เมื่ออายุใกล้สี่สิบ อ้อ!…
อาจารย์ยังทำนายด้วยว่าเพราะวิถีทางที่ทำประโยชน์ให้กับวงกว้าง
จะเป็นตัวจูงให้ได้พบกับคนที่ใช่”
พักกะพริบตาถี่ๆ
นึกทบทวนคำพยากรณ์ของผู้อาวุโสแล้วปะติดปะต่อได้ภาพรวมอย่างรวดเร็ว
แล้วขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ก่อนกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น
“แต่เพราะจ๊ะสละทางที่เดินง่าย หันมาเลือกทางที่ยากขึ้น
กับทั้งทำประโยชน์กับวงกว้างตั้งแต่แรก เลยยืนเป็นเป้าให้บุคคลประเภทเดียวกันสนใจ
ซึ่งก็คือพี่ณะใช่ไหมคะ??”
ท้ายประโยคยิงคำถามด้วยใจระทึกเป็นล้นพ้น
แล้วก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวงเมื่ออุปการะผงกศีรษะช้าๆเป็นการรับรอง
ลานดาวพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
สะอื้นออกมาฮักหนึ่งเหมือนหัวเราะและร้องไห้พร้อมกัน หล่อนยกสองมือปิดหน้า
เหลือเพียงแนวตาฉายแววสำนึกคุณจับจ้องบุรุษผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เขาทำให้หล่อนไม่ต้องเสียเวลาไปครึ่งชีวิตก่อนได้รางวัลอันเป็นยอดปรารถนาไว้ในมือ
เป็นครู่กว่าความสะเทือนแรงในหัวอกจะลดระดับลง
ลานดาวพนมมือน้อมศีรษะเคารพอุปการะด้วยความรู้สึกลึกซึ้งยิ่ง
“ขอบพระคุณนะคะอาจารย์”
“ซื่อสัตย์กับเขาเถอะ
หนูจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์อะไรดีๆทิ้งไว้ในโลกได้อีกมาก
เหมือนอย่างที่เคยช่วยกันสร้างช่วยกันทำมาแล้วหลายชาติหลายสมัย”
“ค่ะ”
ลานดาวบอกตนเองว่าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘คู่บุญ’ และ
‘คู่บารมี’ ก็คราวนี้เอง ถ้าเป็นคู่แท้ที่เคยร่วมบุญร่วมบารมีกันมาก่อน
ก็มิใช่ว่าจะต้องด่วนเจอทันใจเสมอไป
แต่อาจรอจังหวะเหมาะสมที่เมื่อพบกันแล้วต่างอยู่ในภาวะพร้อมจะร่วมทางกุศลดังเดิมอีกด้วย
“พี่ณะกับจ๊ะจะได้พบกันทุกชาติหรือเปล่าคะ?”
“แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศลจะดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ
คล้ายดาวแม่กับดาวบริวารนั่นแหละ ตราบใดเรายังมีใจเห็นดีเห็นงามกับกุศลผลบุญของเขา
แล้วก็ร่วมกันทำประโยชน์ให้สาธารณชนไม่เลิกรา เกิดใหม่ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกเสมอไป
เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดไปอยู่ภพต่ำ ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดขึ้นไปอยู่สูงตามลำพัง
ก็อาจคลาดกันระยะหนึ่ง”
หญิงสาวนึกไปข้างหน้าแล้ววังเวงขึ้นมาฉับพลัน
ขนาดชาตินี้เพิ่งเข้าต้นวัย แถมมีบุญอุดหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ยังเหงาแทบตายกับการรอคอยเขาอย่างไม่มีกำหนด
จะน่าห่อเหี่ยวขนาดไหนหากชาตินี้เขาไปอยู่เสียที่อื่น
ปล่อยให้หล่อนคว้าคนผิดแล้วๆเล่าๆไปจนแก่ชรา กระทั่งได้ข้อสรุปว่าคู่แท้ไม่มี
มีแต่คู่เทียมชั่วคราว
การร่อนเร่เกิดตายท่ามกลางความไม่รู้ไม่เห็นนั้น
สิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่สุดเห็นจะได้แก่ความไม่แน่นอน
ไม่อาจบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนานี่เอง
“การเกิดตาย
การเติบโตขึ้นมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี่มีเรื่องน่าร้องไห้มากจังนะคะ”
“ก็ต้องวิ่งวนกันไป จนกว่าใครจะเจอทางออกก่อนกัน”
เขาเอ่ยเรียบเนือย “ยิ่งเวลาผ่านไป หนูจะยิ่งมีโอกาสไปงานศพบ่อยขึ้น
แต่ละงานอาจทำให้มีสักแวบหนึ่งที่หนูย้อนคิดแล้วเห็นชีวิตเหมือนความฝัน
เป็นฝันที่ดำเนินเร็ว สะบัดหน้าขวับหนึ่งเห็นรั้วโรงเรียน อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วมหาวิทยาลัย
อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วที่ทำงาน
อีกขวับหนึ่งกลายเป็นรั้วเมรุที่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อเสียแล้ว
ระหว่างมีชีวิตใครเตรียมเสบียงไว้เดินทางไกลแค่ไหนเท่านั้นแหละ”
ลานดาวนึกถึงอดีตของตัวเองแล้วบังเกิดความกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง
“จ๊ะกลัวเกิดใหม่ด้วยความลืม
ลืมแล้วกลับแผลงฤทธิ์เป็นนางมารร้ายอีก ต้องเสวยกรรมชั่วที่ทำไปด้วยความไม่รู้อีก
กลัวไม่เจอกัลยาณมิตรที่ดีอย่างพี่เอินกับพี่แตร
กลัวไม่เจอคนให้แสงสว่างได้อย่างอาจารย์”
“ก็อธิษฐานเอาสิ วิธีเล่นเกมเดินทางไกลในวังวนเกิดตายนี้
คืออยากเป็นอย่างไร ให้ทำอย่างนั้นตลอดชีวิต
แล้วอธิษฐานไปเรื่อยว่าขอเป็นคนอย่างนี้ ขอมีครูอย่างนี้”
“เป็นอย่างที่กำลังเป็น… พอรู้จักกลไกการทำงานของจิตมากเข้า
บางทีจ๊ะก็สับสนอยู่เหมือนกันนะคะ
จ๊ะเห็นตัวเองคิดเป็นกุศลและอกุศลสลับกันอยู่ตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกว่าชีวิตสว่างแล้ว
บางทีก็ยังคิดชั่วๆได้อยู่
อย่างนี้จะมีอะไรเป็นตัวชี้ขาดว่าชาติหนึ่งๆเราเป็นคนดีหรือคนเลว?”
“ความละอายต่อบาปไงล่ะ
ใครทำผิดแล้วยังสำนึกก็ไม่จัดเป็นคนเลว แต่ใครทำผิดแล้วไม่สำนึกเลย
อันนั้นประกันความเลวได้ จิตจับเอาภพมืดไว้เป็นที่หมายแน่นอนแล้ว ส่วนคนดีคือพวกที่ติดใจการคิด
การพูด การทำแต่ในเรื่องน่าชื่นใจ ถ้าต้องเฉียดเข้าไปใกล้เรื่องฉ้อฉลคิดคด
หรือต้องเบียดเบียนทำร้ายใคร ก็จะสะดุ้งกลัว พยายามหนีห่างออกมา”
ลานดาวย้อนนึกไป เมื่อไม่ช้าไม่นานนี้เอง
หล่อนยังทำร้ายจิตใจคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตา ทำแล้วไม่สำนึกละอายแม้แต่น้อย
ซึ่งก็ควรแก่การเสียวไส้อยู่หรอก
ถ้าตอนอยากฆ่าตัวตายแล้วได้ตายสมอยากจริงๆป่านนี้คงโต๋เต๋อยู่แถวๆเหวนรกกระมัง
“แล้วถ้าแค่อยากทำผิดอยู่ในใจเรื่อยๆโดยปราศจากความละอาย
แต่ไม่ได้พูด ไม่ได้ลงมือทำจริงๆล่ะคะ ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่คนเลวหรือเปล่า?”
“คิดเฉยๆไม่ใช่ตัวตัดสิน เขาตัดสินกันตอนพูด ตอนลงมือทำ
แต่ก็ประมาทความคิดไม่ได้ เพราะความคิดนี่แหละต้นแหล่งดีชั่วที่แท้จริง
ตราบใดยังคิด ตราบนั้นยังมีสิทธิ์พูดออกมาจริงๆ ทำออกมาจริงๆ”
“แล้วจะจัดการกับความคิดชั่วๆในหัวยังไงดีล่ะคะ
ทุกวันนี้จ๊ะสารภาพกับอาจารย์เลย ว่ายังมีความคิดเหลวแหลกอยู่มาก บางทีก็ทรมานจัง
แต่ก่อนตอนเลวๆยังคิดน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ”
อุปการะหัวเราะหึหึ
“ความอยากหยุดคิด กับความทรมานจากการคิดเหลวแหลกนั่นแหละ
ตัวกระตุ้นสำคัญให้ยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ หนูไม่ต้องไปทำอะไร มันจะเกิดก็ให้มันเกิด
พิจารณาดูให้รู้ว่านั่นแค่คลื่นสมองซึ่งผุดกระเพื่อมขึ้นเอง
ไม่ใช่เจตนาที่ส่งออกมาจากหัวใจของเราอย่างแท้จริง”
“ถ้าคิดเลวๆแล้วไม่รู้สึกผิด
มิเข้าข่ายที่อาจารย์ว่าคิดเลวได้โดยปราศจากความละอายหรอกหรือคะ?”
“ความคิดมีอยู่สองแบบ
แบบแรกเหมือนสายลมที่พัดมาเองตอนเราเดินอยู่กลางแจ้ง เราบังคับควบคุมไม่ได้
ทำได้แค่เพียงรับรู้ว่ามันผ่านมาปะทะเราแล้วปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ ความคิดอีกแบบเหมือนลมที่เกิดจากความจงใจพัดโบกของเรา
เราสมัครใจ หรือติดใจที่จะคิดอย่างนั้น
การคิดด้วยความติดใจและจงใจนี่แหละถึงจะเป็นมโนกรรมเต็มขั้น”
ลานดาวยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจแจ่มแจ้งแทงตลอด
“สรุปคือแค่ปฏิบัติต่อความคิดเลวๆเหมือนรู้ว่ามีสายลมพัดฝุ่นทรายมาโดนตัว
แล้วก็แล้วกันไปไม่ต้องคว้ามาใส่ปากเคี้ยวต่อ อย่างนั้นใช่ไหมคะ?”
อุปการะยิ้มอย่างพึงใจในการอุปมาอุปไมยของหญิงสาว
“อือม์”
“ความสามารถในการสำนึกผิด”
ลานดาวเอียงคอช้อนตาทะแยงขึ้นบนในท่าคิด
“จ๊ะจะให้ความสำคัญกับความสำนึกผิดไว้หนึ่งบทเลย ทำเลวแล้วยังสำนึกแปลว่าไม่เลวจริง
แต่ทำเลวแล้วติดใจโดยปราศจากความสำนึกใดๆ
แปลว่าจิตเคลื่อนไปอยู่ในภพที่เป็นอบายแน่แล้ว ถูกไหมคะ?”
“ก็จัดเป็นเครื่องวัดที่ค่อนข้างแน่นอน”
“จ๊ะอยากวิเคราะห์ว่าความดีเริ่มต้นมาจากไหน”
“ครูที่ดี เพื่อนที่ดี หรือเรียกรวมๆว่า ‘กัลยาณมิตร’
นั่นแหละ รุ่งอรุณของความดีงามทั้งปวง”
“จิตชั้นสูงระดับมนุษย์จะรู้จักความดีเอาเองโดยไม่ต้องให้ใครบอกไม่ได้หรือคะ?”
“อย่าไปเรียกจิตชั้นสูงเลย คนเราเนี่ย โดยเดิมดิบๆนั้น
ครึ่งๆกลางๆระหว่างเดรัจฉานกับเทวดามากกว่า จิตมนุษย์ช่างสงสัยเคลือบแคลง
และบ่อยครั้งทึกทักเข้าข้างตัวเองมากกว่าจะรู้เห็นอะไรตามจริง แค่คำว่า ‘ความดี’
คำเดียวก็เถียงกันได้ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
แล้วหนูจะให้คนๆหนึ่งดีขึ้นมาด้วยตนเองได้อย่างไร”
“ค่ะ… คือจ๊ะกำลังวิเคราะห์ตัวเองว่ากลับใจ
เปลี่ยนจากเด็กไม่รู้คิดเป็นผู้เป็นคนขึ้นได้บ้างอย่างนี้ เริ่มต้นขึ้นที่ไหน
คำพูดของใครทลายกำแพงทิฐิของเราได้ หากเราจับจังหวะสำคัญถูก
ก็น่าจะบอกต่อเป็นสูตรสำเร็จให้คนอื่นรู้ตามได้ไม่ยาก”
“ทำนองเดียวกับที่เราไม่อาจระบุว่าวันเวลานาทีไหนเป็นตัวทำให้ร่างกายเราโตขึ้น
เราไม่อาจรู้หรอกว่าคำพูดไหนของใครทำให้เราเริ่มเป็นคนดีขึ้นมา
แค่รู้ได้แต่ว่าการอยู่ใกล้ใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเลื่อมใสในความดี
เราก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาที่คลุกคลีกับเขา”
“อย่างนี้ถ้าไม่มีโอกาสพบกัลยาณมิตรก็แย่สิคะ?”
“เมื่อยังไม่ถึงกลียุค
มนุษย์ทุกคนมีช่วงเวลาในชีวิตที่เป็นโอกาสทองทางความดีเสมอ
เพราะในหมู่คนจำนวนร้อยซึ่งเรารู้จัก หรือได้พบ หรือได้ยินได้ฟัง
ต้องมีสักคนที่เป็นแบบอย่าง เป็นแรงบันดาลใจทางความดีให้เราได้”
ลานดาวค่อยๆนึกทบทวน
บางทีเรื่องใกล้ตัวที่สุดก็มักถูกมองข้ามไปอย่างง่ายที่สุด
ความจริงพ่อแม่ของหล่อนก็เป็นแบบอย่างที่ดีในหลายๆด้าน
ครูที่สถานศึกษาตั้งแต่อนุบาลยันอุดมศึกษาก็มีหลายท่านที่งดงามน่าเคารพ
อย่างน้อยหล่อนก็โตขึ้นมาท่ามกลางบุคคลแวดล้อมจำนวนหนึ่ง
ซึ่งช่วยชี้ให้เห็นว่าความดีไม่ใช่เรื่องตลก
ไม่ใช่เรื่องของคนยอมโง่เสียเปรียบใครๆ
แต่กัลยาณมิตรก็มีอิทธิพลกับชีวิตต่างระดับกันไป
เมื่อนึกถึงผู้ที่ฉุดชีวิตหล่อนขึ้นจากหล่มของความหลงผิด
นนทกานต์ปรากฏชื่อเป็นอันดับแรก ในฐานะผู้นำทางมาพบกับครูผู้ชี้ทางถูก
รวมทั้งอยู่ข้างหล่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ไม่ฉวยโอกาสในยามที่กำลังสับสนเหมือนหลงทางซับซ้อน
เขาพูดให้ได้คิดขณะที่หล่อนแทบคิดไม่ได้
และในยุคที่มีแต่คนยุยงส่งเสริมให้ผิดศีลเอามันกันโจ๋งครึ่ม
เขาเป็นทูตแห่งความดีเตือนหล่อนให้คบกับมาวันทาอย่างถูกทำนองคลองธรรมไม่ล้ำเส้นศีลข้อกาเมฯ
หากหล่อนลืมนับเขาเป็นกัลยาณมิตร ก็คงเป็นเรื่องน่าละอายพอดู
อันดับสองคงหนีไม่พ้นมาวันทา
มาวันทาเพียงคนเดียวทำให้หล่อนเห็นชีวิตหลายแง่มุมเหลือเกิน คือเป็นทั้งหมอรักษา
ทั้งพี่สาวใจดี ทั้งครูสอนดนตรีการ ทั้งหวานใจคนแรก ทั้งผู้ทำให้หล่อนอยากลาโลกด้วยรักขม
ตลอดจนกระทั่งเป็นผู้หญิงที่มาชิงชายคนรักของหล่อนไปโดยไม่เจตนา
ยิ่งคิดยิ่งมีความรู้สึกประหลาดล้ำกับสัมพันธภาพหลายชั้นหลายเชิงระหว่างหล่อนกับมาวันทา
แต่เหนือสิ่งอื่นใด มาวันทาทำให้หล่อนเชื่อว่าโลกนี้ยังมีคนคิดรักษาศีล
ถึงแม้อยู่ในภาวะเข้าด้ายเข้าเข็ม อยากละเมิดศีลเต็มอัตราเพียงใดก็ตาม
อันดับสามคืออมฤต ผู้ชายคนแรกที่หล่อนนับเป็นแฟนตัวจริง
เขาทำให้หล่อนรู้จักตัวเองว่าจะรักใครได้
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยล้นฟ้า
ขอเพียงมีความคิดและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่พอ ยิ่งกว่านั้นอมฤตยังเป็นแรงบันดาลใจให้หล่อนคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาเขาไว้
และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือมีน้ำใจเสียสละยิ่งใหญ่
คือยอมแม้กระทั่งเสียสละเขาให้กับคนที่เหมาะสมกว่าหล่อน!
อันดับสี่คืออุปการะ
หล่อนเริ่มนับถือเขาจากความแม่นยำในการทำนาย รวมทั้งที่เขาสอนให้รู้ว่าคำทำนายไม่จำเป็นต้องแม่นยำเสมอไป
เพราะคำทำนายเพียงบอกว่าผลกรรมที่ทำไว้ในอดีตกำลังจะออกดอกออกผลอย่างไร
แต่หากมีกรรมในปัจจุบันที่ทรงน้ำหนักเพียงพอจะคานกันหรือแทรกแซงของเก่าได้แล้ว
ชะตาก็อาจถูกดัดแปลง เปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี
หรือเปลี่ยนจากช้าให้กลายเป็นเร็ว นั่นหมายความว่าอุปการะมิใช่เพียงสอนหล่อนให้เชื่อเรื่องกรรม
แต่ยังเข้าใจเหตุ เข้าใจผล
ทำให้หล่อนรู้ว่าหน้าที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การเสียดายอดีต
ไม่ได้อยู่ที่การอยากย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรๆที่ผ่านมาแล้ว
แต่อยู่ที่การเห็นค่าของปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในมือ อยู่ในการตัดสินใจว่าจะเลือกก่อกรรมอันใด
“การที่จ๊ะมีโอกาสรู้จักและคบหาสนิทกับกัลยาณมิตร
เป็นเพราะกรรมเก่าแบบไหนคะ?”
“เพราะเคยมีครูที่ดี เคยอยู่ในโอวาทของพวกท่านมาก่อน
หนูเคยมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ ได้ทำบุญกับพวกท่านและเหล่าสาวกของพวกท่าน
รวมทั้งเลื่อมใสศรัทธา
ปรารถนาจะดำรงตนอยู่ในเส้นทางธรรมอันถูกต้องและสว่างแจ้งไปเรื่อยๆตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน
ผังกรรมในชาตินี้เลยจัดสรรคนดีๆมาเป็นป้ายบอกทางมากมายโดยไม่ต้องเสาะแสวงหา”
ลานดาวรับฟังด้วยความปลื้มปีติ
“งั้นทุกครั้งที่ฟังธรรมแล้วเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเห็นแจ้งแทงกุศลธรรม
จ๊ะจะอธิษฐานซ้ำไปเรื่อยๆ
ว่าขอให้ได้เลื่อมใสและมีโอกาสใกล้ชิดผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปทุกภพทุกชาติ”
อุปการะพยักหน้า
“นั่นก็จัดเป็นการเตรียมเสบียงเดินทางไกลที่ฉลาด
การอธิษฐานซ้ำๆจะตอกย้ำให้เราอยู่ในร่องในรอยเดิม มีพลังหน่วงเหนี่ยวอย่างใหญ่
แม้จะไถลพลาดคลาดเคลื่อนออกนอกเส้นทางบ้างก็จะกลับมาได้อย่างรวดเร็ว”
“เอ… อาจารย์คะ
จ๊ะพบครูดีเพราะเคยนับถือและอยู่ในโอวาทของครูดีมาก่อน
แล้วแบบนี้ถ้าอดีตชาติใครไม่เคยมีครูดี หรือเชื่อครูผิด ชาตินี้จะทำยังไงล่ะคะ
ไม่แปลว่าเขาหมดสิทธิ์พบทางสว่างตรงทางหรอกหรือ?”
“ก็อาจเจอได้
แต่ไม่ใช่แบบจัดวางใส่พานมาประเคนเหมือนอย่างหนู กลไกในโลกมนุษย์ที่จะพาเราไปพบครูนั้น
ได้แก่เสียงร่ำลือ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่าสัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกล
หมายความว่าชื่อเสียงของท่าน คำสอนดีๆของท่าน ย่อมกระจายออกไปกว้างไกล
จากปากต่อปาก จากสื่อต่อสื่อ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรักดี อยากเงี่ยหูฟังครูคนไหน”
“แต่ครูเต็มไปหมด
แล้วก็มีชื่อเสียงร่ำลือระบือไกลกันทั้งนั้นนี่คะ มองกวาดไปเห็นคละกันมั่ว
ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาดไปเจอคนนำทางนรกเข้า”
“แต่ละคนทำกรรมมาอย่างไร
กรรมก็จะจูงไปพบครูที่สอดคล้องกับเส้นทางนั้น คนไทยจำนวนมากเคยทำบุญในร่มโพธิ์พุทธศาสนามาก่อน
ตราบใดพุทธศาสนายังไม่สาบสูญไปจากประเทศ
ตราบนั้นเด็กไทยที่เพิ่งลืมตาดูโลกก็ได้ชื่อว่ามีโอกาสเห็นประตูสวรรค์นิพพานกันอยู่
ส่วนจะเข้าทางจริงหรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใครจะขวนขวายแค่ไหน
ทุกวันนี้น้อยคนจะตระหนักว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ใครๆยังเข้าเฝ้าท่านได้
เพราะยังมีสาวกที่ซื่อสัตย์กับพระองค์ จดจำและสืบทอดคำสอนตรงๆของพระองค์อยู่อีกมาก
อีกทั้งพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ยงคงกระพัน ไม่ถูกทำลายให้สูญหายไปไหน”
“แล้วจะมีอะไรเป็นหลัก เป็นเครื่องประกันคะ ว่าศึกษาธรรมะ
ศึกษาเรื่องกรรมไปแล้วจะไม่หลงทาง?”
“ตอนยังมีม่านอกุศลบังตา
คนเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าครูคนไหนนำทางไปสว่าง ครูคนไหนนำทางไปมืด
เพราะความมืดด้วยกันย่อมยกย่องกันและกันว่าเป็นแสงสว่าง เป็นทางที่ใช่”
ลานดาวตรองแล้วครางรับเบาๆ
เพราะจำได้ว่าเมื่อหล่อนหน้ามืดตามัวด้วยความใฝ่ต่ำอยู่นั้น
แม้มาวันทาและคนรอบตัวเพียรพูดให้สำนึกอย่างไร บอกทางสว่างกันคอแทบแตกขนาดไหน
ก็ไม่อาจเจาะกำแพงแปดทิศของคุกที่ขังหล่อนไว้กับความมืดมนอนธการได้เลย
“แปลว่าถ้าเจอครูดีขณะที่ใจเรายังมืดบอด
ยังทำผิดศีลผิดธรรมอยู่เป็นนิตย์ ก็เท่ากับพลาดโอกาสทองไปใช่ไหมคะ?”
“ใช่”
“สรุปคือเราจะรู้ได้ว่าคำสอนไหนถูก ไม่โดนใครหลอกพาไปลงนรก
ก่อนอื่นต้อง ‘มีดี’ อยู่ก่อน จิตใจพร้อมจะทำตัวเป็นพานทองรองรับของสูงบ้างแล้ว?”
“ใช่”
“ว้า! อย่างนั้นก็เหมือนงูกินหางเลยสิคะอาจารย์
จะดีได้ต้องมีครูสอนถูก แต่จะนับถือครูสอนถูกได้ก็ต้องมีดีเสียก่อน”
“เกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีดีอยู่บ้างแล้ว
การที่วิญญาณจะปฏิสนธิในท้องมนุษย์ได้นั้น จิตต้องเรืองสว่างเป็นกุศล
ประเภทจิตมืดๆไม่รู้ผิดรู้ชอบนั้นเข้าท้องมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นถือว่าโดยพื้นฐานทุกคนมีดี
มีเหตุผล มีความสว่างเป็นทุนเดิมอุดหนุนอยู่ก่อน
ขอแค่ไม่ไปสร้างเรื่องร้ายๆขึ้นเป็นม่านอกุศลบังตาบังใจในระหว่างมีชีวิตเสียอย่างเดียว
เมื่อพบกัลยาณมิตรเช่นพระพุทธเจ้า เห็นท่านเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในความไม่เบียดเบียน
สอนเรื่องการไม่เบียดเบียน และจาระไนผลของการไม่เบียดเบียนได้อย่างละเอียดลออ
ก็ย่อมเกิดความเลื่อมใสนับถือและบอกต่อกับลูกหลานได้แล้ว”
ลานดาวเปิดสมุดพกจดคำว่า ‘ไม่เบียดเบียน’
ไว้เป็นไอเดียพื้นฐานของหนังสือใหม่
รวมทั้งเขียนหวัดบันทึกกิ่งก้านสาขาความคิดที่งอกเงยขึ้นฉับพลัน
คือตั้งข้อสังเกตว่าโดยพื้นฐานนั้น มนุษย์เจอใครที่สอนการไม่เบียดเบียน
ไม่เข่นฆ่าบูชายัญ ไม่สังเวยตนเซ่นสงครามกิเลส
ก็ย่อมรู้สึกแต่แรกว่าเป็นคำสอนที่ยืนพื้นอยู่บนความถูกต้อง
แต่ถ้ากรรมเก่าส่งไปอยู่ในเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดจากความเกลียดชัง ความครุ่นคิดอาฆาต
ความมุ่งมาดทำร้าย พวกเขาย่อมประสบแต่สิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์ที่บันดาลโทสะไปวันๆ
ต่อให้พวกเขามีศาสดาผู้สอนให้รักสงบ
ก็อาจอยากลักลอบดัดแปลงคำสอนเดิมให้เป็นตรงข้ามเสีย
พอร่างไอเดียในการเขียนเสร็จหญิงสาวก็ถอนใจ
“มองย้อนกลับไป
ตั้งแต่เด็กจ๊ะมีแต่เบียดเบียนชาวบ้านด้วยกาย วาจา ใจมาตลอด เพราะความทะนง
ความหลงตัว และความอยากเหนือคนอื่น
นิสัยเสียๆทำนองนี้จะติดตัวไปก่อเรื่องทุกครั้งที่เกิดใหม่เลยหรือเปล่าคะอาจารย์?”
“กรรมเก่าจะพยายามรักษาเราไว้ในเส้นทางเดิมด้วยการส่งเรามาเกิดในสิ่งแวดล้อมที่บีบให้ต้องมีพฤติกรรมเหมือนๆเดิม
แต่กิเลสตัณหาจะบีบให้เราต้องตกต่ำลงกว่าที่เคยเสมอ หนูเคยทำทานมามาก
กรรมจึงส่งให้มาเกิดในบ้านผู้มีอันจะกิน
เท่ากับเปิดโอกาสให้ทำทานได้อีกมากๆโดยไม่ต้องกังวลว่าเราเองจะหมดไหม
แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโลภะ จู่ๆเมื่อลืมตาดูโลกแล้วเห็นตนมีทรัพย์มาก
โลภะก็ดลใจให้อยากเพิ่มพูนให้ล้นๆยิ่งขึ้นไป
เพราะทุกคนจะพบตรงกันว่าทรัพย์คืออำนาจใหญ่ในโลก
เงินยิ่งมากยิ่งทำตามอำเภอใจได้มาก มีหัวมาก้มให้เหยียบมาก”
ลานดาวฟังแล้วเหม่อไป
ปีก่อนหล่อนเคยอยากลิ้มรสอำนาจวาสนาและความหรูหราของความเป็นเศรษฐีนีพันล้าน
อยากพ้นสภาพลูกสาวขี้ขอของเศรษฐีหลายร้อยล้าน
แต่ความปรารถนาจะทำมหาทานเป็นแสนเป็นล้านยังไม่เคยแวบผ่านมาในหัวสักหน
ทานบารมีเก่าในชาติก่อนส่งหล่อนมารวยจริง
แต่ทรัพย์สมบัติที่วางกองตรงหน้าก็ทำให้หล่อนงกจริงเช่นกัน
แต่จะว่าไป หล่อนก็เริ่มมีน้ำใจคิดให้โดยไม่หวังผลตอบแทนบ้างแล้ว
เริ่มจากแอบโอนเงินค่าหนังสือทั้งหมดให้กับอมฤตและมาวันทา
รวมทั้งตั้งใจว่าเร็วๆนี้ที่กำลังจะเป็นคุณนายของบริษัทนีโอเทรนด์
หล่อนจะออกรถป้ายแดงงามๆให้ครูผู้อยู่ตรงหน้าสักคันพร้อมจ้างคนขับประจำครบเสร็จ
แต่ทว่านั่นเพราะความสำนึกคุณคนมากกว่าความอยากเจือจานไปในวงกว้างโดยปราศจากเงื่อนไข
พูดง่ายๆสั้นๆคือชาตินี้หล่อนยังไม่ได้เริ่มต่อบุญเก่าในเรื่องทานจริงจังนัก
เห็นทีจะต้องเริ่มวางแผนเอานิสัยเดิมในอดีตชาติกลับมาทำบารมีต่อกันใหม่
“อีกอย่าง…” อุปการะกล่าวสืบต่อ “หนูเคยรักษาศีลมาสะอาดหมดจด
กรรมจึงส่งให้มาครองอัตภาพหมดจดงดงาม เท่ากับเปิดโอกาสให้เห็นความสวยสะอาดทางกาย
แล้วบันดาลให้คิดอ่านแต่ในทางดี มีวาจาไพเราะ
ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเป็นเครื่องประดับโลก แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโมหะ
จู่ๆพอโตขึ้นเป็นสาวแล้วเห็นหนุ่มๆมาปรนเปรอ เอาอกเอาใจพะเน้าพะนอ
ใครต่อใครยอมทุกอย่างเพียงเพื่อได้ชมโฉมเราอย่างใกล้ชิดนานๆ
ความหยิ่งทะนงก็งอกเงยขึ้น สั่งสมความหลงตัวมากขึ้น
กระทั่งอัตตาโตขึ้นจนอยากสยบโลกทั้งใบด้วยความสวยของเรา
ถึงเวลานั้นภูมิต้านทานกิเลสตัณหาของเราจะต่ำ อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ก็ต้องอาละวาดให้พินาศกันไปข้าง
ศีลธรรมจรรยาไม่ต้องไปสนแล้ว อยากได้ก็ต้องเอาให้ได้”
หญิงสาวกะพริบตาสองสามหน
คล้ายถูกปลุกให้นึกออกว่าชีวิตนี้เพิ่งทำอะไรลงไปบ้าง
“ธรรมชาติเล่นแบบนี้เองนะคะ
อนุญาตให้ขึ้นสูงเป็นเส้นตรงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องส่งแรงรบกวนมาดึงดูดให้กลับหล่นลง
แม้ไม่ถึงขนาดกลับทิศจากเหนือลงใต้ อย่างน้อยก็เบี่ยงเบนให้ต้องไปทางตะวันตก
ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ไม่ปล่อยให้ลงต่ำท่าเดียว
จะมีแรงช่วยมาหนุนให้กลับขึ้นสูงบ้าง
อย่างถ้าคนเราหน้าตาอัปลักษณ์เพราะกรรมชั่วเก่าๆแต่ปางก่อน
จิตก็อาจถูกบีบให้เจียมตัว อันเป็นเชื้อของความอ่อนน้อม
แล้วพัฒนาไปสู่ความมีใจเป็นกุศล”
“หน้าตาไม่ดีแล้วยังคิดไม่ดีต่อก็มีถมไป
แล้วแต่การสั่งสมนิสัยมากกว่า อีกอย่าง สำนึกของคนเราพร้อมจะเกิดขึ้นเสมอ
เมื่อไหร่สำนึกผิดหรือห้ามใจได้ ชาติเดียวกันนั้นก็กลับดีได้ใหม่
อย่างหนูก็ไม่ต้องไปเกิดเป็นนางยักษ์อัปลักษณ์ที่ไหนเสียก่อนกลับใจนี่”
“ถ้าไม่เจอมิตรดีและครูดี ป่านนี้ก็ยังไม่หายโง่มั้งคะ”
“ชีวิตมนุษย์ในแต่ละชาติก็อย่างนี้แหละ
จะให้ดีพร้อมมาแต่เกิดไม่ได้ ทุกคนมีคุณสมบัติอันเป็นตัวตั้ง จะยากดีมีจน
จะขี้เหร่เก๋ไก๋ แต่ละคนต้องเรียนรู้เอาว่าควรใช้คุณสมบัติที่ตนมีอยู่อย่างไรในการขุดทองทางวิญญาณ”
ลานดาวก้มหน้าก้มตาจด
พักหนึ่งก็ชะลอมือช้าลงสู่การหยุดอย่างได้คิดก่อนเขียนจบ
“ถ้ามองคนๆหนึ่งเป็นเพียงจิตวิญญาณดวงหนึ่ง
ก็เห็นเลยนะคะว่าคนเราเกิดเป็นอย่างหนึ่ง
เพื่อตายไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้หลายครั้งเหลือเกิน
สมัยเด็กจ๊ะเคยทั้งเกเรเรียนไม่เก่งและทั้งรักดีขยันขันแข็งจนเป็นที่หนึ่งของรุ่น
เคยฝันหาเจ้าชายแล้วกลายไปเป็นหญิงรักหญิงก่อนจะกลับมารักผู้ชายได้อีก
เคยเห็นแก่ตัวจนหน้าเขียวเดี๋ยวนี้เห็นใครต่อใครแล้วรู้สึกสงสารอยากช่วยไปหมด
ภพภูมิมนุษย์นี่แปรปรวนไปมาได้ซับซ้อนจังค่ะ
อยากรู้ว่าภพภูมิอื่นยอกย้อนได้อย่างนี้บ้างไหม”
“ไม่หรอก
เพราะภพอื่นส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างไร
ก็จะคงความเป็นอย่างนั้นไว้ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดชีพ
แต่เพราะภพมนุษย์มีธรรมชาติของวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรามาเป็นขั้นเป็นตอน
เริ่มจากไม่ให้รู้อะไรเลย เขยิบขึ้นสู่การลองผิดลองถูก กระทั่งพัฒนาไปสู่สภาพตกผลึกของการเชื่อและการรู้สึกนึกคิด
หนึ่งชาติของมนุษย์จึงเหมือนภพใหญ่ที่ซอยแบ่งออกเป็นภพย่อยๆได้มากมายเหลือจะนับ”
ประโยคสุดท้ายของอาจารย์สะกิดให้เกิดความสนใจ
ลานดาวจึงจดไว้เป็นไอเดีย คือภพใหญ่นั้นอาจครอบรวมเอาภพย่อยๆไว้ได้มากมาย
ขอเพียงภพใหญ่นั้นมีปัจจัยเอื้อให้เพียงพอ
จดไอเดียเสร็จก็เงยหน้าขึ้นกล่าว
“ชักรู้สึกว่าภพมนุษย์เป็นภพที่น่าสนใจแล้วซีคะ”
“ภพที่เรียนรู้ได้ แม้แต่ภพของสัตว์ฉลาด
เป็นภพที่มีความหลากหลาย
แล้วก็พัฒนาจากความเป็นอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้ตลอดเวลา
อย่างพวกลิงชิมแปนซี ฝึกดีๆฉลาดกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก
น่าเสียดายแต่ว่าฉลาดอย่างไรก็ติดเพดานของภพภูมิเดรัจฉาน
ฉลาดแค่ไหนก็ไม่รู้ทางสว่างเพื่อเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ง่ายๆ”
“ตอนนี้เหมือนเห็นอดีตชาติของตัวเองเลยค่ะ
สมัยยังวุ่นวายกับการค้นหาตัวเอง ช่างเป็นวิญญาณที่เร่าร้อนกับการหาภพภูมิอาศัย
พอพี่เอินชี้ทางสว่าง หางานให้ทำ หาตัวตนให้เป็น
ก็ค่อยกลายเป็นวิญญาณมีภพมีภูมิกับเขาหน่อย แต่ตอนตายจริง เผาจริง
ก็ต้องเคลื่อนจากความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นอย่างอื่นอีกด้วยแรงเขวี้ยงของกรรม”
อุปการะหัวเราะด้วยความรู้สึกหลากหลาย ลานดาวพูดสะกิดให้เขาเห็นภพชาติเบื้องหน้าของหล่อนเป็นฉากๆโดยไม่ต้องเจตนาดู
แต่เขาเก็บงำไว้ไม่พูดถึง ยังคงสนทนากับหล่อนต่อเป็นปกติ
“หนูเอาไปเขียนเถอะ เราจะเข้าใจชาติหน้ามากขึ้น
ถ้าทำความเข้าใจชาตินี้ดีๆ
และมองแต่ละช่วงของชีวิตโดยความเป็นภพย่อยๆที่วิญญาณของเราเข้าไปยึด เห็นแต่ละภพว่าคือสภาวะที่ไม่แน่ไม่นอน
ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราก่อ และขึ้นอยู่กับความสมัครใจที่เรายอมติดอยู่กับภพหนึ่งๆ”
“เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองค่ะ
นี่จ๊ะเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปเรื่อยอย่างปราศจากจุดหมายปลายทางใช่ไหมคะ? กรรมแต่ละระลอกซัดไปสู่ฝั่งใหม่ ก่อกรรมอีกแล้วถูกซัดไปสู่ฝั่งใหม่อีก”
“ใช่… วิญญาณทั้งหลายถูกสะกดโดยผลกรรม
ให้หลงฝันว่าตนเป็นอย่างนี้ ตนอยากเป็นอย่างนั้น แล้วก็เคลื่อนไปเรื่อย
โดยมีหลักกรรมคือทุกคนได้อย่างที่ทำ ไม่ได้อย่างที่อยาก หากไม่มีใครบอกให้รู้ชัดๆว่าฝั่งสุดท้ายอันเป็นที่หยุดนิ่งมีอยู่และพิสูจน์ได้ขณะยังเป็นมนุษย์
สรรพวิญญาณก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยโดยปราศจากความแน่นอนว่าเมื่อไหร่จะตกตาดี
เมื่อไหร่จะตกตาร้าย”
“ชักอยากเข้าให้ถึงแก่นสารอันเป็นที่สุดของพุทธศาสนาแล้วสิคะ
อาจารย์ไม่เห็นสอนจ๊ะมั่งเลย”
หญิงสาวทำเสียงอ้อน
“ถ้าผมให้หนูพูดรวบรัดชีวิตของหนูทั้งชีวิตเป็นคำๆเดียว
หนูจะเลือกคำว่าอะไร?”
หญิงสาวเอียงหน้าเหลือบตาคิดนิดหนึ่ง
ก่อนเบนกลับมาทอดสายตามองอาจารย์ยิ้มๆอย่างรู้ล่วงหน้าว่าตนโดนดักทางไว้อย่างไร
“พูดถึงชีวิตจ๊ะทั้งชีวิตด้วยคำๆเดียว ก็คงเป็น ‘สนุก’
มั้งคะ”
“ทั้งๆที่เพิ่งทุกข์จนแทบอยากฆ่าตัวตายมาเมื่อปีก่อนเนี่ยนะ?”
ลานดาวหัวเราะสดใส เพราะอุปการะเอ่ยอย่างที่หล่อนเดาไว้เป๊ะ
“อาจารย์ถามคำเดียวจ๊ะเข้าใจไปถึงไหนต่อไหนแล้วค่ะ
จ๊ะแค่ตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงจากใจในขณะนี้
เห็นตัวเองแจ่มแจ๋วเลยว่ากำลังเพลินโลก สนุกกับงาน สนุกกับคนรัก สนุกกับชีวิต
ใจก็ต้องเห็นภาพรวมของตัวเองทั้งหมดเป็นความสนุก
และตราบใดที่ยังเห็นชีวิตเข้าข่ายเป็นสุข ก็ต้องหวงแหนไว้
และอยากตะกายหาสุขใหม่ๆมาเพิ่ม ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องเคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกภพหนึ่งแล้วๆเล่าๆ
โดยไม่มีวันคิดหาทางสละความยึดติดต่างๆอย่างแท้จริงเลย”
“อือ… รู้ดีหมดแล้วนี่”
“ใครบอกรู้หมด
รู้แค่เล็กน้อยแต่เข้าเป้าเพราะอาจารย์ชี้ต่างหากค่ะ”
หญิงสาวยิ้มระรื่นคล้ายคนไม่เคยรู้จักทุกข์มาก่อน “ถ้าไม่ถูกจี้ให้คิดย้อนมาถามตัวเองว่าเป็นใคร
หรือกำลังทำอะไร ก็เหมือนโดนเส้นผมบังภูเขาเหมือนกันนะคะ
เห็นความสำคัญของการตั้งโจทย์เดี๋ยวนี้แหละ
เป็นมนุษย์ที่ช่างคิดนี่อาจตั้งโจทย์กันได้ไม่จำกัด
แต่จะมีโจทย์อยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นที่บันดาลให้เราฉุกใจหาคำตอบเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มสุด”
อุปการะพยักหน้ารับ
“นั่นซี คนมีแต่ความคิดรอเจอแฟนตอนเย็นน่ะ
ผมว่าหมดสิทธิ์ตั้งโจทย์ชีวิตแบบพุทธแท้แน่ๆ”
ลานดาวหัวเราะโยกตัวไปมาเขินๆ เพราะทราบว่าอาจารย์ดักใจตน
ซึ่งอดคิดถึงสรณะเป็นระยะๆไม่ได้ เนื่องจากเพิ่งทราบชัดด้วยความอิ่มเอมเปรมใจว่าเขาคือเนื้อคู่ที่แท้
แต่พอโดนกระตุก หล่อนก็สำรวมระวังจิตให้จดจ่อกับการสนทนาเต็มที่ยิ่งขึ้น
“เมื่อยังมีโจทย์แบบพุทธแท้ไม่ขึ้นใจ
ก็ต้องหาโจทย์อื่นมาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีแก่ใจตั้งโจทย์ข้อสุดท้ายใช่ไหมคะอาจารย์?”
“ก็ต้องอย่างนั้น”
“แล้วพุทธศาสนามีวิธีใช้ชีวิตไปตามลำดับจนกว่าจะซึ้งเรื่องของทุกข์
แล้วใคร่ครวญจริงจังถึงการดับทุกข์ไหมคะ?”
“ก็มีสอนเรื่องการอธิษฐานและการพิจารณาโดยแยบคาย
กำหนดทิศให้จิตค่อยๆเลื่อนขั้นอยู่เหมือนกัน เช่นเมื่อทำทานครั้งใด
ท่านให้หมั่นอธิษฐานว่าขอจิตเราจงสละความยึดมั่นถือมั่นผิดๆได้โดยไม่เสียดาย
เช่นเดียวกับที่ไม่เสียดายข้าวของซึ่งทำทานไปนั้น
และเมื่อมีเหตุการณ์ยั่วยุให้ผิดศีลข้อใดแล้วใจเราแน่วแน่พอจะหักห้าม
ท่านก็ให้ระลึกว่าผู้มีศีลย่อมไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
ผู้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจย่อมมีจิตตั้งมั่นได้ง่าย ผู้มีจิตตั้งมั่นได้ง่ายย่อมรู้เห็นตามจริง
ไม่มีความบิดเบี้ยวทางจิตเหมือนคนอื่น นี่แหละ
ทำทานรักษาศีลด้วยอาการอย่างนี้เรื่อยๆ
ถึงจุดหนึ่งจะเริ่มมีความคิดเข้าเป้าใหญ่ของพุทธศาสนาไปเอง”
ลานดาวรีบจดยิกก่อนเงยหน้าขึ้นถามใหม่
“อย่างจ๊ะมีสิทธิ์อธิษฐานแล้วทำได้ภายในชาติเดียว
หรือจำเป็นต้องสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติคะ?”
“จิตคนน่ะ
เมื่อทำบุญแล้วสั่งสมแรงอธิษฐานด้วยใจจริงซ้ำๆเป็นประจำ
ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าให้ไกลเกินรอหรอก คิดง่ายๆอย่างนี้ ช่วงที่หนูดื้อๆอยู่น่ะ
ถ้าใครมาขอร้องอ้อนวอนให้อ่อนข้อรามือในเรื่องที่หนูไม่เต็มใจ
หนูจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเขา?”
หญิงสาวทำหน้าสลด ตอบเสียงอ่อยแทบไม่ต้องคิด
“ก็ไม่ยอมสิคะ ต่อให้รู้ว่าเราเลว
ต่อให้รู้ว่าเขาเต็มไปด้วยเหตุผลขนาดไหน ในเมื่อใจไม่ยอมเสียอย่าง
พูดเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์”
“นั่นแหละ จิตมีแต่ตัว ‘ไม่ยอม’
เป็นเกราะเป็นกำแพงล้อมอยู่หนาทึบขนาดนั้น ถ้าหนูแค่ท่องซ้ำๆถี่ๆว่า ‘ยอมๆๆๆๆ’
เพียงไม่นานเกราะและกำแพงที่ตั้งกั้นเหตุผลทั้งหลายไว้ก็จะอ่อนยวบลงทันตาเห็น
นี่สะท้อนว่าใจเราพร้อมจะเป็นไปตามความคิดที่สั่งสมซ้ำๆ”
ลานดาวยิ้มกว้าง เห็นเป็นอุบายที่น่าจดไว้แนะนำคนดื้อ
ก้มลงบันทึกข้อความอึดใจเดียวก็เงยหน้าขึ้นถามต่อ
“แล้วความยโสโอหัง ทะนงด้วยความสำคัญตนว่ายิ่งใหญ่ล่ะคะ
จะให้ใช้อุบายอะไรดี ที่สะกดจิตให้เปลี่ยนแปลงไปในทางอ่อนน้อมลง?”
อุปการะหยั่งทราบว่าลานดาวถามด้วยความอยากได้อุบายไปกล่อมเกลาตนเอง
เนื่องจากหล่อนเริ่มมีคนนับถือมากขึ้น
และประสพความสำเร็จรวดเร็วจนกิเลสบุกเข้ามาทุกทิศทุกทางจนตั้งสติรับแทบไม่ทัน
ยิ่งวันอัตตายิ่งโต เขาจึงแย้มริมฝีปากยิ้มแนะนำด้วยความปรานี
“พอได้สติว่ากำลังถือดีมีมานะ
ให้หนูยกมือพนมไหว้เดี๋ยวนั้นเป็นการใช้กิริยาทางกายสยบความผยองของจิต
นอกจากพนมมือไหว้แล้วก็ควรระลึกถึงผู้น่ากราบไหว้อย่างพระพุทธเจ้าด้วย
เสร็จแล้วเปรียบเทียบเอา ว่ามืดทึบเพราะอัตตาเป็นอย่างไร
สว่างไสวเพราะความอ่อนน้อมเป็นอย่างไร และระหว่างมืดกับสว่างอย่างไหนดีกว่ากัน
ไม่นานจิตจะฉลาดเลือกความอ่อนน้อมไปเองโดยไม่ต้องแกล้งฝืน”
ลานดาวเบิกหน่วยตากว้าง
“จ๊ะเพิ่งนึกออกว่าฝรั่งที่อยู่เมืองไทยนานๆแตกต่างจากเดิมตรงไหน
นอกจากปรับระบบการคิดพูดเป็นภาษาไทย กับมีร่างกายอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศแบบไทยๆแล้ว
ก็มีเรื่องของจิตอ่อนน้อมเพราะไหว้เป็นนี่เอง
ที่เปลี่ยนความกระด้างภายในให้นุ่มนวลลง”
อุปการะพยักหน้า
“การพนมมือไหว้เป็นกิริยาของวิญญาณชั้นสูง
กรรมสำคัญที่ทำให้จิตได้ช่องไปอยู่ในวรรณะประณีตคือความนอบน้อมถ่อมตน
ยิ่งถ้าเรายอมอ่อนให้กับบุคคลอันควรเคารพสูงสุดเช่นพระพุทธเจ้า
เกิดชาติไหนสมัยใดจะไม่พลัดตกไปเป็นพวกชั้นต่ำ
และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างใต้อำนาจของใครง่ายๆ”
“แต่ก่อนจ๊ะไม่เข้าใจนัก นึกว่ายกมือไหว้ก็เป็นอันเสร็จพิธี
ระยะหลังพอรู้เหมือนกันค่ะว่าใจต้องน้อมเคารพด้วย
การไหว้แต่ละครั้งถึงจะคล้ายหยอดกระปุก
สั่งสมความอ่อนโยนได้เรื่อยๆจนกว่าจะเต็มวิญญาณ”
“เป็นอย่างนั้น การไหว้แบบกระโดกกระเดก
หรือไหว้ไปก็แอบคิดด่าไป นอกจากไม่ได้บุญแล้วยังเป็นกรรมที่ก่อนิสัยไม่จริงใจ
กลายเป็นคนสองหน้าตาส่อนได้อีกด้วย”
“ใครไม่มีผู้ควรเคารพอยู่ใกล้ก็ถือว่าขาดโอกาสแย่สิคะ”
“ธรรมเนียมไทยถึงให้มีห้องพระไว้ในบ้าน ก็เพื่อมีโอกาสกราบองค์ปฏิมาแทนพระพุทธเจ้า
แล้วก็มีธรรมเนียมไปลามาไหว้ ทำความเคารพพ่อแม่อันเปรียบเหมือนพระในบ้าน
ธรรมเนียมอันเป็นกรรมดีอย่างนี้
เด็กรุ่นใหม่กลับเห็นเป็นภาระรุงรังน่าขบขันกันไปหมด”
ลานดาวส่ายหน้าดิก
“ส่องสำรวจไปตรงไหน อะไรๆก็เป็นกรรมไปทั้งนั้น แบ่งให้เกิดชั้นวรรณะทางวิญญาณได้ทั้งนั้น”
“คนเราถึงหน้าตาแตกต่าง บุคลิกแตกต่าง ฐานะแตกต่าง
อำนาจบารมีแตกต่าง ประสบโชคเคราะห์แตกต่าง
มีจังหวะชีวิตที่สำเร็จและล้มเหลวแตกต่าง
ทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะรวบรวมความแตกต่างยิบย่อยในการคิด การพูด
การทำมาประสานกันนี่แหละ การผสมผสานของวิบากกรรมนั้นเป็นไปได้นับอนันต์
ผู้ที่รู้ทันความจริงนี้จะเห็นกุศลทั้งปวงเหมือนเครื่องประดับ
แล้วเร่งสั่งสมความดีในแบบของตน
รวมทั้งกวาดเก็บกรรมดีอื่นที่ยังไม่มีในตนมาเพิ่มให้มากขึ้นไป
แล้วเขาจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากคนรอบข้างไปทุกชาติทุกภพ”
หญิงสาวนึกอยากไหว้บุรุษตรงหน้า ก็พนมมือไหว้ขึ้นมาเฉยๆ
“ขอทำบุญกับผู้ควรทำหนึ่งทีค่ะ”
แล้วหล่อนก็ยิ้มแช่มชื่นแบบอิ่มบุญ
“แต่ก่อนจ๊ะมองว่าต้นไม้แตกต่างกันได้โดยไม่ต้องทำกรรม
คนเราต่างกันบ้างก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เฮ้อ!
ธรรมชาตินี่จัดสรรปัจจัยมาให้เราคิดนอกลู่นอกทางสัจจะความจริงไปได้เรื่อยเลยนะคะ”
“กรรมจะไม่ง้อให้เราเชื่อกฎของเขาหรอก ตรงข้าม
สำหรับคนส่วนใหญ่จะถูกแกล้งบังตาไม่ให้เห็นกฎ
หรือทำให้ดูถูกกฎแห่งกรรมไปเลยด้วยซ้ำ”
“การเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรมนี่ผิดหรือเปล่าคะ?”
“ผิดซี่ กฎของกรรมก็อยู่ส่วนกฎของกรรม
กฎของพืชก็อยู่ส่วนกฎของพืช นอกจากนั้นกฎของจิต กฎของฤดูกาล กฎของฐานะ
กฎของโลกและจักรวาล ต่างก็แยกส่วนเป็นต่างหากจากกันหมด
กฎของกรรมเพียงพาให้เราต้องไปพัวพัน หรือต้องไปเกี่ยวข้องแบบอ้อมๆกับกฎอื่น
อย่างเช่นส่งให้ไปเกิดใต้ฤกษ์หรืออิทธิพลของดวงดาวดีร้าย
ส่งให้ไปอยู่ในเขตที่มีฤดูกาลมากน้อย ส่งให้ไปอยู่ในประเทศที่ชุ่มชื่นหรือแห้งแล้ง
พูดง่ายๆว่ากรรมมีหน้าที่แค่นำไปเกิด
หรือเกิดแล้วให้มีสิทธิ์เลือกว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้แค่ไหน
ทุกอย่างที่เราเห็น ได้ยิน และสัมผัส ล้วนแล้วแต่เป็นภาชนะรองรับผลกรรมก็จริง
แต่พวกมันก็มีกฎธรรมดาของตัวเองอยู่ ไม่ต้องอาศัยอำนาจดลบันดาลของกรรมใครหรอก”
“แล้วกฎแห่งกรรมที่นำมาเกิดเป็นชายและหญิงล่ะคะ? จ๊ะว่าจะถามอาจารย์ด้วยความอยากรู้มานานแล้ว ทำอย่างไรจึงเป็นชาย
ทำอย่างไรจึงเป็นหญิง?”
“ตามความเข้าใจของหนู ผู้ชายคืออะไร ผู้หญิงคืออะไร?”
ลานดาวชะงักไปนิดหนึ่งเพราะนึกไม่ถึงว่าอุปการะจะถามกลับเช่นนั้น
แต่แน่นอนว่าอุปการะคงไม่ถามเล่นเอาสนุก อาจารย์ของหล่อนไม่เคยถามลองภูมิ
ทุกคำล้วนมีความหมายกระตุ้นให้คิดในทางใดทางหนึ่งเสมอ
หญิงสาวจึงใคร่ครวญก่อนตอบอย่างระมัดระวัง
“ถ้าพูดถึงร่างกายภายนอก
ก็คงวัดกันด้วยอวัยวะต่างๆทั่วองคาพยพซึ่งแสดงลักษณะทางเพศที่เป็นตรงข้ามกัน
ฝ่ายชายเอื้อให้นำหรือรุก ฝ่ายหญิงเหมาะจะตามหรือรับ แต่ถ้าพูดถึงจิตใจภายใน
ยิ่งรู้จักคนมากขึ้นเท่าไหร่
จ๊ะก็ยิ่งเห็นเส้นแบ่งความเป็นเพศพร่าเลือนลงทุกทีค่ะ”
“ที่หนูตอบมาก็นับว่าเข้าเป้าแล้ว เอาล่ะ!
เพื่อเข้าใจเรื่องกรรมที่ทำให้เป็นชายหรือเป็นหญิงอย่างถ่องแท้
ก่อนอื่นเราควรย้อนกลับมาหาพื้นฐานความจริงเกี่ยวกับกายมนุษย์กัน
ความจริงอันเป็นที่สุดเกี่ยวกับกายคือแรกสุดมันไม่ใช่ชายหรือหญิง
แต่เป็นแค่การประชุมกันของกระดูกฉาบเนื้อ บรรจุน้ำเลือดน้ำหนอง
มีไออุ่นกระจายตลอดร่าง และเป็นที่พัดเข้าพัดออกแล่นขึ้นแล่นลงของลม”
“คือถ้าชำแหละออกมาเป็นกองๆจะไม่เห็นมีชายหรือหญิง
เหลือแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลมเท่านั้นใช่ไหมคะ?”
หญิงสาวช่วยสรุปให้อย่างผู้ที่เริ่มมีความรู้ทางศาสนาในเชิงลึกพอสมควรแล้ว
“นั่นแหละ” อุปการะผงกศีรษะรับ
“หากศพใครเหลือแต่กระดูกที่ป่นแล้ว หรือปรากฏแต่น้ำเลือดน้ำหนองกองไว้
จะไม่มีใครบอกได้เลยว่านั่นเคยเป็นชายหรือเป็นหญิง เพศเป็นแค่ภาวะอย่างหนึ่ง
เกิดขึ้นโดยกรรมบันดาลให้ดินน้ำไฟลมแสดงรูปชายหญิงชั่วคราว”
“เข้าใจค่ะ”
ลานดาวรับฟังได้ไม่ยากนัก
เนื่องจากพอมีฐานความรู้เชิงชีววิทยาอยู่บ้าง
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่าทารกในครรภ์มารดาเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้น
จะเริ่มต้นด้วยการมีอวัยวะเพศหญิงก่อน แต่ถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นชาย
อวัยวะเพศแบบชายจึงปรากฏยื่นออกมาภายหลัง
ส่วนถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นหญิง อวัยวะเพศจะฝ่อตัวหายไปก่อนคลอด
กล่าวให้ชัดคืออวัยวะเพศนั้น
เดิมทีเคยเป็นอันเดียวกันนั่นเอง!
“วิญญาณที่มาปฏิสนธินั้น
ถ้าพกเอาคุณสมบัติของบุรุษมาด้วยก็จะได้เป็นชาย คิดง่ายๆว่ามีพลังกุศลหนักแน่นพอจะผลักอวัยวะเพศให้ยื่นออกไป
และแสดงรูปภาวะอื่นๆให้ปรากฏโดยความเป็นชาย”
ลานดาวจดเฉพาะคำสำคัญคือ
‘เป็นชายได้ต้องมีพลังกุศลหนักแน่นพอ’
สิ่งที่หล่อนครุ่นคิดอยู่ในหัวขณะนี้คือการเปรียบเทียบกันระหว่างความรู้ที่ได้รับจากโลกวิทยาศาสตร์กับความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะ
ถ้าถามนักวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดจึงเป็นชาย ก็จะได้คำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำว่าเด็ก
‘บังเอิญ’ ได้รับโครโมโซม Y จากพ่อไปประกบคู่กับโครโมโซม X ของแม่ ยิ่งไปกว่านั้น นับวันวิทยาการยังมีสูตรสำเร็จที่หวังผลได้สูง
ถ้าอยากได้ลูกชายต้องใช้ไม้ตายท่าไหน เทคนิควิธีและเครื่องช่วยอันใดบ้าง
แพทย์แผนปัจจุบันจาระไนได้หมดว่าจะลด ‘ความบังเอิญ’
ลงให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร
แต่ในมุมมองที่ต้องมีวิญญาณเป็นปัจจัยประกอบในการปฏิสนธิ
การวางแผนให้กำเนิดบุตรชายเป็นเพียงการตระเตรียมหัวโขนไว้อันหนึ่ง
รอวิญญาณที่พร้อมพอจะมาอาศัยสวมเท่านั้น
สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในแนวพุทธจนแก่กล้าพอจะหยั่งรู้รายละเอียดของรูปนาม
ก็ย่อมรู้ประจักษ์ใจว่าจักรวาลนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ
“แล้วกรรมอะไรคะที่ทำให้เกิดพลังกุศลหนักแน่นพอจะได้เกิดเป็นชาย?”
“ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งโดยเฉพาะหรอก
ถ้าให้มองออกง่ายที่สุดก็คือ ‘วิธีคิด’
ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในขณะทำทานรักษาศีลนั่นเอง”
ลานดาวฟังแล้วเข้าใจคำพูดของอาจารย์อยู่รางๆ
แต่ไม่ถึงขนาดกระจ่างเหมือนเห็นรูปด้วยตา จึงซักถามเพื่อเก็บรายละเอียด
“ทำไมต้องเอาวิธีคิดขณะทำบุญเป็นตัวตั้งด้วยคะ?”
“เพราะการทำบุญเป็นของใหญ่ เป็นสิ่งครอบงำนิสัย
และมักเป็นตัวกำหนดเส้นทางหลักในการเวียนว่ายตายเกิด วิธีคิดในขณะทำบุญเป็นอย่างไร
ก็มีความโน้มเอียงจะคิดแบบเดียวกันนั้นในขณะใช้ชีวิตประจำวันปกติไปด้วย”
ลูกศิษย์สาวจดวลี ‘วิธีคิดขณะทำบุญ’
แล้ววงเป็นดวงเด่นไว้ก่อนเงยหน้าถาม
“อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างวิธีคิดขณะทำทานที่ส่งให้ไปเกิดเป็นชายได้ไหมคะ”
“ก็ควรเป็นผู้ริเริ่ม นึกอยากทำทานเอง
และชวนญาติสนิทมิตรสหายหรือคนรักไปทำด้วย จิตก่อนทำทานต้องมีความเลื่อมใสมั่นคง
อย่างถ้าจะถวายสังฆทานนั้น ต้องรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ในการถวาย
ไม่ใช่เห็นว่าการเตรียมของถวายเป็นภาระ
หรือเห็นการถวายเป็นเรื่องทิ้งขว้างเปล่าประโยชน์
ต้องไม่มีความเสียดมเสียดายเงินทองและเวล่ำเวลาที่หมดไปกับสังฆทาน
และขณะเมื่อกำลังถวายสังฆทาน จิตมีความเคารพ มีความชื่นชมยินดีในบรรยากาศการถวาย
สุดท้ายหลังถวายสังฆทานเสร็จก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย
รักษาความรู้สึกชื่นมื่นซึ่งบุญได้ปรุงแต่งจิตแล้วนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
นี่แหละ ที่มาของความหนักแน่นในทาน”
ลานดาวคัดเฉพาะคำสำคัญบันทึกไว้
ขณะเดียวกันหยั่งดูผลรวมของอาการทางใจในการทำทานทั้งหมดที่อาจารย์กล่าวมา
ก็สำเหนียกทราบถึงความมั่นคงทางจิตเต็มอัตรา
ใครนิ่งไม่กระสับกระส่ายในบุญได้อย่างนั้นจะให้ความรู้สึกเป็นแมนดีจริงๆ
“จ๊ะเคยได้ยินว่าผู้ชวนคนอื่นทำบุญ
คนที่ไปร่วมทำบุญจะตามไปเกิดเป็นบริวารหรือคะ?”
“ผู้นำบุญจะเป็นผู้มีบริวาร อันนั้นถูกแล้ว
แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกที่ตามไปทำบุญด้วยกันหรอก”
“งั้นคนที่เอาแต่ตามทำบุญ มีใจนิยมในบุญ แต่ไม่ริเริ่มเอง
และไม่เลื่อมใสในบุญเต็มกำลัง แม้จะได้รับอานิสงส์จากทานมากมายเพียงใด
ก็ได้เกิดแค่เป็นหญิงหรือคะ?”
“ทำนองนั้น พวกคิดเล็กคิดน้อย สองจิตสองใจ
ตอนแรกคิดเลือกของดีแล้วเปลี่ยนเป็นของคุณภาพด้อยกว่าในภายหลัง
กิริยาอาการคิดเทือกนี้แหละที่เป็นฝักฝ่ายของอิสตรี เมื่อจะถือกำเนิดเกิดใหม่
พลังกุศลย่อมไม่หนักแน่นพอจะปฏิสนธิในเพศบุรุษ
และถ้าเอาผลเฉพาะปัจจุบันที่เห็นทันตา คือจะเป็นผู้คิดมากไปทุกเรื่อง
จุกจิกหยุมหยิมได้หมดกระทั่งเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ”
“เข้าใจชัดเลยค่ะ”
ลานดาวพูดกลั้วหัวเราะ เพราะหล่อนเองมักเป็นเช่นนั้น
เช่นเวลานึกอยากใส่ซองทำบุญพันหนึ่ง ก็ชอบเปลี่ยนใจอยากชักออกสักครึ่ง
ต่างจากสรณะที่ตั้งใจทำพันแต่ถึงเวลาเอาเข้าจริงมักกลายเป็นหมื่น
แม้หล่อนทำบุญกับเขามาแค่สองสามหนก็เห็นนิสัยชนิดนี้ในเขาเด่นชัด
“จ๊ะคิดหยุมหยิมในการทำทานของตัวเองบ่อยๆ คงต้องปรับปรุงค่ะ
แต่เวลาทำบุญกับพี่ณะ
นิสัยช่างคิดของจ๊ะก็ทำให้เขาได้ไอเดียดีๆแบบไม่เคยนึกมาก่อนเหมือนกันนะคะ”
“ดีแล้ว ถ้าปรึกษาการบุญร่วมกันด้วยความปรองดอง
ระหว่างทางไปและทางกลับไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็เชื่อขนมกินได้ว่าชีวิตคู่จะเป็นสุข
เพราะทั้งสองคนจะปรึกษาปัญหาขัดแย้งอื่นๆได้ลงตัวเหมือนคุยกันในงานบุญนั่นเอง”
“วาว! ดีจังที่ได้รู้เสียอย่างนี้ จะจำไปบอกพี่ณะค่ะ”
“ความจริงถ้าเพิ่งคบกันแล้วอยากรู้ว่าพอไปด้วยกันได้ไหม
ก็แค่ดูง่ายๆด้วยการทดลองทำบุญร่วมกันนี่แหละ
ดูว่ามีใจเสมอกันในการคิดเห็นเรื่องค่าใช้จ่ายไหม
ดูว่าระหว่างเดินทางทำบุญมีเหตุให้ต้องขุ่นเคืองใจหรือเป็นปากเป็นเสียงกันไหม
หากทุกอย่างราบรื่นหลายๆหน ก็จะส่อเค้าชัดขึ้น
รู้กับใจทั้งสองฝ่ายทีเดียวว่าน่าจะครองกันอย่างมีความสุข”
“โอ้โห! นึกไม่ถึงมาก่อนเลยค่ะ
แต่ก็เป็นอย่างที่อาจารย์บอกจริงๆด้วย ครั้งแรกที่พี่ณะชวนไปทำบุญด้วยกัน
มีแต่เรื่องดีๆน่าชื่นใจเข้ามาเพิ่มปีติ
แล้วหลังจากพี่ณะตกลงจัดของสังฆทานตามคำแนะนำของจ๊ะ ก็เหมือนเห็นอะไรตรงกัน
อยากว่าอะไรว่าตามกันไปหมด”
“การทำทานด้วยความปรองดองจะมีผลสืบเนื่องไม่รู้จบทั้งชาตินี้และชาติถัดๆไป”
“ใจคนส่วนมากไม่ใหญ่พอจะคิดถวายสังฆทานอย่างชาย
อย่างนี้ควรจะฝึกเป็นขั้นเป็นตอนยังไงดีคะถ้าอยากเกิดเป็นชาย?”
“ก็ให้เริ่มไต่ระดับเป็นขั้นๆจากหยาบไปหาละเอียด
โลกนี้เต็มไปด้วยผู้พร้อมจะรับ
ซึ่งก็หมายถึงมีพื้นที่ฝึกหัดให้ลงหลายสนามจากง่ายไปหายาก
แรกสุดควรเลือกทำทานกับสัตว์ เพื่อสร้างใจที่ไม่หวังผลตอบแทนก่อน
จากนั้นขยับขึ้นมาทำทานกับขอทานข้างถนน แบบที่พิการชัดๆก็ดี เป็นการสร้างใจที่เอื้อเฟื้อต่อคนตกทุกข์ได้ยาก
ทำด้วยเศษสตางค์ทีละน้อยๆ แต่ขอให้บ่อย ให้เป็นกิจวัตรประจำวันได้ยิ่งดี
จิตจะเริ่มติดสุขในการให้เปล่า แล้วใจจะค่อยๆใหญ่ขึ้น
อยากให้ด้วยความเต็มใจยิ่งๆขึ้น เพิ่มพูนน้ำจิตคิดเมตตากรุณาจริงแท้ยิ่งๆขึ้น
ถึงตรงนั้นแหละ แม้ไม่มีใครชักชวน
อยู่ดีๆก็อาจนึกอยากทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยตนเอง”
ลานดาวยิ้มกริ่ม
ต่อไปถ้าใครถามเรื่องวิธีเลือกเกิดใหม่เป็นชาย
หล่อนจะเริ่มตอบจากวิธีให้ทานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้
“การทำบุญเอาหน้ามีส่วนลดทอนความหนักแน่นของกุศลหรือเปล่าคะ?”
“ก็แล้วแต่จังหวะการคิด การทำบุญเอาหน้านั้น
ในมโนทวารของเราจะมีหน้าตาใหญ่ๆของตัวเองแปะอยู่ในกองบุญ
อาการนึกขณะนั้นไม่แน่วบริสุทธิ์ไปในบุญ
ถ้าคิดอยู่ตลอดเวลาก็อาจเหมือนพระจันทร์ข้างแรม
แสงบุญหรี่เหลือน้อยเพราะถูกบดบังเห็นเป็นเงามืดไปเกือบหมด อย่างนี้ไม่จัดเป็นการทำบุญของบุรุษ
แต่ถ้าคิดเพียงเล็กน้อยก็เหมือนพระจันทร์ที่เพิ่งอยู่ในช่วงข้างขึ้น
แม้มีเงามืดบดบังแสงอยู่บ้างก็นับว่านิดหน่อย
อย่างนี้ยังเข้าข่ายการทำบุญของบุรุษอยู่”
“การทำบุญหวังผลด่วน การทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่
แบบพวกเห็นการทำทานเป็นการลงทุนทางธุรกิจ ก็มีผลลดทอนกำลังกุศลด้วยใช่ไหมคะ?”
“ใช่ แต่ถ้าอธิษฐานแบบสมเหตุสมผลบ้างก็ไม่เป็นไร
คนส่วนใหญ่เงินขาดมือ ชักหน้าไม่ค่อยถึงหลัง
หากทำทานเป็นประจำแล้วขอให้มีรายได้จากการขยันทำงานไม่ขาด
อย่างนี้ผลทานจะไปเพิ่มความสว่างทางการเงินในชาติปัจจุบันได้จริง แล้วก็ไม่ถึงกับลดทอนกำลังกุศลแบบชายลงมากนัก
แต่อย่างหนูไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน
ก็ควรตั้งจิตให้บริสุทธิ์ในบุญโดยไม่หวังผลไปเลยจะประเสริฐสุด”
“แล้วการกีดกันไม่ให้คนอื่นมีส่วนในกองบุญของเราหรือกลุ่มญาติของเราล่ะคะ
จัดเข้าฝักฝ่ายทานแบบสตรีได้หรือเปล่า? จ๊ะเห็นเต็มเลย
คนไทยชอบแยกกองบุญว่านี่ส่วนของฉัน ฉันจะภูมิใจของฉันเป็นเอกเทศ
อย่าได้เอาของเธอมาปะปนกัน”
“ทานแบบนั้นก็น้องๆวิธีการทำบุญเอาหน้านั่นแหละ
แต่เรียกให้ตรงตัวคือเป็นการทำบุญด้วยจิตใจคับแคบมากกว่า
ไม่ได้เป็นฝักฝ่ายบุรุษหรือสตรีโดยตรง เพราะบางคนกันกองบุญของตัวเองเป็นต่างหากจากคนอื่นก็ด้วยแน่วไปในความหวังว่าตนจะได้เสวยบุญส่วนตัวเต็มบริบูรณ์
ความคิดในการทำบุญทำนองนี้จะส่งผลให้ใช้ชีวิตปกติแบบไม่ค่อยเอื้อเฟื้อ
คิดเห็นแปลกแยกจากคนอื่น หรือคิดอยากได้ดีเด่นเหนือใคร ยอมน้อยหน้าไม่ได้
ผลทางอ้อมคือมีเพื่อนน้อย หน้าตาถึงแม้สวยหล่ออย่างไรก็เหมือนขาดเสน่ห์น่าคบหาไป
และชาติหน้าคนเห็นโหงวเฮ้งแล้วจะรู้สึกว่าเป็นพวกใจแคบด้วย”
“กรรมนี่ทำกันได้ละเอียดพิสดารจริงๆเลย”
ลานดาวรำพึง
อุปการะสาธยายอย่างเห็นประโยชน์ในการให้ความเข้าใจ
“เรื่องการทำทานน่ะนะ
ความจริงถ้าเข้าใจหลักสำคัญก็ไม่มีอะไรมากหรอก ขอแค่แม่นตรงจุดยอดจุดเดียว
คือบุญจะเกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับจิตที่เปิดกว้าง ที่เบิกบาน ที่เป็นปีติสุข
ถ้าเห็นตรงนี้ให้ได้ คนเราจะฉลาดทำบุญเหมือนๆกันหมด
สามารถนำไปเป็นหลักตรวจสอบใจตัวเองได้หมดว่าคิดเข้าร่องเข้ารอยหรือยัง”
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาจดสรุปพร้อมขยายความว่าทานจิตที่สมบูรณ์วัดกันด้วยความเปิดกว้างไม่คับแคบ
ความเบิกบานไม่หดหู่ กับความมีปีติสุขไม่เศร้าหมอง หากมีคุณสมบัติของกุศลจิตครบ
ก็สะท้อนให้เห็นถึงรากว่าวิธีคิดในการทำทานถูกต้องบริบูรณ์
“คราวนี้เอาศีลเป็นเกณฑ์บ้างล่ะคะ อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของชาย
อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของหญิง?”
“วัดกันที่ความแน่วแน่ในการตั้งใจรักษาศีล
ความตั้งใจไม่กระทำกาเมสุมิจฉาจารอย่างเด็ดขาด
ฝักฝ่ายของชายคือมีใจเดียวเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ไม่เอาแน่ๆ
ไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับการห้ามใจหรือลังเลว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี
ยืนกรานปฏิเสธแบบกระต่ายขาเดียวเลยเมื่อโอกาสมาถึงหรือมีใครมายั่วยวนชวนขึ้นเตียง”
“สรุปคือถ้าไม่ใช่สามีหรือภรรยาของตน
ก็จะไม่ใจแกว่งเป็นอันขาด?”
“ใช่!”
“ถ้าสนิทกัน
คิดว่าหยวนๆหน่อยเดียวแค่หอมปากหอมคออะไรงี้นับหรือเปล่าคะ?”
“นับสิ! ส่วนใหญ่เกิดเป็นหญิงก็เพราะใจอ่อน
หยวนๆนิดหยวนๆหน่อยนี่แหละ ใจคนน่ะ ไม่ต้องถึงขั้นหอมปากหอมคอหรอก
แค่ครุ่นคิดไม่เลิก ไม่ยอมหักห้าม ก็เริ่มผิดกันที่ตรงนั้นแล้ว”
“ผิดศีลตั้งแต่คิดแล้ว?”
“ถ้าใจคิดอย่างเดียว ยอมจุกอกปิดกั้นไม่ให้ลามมาถึงมือไม้ก็แค่ถือว่าศีล
‘พร้อมจะด่างพร้อย’ เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น ‘ด่างพร้อยไปแล้ว’ เรียบร้อย
ศีลจะเริ่มมีมลทินด่างพร้อยก็เมื่อแตะเนื้อต้องตัวกันด้วยความกำหนัดยินดี”
“แกล้งจับมือด้วยความยินดีในสัมผัสระหว่างเพศก็ถือว่าต้องมลทินแล้ว?”
“อย่างนั้น”
“แปลว่าตราบใดศีลยังไม่ด่างพร้อย
ยังไม่แกล้งเฉี่ยวมือเฉี่ยวไม้ ยังมีความหักห้ามยั้งคิด
ก็นับเป็นฝักฝ่ายของชายอยู่ใช่ไหมคะ?”
“ใช่! แต่พวกตัดเด็ดขาดไปเลยแม้กระทั่งความคิด
อย่างนั้นถึงจะเรียกว่ามีใจเป็นลูกผู้ชายเต็มร้อย”
“ฟังดูขัดแย้งชอบกลนะคะ
เรื่องพรรค์นี้โดยวิสัยของผู้หญิงจะระวังตัวมากกว่าผู้ชายไม่ใช่หรือ? ถึงแม้ยุคนี้เหมือนฟรีกันมากขึ้น จ๊ะสังเกตดูผู้หญิงยังมีความละอาย
ทำแล้วสำนึกผิดอยู่ดี ต่างจากพวกผู้ชายที่จะมองการคบชู้เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ
ทำไปไม่สำนึกผิดเลยสักนิดเดียว
นี่มิแปลว่าผู้หญิงมีแนวโน้มจะเกิดใหม่เป็นชายได้มากกว่าผู้ชายในชาติปัจจุบันหรอกหรือคะ?”
“ก็เป็นวิธีสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเพศไง
พออยู่ในอัตภาพหญิงก็เจียมในสภาพของตน เห็นว่าเป็นฝ่ายเสีย เป็นฝ่ายรู้สึกงามหน้า
เลยระมัดระวังรักนวลสงวนตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแต่งงานแล้วก็มีแนวโน้มจะซื่อสัตย์กับสามี
แต่พออยู่ในอัตภาพชายก็ทะนงในพลกำลังของตน แถมเกิดความมักง่ายด้วยเห็นว่าตนไม่เสียหายอะไร
เป็นฝ่ายได้ เป็นฝ่ายสนุกอย่างเดียว
นักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย ชาติต่อไปจะเป็นกะเทย
เป็นบทลงโทษให้เกิดความอับอายแรงๆชดเชยกับที่ไม่เคยอายเอาเสียเลย
ส่วนพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร
แต่ยังเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง
ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง”
ลานดาวหัวเราะอย่างถึงบางอ้อ
“พูดง่ายๆคือเป็นทอมใช่ไหมคะ?”
“ทำนองนั้น”
“ถามหน่อยเถอะค่ะ จ๊ะกับพี่เอินเป็นหญิงแท้ทั้งคู่
ทำไมเคยรักเคยหลงในแบบชู้สาวกันได้? เป็นการบีบคั้นของกรรมอย่างเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาความต่างศักย์แบบขั้วหนึ่งเป็นทอม
ขั้วหนึ่งเป็นดี้เลยหรือ?”
“คู่ที่รักและผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติมานาน
ก็มักก่อกรรมร่วมกันมาหลายแบบ จึงมีฐานะได้หลากหลายอย่างนี้แหละ
พอพบเจอจะตั้งต้นด้วยความรู้สึกว่าเป็นอะไรกันก็ได้ ขอให้มีความผูกพัน
มีโอกาสใกล้ชิดกัน ทำอะไรร่วมกัน ตัวหนูเองในชาตินี้นั้น
วิบากด้านดีทำให้มีเสน่ห์เป็นที่น่าหลงรักสำหรับทุกเพศอยู่แล้ว
พอหนูโดนวิบากด้านร้ายบังคับให้ตกหลุมรักหมอเอิน กระแสความอยากในเชิงชู้สาวของหนูก็บีบให้เขาพลอยหลงผิดตามกัน
เพราะมีความผูกพันลึกซึ้งนำหน้า แถมหมอเอินเองก็มีความเหงาหนุนหลังอยู่”
“เป็นเหตุเป็นผลที่เหมือนปรากฏอยู่ตรงหน้าชัดๆ
แต่อธิบายไม่ถูกอย่างอาจารย์เลยค่ะ
แล้วจ๊ะหลุดจากบ่วงกรรมได้เพราะหมดแรงส่งของกรรม หรือว่าตามขั้นตอนของผังกรรมนั้นจ๊ะจะต้องเจอพี่แตร
หรือว่าเป็นเพราะจ๊ะทำใจสละบาปแล้วอธิษฐานขอพบคนใหม่กันแน่คะ?”
“ทุกอย่างประกอบกัน แต่จุดใหญ่ที่สุดคือจาคะ
ความมีใจคิดสละบาปนั่นแหละเป็นตัวประกอบสำคัญสูงสุดในกรณีของหนู
เพราะเดิมหนูมีความคิดเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัวจัด ถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงตัวตนเดิมๆ
ก็จะต้องหลงวนอยู่ในวงโคจรเดิมๆ ไม่อาจเจอคนใหม่ที่ดีกว่า
คล้ายสร้างเขาวงกตให้ตัวเองหาทางออกไม่เจอ
หรือเหมือนขุดหล่มให้ตัวเองติดอยู่อย่างไม่อาจถอนเท้าขึ้นมาสำเร็จ”
“ถ้ามองตามจริงว่าชีวิตต้องผ่านการเลือกคู่หลายครั้ง
คิดสละคนที่ไม่ใช่ไปเรื่อยๆ ก็คงทำใจให้ปักแน่วมั่นคงในศีลได้ยากสิคะ
เหมือนๆจะต้องเตรียมใจรับสภาพว่าเขาอาจไม่ใช่ของเราในวันหนึ่ง
เราเองก็มีสิทธิ์สอดส่ายสายตาหาคนเหมาะกว่านี้ พูดตรงๆเลยก็ได้ แม้แต่จ๊ะในวันนี้
ถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าพี่ณะใช่ จ๊ะก็คงไม่ทุ่มใจให้กับเขาหมดหรอก กลัวว่าในที่สุดก็ไม่ใช่เหมือนพี่แตรอีก”
“อือม์… หนูก็พูดถูก เกมกรรมน่ะเล่นยาก เตรียมใจยาก
ทุ่มมากไปก็กลายเป็นยึดมั่นถือมั่นผิดตัวได้ เผื่อมากไปก็กลายเป็นหลายใจได้
เอาเป็นว่าเมื่อตัดสินใจอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับใคร
ต่างคนต่างก็ไม่ทำเรื่องบาดใจกันด้วยการรักษาศีล
ไม่ล่วงละเมิดศีลข้อกาเมฯแน่ๆจนกว่าจะแยกเตียงเป็นเรื่องเป็นราวก็แล้วกัน โลกนี้นะ
ถ้าเอาตามอุดมคติ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ฝ่ายชายเลี้ยงดูและปกป้องภรรยา
ภรรยาปรนนิบัติรับใช้สามีด้วยความซื่อสัตย์ มีค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว
ก็ได้ชื่อว่าทั้งคู่ทำจิตไม่ให้ซัดส่ายสับสน
ไม่ต้องชดใช้บาปกรรมทางเพศทั้งชาตินี้และชาติหน้ากันแล้ว
ต่อให้ชาตินี้ยังไม่รักกันดูดดื่มปานจะกลืน
ศีลสัตย์ก็จะกลายเป็นพลังดลใจให้รู้สึกรักลึกซึ้งเมื่อเจอกันในปรโลกไปเอง”
“เพื่อนจ๊ะหลายคนบ่นกันมากเลย ว่าอยากเกิดเป็นผู้ชาย
เป็นผู้หญิงมีแต่เสียเปรียบ หากผู้หญิงเกิดอยากเป็นผู้ชายในชาติหน้า
ถ้ารักษาศีลข้อกาเมฯให้บริสุทธิ์แล้วอธิษฐานเอา
อย่างนี้จะเกิดผลสำเร็จตามปรารถนาไหมคะ?”
“สำเร็จซี่ เพราะใจที่เลื่อมใสในศีล
รักษามั่นในศีลอย่างหนักแน่น เป็นฝักฝ่ายของบุรุษอยู่แล้ว
หากอธิษฐานกำกับไว้ด้วยก็ต้องได้เป็นชายแน่นอน”
“อย่างนี้ถ้าอยู่ตัวคนเดียวไม่แต่งงานก็หมดสิทธิ์สร้างกรรมว่าด้วยความซื่อต่อสามีสิคะ?”
“อยู่ตัวคนเดียวก็คิดได้
ว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาแล้ว ถ้าให้ดีครองตัวบริสุทธิ์ไปเลย
เพราะการถือครองพรหมจรรย์ การถือศีลแปดประพฤติธรรมจนเกิดปีติสุขปลอดโปร่ง
จะบันดาลผลให้ได้เป็นชายตามปรารถนาแน่นอนที่สุด”
“เพราะอะไรคะ?”
“เพราะพรหมจรรย์ทำให้จิตมีกำลังเป็นกุศลหนักแน่นไงล่ะ
ต้องใช้กำลังใจไม่ใช่น้อยๆนะถึงจะอยู่รอดตลอด กามน่ะเหมือนห้วงน้ำ
ทำให้จิตเอิบชุ่มด้วยยางเหนียว เป็นตัวลดทอนอำนาจกุศลให้อ่อนกำลังลงอย่างมาก
คนที่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงกามรสหนักๆจิตมักจดจ่ออยู่กับเครื่องเพศของหญิง
ยิ่งจดจ่อมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งยึดในอัตภาพหญิงมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนภพของหญิงเป็นแม่เหล็กดึงดูดจิตให้ไปติดจนแกะยาก
พอติดจมมากเข้าในที่สุดเลยกลายเป็นหญิงไปเสียเองเมื่อเกิดใหม่ครั้งต่อไป”
ลานดาวเขียนคำว่า ‘ความมักมากในกาม’ แล้วขีดเส้นใต้
“แค่ไหนถึงเรียกว่า ‘มักมากในกาม’ ในความหมายของอาจารย์คะ?”
“คือมีความคิดส่วนใหญ่ตรึกไปในกาม
อย่างเห็นใครก็เน้นมองเป็นวัตถุกามไปหมด ไม่ค่อยอยากรู้แง่มุมอื่นของใครเท่าไหร่
ที่สำคัญคือมีใจอุทิศร่างกายให้กับกามท่าเดียว วันๆแทบไม่อยากหยิบจับอย่างอื่น”
หญิงสาวหน้าแดงหน่อยๆ เม้มปากหัวเราะออกจมูก เหลือบตาลงต่ำเพื่อจดบันทึกก่อนเปรย
“ผู้ชายหลายคนมองว่าการประกาศศักดาของชาติชาตรีคือการมีผู้หญิงเยอะๆ
บางทีจ๊ะยังเคยคิดเลยค่ะว่าเป็นผู้ชายไทยนี่ดีเนอะ
เมียยิ่งมากสังคมก็ยิ่งยกนิ้วโป้งให้ว่าเก่ง
บางประเทศเขากีดกันไม่ยอมให้พวกขุนแผนเล่นการเมืองระดับประเทศด้วยซ้ำ”
อุปการะพยักพเยิด
“ค่านิยมของคนทั่วไปมักยืนพื้นอยู่บนความเชื่อในทางเสื่อม
พูดง่ายๆว่าชอบแข่งกันเก่งในทางลง ไม่ใช่ทางขึ้น
ทั้งนี้ก็เพราะความไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วได้ผลตอบแทนท่าไหนนั่นเอง
อย่างเช่นคนมักเข้าใจว่าแมนเต็มร้อยคือต้องแข็งกระด้างหรือแสดงออกในทางก้าวร้าวฉุนเฉียว
ปล่อยอารมณ์เต็มที่โดยไม่ต้องใช้เหตุผลยั้งคิดให้มาก
หรือเข้าใจผิดอย่างหนักคือควรพิสูจน์ความเป็นชายด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเยอะๆ
ทั้งที่กรรมเหล่านั้นเป็นฝักฝ่ายให้ได้เกิดเป็นหญิงแท้ๆ”
“แล้วพวกจิตวิปริต ชอบกดขี่ทารุณผู้หญิงล่ะคะ ต้องไปเกิดเป็นหญิงเพื่อโดนเอาคืนในรูปแบบเดียวกันหรือเปล่า?”
“กรรมจำพวกนั้นไม่ต้องทำบ่อยเป็นอาจิณก็มีน้ำหนักถีบลงนรกได้
เพราะการข่มขืนหรือการกดขี่ทารุณทางเพศบาดจิตบาดกาย
เบียดเบียนผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
ก่อให้เกิดความสกปรกแก่จิตของผู้กระทำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าโชคดีหน่อยลงไม่ถึงนรก
อย่างน้อยก็ไปเป็นสัตว์ที่ถูกทำทารุณแบบหมดสิทธิ์ป้องกันตัว
และในชาติถัดๆมาหากบุญถึง มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีก
เศษกรรมย่อมเสกรูปหญิงมาเพื่อชดใช้หนี้เก่าซ้ำ
ตามหลักที่ผู้เอาเปรียบย่อมกลายเป็นผู้เสียเปรียบ ผู้กระทำย่อมถูกกระทำคืน เขาจะงุนงงว่าเหตุใดตั้งแต่ต้นชีวิตตนจึงพบเจอแต่การทารุณทางเพศ
ทั้งที่หญิงอื่นหลายต่อหลายคนไม่เคยถูกกล้ำกรายแม้เท่าแมวข่วน”
ลานดาวกะพริบตาถี่ๆ
ข่าวอาชญากรรมทางเพศเป็นเรื่องน่าหวาดผวาสำหรับลูกผู้หญิงทุกคน
แต่หลังจากตระหนักว่าโลกทั้งโลกถูกดูแลโดยกรรม หล่อนก็เดาว่าอดีตชาติตนคงไม่เคยทำเรื่องโหดร้ายมาก่อน
ชาตินี้จึงไม่มีเรื่องโหดร้ายแผ้วพานมาใกล้ตัวแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งที่เพื่อนบางคนมาปรับทุกข์ให้ฟังแล้วต้องฉงนว่าสมัยนี้คนส่วนใหญ่อยู่กันเข้าไปได้อย่างไร
บางรายเจอเป็นปกติแทบปีละหนทีเดียว
“น่ากลัวจังนะคะ เหมือนหมุนวนเป็นวัฏจักรอย่างนี้เอง
ธรรมชาติให้เครื่องล่อใจมา พอบุ่มบ่ามคว้าเหยื่อล่อด้วยวิถีทางที่ผิดบาป
กระทำชำเราคนอ่อนแอ อนาคตก็ต้องกลับเป็นคนอ่อนแอให้ถูกชำเราคืน
โดยจำไม่ได้ว่าตัวก็เคยทำเขามา มีแต่จะเคียดแค้นอยากจองเวรกันไม่เลิกราต่อไป”
“ถ้ามองจากมุมของผู้อยู่เหนือกรรมอย่างพระพุทธเจ้า
ทุกคนน่าสงสารหมด ทุกความเลวทรามเป็นกรรมอันน่าสลดสังเวชหมด
เพราะเป็นเหตุให้ต้องรับผลย่ำแย่ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเสมอ
ตราบใดยังไม่มีการสำนึกผิด ตราบใดยังไม่มีการอโหสิ ตราบนั้นเวรจะยังไม่ระงับ
แล้วก็ต้องอยู่บนเส้นทางเดิมที่น่าเหน็ดหน่ายไม่สิ้นสุดกันต่อไป”
หญิงสาวนิ่งไปอึดใจ ภาวนาอย่าได้ต้องมีเวรมีภัยกับใครอีกเลย
“จ๊ะสรุปอย่างนี้ถูกไหมคะ…” กระแอมนิดหนึ่งก่อนดูโน้ตรวมๆ
“จิตวิญญาณไม่มีเพศ คือทางนามธรรมไม่มีใครเป็นชาย ไม่มีใครเป็นหญิง
มีแต่กรรมทางการคิด การพูด การทำของแต่ละคนที่ ‘สมชาย’ หรือ ‘สมหญิง’
ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมมีความสมชายก็ทำให้เกิดรูปชาย
ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมไม่พอก็ได้รูปหญิงกันไป เพราะเป็นเพศหญิงกันง่าย
ตอนเป็นตัวอ่อนทุกคนก็เป็นหญิงอยู่แล้ว”
“ถูก!” อุปการะรับรอง “ว่าแต่รู้ช่องทางอย่างนี้แล้ว
ยังพอใจจะเป็นหญิงต่อไปไหมล่ะ?”
คำถามนั้นแฝงน้ำเสียงสัพยอก
ลานดาวยกมือลูบเส้นผมยาวของตนเองลงมาถึงปลาย
กิริยานั้นทำให้รู้สึกถึงความเป็นหญิงจนต้องระบายยิ้มที่มุมปากนิดๆ
ความเป็นหญิงทำให้หล่อนรู้สึกว่าเป็นสมบัติของผู้ชายคนหนึ่ง
ขณะเดียวกันนั่นก็เป็นนาทีแรกที่รู้สึกแปลกไป เดิมทีหล่อนไม่ได้เป็นหญิง
ไม่ได้เป็นสมบัติของใคร
ไม่แม้แต่จะเป็นเจ้าของครอบครองร่างกายตนเองได้ชั่วกาลนานด้วยซ้ำ
แต่กรรมเก่าส่งให้มาใช้ชีวิตในภาวะอิตถีชั่วคราว
เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นหล่อน หล่อนเป็นเจ้าของร่างหญิงนี้
แต่ความติดใจในการครองรูปหญิงก็ยังเหนียวแน่น เพราะ…
“ถ้าเป็นหญิงแล้วได้ตามพี่ณะไปเรื่อยก็ดีเหมือนกันนะคะ”
อุปการะหัวเราะแล้วเบนหน้าไปอีกทาง
“อือ… ก็ดีตามอัธยาศัยเก่าของเรา”
“จ๊ะรู้สึกว่าพี่ณะมีความเป็นชายออกมาจากข้างใน บอกไม่ถูก
เหมือนเขาเป็นชายตลอดมาทุกภพทุกชาติ และจะไม่กลับเปลี่ยนเป็นหญิงเลย
จ๊ะเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”
อุปการะดึงสายตากลับมามองลูกศิษย์สาว
“คุณสรณะก็เหมือนแฟนคนก่อนของหนู
พวกนี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีมามากแล้ว จิตใจหนักแน่นเกินมนุษย์
เสียสละขนาดตายแทนคนไม่รู้จักได้ ก็ธรรมดาที่หนูจะรู้สึกว่าเขาเป็นชายเต็มพิกัด”
“พระโพธิสัตว์นี่คือพวกที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตใช่ไหมคะ?”
“ใช่…
ในอดีตกาลพวกนี้เคยพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆแล้วเกิดแรงบันดาลใจ
แทนที่จะบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จอรหัตตผลเอาตัวรอดเฉพาะตน ก็ขอเดินทางอ้อม
อยากอยู่บำเพ็ญบารมีต่อจนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพื่อช่วยรื้อถอนสัตว์จากสังสารวัฏด้วยกำลังแห่งตน
มโนกรรมอันเป็นมหากุศลนั้นส่งผลให้ชาติต่อๆมาเป็นผู้มีความริเริ่ม
มีความหนักแน่นในการทำกุศลยิ่งใหญ่มาก กำลังใจที่จะคิดเองทำเองนั้นสูงเหนือธรรมดา
เดินเดี่ยวได้โดยไม่ต้องมีใครนำ
ชอบแต่จะชักจูงหรือนำพาใครต่อใครไม่เลือกหน้าให้ได้ดีตามตน นับว่าเป็นกรรมในฝักฝ่ายของบุรุษสุดขั้ว
จึงมีความเป็นชายติดตัวไปตลอดตราบเท่าเข้านิพพาน”
“จ๊ะจะได้เป็นตัวจริงของพี่ณะตลอดไปด้วยใช่ไหมคะ?”
“หนูเคยอนุโมทนายินดีกับความปรารถนาพุทธภูมิของคุณสรณะมาหลายครั้ง
มีน้ำใจหนักแน่นขนาดออกปากเปล่งวาจาอธิษฐานขอยินดีในกุศลร่วมกับเขาทุกภพทุกชาติได้
วจีกรรมที่เกิดซ้ำๆด้วยใจจริงหลายภพหลายสมัยนั้น จะดลให้ได้เป็นคู่แท้ของเขา
เพราะชนะบุญที่หญิงอื่นทำร่วมกับเขามาทั้งหมด
พูดให้เข้าใจง่ายคือเมื่อไหร่เขาเป็นราชาหรือมหาจักรพรรดิผู้มีบาทบริจาริกาตามประเพณีหลายนาง
เราจะเป็นมเหสีเอกเสมอ ไม่มีทางเป็นนางสนมอย่างเด็ดขาด”
ลานดาวสยายยิ้มกว้างด้วยแรงฉีดของปีติ
“เมื่อกี้แค่อาจารย์พูดถึงการปรารถนาพุทธภูมิของพี่ณะ
จ๊ะก็นึกยินดีจะติดตามเขาตลอดไป ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน
อันนี้คือสัญญาณทางใจที่ติดมาจากการอธิษฐานเดิมใช่ไหมคะ?”
“อย่างนี้แหละ ธรรมดาของการอธิษฐานจะให้ผลแบบข้ามชาติในรูปความเต็มใจคิดแบบเดิมๆเมื่อถูกกระตุ้นเตือนให้ระลึกได้
เหมือนไฟลึกลับที่ผุดโพลงขึ้นมาจากส่วนลึกอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
เราจะบอกตัวเองว่าใช่โดยปราศจากคำถามหาเหตุผลที่มาที่ไป”
“คิดทบทวนแล้วก็ประหลาดดีจังค่ะ
ตอนยังไม่ทันอายุเข้าวัยรุ่นดี จ๊ะเห็นพี่ณะออกทีวีก็หลงใหลคลั่งไคล้เอามากๆ
และเชื่ออยู่ลึกๆว่าจ๊ะเป็นของเขา
แต่ความเชื่อนั้นก็สลับกับความคิดว่านั่นน่าจะเป็นแค่อาการละเมอเพ้อพกของเด็กผู้หญิงช่างฝันคนหนึ่ง
แล้วจ๊ะก็เริ่มเมียงมองหาเจ้าชายในโลกความจริง
ค่อยๆโตขึ้นพร้อมกับความตระหนักชัดว่าพี่ณะคงอยู่ไกลเกินเราจะตามทัน
แต่เขาก็เป็นเครื่องวัดระดับผู้ชายอื่นๆของจ๊ะ
และเหมือนคอยเป็นเครื่องบอกอยู่ตลอดเวลาว่าให้ดีแค่ไหนก็ยังไม่ใช่ไปหมด
ไม่น่าพอใจไปทั้งนั้น เพราะยังเทียบเขาไม่ได้สักคน
เว้นพี่แตรที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว”
“อือ… ก็เพราะแฟนเก่าของหนูอยู่บนทางพุทธภูมิเหมือนกัน
บำเพ็ญบารมีมาใกล้เคียงกัน”
หญิงสาวหัวเราะนิ่มๆ
“สิ่งที่สำคัญว่าเป็นอุปาทานกลับกลายเป็นของจริงไปได้
อย่างนี้จะมีวิธีรู้ไหมคะว่าตกลงอันไหนอุปาทาน
อันไหนคือสัญญาณเก่าจากอดีตชาติจริงๆ?”
“ปุถุชนธรรมดาที่ปราศจากญาณหยั่งรู้กรรมสัมพันธ์ระดับข้ามภพข้ามชาติ
ไม่มีทางแยกได้ออกหรอก เป็นเรื่องอจินไตย คือพระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิด
ถือเป็นอุปาทานไปก่อนจะปลอดภัยที่สุด
ไว้มีเหตุปัจจัยคลี่คลายพิสูจน์ตัวเองค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย”
“เอ่อ… ในเมื่อการติดตามพี่ณะเป็นเรื่องจริง
และเขาจะเป็นผู้ชายตลอดกาล อย่างนี้ก็หมายความว่าจ๊ะไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนเพศตลอดไป?”
อุปการะพยักหน้า
“การติดใจ การปักใจอธิษฐานขอติดตามพระโพธิสัตว์
เป็นเหตุผลหนึ่งของการเกิดเป็นหญิง”
“เมื่อกี้ตอนอาจารย์ยกตัวอย่างเล่นๆว่าถ้าชาติไหนพี่ณะเกิดเป็นมหาจักรพรรดิ
ชาตินั้นจ๊ะจะได้เป็นมเหสี จ๊ะขนลุกไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะยินดีกับตำแหน่งนะคะ
แต่เหมือนเห็นนิมิตพี่ณะกับตัวเองอยู่ในเครื่องทรงกษัตริย์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!”
“ก็คงเป็นความจำในส่วนลึก เพราะบำเพ็ญบารมีแบบโพธิสัตว์มานานขนาดนี้
บุญญาบารมีมักส่งให้ไปเกิดเป็นใหญ่เป็นโตบ่อย”
“กรรมอะไรที่ทำให้คนเราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิคะ?”
“ฐานะของคนเราโดยมากก็ผูกอยู่กับผลของทานที่ทำนั่นแหละ
ไม่ให้ทานเลยก็เป็นอยู่อย่างคนไม่มีอะไรเลย ให้ทานอย่างคนธรรมดาก็เป็นอยู่อย่างคนธรรมดา
ให้ทานอย่างราชาก็เป็นอยู่อย่างราชา
ให้ทานอย่างจักรพรรดิก็เป็นอยู่อย่างจักรพรรดิ”
“ทานของคนธรรมดาเป็นยังไงคะ?”
“ดูจากตัวหนูเองก็แล้วกัน ตอนเลือกซื้อของมาใส่ครัวผม
หนูเข้าซูเปอร์มาเก็ตด้วยความตั้งใจอย่างไร?”
หญิงสาวทบทวนไปถึงวาระจิตก่อนเข้าซูเปอร์มาเก็ตแล้วตอบตามซื่อ
“จ๊ะรู้สึกว่าถ้าไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาฝาก
ก็เหมือนขาดสิ่งที่สมควรน่ะค่ะ”
“ตอนเลือกของจากชั้นหนูคิดอย่างไร?”
“ก็เลือกสิ่งที่จ๊ะคิดว่าคุณภาพดีที่สุด
บางชิ้นจ๊ะรู้ว่าอาจารย์ชอบ แต่บางชิ้นจ๊ะก็ชอบของจ๊ะเองและอยากให้อาจารย์ลองบ้าง”
“หนูกะงบประมาณในการซื้อแค่ไหน?”
“เวลาให้ของอาจารย์หรือถวายของพระ
จ๊ะชอบเห็นของเต็มๆรถเข็นสองสามคัน ไม่ได้กะเป็นงบประมาณ และไม่เคยดูด้วยซ้ำว่าจ่ายไปเท่าไหร่
แค่ยื่นบัตรเครดิตให้แคชเชียร์อย่างเดียว”
“หนูไม่รู้สึกเดือดร้อนกับค่าใช้จ่ายเลยใช่ไหม?”
“ไม่เลยค่ะ สำหรับอาจารย์ แค่นี้นับว่าน้อยมาก”
“ลองกะได้ไหมว่าของทั้งหมดนั่นกี่บาท?”
หญิงสาวเหลือบตาลงต่ำ
พยายามทบทวนโดยนึกถึงตัวเลขดิจิตอลบนเครื่องคิดเงินของซูเปอร์มาเก็ตซึ่งผ่านตาเพียงแวบเดียว
แล้วก็ฟังเสียงพนักงานแค่ผ่านๆหูโดยไม่นึกว่าจะต้องจำไว้ให้ตัวเลขกับใคร
ถึงแม้โดยทั่วไปหล่อนยังตระหนี่ถี่เหนียวอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นการซื้อของให้อาจารย์แล้วไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องหมดเงินไปสักเท่าไหร่
“ดูเหมือนจะเป็นห้าพันเจ็ดกว่าๆนะคะ จำไม่ถนัด”
ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
“ช่างเถอะ ผมไม่ได้จะเอาความแม่นยำเรื่องตัวเลขหรอก
แค่อยากถามว่าหลังจากซื้อของด้วยจำนวนเงินประมาณนั้น
กับทั้งขนของจากรถมาเข้าห้องครัวบ้านผมแล้ว หนูรู้สึกยังไง?”
ลานดาวลำดับภาพอีกครั้ง
ประมวลรวมลงเป็นความรู้สึกโปร่งเบาแช่มชื่นขึ้นทันที
“มีความสุขค่ะ ชื่นใจที่ได้ทำอะไรตอบแทนอาจารย์บ้าง
แม้เล็กๆน้อยๆเหมือนไม่ค่อยมีความหมายก็ยังดี”
“จำประมาณของความสุขไว้นะ… เอาล่ะ! ทีนี้ลองย้อนนึกถึงวันที่หนูทำงานหนัก
ต้องเหนื่อยและทนหิว จำความหิวจนไส้แทบขาดได้ไหม?”
ลานดาวต้องเค้นนึกอยู่พักหนึ่ง เพราะตั้งแต่เกิดมา
คำๆหนึ่งในพจนานุกรมที่หล่อนไม่ค่อยเข้าใจความหมายก็คือ ‘หิว’ นี่เอง
แต่พอระลึกถึงวันคืนที่ตนดื้อดึงและประท้วงอดข้าวเพื่อขอแลกใบหย่ากับมาวันทา สภาพหิวไส้กิ่วหน้ามืดตาลายก็ย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ
มันเหมือนร่างกายเหี่ยวแห้ง อยากงอตัวตลอดเวลา
มีความทุรนทุรายเรียกร้องหาอาหารดับความทรมาน
โดยเฉพาะในช่วงวันแรกที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง
ทว่าครั้งนั้นหนองน้ำแห่งความเศร้าก็ปิดปากหล่อนไว้สนิท ไม่ให้ยอมรับสิ่งใดเข้าท้องได้เลย
พอนึกถึงความหิวได้ครั้งหนึ่ง
ก็โยงความทรงจำไปถึงความหิวอีกครั้งหนึ่งได้อีก ครั้งนั้นหล่อนอยู่ในช่วงประถม
เป็นเนตรนารี มีกิจกรรมที่ต้องทำหนักหน่วง หล่อนเหน็ดเหนื่อย เหงื่อท่วมและหิวโซ
แต่ก็ปลีกตัวออกมากินข้าวตามลำพังไม่ได้ เพราะงานปลูกค่ายยังไม่สำเร็จลุล่วง
และเพื่อนๆในกลุ่มก็ยังไม่ได้กินกันสักคน
ครั้งนั้นหล่อนเหลือบไปเห็นกลุ่มอื่นที่ทำงานเสร็จและนั่งกินข้าวปลาอย่างเอร็ดอร่อย
บังเกิดความอิจฉาตาร้อนขนาดคิดว่าจะยอมแลกชีวิตกับพวกนั้น
ขอเพียงสลับที่ได้เป็นฝ่ายกินข้าวแทนก็พอ
เมื่อนึกถึงสภาพตามที่อาจารย์กำหนดได้ก็พยักหน้า
“ค่ะ จำได้”
“จดจ่ออยู่กับความรู้สึกหิวนั้นไว้
แล้วลองลบความรู้สึกว่าหนูเป็นลูกคนรวยออกไป ตอนที่ทั้งเหนื่อยและทั้งหิวน่ะ
คนเราจำไม่ได้หรอกว่าเคยมีทรัพย์สินเงินทองแค่ไหน
คราวนี้สมมุติว่าหนูเป็นนางทาสคนหนึ่งที่ถูกเขาใช้แรงงานเกินกำลังทั้งวันทั้งคืน
อดตาหลับขับตานอนจนถึงรุ่งเช้าก็แล้วกัน”
ด้วยจิตที่กำลังคลุกเค้ากับความทรงจำครั้งเมื่อเป็นเนตรนารี
แถมมาเจอกับการพูดเหนี่ยวนำด้วยจิตตานุภาพของอุปการะ
ลานดาวก็รู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่าตนคือนางทาสผู้แสนทุกข์ทรมานขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
และก่อนที่มโนภาพอันแจ่มชัดในชั่วขณะนั้นจะผ่านไป อุปการะก็เอ่ยเสริมขึ้นอีก
“ถ้าหนูทำงานเสร็จ ท้องกำลังว่าง ปากกำลังแห้ง
แล้วได้รับปันส่วนอาหารเป็นข้าวสุกเพียงกำมือเดียว หนูจะทำอย่างไรเป็นอันดับแรก”
“เอาข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างรีบด่วนเลยค่ะ”
หญิงสาวตอบยิ้มๆโดยไม่ลังเล
“ถ้าใครมาเอ่ยปากขอ บอกว่าเขาหิวมากกว่าหนู
หนูจะให้ข้าวในมือไหม?”
ลานดาวเบ้ปาก
ส่ายหน้าน้อยๆตอบตามความสัตย์จริงโดยไม่เกรงถูกหาว่าใจร้าย
จิตไม่มีกำลังบุญพอจะเมตตาให้ทาน
“คงม่ายล่ะค่ะ ยอมรับว่าใจไม่ถึง ถ้าคิดจะแย่งข้าวจ๊ะตอนกำลังหิวคงต้องข้ามศพกันไปก่อน”
“แล้วถ้าเผอิญขณะนั้นหนูเหลือบขึ้นมาเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาบิณฑบาตพอดีล่ะ
ท่านไม่ได้เอ่ยปากขอ และหนูก็รู้อยู่ว่าท่านไม่ได้หิว
หนูจะยังคิดเอาข้าวใส่ปากตัวเองเหมือนเดิมหรือเปล่า?”
จุดรวมสายตาของลานดาวแปรไปเล็กน้อย มโนภาพพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมาในระหว่างทางปรากฏแจ่มชัดยิ่งในห้วงนึก
วาระนั้นหล่อนลืมความสำคัญของทุกสิ่ง เกิดน้ำจิตกระซิบบอกตนเองอย่างเฉียบขาด
ว่าต่อให้ถวายแล้วตายดับลงไปจริงๆเดี๋ยวนี้หล่อนก็จะถวาย!
“โอกาสดีที่สุดผ่านมา จ๊ะคงไม่ปล่อยให้ผ่านไป
ชีวิตหนึ่งเป็นได้มากที่สุดก็แค่ทาสรับใช้กิเลส
จ๊ะจะไม่เสียดายถ้าต้องตายเพราะถวายข้าวคำสุดท้ายใส่บาตรพระพุทธองค์!”
ขาดคำน้ำตาก็เอ่อท้นล้นขอบด้วยแรงแห่งมหาปีติ
ลำคอจุกแน่นด้วยความตื้นตันเกินระงับกับความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวของตน
บังเกิดความเย็นซ่านตลอดทั้งสรรพางค์ โล่งหัวอกถึงที่สุดเยี่ยงผู้เคยถูกภูเขาแห่งความเห็นแก่ตัวกดทับแล้วยกลอยออกเสียได้ทั้งลูก
อุปการะปล่อยให้ลูกศิษย์สาวเสพรสแห่งความปราโมทย์เงียบๆอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถาม
“เห็นความต่างระหว่างทานสามัญกับทานอันวิเศษไหม?”
ลานดาวกะพริบตาถี่ๆเพื่อเรียกความรู้สึกตัวเป็นปกติกลับมาตอบ
“ชัดที่สุดเลยค่ะ อาจารย์สะกดจิตจ๊ะเหรอคะ?”
“หนูเป็นตัวของตัวเองเต็มร้อยเมื่อตัดสินใจเลือกทำกุศลกรรม…
ดูไว้นะ
ขอให้สังเกตเปรียบเทียบว่าข้าวของกองพะเนินที่หนูซื้อหามาด้วยเงินครึ่งหมื่นนั้น
ไม่ต้องใช้กำลังใจในการสละเงินสักเท่าไหร่
อย่างมากคือใช้กำลังใจในการคัดเลือกสิ่งดีที่สุดมาให้ผม แต่ข้าวคำเดียวที่อาจหมายถึงการประทังชีวิตให้รอดนั้น
ต้องใช้กำลังใจในการสละยิ่งกว่ากันเกินประมาณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับทานเป็นพระพุทธเจ้า
ก็เหมือนได้ภาคขยายผลที่ก่อให้เกิดกำลังใหญ่สูงสุด
ความสุกสว่างของทานย่อมแตกต่างกันลิบลับ”
หญิงสาวก้มหน้าจดบันทึกอย่างรวดเร็วก่อนเงยขึ้นถาม
“เมื่อครู่จ๊ะทำมหากุศลกรรมไปจริงๆหรือเปล่าคะ?”
อุปการะผงกศีรษะ
“จริง! จริงเต็มร้อยทางมโนกรรม แต่ไม่เต็มร้อยทางกายกรรม
เพราะขาดองค์ประกอบเช่นข้าวในมือ และขาดพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
แต่วิบากกรรมที่ได้รับเดี๋ยวนี้คือปีติสุขยิ่งใหญ่ซึ่งหนูรู้ประจักษ์อยู่กับตนเอง
และนี่อาจเป็นชนวนเปลี่ยนนิสัยทางความคิดในชาติปัจจุบัน
จากการให้ทานแบบมีเงื่อนไขเป็นไม่มีเงื่อนไข
จากคิดหยุมหยิมเป็นไม่มีอะไรในใจในระหว่างให้ทาน
ส่วนวิบากในอนาคตชาติคือจะได้เป็นผู้มีโอกาสถวายข้าวกับพระพุทธเจ้าองค์จริงในพุทธกาลถัดไป
นี่แหละ! ผลของมโนกรรมที่ทำอย่างสมบูรณ์เพียงแค่นี้แหละ”
ลานดาวรับฟังด้วยความตื้นตันจนนึกอยากพนมมือไหว้
ไหว้พระพุทธเจ้าในมโนนึก ไหว้อาจารย์ตรงหน้า
“หนูลองเปรียบเทียบดู” อุปการะสั่งสืบมา
“เอาน้ำหนักปีติสุขเป็นเกณฑ์ก่อน นึกออกไหมว่าทานธรรมดาที่ทำกับผม และทานอันวิเศษที่ทำกับพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไร?”
หญิงสาวนึกออกแจ่มชัด ทั้งขณะทำ ระหว่างทำ และหลังทำ
เหมือนน้ำอ่างเล็กกับน้ำบ่อใหญ่
แต่ด้วยเพราะความเคารพในอาจารย์จึงไม่กล้าปริปากตอบ
เดี๋ยวจะเป็นการหลู่คุณท่านอยู่กลายๆ
“คราวนี้ลองเอาขอบเขตแสงสว่างแห่งกรรมเป็นเกณฑ์
หนูนึกในใจดูว่าความต่างระหว่างทานทั้งสองชนิดเป็นขนาดประมาณไหน”
ลานดาวเหลือบตาลงพื้น
ย้อนกลับไประลึกถึงใจในเหตุการณ์อันเป็นทานธรรมดาที่ทำกับอาจารย์
ประมาณความรู้สึกสว่างได้ระดับหนึ่งซึ่งกว้างขวางกว่าทานทั่วไปอักโข
เนื่องจากอาจารย์ท่านเป็นผู้ทรงศีล แล้วหล่อนก็ทำไปด้วยจิตคารวะ
มีความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้งอีกด้วย
จากนั้นจึงระลึกถึงขณะแห่งเจตนาทำทานวิเศษ
ที่สำคัญตนเองเป็นนางทาสกำลังจะถวายข้าวอันเป็นสิทธิ์เพียงคำเดียวแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ถึงกับเบิกตาโพลงขนลุกเกรียว อุทานอย่างลืมตัว
“โอ้โห!”
กุศลกรรมได้ชื่อว่า ‘กรรมขาว’
ก็เพราะเห็นด้วยจิตเป็นความสว่างขาวจริงๆ
และถ้าเปรียบความสว่างของทานที่ทำกับอาจารย์เป็นไฟร้อยแรงเทียน
ความสว่างของทานที่เพียงคิดทำกับพระพุทธเจ้าแบบไม่คิดชีวิตนั้น
แม้ขาดพระองค์จริงรับทาน ก็ยังเทียบเท่ากับไฟล้านแรงเทียนเข้าไปแล้ว!
นั่นทำให้นึกถึงสิ่งเทียบเคียงบางอย่างในธรรมชาติฝ่ายรูปธรรม
ขอเพียงเราเข้าใจเหตุและผลแบบวิทยาศาสตร์ดีพอ ก็ไม่มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ
อย่างเช่นถ้าบีบแสงแดดด้วยเลนส์นูนธรรมดา
ก็สามารถเพิ่มความร้อนระดับปกติที่เนื้อคนทนอยู่ได้ให้ทวีขึ้นเป็นความร้อนระดับย่างเนื้อให้ไหม้เกรียมลงไปถึงกระดูกภายในเวลาไม่นานเกินรอ
หรืออย่างเช่นที่เราป้อนพลังอัดเข้าไปนิดเดียว
ระบบไฮดรอลิกสามารถคายพลังขับดันออกมาเป็นสิบเป็นร้อยเท่าได้ราวกับมายากล
ก็เพราะนักวิทยาศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับการส่งถ่ายแรงดันผ่านของเหลวที่อัดตัวไม่ได้
จากลูกสูบหน้าตัดเล็กไปสู่ลูกสูบหน้าตัดใหญ่
แต่เรื่องของการขยายกุศลผลบุญอันเป็นนามธรรมนั้น
มีความซับซ้อนวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าธรรมชาติทางรูปธรรมมาก เพราะทั้งกำลังใจในการทำ
ทั้งบุคคลอันเป็นภาคขยายผล
ล้วนเป็นสิ่งที่ปราศจากขนาดและน้ำหนักให้ชั่งตวงวัดได้ชัดเจน
แม้ผู้มีจิตสัมผัสความสว่างหรือน้ำหนักของกรรมได้ก็ต้องฝึกฝนเข้าไปรู้ เข้าไปจำแนก
และมีความสงบนิ่งเป็นกลางปราศจากอคติอย่างยิ่งยวดด้วย จึงจะทราบได้ตามจริง
อุปการะสรุป
“ทานที่หนูทำกับผมนั้น เป็นทานบนฐานของความกตัญญู
จะส่งผลให้หนูมีความเจริญรุ่งเรืองไม่ตกอับง่ายๆ
ส่วนทานที่หนูคิดทำกับพระพุทธเจ้านั้น เป็นทานบนฐานของศรัทธาในบุคคลอันควรบูชาสูงสุด
จะส่งผลให้หนูมีโอกาสทำบุญและเสวยบุญอย่างใหญ่ หนูเคยทำมาก่อน
เมื่อเจอสถานการณ์ที่ปลุกความจำในบุญเก่าก็กระตุ้นให้นึกอยากทำซ้ำอีก
บุญประมาณนี้แหละสามารถติดตามพระโพธิสัตว์ไปทุกภพทุกชาติได้ไหว
แม้เมื่อท่านเสวยชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็คู่ควรกับการเป็น ‘นางแก้ว’ ของท่าน”
ลานดาวแย้มยิ้มอย่างสุขสมและภาคภูมิใจในตนเอง
แต่ขณะเดียวกันก็อดกังขาไม่ได้ ขนาดประมาณบุญแห่งตนยังแค่ระดับบาทบริจาริกา
แล้วกรรมอันควรแก่ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องยิ่งกว่านี้ขนาดไหน
ทั้งในแง่กำลังใจ ทั้งในแง่คุณภาพกับปริมาณของทาน
และทั้งในแง่ผู้รับอันเป็นภาคขยายผลของทาน
“แล้วทานแบบไหนที่ทำให้เป็นใหญ่ระดับจักรพรรดิคะ?”
“ทานที่ทำกับคนทุกระดับ ครบทุกประเภท
และสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติเหมือนเก็บแต้มจนถึงจุดที่จะบันดาลทุกสิ่งให้พรั่งพร้อมบริบูรณ์พอกับการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก”
หญิงสาวรีบจดพลางถาม
“ทานที่ทำกับคนทุกระดับคืออย่างไรคะ?”
“คือให้กับทุกคนที่อยู่แวดล้อมรอบตัวเรา
นับตั้งแต่ในบ้านเช่นพ่อแม่พี่น้องลูกเมีย ไปถึงนอกบ้านเช่นลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน
เจ้านาย ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้า ตลอดจนผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง
เช่นสัตว์ ขอทาน เด็กกำพร้า คนไข้อนาถา คนชรา หรือแม้กระทั่งคนปกติที่รวยกว่าเรา
แข็งแรงกว่าเรา มีเรื่องแค้นเคืองกับเรา สรุปรวมเรียกสั้นๆว่าเป็นทานที่
‘ให้แบบไม่เลือกหน้า’ นั่นเอง จะใกล้ชิดหรือห่างเหิน จะต่ำกว่าหรือสูงกว่า
เป็นเหมาหมดไม่เกี่ยงงอนทั้งสิ้น”
“แล้วการให้ทานครบทุกประเภทล่ะคะหมายถึงอย่างไร?”
“ทานมีหลายแบบ ‘ทรัพยทาน’ คือให้ข้าวของเงินทองปัจจัย ๔
‘อภัยทาน’ คือยกโทษไม่ถือโกรธยุติได้แม้กระทั่งการผูกใจเจ็บ ‘อวัยวทาน’
คือช่วยเหลือด้วยกำลังกายหรือบริจาคอวัยวะเช่นเลือดขณะมีชีวิตและร่างกายหลังตายให้นักเรียนแพทย์ใช้ศึกษา
‘วิทยทาน’ คือช่วยเหลือด้วยกำลังความรู้ความคิดคำปรึกษาแนะนำต่างๆ ‘ธรรมทาน’
คือให้ปัญญารู้เรื่องกรรมวิบากและทางดับทุกข์”
ลานดาวเงียบคิดไปครู่หนึ่ง พยายามเทียบเคียงกับชีวิตจริง
สำหรับคนทั่วไปนั้น แค่อะไรง่ายๆเช่นเอื้อเฟื้อกันบนถนนให้รถของอีกฝ่ายไปก่อนก็ยากแล้ว
อย่าว่าแต่จะให้ควักกระเป๋าจ่ายสตางค์ หรือจะให้สละความผูกใจเจ็บ
หรือจะให้ถ่อสังขารไปบริจาคเลือด
หรือจะให้เสียเวลาปากเปียกปากแฉะสอนใครทางโลกและทางธรรม
แต่ละอย่างนับว่ายากเต็มกลืน นี่กรรมของการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังมีเงื่อนไขว่าต้องทำให้ครบทุกประเภทกับคนทุกระดับเข้าไปอีก
ก็ไม่ควรแปลกใจหรอกที่ตำแหน่งจักรพรรดิจะเป็นของหายาก
“หากทำทานได้ครบถ้วนอย่างนี้จริงก็น่าเชื่อแหละค่ะว่าจะเกิดใหม่มีศักดิ์ใหญ่เหนือมนุษย์แน่ๆ
เพราะธรรมดาคนเราเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกว่าต้องทำเพื่อตัวเอง
เอาเข้าตัวเองเท่านั้น อะไรไม่ต้องแจกก็ไม่อยากแจกเลย”
“ถึงต้องอาศัยบารมีระดับโพธิสัตว์
คือเคยปรารถนามาก่อนว่าจะเสียสละตนเองในทุกๆทางเพื่อคนอื่นไงล่ะ
และเส้นทางของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่พรวดพราดขึ้นมาก็ทำทานได้ครบถ้วนอย่างที่ผมว่าภายในชีวิตเดียวหรอก
ต้องค่อยๆสะสมแต้มกันข้ามภพข้ามชาติเพื่อมาต่อแต้มเอา กระทั่งบุญหนักศักดิ์ใหญ่พอจะเป็นราชาในเวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติ
ได้ถวายมหาทานยิ่งใหญ่เกินใคร กับทั้งมีโอกาสเป็นศาสนูปถัมภก
อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาใหญ่ในประเทศของตน
ขั้นนั้นบุญจึงไพบูลย์ถึงขีดสุด
เกิดใหม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิของโลกทันทีที่เจริญวัยพร้อมพอ”
ลานดาวนึกอะไรขึ้นได้ก็ชักกังขา
“อาจารย์คะ
การที่จิตวิญญาณไปปฏิสนธิในฤกษ์จักรพรรดิได้ก็เพราะบุญอย่างอุกฤษฏ์
แต่ทำไมการเป็นจักรพรรดิที่เห็นๆในอดีตถึงต้องลำบากตรากตรำอยู่แต่ในสนามรบแทบทั้งชีวิต
มหาจักรพรรดิบางพระองค์กว่าจะสวรรคตก็ต้องบั่นคอศัตรูด้วยพระหัตถ์เป็นพัน
อย่างนี้มิขัดแย้งแย่หรือ? ชาติหนึ่งทำบุญด้วยหัวใจบริสุทธิ์
เพื่อมาก่อกรรมทำเข็ญด้วยความกระหายอำนาจในอีกชาติหนึ่ง”
“จักรพรรดิประเภทนั้นเป็นจักรพรรดิธรรมดา”
คนฟังทำตาโต
“แม้แต่จักรพรรดิก็มีแยกประเภทด้วย?”
“ที่หนูกับคนในโลกรับรู้ตามบันทึกในประวัติศาสตร์น่ะ
เป็นจักรพรรดิซึ่งบุญเก่าส่งฐานอำนาจมาให้ครึ่งหนึ่ง
แล้วต้องบวกกับความเก่งในการรบอีกครึ่งหนึ่ง
จึงสามารถสร้างชัยชนะเหนือราชาทั้งปวงได้
แบบนั้นอาจเป็นผู้ครองโลกด้วยเวลาไม่กี่สิบปีเพื่อไปรับโทษในอบายภูมิเป็นร้อยเป็นพันปีกัน”
“แต่อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากปราบโลกได้แล้ว
ท่านก็หันมาทำนุบำรุง
และเป็นประมุขในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วทุกสารทิศไม่ใช่หรือคะ?”
“ท่านก็ได้รับผลสมควรกับกรรมสืบต่อไป
พระหัตถ์ที่เปื้อนเลือดในช่วงชีวิตแรก กับพระหัตถ์ที่ชูพระคัมภีร์ขึ้นเหนือเศียรในช่วงชีวิตหลัง
ทำให้ท่านเป็นกษัตริย์นักรบที่มีพลังชนะเหนือกษัตริย์อื่นๆในชาติต่อๆมา
และไปเกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนาประสบกับวิกฤตการณ์
ต้องการบารมีของท่านมารักษาให้อยู่รอดและยั่งยืนต่อไป
แต่แม้เป็นศาสนูปถัมภกขนาดนั้นแล้ว ท่านก็เป็นจอมจักรพรรดิตามคติของโลก
ยังไม่เข้าข่ายพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้”
ลานดาวเอนหลังพิงพนัก อดหัวเราะด้วยความอ่อนใจไม่ได้
“กรรมจำแนกสัตว์ซับซ้อนพิสดารขนาดนี้นี่เล่า มิน่าล่ะ
พี่เอินเคยบอกว่าเฉพาะสัตว์ในโลกนี้ก็ร่วม ๑๐ ล้านสายพันธุ์เข้าไปแล้ว”
“โดยย่นย่อให้เหลือเพียงแก่น
สัตว์ทั้งหลายต่างกันด้วยวิธีคิดในการก่อกรรมเท่านั้นแหละ
ผลกรรมหลากหลายได้เป็นอนันต์แค่ไหน
ก็สะท้อนความวิจิตรพิสดารของความต่างระหว่างวิธีคิดก่อกรรมได้แค่นั้น”
“แล้วพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงไว้เป็นอย่างไรหรือคะอาจารย์?”
“คือคนที่บุญถึงอย่างแท้จริง
ขนาดที่โลกต้องยอมสยบให้เพียงเพราะเห็นบุญฤทธิ์ที่แสดงออกมาในรูปแบบความศักดิ์สิทธิ์ประการต่างๆ
ผู้เป็นโพธิสัตว์นั้น ก่อนเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ชาติสุดท้ายมักเกิดใต้ร่มโพธิ์พุทธศาสนา ศรัทธาพระพุทธเจ้า พยายามใช้สติปัญญาและบารมีทุกๆทางกระทำให้อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์อยู่ในกรอบศีลธรรม
ไม่ใช้อาชญาขั้นประหารในการลงโทษผู้ประพฤติผิด
แต่มีวิธีทำให้สำนึกผิดกลับตัวเป็นคนดีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…
“ด้วยฤทธิ์ของทานและฤทธิ์ของศีลที่พระโพธิสัตว์ทำแล้ว
และชักนำให้คนอื่นร่วมทำตาม ส่งให้ชาติต่อมาของท่านเป็นใหญ่ได้โดยสวัสดิภาพ
ไม่ต้องรบพุ่ง ไม่ต้องอาศัยอาญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ก็สามารถครองทวีปทั้งหลายโดยธรรม
เพราะเมื่อมีสมบัติมากพอก็แจกจ่ายให้ทุกคนอิ่มท้อง เมื่อทุกคนท้องอิ่มก็ปราศจากขโมยขโจร
ปราศจากการเบียดเบียนฆ่าฟัน ปราศจากการโกหกมดเท็จ… ฟังยากหน่อยนะ
เพราะเรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นกับตา
เผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้ก็ยังไม่เคยมีตัวอย่างบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”
ความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะทำให้ลานดาวนึกถึงดำริของสรณะ
เขาบอกหล่อนเสมอว่าปรารถนาที่จะเห็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์พอจะพัฒนาเป็นธรรมาธิปไตย
เขาอยากขจัดอาชญากรรม อยากให้ทุกคนรู้ทางบุญ
ซึ่งแม้หล่อนจะสนับสนุนให้ฝันอะไรดีๆอย่างนั้น ใจก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้
เพราะยอดแห่งฝันของเขาห่างไกลความจริงเหลือเกิน
ต่อเมื่อใกล้ชิดเขามากขึ้น ทำงานด้วยกันมากขึ้น
เห็นวิสัยทัศน์กับปัญญาอันเอกอุของเขาแจ่มกระจ่างขึ้น
ถึงวันนี้หล่อนกลับเกิดมุมมองใหม่ นั่นคือมนุษย์เราเคยชินกับคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
เพียงเพราะโลกนี้ขาดคนทุ่มเทสติปัญญาคิดสร้างเหตุปัจจัยให้มันเป็นไปได้ขึ้นมา
ช่องทางที่คนอื่นไม่เคยมอง โอกาสที่คนอื่นไม่เคยเห็น
สรณะพยายามเข้าไปมองจนเห็นมาแล้วหลายครั้ง
“พี่ณะพูดถึงอุดมคติทางการเมืองการปกครองให้จ๊ะฟังมามาก
แรกๆจ๊ะฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก
แต่ยิ่งวันก็ยิ่งตลกน้อยลงทุกทีเมื่อจ๊ะเห็นความสำเร็จในแผนต่างๆของเขา
หลายครั้งดูเหลือเชื่อ แต่ในที่สุดก็ต้องเชื่อเมื่อผลออกมาตามเป้าหมาย”
“หนูอย่าไปดูถูกเขา
ความเป็นไปได้จริงเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยสองประการ
อันดับแรกคือมีความตั้งใจมุ่งมั่น อันดับที่สองคือมีบุญเก่าหนุนอยู่อย่างเพียงพอ
ขอเพียงมีเหตุและปัจจัยที่เหมาะสม ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกที่มนุษย์ทำไม่ได้”
“พระเจ้าจักรพรรดิของแท้มีจริง แล้วก็เกิดขึ้นได้ยากจริงๆ
เหมือนการอุบัติของพระพุทธเจ้าเลยใช่ไหมคะ?”
“การอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นไปได้ยากกว่าการอุบัติของพระเจ้าจักรพรรดิหลายร้อยหลายพันเท่า!
อันที่จริงเส้นทางโพธิสัตว์ต้องผ่านการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์มาด้วยกันทั้งสิ้น
และการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์จนใกล้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น
ส่งผลให้ได้ครองโลกแบบพระเจ้าจักรพรรดิก่อน
เพื่อกวาดบริษัทบริวารทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ไปถึงชาติสุดท้ายที่ทรงเป็นธรรมราชา”
“แปลว่ายกชั้นขึ้นเสวยภพจักรพรรดิแล้วจะไม่ตกกลับเป็นราชาหรือสามัญชนคนธรรมดาได้อีก
รอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าต่อเลยหรือคะ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
ฐานะจักรพรรดิยังตกอยู่ในการครอบงำของอนิจจัง
ยังกลับมาเป็นกษัตริย์ธรรมดาหรือสามัญชนได้เสมอ
ชาติต่างๆมีปัจจัยบีบคั้นให้ก่อเหตุลงต่ำและขึ้นสูงได้เรื่อยๆ”
“จ๊ะนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ถ้าหากจำไม่ผิด
มีโหราจารย์ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะไว้ว่าจะเลือกเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือพระบรมศาสดาก็ได้”
อุปการะพยักหน้ารับรอง
“ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่เลือกออกผนวช
ถึงตอนนี้หน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกการมีอยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิตัวจริง
เหนือยิ่งกว่าพระเจ้าอโศกมหาราช อเลกซานเดอร์มหาราช ตลอดจนเจงกิสข่านรวมกัน!
เหตุเพราะท่านมีบารมีพอจะครองโลกในแบบธรรมาธิปไตยได้สำเร็จเป็นพระองค์แรกในเผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้!”
หญิงสาวทำหน้าสงสัย
“แล้วอย่างนั้นทำไมท่านไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิก่อน
แล้วค่อยออกผนวชเป็นศาสดาล่ะคะ? โลกจะได้มีศาสนาเป็นหนึ่งเดียว”
อุปการะส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่ใช่วิสัยหรอก
เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติอันทรงบารมีแก่กล้าถึงขีดสุด
ก็ต้องเลือกว่าจะให้บารมีทางโลกหรือบารมีทางธรรมเบ่งบานขึ้นมา
จะเหมารวมทั้งทางโลกทางธรรมไม่ได้
ถ้าเทียบเคียงกับโหราศาสตร์คือจะมีจุดตัดของการบันดาลผลสำเร็จสูงสุดครั้งเดียว
เมื่อเลือกด้านหนึ่งก็จะต้องเสียอีกด้านหนึ่งไป
ลองมองตามความจริงของช่วงอายุขัยมนุษย์ปัจจุบันซึ่งไม่เกินร้อยปี
ถ้าท่านครองราชย์ก็ต้องรอจนชราหรือใกล้ชราจึงเหมาะควรกับการออกบวชตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณ
แล้วท่านจะเอาพระกำลังจากไหนมาลองผิดลองถูก ตรากตรำทรมานตนตั้ง ๖-๗ ปีก่อนสำเร็จธรรมอย่างที่เรารู้ๆกัน”
เครื่องหมายคำถามที่หัวคิ้วของลานดาวคลายลง
“การตัดสินใจเลือกของผู้มีบุญญาธิการระดับโลกนี่ส่งผลกระทบในวงกว้างใหญ่และยืดยาวมากนะคะ
ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่เลือกการบรรพชา ก็คงไม่มีมรดกธรรมมาถึงอาจารย์
แล้วอาจารย์ก็จะส่งทอดมาถึงจ๊ะไม่ได้ จ๊ะก็โง่ต่อไป ระหว่างการเที่ยวเกิดตาย
คงมีน้อยครั้งที่จ๊ะจะเข้าใจกรรมวิบากได้กระจ่างเหมือนชาติที่เกิดใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาอย่างนี้”
“การตัดสินใจของทุกคนมีผลกระทบที่สำคัญต่อโลกเสมอ
ตอนหนูร้าย หนูไม่ได้เดือดร้อนคนเดียว และตอนหนูดี หนูก็ไม่ได้เย็นสบายเพียงลำพัง
คนรอบตัวหนูจะช่วยกันกระจายคลื่นความเดือดร้อนหรือคลื่นความเย็นสบายออกไปกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆโดยที่หนูไม่อาจตามไปดูผลได้หมด”
ลานดาวประสานมือบิดตัวนิดๆ
คุยเรื่องพระโพธิสัตว์มากๆแล้วคิดถึงสรณะขึ้นมาอย่างแรง
จึงแย้มยิ้มในลักษณาการของผู้มีความยินดีปรีดาในเส้นทางกรรมแห่งตน
“โชคดีจังที่หนูเจออาจารย์
แล้วก็เอาชนะนิสัยเสียๆของตัวเองได้จนพบพี่ณะตั้งแต่อายุยังน้อย
แทนที่จะต้องใช้ชีวิตไปครึ่งค่อนกว่าจะมีโอกาสคบกับเขา
จ๊ะยังตะลึงไม่หายเลยนะคะที่อาจารย์บอกว่าเขาใช่ มันเหมือนฝัน
หรือเหมือนเล่นเกมที่ชนะแล้วบางทีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชนะแล้ว”
“ชนะนิสัยเสียๆของตัวเอง
ก็คือชนะอกุศลกรรมเก่าด้วยกุศลกรรมใหม่
เป็นการทำให้ตัวเองหลุดจากเส้นทางที่น่าเหน็ดหน่าย สั่งสมกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไปเถอะ
จิตยิ่งสว่างขึ้นเพียงใด
ชีวิตยิ่งเหมือนฝันที่เต็มไปด้วยแสงสวยสาดรอบมากขึ้นเพียงนั้น
อะไรๆในฝันย่อมกระจ่างชัดและสนุกสนานตั้งแต่ต้นจนจบเสมอ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น