วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๘. ดูดาว)

ตอนที่ ๘. ดูดาว


ขณะอยู่ในรถระหว่างทางกลับบ้าน ฝ่ายหนึ่งเงียบอยู่กับความสุขเย็นแบบคนอิ่มบุญ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเงียบอยู่กับความคำนึงเคร่งเครียด ช่างเป็นความเงียบที่แตกต่างและก่อบรรยากาศขัดแย้ง

“ขอบใจอีกครั้งนะ ที่พาพี่มาในวันนี้”

ลานดาวเงียบอึ้งอยู่เป็นครู่ ก่อนตอบรับด้วยน้ำเสียงทอดอ่อนเนือยนาย สะท้อนจิตใจที่มัวมน

“ค่ะ…”

มาวันทากะพริบตาสองครั้ง ทราบดีว่าลานดาวเห็นความแม่นยำของหมอดูอุปการะแล้วถอดใจ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเลิกต้านคำทำนาย ย่อมกลายเป็นความกลัดกลุ้มแทน เพราะถ้าเปรียบอุปการะเป็นผู้รายงานข่าว เขาก็บอกข่าวร้ายจากอนาคตให้กับลานดาวเต็มๆ ทั้งที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็เหมือนเกิดไปแล้ว

“ให้พี่พูดอย่างใจเถอะนะ พี่ไม่เชื่อว่าจ๊ะจะถูกใครหักอกได้หรอก มันน่าจะเป็นว่า เราอาจต้องใช้ชีวิตเพื่อการเรียนรู้สักพัก…”

พอพยายามปลอบ มาวันทาก็สำนึกว่าทำได้แค่ครึ่งๆกลางๆเท่านั้น ประการแรกบัดนี้ตนเริ่มเทใจเชื่อถือ เคารพศรัทธาหมอดูอุปการะเป็นครู จะให้กล่าวในเชิงปรามาส ลบหลู่คำทำนายของท่านก็ไม่เป็นการบังควร ประการที่สองหล่อนสำเหนียกถึงความแข็งขืนในลานดาว ซึ่งยามนี้กำลังกลัวมากกว่าอย่างอื่น และความกลัวของลานดาวก็ฉายออกมาในรูปแบบของคำพูดปฏิเสธดื้อแพ่ง

“จ๊ะไม่เชื่ออยู่ดีนะพี่เอิน หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อเลย!… คนที่จะทำให้จ๊ะเจ็บเป็นรายแรกน่ะ หมออุปการะบอกว่ารู้จักกันแล้ว ผิวขาว ไว้ผมยาว สูงไล่เลี่ยกัน ซึ่งลักษณะนั้นมีคนเดียวคืออีตาบ้าใกล้บ้าน ต้องให้ยักขมูขีตัวไหนเข้าสิงจ๊ะนั่นแหละ ถึงทำให้เราตาบอดไปหลงรักได้ จ๊ะเกลียดผู้ชายผมยาวอย่างกับอะไรดี แล้วอีกอย่าง จ๊ะเคยนับถือเขาเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่กลับมาสารภาพรักเรา ทำให้จ๊ะมีประสบการณ์ขยะแขยง โกรธเกลียดผู้ชายเข้ากระดูกเป็นครั้งแรก แถมวันก่อนเพิ่งเจอหน้า เขาก็ยังดูเป็นตัวตลกสำหรับจ๊ะอยู่เหมือนเดิม อย่างนี้ต่อให้หมอดูของพี่เอินเคยมีผลงานทายเลขสลากรางวัลที่หนึ่งถูกหมดทุกตัว จ๊ะก็ไม่เชื่อคำทำนายข้อนี้ของเขาหรอก!”

มาวันทาอึกอัก

“อ้าว… กลายเป็นหมอดูของพี่ไปเสียแล้ว จ๊ะเป็นคนพาพี่มาเองแท้ๆ”

หล่อนพยายามพูดกลั้วหัวเราะ แต่ฟังกร่อยและเจื่อนจืดชอบกล

“จ๊ะพามา ไม่นึกนี่คะว่าจะได้เห็นเขาเป็นฝ่ายถูก จ๊ะอยากเห็นเขาพูดอะไรผิดๆให้สบายใจต่างหาก นี่เหมือนมาให้ตอกย้ำว่าหน้าอย่างจ๊ะ ดีที่สุดก็ได้แค่อีตาบ้าใกล้บ้านจริงๆนั่นแหละ!”

ลานดาวเผยไต๋ด้วยความโมโห แต่เมื่อรู้สึกตัวก็รีบแก้

“แต่ใจจริงจ๊ะอยากเป็นคนพาพี่เอินมาไขปัญหามากกว่าเหตุผลอื่นนะคะ ตอนแรกยังกะจะปลีกตัวไปเดินเล่นด้วยซ้ำ”

“จ้ะ… เข้าใจ และขอบใจ” บอกแล้วก็ขยับตัวผ่อนคลายความอึดอัดเล็กน้อย “การดูหมอนี่มีทั้งคุณและโทษจริงๆนะ ขึ้นอยู่กับว่าดูเรื่องอะไร และได้คำทำนายมาอย่างไร… เรื่องคู่รักคู่ใคร่นี่ จ๊ะดูแบบเป็นเรื่องเล่นๆไม่ได้หรือ ใครๆเขาก็ดูเอาสนุกกันทั้งนั้น ทำไมถึงต้องซีเรียสขนาดนี้ด้วยล่ะ?”

คำพูดของมาวันทาคล้ายกระทุ้งให้บางปมแสดงตัวออกมา เป็นครั้งแรกที่ลานดาวถามตนเองว่าทำไมหล่อนต้องเอาจริงเอาจังนัก ปล่อยให้คำทำนายกัดกินใจแทบตลอดเวลาถึงอย่างนี้?

คำตอบคล้ายปรากฏอยู่รำไร ผู้ชายดีๆเรียงหน้ามาให้เลือกทั้งโลก แต่หล่อนไม่พบใครสักคน นั่นทำให้ส่วนลึกของใจหวั่นกลัวมาตลอด กลัวว่าจะต้องอยู่คนเดียวตลอดไป หรือไม่ก็จำต้องกัดฟันเลือกใครสักคนที่ทำให้เสียความรู้สึกน้อยที่สุด หาใช่เจ้าชายในฝันดังวาดไว้ในจินตนาการไม่

เกือบลืมไปแล้วว่าเหตุใดหล่อนจึงมีความปรารถนาที่จะพบรักแท้อย่างรุนแรง รักชนิดที่สบตากันแล้วลืมได้ทุกสิ่ง เหลือเพียงแรงดึงดูดแสนหวานระหว่างกัน อยากรู้จักความรู้สึกชนิดนั้น อยากดื่มด่ำกับมัน เคยเห็นจากนัยน์ตาหญิงอื่นที่มีต่อคนรักแล้วเวทนาตนเอง ถามตนเองเสมอว่าไม่มีความสามารถแม้จะรักผู้ชายสักคนเชียวหรือ?

หมอดูอุปการะแช่งให้หล่อนเจอคู่ตอนใกล้ ๔๐… หล่อนจดจำหมอดูคนนี้ไว้เพียงเท่านั้น!

“จ๊ะไม่ได้ซีเรียส”

พูดเสร็จก็ตระหนักว่าตนใช้เสียงเครียดเต็มๆในการกล่าว จึงผ่อนให้อ่อนลงจนฟังน่าสงสาร

“ขอโทษนะคะพี่เอินที่ทำให้พลอยต้องมาอึดอัด จ๊ะเป็นบ้าอะไรของจ๊ะก็ไม่รู้ ถ้าย้อนเวลากลับได้ จ๊ะจะไม่ไปดูหมอให้คิดมากอย่างนี้เลย…”

มาวันทาเอื้อมมือไปไล้เส้นผมผู้เป็นน้องอย่างถนอม

“น้องรัก… เธอจะมีพี่สาวไว้ทำไมถ้าระบายอะไรให้ฟังไม่ได้ ขอให้ช่วยยืนอยู่ข้างเธอไม่ได้… ยังไงเสียตอนนี้เราก็ฟังคำทำนายมาแล้ว ไม่อาจลบออกจากความจำแล้ว คราวนี้ก็คิดดีกว่าว่าจะใช้ประโยชน์จากคำทำนายอย่างไร”

ลานดาวยิ้มเกรียม

“จ๊ะอยากชนกับคำทำนายเหมือนกันค่ะ เอาตัวเข้าไปเล่นกับไฟดู คนที่หมออุปการะทำนายไว้ชื่ออ๊อบ ดูซิว่าเขาจะทำให้จ๊ะหลงใหลหัวปักหัวปำจนถึงกับต้องอกหักในภายหลังได้ไหม จ๊ะจะไปเสนอหน้ากดออดบ้านมันทุกเย็นเลยแล้วกัน!”

มาวันทาเลื่อนมือไปลูบกระหม่อมของน้องด้วยผัสสะประโลมยิ่ง

“ท้าทายทำไม? ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายและแสดงตัวของมันเองไม่ดีกว่าหรือ? ลองดูว่าระยะนี้มีเหตุให้เขามาพัวพันกับเราไหม ถ้าหากมีก็แปลว่าเข้าเค้า ควรเร่งระวังตัวรักษาใจ แต่หากไม่มี ก็ลืมๆเสียจะเป็นไร ระหว่างคำทำนายกับเหตุการณ์จริง เหตุการณ์จริงย่อมน่าเชื่อถือกว่าคำทำนายนี่นา ฟังคำทำนายไว้รอเปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริงด้วยใจเป็นกลางดีกว่า ถ้าตรงกันก็แปลว่าเรามีเวลาเตรียมใจไว้ก่อน แต่หากผิดเพี้ยนไปก็แปลว่าเราไม่ต้องเสียเวลากลุ้มเปล่าล่วงหน้า”

เป็นอีกครั้งที่จิตใจลานดาวสงบลงได้เพราะคำพูด น้ำเสียง และสัมผัสอันอ่อนโยนดุจมารดาของมาวันทา

“ค่ะ… หมออุปการะบอกว่าจ๊ะจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรภายในไม่กี่วัน งั้นจ๊ะจะสงบใจรอดู”

“ต้องอย่างนั้น คิดแล้วก็ดีเหมือนกันนะ ตั้งการ์ดไว้บ้าง ถึงเวลาใครชกมากะทันหันจะได้ป้องกันตัวทัน”

“ค่ะพี่เอิน จ๊ะจะระวัง” แล้วหล่อนก็หันมายิ้มยิงฟันให้มาวันทาแวบหนึ่ง “เอาอย่างนี้ดีกว่า ช่วงนี้จ๊ะจะไม่ยุ่งกับผู้ชายคนไหน จะระวังตัวแจ ปิดล็อกประตูใจหมดทุกบาน… แล้วมาขลุกอยู่กับพี่เอินคนเดียว อนุญาตไหมคะ?”

แพทย์สาวหัวเราะ

“อนุญาต!”

“เย้!”

พอถึงบ้าน มาวันทาทำแซนด์วิชให้ตนและน้องสาวทานง่ายๆ แล้วนั่งคุยเล่นครู่ใหญ่ ก่อนจะมีการเรียนการสอนฟลุตกันท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลายละลายเครียด กระทั่งคนเป็นนักเรียนเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย จึงขอตัวกลับ

เดินออกมานอกบ้าน ก่อนจะถึงรถ ลานดาวแหงนมองท้องฟ้า เห็นเหมือนผืนกำมะหยี่ดำที่ถูกโปรยด้วยเกล็ดเพชรระยิบระยับ ก็แย้มริมฝีปากเหยียดยิ้มจนสุด ความทุกข์ทางใจทั้งปวงมลายสิ้น เหลือไว้แต่ห้วงเวลาแห่งความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งตลอด

“พี่เอินว่าไหม คนเราจะเห็นดาวสวยเป็นพิเศษตอนกำลังมีความสุข”

“เวลาเป็นสุข ทุกสิ่งที่เราเห็นก็สวยไปหมดแหละ เพราะใจมันสวยเสียก่อนเห็นแล้วนี่”

“อ๊ะ! จริงแฮะ ตอนนี้จ๊ะรู้สึกว่าตัวเองสวยกว่าทุกวัน ไม่รู้เป็นไง”

ลานดาวพูดเหมือนติดตลก แต่นั่นกำลังเป็นสิ่งที่คิดอยู่จริงๆ ความสุขกายสบายใจทำให้คนเราผ่องใสและสะสวย หล่อนเพิ่งค้นพบว่าตนเป็นสุขอยู่กับใครได้มากที่สุด ฉะนั้นต่อให้อกหักจากชาย หรือไร้คู่อย่างถาวร ขอเพียงมีพี่สาวแสนดีนี้เพียงคนเดียว ความอบอุ่นใจก็ยังคงอยู่ และเผลอๆจะดีกว่าความอบอุ่นที่ได้รับจากชายคนรัก เพราะรักแบบหญิงชายนั้นมักมีมลทิน มีความสกปรกเจืออยู่ อาจเลื่อนเปื้อนเลอะเลือนไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา ต่างจากรักแบบพี่น้องที่สะอาดใส และรู้ว่าจะมั่นคงทนนานตราบเท่าที่ยังมีใจเอื้ออาทรบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้น

เดินทอดน่องเชื่องช้ามาเปิดประตูรถ บรรจงวางกล่องฟลุตลงบนเบาะข้างคนขับ เหลียวหน้าจะยกมือไหว้ล่ำลาพี่สาว แต่ชะรอยอากาศฉ่ำเย็นชวนอาลัยทำให้ลานดาวอยากยืนอ้อยอิ่งเกาะขอบประตูชวนมาวันทาคุยต่ออีกหน่อย

“พี่อ๋องกลับวันไหนคะ?”

“คงมาถึงบ้านราวหกโมงเย็นพรุ่งนี้”

“อ้อ…” หญิงสาวเหลือบตาลงต่ำ “จ๊ะคงไม่กล้าเสนอหน้ามาขลุกกับพี่เอินตอนพี่อ๋องอยู่”

“ทำไมล่ะ พี่อ๋องต้องชอบใจแน่ๆ มีขาบรรเลงเพิ่ม”

“ไม่เอาหรอก รบกวน… สามีภรรยาอยากจู๋จี๋กัน จู่ๆเหมือนมีตัวอะไรโผล่มาแทรก”

มาวันทาหัวเราะ ทั้งขำทั้งเอ็นดู

“แทรกเซิกอะไร มีกันแค่สองคนเบื่อจะตาย”

“พี่เอินเบื่อ แต่พี่อ๋องอาจจะกำลังสนุกนี่คะ ครึ่งปียังถือว่าข้าวใหม่ปลามัน”

แพทย์สาวหน้าแดงอยู่ในเงาสลัว ตีแขนอีกฝ่ายเผียะ

“พูดจาเข้านะ”

“เฮ้อ!…”

ลานดาวถอนใจเฮือกใหญ่ ประสานท่อนแขนกับขอบประตู วางคางลง ช้อนตาชำเลืองแลจุดดาวที่กำลังแข่งประกายพรายแพรว เงามืดของฟ้าราตรีบันดาลฝันล้ำลึกให้มนุษย์ทั้งโลกเกิดความปรารถนานานัปการ หล่อนเคยระเริงหลงไปกับคลื่นจินตนาการระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่เคยเลยที่อารมณ์จะหยุดค้างเฉื่อยเฉยยามลงนั่งนอนเป็นเพื่อนหมู่ดาว ทว่าคืนนี้แปลก ดูเหมือนอาจเป็นวาระแรกในคืนฟ้าโปร่งดารดาษดาวที่อารมณ์หล่อนนิ่ง คล้ายความฝันกับความจริงมาบรรจบกันที่จุดอิ่มตัวจุดหนึ่ง รอบกายและภายในจิตใจดุจผสานกลมกลืนกันสนิท ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยวิ่งไล่ตามเงาจินตนาการไร้จุดจบของตนอีกต่อไป

“ดวงดาวเป็นได้สารพัดเลยนะพี่เอิน มองเป็นความวิจิตรเหมือนสวรรค์ก็ได้ ถ้าเชื่อจินตนาการตัวเอง หรือมองเป็นพลังอำนาจที่ครอบงำเราอยู่ก็ถูก ถ้าเชื่อโหราศาสตร์”

มาวันทาแหงนมองตาม สายลมดึกรำเพยพัดผ่านมาระลอกหนึ่ง กระทบผิวเยือกหนาวจนต้องยกมือกอดอก

“เท่าที่พี่รู้สึกก็คือเราเป็นได้เพียงดวงตาคู่เล็กๆที่มองขึ้นไปด้วยความไม่รู้อะไรเลย”

ลานดาวทอดตาจับความแวววาวของดาวที่กำลังทอแสงสุกสกาวดวงหนึ่ง

“บางทีจ๊ะเพ่งมองมากๆแล้วงง เหมือนหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง ชนิดที่คล้ายกระโดดข้ามโลกออกไปเห็นดาราจักรในห้วงจักรวาล… พี่เอินเคยเป็นไหม แบบว่าเพ่งอะไรนานๆแล้วเกิดภาพหลอนขึ้นมา?”

“อือ… เท่าที่นึกออก น่าจะไม่เคยนะ แล้วจ๊ะเห็นยังไงเมื่อไหร่เหรอ?”

“หลายปีแล้วค่ะ กำลังดูดาวแล้วเกิดแรงบันดาลใจแต่งเพลงขึ้นมา เลยนั่งอมยิ้มจ้องอยู่เป็นชั่วโมง จ้องไปจ้องมา หน่วยตาเปิดกว้างค้าง เห็นโค้งฟ้าขยายใหญ่ขึ้น แล้วอยู่ๆก็เกิดทะลุพลั้วะออกไป ภาพอื่นหายหมด กลายเป็นจักรวาลขนาดยักษ์ที่มืดมิดรอบด้าน มองเคว้งๆมีกระจุกดาวใกล้ไกล ราวกับตัวเราไปอยู่ใจกลางจักรวาล แต่ก็แค่แป๊บเดียวนะคะ เหมือนเราร่วงวูบจมลงในมหาสมุทร แล้วถูกดีดให้ทะลึ่งพรวดกลับขึ้นมา ตอนนั้นตกใจแทบช็อกว่าเกิดอะไรขึ้น”

“แล้วทำได้อีกหรือเปล่า?”

“เคยลองเหมือนกันค่ะ แต่พอใกล้จะนิ่งแล้วกลัว เพราะยังจำฝังใจว่าไม่เคยเห็นอะไรทั้งใหญ่มโหฬาร ทั้งมืดสนิทเงียบลึกขนาดนั้นมาก่อน”

“อาจเป็นเรื่องประเภทพลังจิต ถอดวิญญาณอะไรเทือกนั้นมั้ง เคยได้ยินว่ามีคนฝึกถอดจิตไปดูเอกภพกันเป็นว่าเล่น… ว่าแต่เมื่อกี้เห็นบอกแต่งเพลงเองด้วยเหรอ ไม่เห็นเคยร้องให้ฟังมั่ง”

“ก็ไม่มีใครขอนี่คะ ไม่อยากเป็นฆ้องที่จู่ๆดังหง่างขึ้นมาเอง”

“อ้ะ! ตอนนี้ขอละ เอาเพลงที่ตอนนั้นแต่งแล้วถอดจิตไปดูจักรวาลได้น่ะ”

ลานดาวทำตัวของ่าย หับปิดประตูรถคืนที่ทันที แล้วจูงมือพี่สาวมากลางสนาม หย่อนกายลงบนม้านั่ง เอนหลังพิงพนักมองดาวคู่กัน

“ระหว่างฟัง ช่วยทำตาเหมือนกำลังอธิษฐานขอพรจากฟ้าด้วยนะคะ”

“ขอว่าอะไร?”

“ข้อหนึ่ง ขอให้นักร้องจงจำเนื้อที่ตัวเองแต่งได้ครบ ข้อสอง ขอให้เสียงของนักร้องอย่าได้พร่าเพี้ยนไป ข้อสาม เอ่อ… ขอให้ได้ฟังเพลงจนจบโดยสวัสดี อย่าต้องเด้งดึ๋งเพราะวัตถุลึกลับจากเพื่อนบ้านแต่ประการใดเลย”

มาวันทาเม้มปากหัวเราะกิ๊ก

“ตกลง! จะอธิษฐานตามนั้น ว่าแต่ชื่อเพลงอะไร? เผื่อจำไว้ขออีก”

“อิอิ มันก็…”

“แค่ชื่อเพลงต้องทำกระมิดกระเมี้ยนด้วย?”

ลานดาวยิ้มยิงฟันส่งแววไรมุกขาวในเงามืดพลางเอานิ้วชี้จิ้มอก

“เพลงนี้แบบว่า… มุขชมตัวเอง… เข้าใจไหม?”

“เข้าใจล่ะ เพลงลานดาว… เริ่มร้องได้แล้ว”

ศิลปินสาวหัวเราะในความหัวไวของอีกฝ่าย กระแอมนิดหนึ่ง สูดลมหายใจด้วยความสดชื่น การฝึกเป่าฟลุตเมื่อครู่ทำให้เริ่มขับพลังเสียง เปล่งคำร้องออกมาได้คมชัดกว่าปกติ


ซึ้งเพลินดูลานดาว

ดังข่ายเพชรพราวพร่างโรยแพรอ่อน

ระยิบหยอกหลอกย้อนนัยน์ตา

ที่หลังคาแผ่นฟ้าอำไพ จิตใจพะวงแนบ…


แสงเย็นทอตระการ

ประดุจวิมานเทวาเมืองใหญ่

ดาวทุกดวงสุกใสวับแวว

สาดแสงแพรวหลากชั้นประกาย รอบเรียงราย…


ดูเหมือนใครไปแกล้งโปรย

โรยให้คนได้ชื่นชม ความระทมทุกข์หมดไป

หากได้ยินดาวทุกดวงกระซิบปลอบ

หอบพัดพากังวลไกล

ในหัวใจกลับอ่อนโยน

ด้วยความปรานีแห่ง…


สรวงราตรีลานดาว

ราวกับมุกดาชาวฟ้าดาลดล

รอยยิ้มสุขเปี่ยมล้นบรรเจิด

ดูคล้ายเปิดแผ่สายไมตรี อบอุ่นยินดีใน…


สีสวยงามเรืองรอง

เฝ้ายืนแหงนมองเนิ่นนานนับปี

มิหยุดทุกคืนนับดาวเหล่านี้

อยากมีสักดวงไว้เก็บเอาไว้


แสงแววตาลานดาว

คล้ายดังเป็นเงาแทนใครสักคน

อยู่ที่นั้นฟ้าไกลข้างบน

ฝั่งฝากโน้นเมืองแมนสวรรค์… ลานดาว


เกลี่ยฟากฟ้า ด้วยธาราแห่งความฝันใฝ่

ป่ายปีนบันไดนิทราขึ้นไป แล้วเหยียดปลายนิ้วไล้ทุกส่วนในแสงดาว

โลมแผ่วเบาคงเพียงพอ ที่แสงลออจะจารึกสนิทแนบนานเท่านาน


ลานดาวเปล่งคำได้แช่มชัด แปรเสียงสูงต่เได้หลากรูปวิธี ลงลูกคอได้หวานพลิ้ว มีอานุภาพพอจะสะกดใครก็ตามในละแวกใกล้ ให้เงี่ยสดับฟังคลื่นกระทบโสตอันโดดเด่นท่ามกลางความสงัดแห่งค่ำคืนด้วยอาการตะลึงนิ่ง

เสียงสูงสั่งลาสุดท้ายของเพลงลากยาวบาดซึ้งไปถึงขั้วหัวใจ มาวันทาปรือตาฟังเพลิน นอกจากการใช้ภาษาพรรณนามนต์ขลังอลังการแห่งราตรีแล้ว ทำนองเพลงยังจูงอารมณ์ให้เห็นเงาลี้ลับแห่งมายารัตติกาลได้ ลานดาวแผลงศรเสน่ห์ได้หลากวิธี ทั้งก่ออักขระเร้าไฟฝันดื่มด่ำ ทั้งรังสรรค์ลำนำเพราะพริ้ง ทั้งขับกล่อมให้คนฟังหลงเคลิ้ม ราวกับเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ดลจินตนาการโดยเฉพาะ

ต้องทึ่งแล้วทึ่งอีกในหลากคุณสมบัติอันเหลือเชื่อที่มารวมอยู่ในตัวคนเดียว มาวันทาเหม่อซึมลงเล็กน้อย นึกสงสารน้องขึ้นมาเฉยๆ แค่สวยจัดและรวยจัดไม่พอ ยังเก่งจัดถึงปานนี้อีก ชายที่จะมาเป็นคนรักต้องเลอเลิศปานใดเล่าจึงคู่ควร?

ถ้าเชื่อว่าทุกคนกำลังเล่นเกมบุญทำกรรมแต่ง ในปางก่อนลานดาวคงต้องสั่งสมบุญครบทุกด้าน เข้าขั้นเห็นการบุญเป็นงานอดิเรก และแต่ละด้านต้องเข้าขั้นอุกฤษฏ์ทีเดียว ถ้าเป็นนักปีนเขาบัดนี้ก็อยู่ในตำแหน่งที่สูงเกินใคร มองไปโดยรอบอาจเห็นทิวทัศน์โล่งกว้างตระการตามากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าขณะเดียวกันก็ยิ่งโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งขึ้นทุกที เพราะห่างไกลจากชุมชนคนเดินดินจนสุดกู่

หากมองโลกตามจริงด้วยตาเปล่าในปัจจุบัน ก็ยากนักที่จะเจอใครขยันสั่งสมบุญทุกด้าน ต่อให้เห็นว่าเป็นคนดีก็มักดีด้านหนึ่ง แล้วเสียอีกด้านหนึ่งกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อปัจจุบันแนวโน้มเป็นเช่นนี้ อดีตก็น่าจะเป็นเช่นนี้ด้วย ดังนั้นโลกจึงมีคนเสวยบุญเก่าชนิดเพียบพร้อมทุกด้านเพียงน้อยเท่าน้อย และนั่นแปลว่าคงควานหาใครเสมอกับลานดาวได้ยากเย็นเต็มทน เว้นแต่สร้างสมเพื่อความสมบูรณ์แบบสุดขีดร่วมกันมาค่อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าปักใจเชื่อแบบขาดเหตุผลสนับสนุน ทึกทักว่าลานดาวมีคู่สร้าง คู่บุญบารมี ความไม่รู้อันเป็นสมบัติธรรมดาของมนุษย์ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า ‘แล้วเมื่อไหร่จะเจอ?’หากเป็นไปตามคำทำนายของหมอดูอุปการะ กว่าลานดาวจะพบเนื้อคู่แท้จริงก็เมื่อใกล้สี่สิบเข้าไปโน่น ก็แปลว่าบุญระหว่างกันคงพร่องอะไรบางอย่าง หรืออาจมีบาปมาแทรกแซง จึงไม่มีจังหวะโคจรมาพบเสียตั้งแต่วัยเยาว์ ลดทั้งโอกาสเสพสุขและโอกาสต่อบุญร่วมกันไปมาก ต้องทนเหงาตามลำพัง หรือทนอยู่ร่วมกับใครอื่นที่ไม่ใช่คู่แท้เสียเนิ่นนาน

มาวันทามองเสี้ยวจันทร์ นึกถึงคำพูดของตนเองเมื่อครู่ หล่อนเป็นเพียงดวงตาคู่เล็กๆที่มองธรรมชาติเบื้องบนด้วยความไม่รู้อะไรเลย ความไม่รู้นั้นก็เป็นเงาติดตามไปเสมอ เมื่อสอดตามองเรื่องคู่ครอง เรื่องกรรมวิบาก เรื่องภพชาติ กรรมเก่าลิขิตชะตาไว้อย่างไร เปิดช่องให้ทำกรรมใหม่ในปัจจุบันเพื่อไปเสวยผลเบื้องหน้าท่าไหน ล้วนเป็นที่ไม่รู้ทั้งสิ้น

ก้มมองพื้น หล่อนเป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อย ที่อึดอัดกับความไม่รู้มานาน การพบกับโหราจารย์ผู้รู้เห็นทะลุทะลวงความลี้ลับต่างๆอย่างน่าอัศจรรย์เช่นอุปการะในวันนี้ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างใหญ่ที่จะเอาชนะความไม่รู้ต่างๆเสียที มีความเชื่อมั่นก่อตัวขึ้นมาเงียบๆว่าอุปการะจะเป็นครูผู้ชี้ทางให้หล่อนได้

ลานดาวเหลียวมองพี่สาวงงๆ

“ง่ะ… ตบมือก็ไม่ตบ แถมทำหน้าจ๋อยใส่พื้นดินอีก เป็นอาลาย… เจ๊?”

พอถูกทัก มาวันทาก็ออกจากห้วงคิดคำนึงส่วนตัว

“กำลังนึกถึงนิทานอาหรับราตรี”

ยินเพียงเท่านั้น นักร้องประจำค่ำคืนก็หัวเราะร่า ด้วยรู้ว่านั่นเป็นคำชมทางอ้อม

“เนอะ… คืนนี้ขาดแค่พรมวิเศษกับระบำแขกเท่านั้นแหละ เอาไหม เดี๋ยวเรามาเต้นระบำแขกอวดดาวกัน”

พูดจบก็ทำท่าขึงขัง โยกคอซ้ายขวา ยื่นหน้ายื่นตาเหมือนนางระบำแขก ใบหน้าของลานดาวในเงาสลัวตลกคะนองน่าเอ็นดูจนมาวันทาต้องหัวเราะขำ

“ชีวิตเธอนี่มีแต่ความรื่นรมย์จริงๆนะ”

“โลกนี้คืองานเลี้ยงและสวนสนุก จะมัวซึมเซาอยู่ใยเล่าพี่ท่าน”

“ก็ไม่ได้ซึม… แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง เธอจะให้พี่จ้อเป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง”

แล้วแพทย์สาวก็ทอดตาไปทางอื่น ลานดาวทำตาโตเป็นไข่ห่าน จ้องหน้ามาวันทาค้างนิ่งแบบจงใจรบกวนด้วยกระแสตาจนฝ่ายนั้นทนไม่ไหว ต้องเหลียวกลับมามองจนได้

“มองอาล่ะ?”

ทั้งที่ตัวเองจ้องเขาก่อน แต่ก็ถามหาเรื่องเสียอย่างนั้น มาวันทาเห็นลานดาวทำชูคอเบิ่งตาเหมือนตัวการ์ตูนจำพวกโดนัลดั๊กอย่างจะยั่วให้เส้นตื้น ก็จ้องตอบนิ่งๆแบบลองดูกันว่าใครหัวเราะก่อนถือว่าแพ้ นานเกือบครึ่งนาทีก็เป็นฝ่ายปราชัย เพราะทนนิ่งไม่ได้เท่าน้อง

ลานดาวเห็นพี่สาวหัวเราะก็เยาะซ้ำหน้าตาย

“อีกหน่อยต้องเก็บค่าขำ เส้นตื้นเหลือเกิน ยั่วนิดยั่วหน่อยขำไม่หยุด ดูสิ… เอาเข้าไป”

“เธอนี่จริงๆเลย…”

ผลักไหล่คนนั่งข้างแก้เก้อหลังจากหัวเราะซาลง ลานดาวปรายตาแลคนผลักหน่อยหนึ่ง ยิ้มมุมปากแล้วเอาแขนคล้องแขนอีกฝ่าย ทอดมองเบื้องบนอย่างไร้จุดหมาย

“ใครจะอาศัยดวงดาวคำนวณได้ไหม ว่านาทีนี้เป็นฤกษ์แห่งความสำราญหรือเปล่า…”

มาวันทาบีบมือน้อง ซึมซับสัมผัสอันละเมียดละไมทั้งทางกายและใจ

“ดาวศรีหรือดาวกาลกิณีของใครจะทำหน้าที่อย่างไรบนฟ้า คงไม่สำคัญกว่าที่เราทำต่อกันอย่างไรบนดินนี้มั้ง”

ลานดาวตรองตาม ชั่วขณะหนึ่งหล่อนเห็นตนเองและมาวันทาเป็นสองตัวละครในโลกใบใหญ่ หากดวงดาวเป็นผู้จัดฉาก พวกหล่อนก็กำลังเป็นตัวแสดงที่มีสิทธิ์เลือกเขียนบทกันเอง ตอบโต้กับฉากและสถานการณ์ต่างๆ ลัดเลี้ยวเข้าตรอกแยกซอยย่อยได้ด้วยความสมัครใจของตนเอง

“จริงเนาะ… คงไม่มีดาวดวงไหนจี้ให้พี่เอินหัวเราะมีความสุขได้อย่างจ๊ะหรอก”

มาวันทาหัวเราะในลำคอ

“สำหรับหมอดูโหราศาสตร์อาจบอกว่าอิทธิพลของตำแหน่งดาวให้พลังทางด้านการบันเทิงกับจ๊ะมาอย่างล้นเหลือ แต่สำหรับหมอดูอย่างอาจารย์อุปการะคงบอกว่าเพราะจ๊ะทำกรรมทางด้านนี้ไว้ เลยมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ การดนตรี และการบันเทิงมากหน่อย เพราะฉะนั้นใครอยู่ใกล้เธอ ก็เป็นอันว่าเตรียมรับส่วนหรรษาตามไป”

“พรสวรรค์นี่คือของเก่า ทักษะความสามารถเก่าๆที่เราเคยสั่งสมไว้ในชาติก่อนหรือเปล่าคะ?”

“ก็คงอย่างนั้น”

“จ๊ะเชื่อเรื่องพรสวรรค์ บางคนเก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาแต่เด็กโดยไม่ต้องมีคนสอน หรือสอนน้อยมาก แต่ระหว่างพรสวรรค์กับพรแสวง จ๊ะศรัทธาพรแสวงมากกว่า เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคนเราทำอะไรก็ได้ ขอเพียงมีสมบัติชิ้นเดียว คือความตั้งใจจริง”

“พี่ก็คิดอย่างนั้น ความเพียรของมนุษย์เอาชนะได้แม้ดาวเดือน สมมุติว่าชะตาลิขิตมาให้เป็นขี้แพ้ แต่ใจยังอยากชนะ ยังทนสู้แบบยอมล้มลุกคลุกคลาน เอาความเจ็บปวดและน้ำตาเข้าแลกความคืบหน้า ผ่านไปหลายเดือนหลายปีเข้า ตบะของคนใจถึงก็แข็งแรงขึ้นแซงชะตากรรมเก่าได้”

ลานดาวกะพริบตาปริบๆ หล่อนเกิดมาแบบคาบช้อนเงินช้อนทองไว้ในปาก กับทั้งเรียนรู้เร็วเพราะเป็นคนมีปฏิภาณเฉียบคม จึงไม่เคยเจอเรื่องยากที่ต้องพยายามต่อสู้เท่าไหร่นัก หากชีวิตจะพร่องหรือขาดสิ่งใด ก็คงมีหนึ่งเดียวคือความรักระหว่างหญิงชาย คนรักไม่ใช่สมบัติติดตัวมาแต่กำเนิดเหมือนอย่างรูปสมบัติและคุณสมบัติอื่นๆ หล่อนเคยเพียรหว่านทั้งพรสวรรค์และพรแสวง สร้างทั้งสะพานและประตูไว้รอบสนามชีวิต เพื่อเปิดช่องให้ใครต่อใครเรียงหน้าเข้ามาเสนอตัวนับไม่ถ้วน แต่เรื่องความรักจะไปเรียกร้องความชอบธรรมเอากับใคร หรือหาผู้ใดมาเป็นคนรับผิดชอบ ในเมื่อมันไม่เจอ ของยังไม่ปรากฏ ความเพียรของมนุษย์เช่นหล่อนจะนำมาใช้ประโยชน์อันใดได้เล่า?

“บางเรื่อง… ถ้าเพียรมากไป ก่อนจะชนะชะตา หัวใจก็อาจด้านชาเสียก่อนได้เหมือนกันนะคะ”

หล่อนพึมพำเหม่อๆ มาวันทารู้ท่าว่าน้องสาวจะวกเข้าเรื่องคนรักอีกก็รีบเบี่ยงประเด็น

“จ๊ะ… เธอมีความสามารถทางดนตรีสูง แล้วก็เรียนมาทางนี้ด้วย คิดจะเอาดีในวงการบ้างหรือเปล่า? แบบออกอัลบัมของตัวเองน่ะ”

“ก็มีอยู่ค่ะ”

หล่อนตอบเสียงเฉื่อย

“เธอคงดังพิลึกนะ”

“นั่นแหละค่ะที่กลัว แล้วก็ทำให้ยั้งๆอยู่ ความจริงจ๊ะไปแข่งเปียโนมาเยอะ ก็มีแมวมองทั้งจากแวดวงดนตรีและแวดวงดารามาทาบทามบ่อย ปีก่อนนี่ถึงขั้นรู้จักกับบอสค่ายเพลงใหญ่แล้ว และตกลงอย่างไม่เป็นทางการกันด้วยซ้ำว่าขอให้เรียนจบก่อน แล้วจ๊ะจะทำเพลงกับเขา”

“ทำไมต้องยั้งๆ? เดี๋ยวนี้เห็นศิลปินอายุน้อยที่ยังอยู่วัยเรียนเยอะแยะ จ๊ะก็เรียนมาทางนี้อยู่แล้วด้วย”

“อาจเพราะใครๆก็บอกว่าจ๊ะจะต้องเป็นดาวดังที่มีคนกรี๊ดสนั่นไปหลายปี จ๊ะเป็นดาวมาตลอด ตั้งแต่มัธยมต้นจนมหา’ลัยปีสุดท้าย จ๊ะเบื่อ แล้วก็กลัวเพดานดาวระดับต่อไป… มันอาจเหงากว่าที่กำลังเป็นอยู่หลายเท่า”

ประโยคสุดท้ายกระซิบจากหัวใจหงอยอย่างแท้จริง มาวันทามองน้องด้วยความเข้าใจ

“ออกกว้างขึ้น ตัวเลือกก็มากขึ้น ถ้าการบันเทิงเป็นเส้นทางของเธอ เธอก็อาจเจอเขาบนเส้นทางนั้น”

“เหมือนจ๊ะมีสองภาคนะพี่เอิน ยอมรับว่าภาคหนึ่งอยากดัง อยากฟู่ฟ่าหรูหรา อยากเป็นเจ้าแม่ถนนบันเทิงที่มีคนคลั่งไปสักสิบห้าปี แต่อีกภาคหนึ่งก็อยากใช้ชีวิตสงบสุขอย่างคนธรรมดา ไปไหนไม่มีใครรู้จัก เป็นแม่บ้านที่สามีรัก บางทีก็สับสนว่าตัวเองอยากเลือกเส้นทางแบบไหนกันแน่”

“แต่เธอไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนธรรมดานะ คุณสมบัติที่เธอมีทั้งหมดทำให้พี่เห็นภาพแม่เหล็กพลังดึงดูดมหาศาล ตามหลักธรรมชาติแล้ว ใครมีคุณสมบัติใด ก็น่าจะใช้คุณสมบัตินั้นอย่างเหมาะสม”

“แปลว่าเราต้องไปตามดวงอย่างไม่อาจเลือกหรือคะ?”

“ก็คงไม่เสมอไป เขาถึงมีคำว่า ‘ฝืนดวง’ ไว้พูดกันไง ว่าแต่… เธอมีทางเลือกสำรองที่จะใช้คุณสมบัติประจำตัวทั้งหลายด้วยหรือ?”

ลานดาวยักไหล่

“จ๊ะทำอะไรก็ได้ สอนเปียโน สอนขับร้อง หรือถ้าอยากทำอย่างอื่น จ๊ะว่าจ๊ะใช้เวลาเรียนรู้นิดเดียว”

“ทำได้ แต่เบื่อจะทำในระยะยาวหรือเปล่าเท่านั้นแหละ การเป็นคนดังก็มีส่วนเสียเท่าๆกับส่วนดี ถ้าจ๊ะไม่อยากดังด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งก็ใช่จะผิดปกติหรือแหวกแนวอะไร แต่ตามความเข้าใจของพี่ คุณสมบัติสุดขั้วของจ๊ะน่าจะเปรียบได้กับแรงดันของพลุ ที่มีกำลังพร้อมจะส่งพลุขึ้นฟ้าอยู่ทุกขณะจิต ขอเพียงยอมแกะสลัก หากจ๊ะสามารถทนความเย้ายวนของแรงดันนั้น ก็แปลว่าน่าจะมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่พอ เพราะไม่แต่เพียงฝืนดวงตัวเอง แต่ยังฝืนความปรารถนาจะเป็นคนสำคัญ ซึ่งมนุษย์ทั่วไปมีกันอีกด้วย”

“แรงขับดันมีอยู่หลายชนิดนี่คะ จ๊ะว่าจ๊ะรู้จักตัวเองดี… ดีมาก ขนาดบอกถูกได้ทันทีว่าต้องการอะไร สิ่งไหนมีความสำคัญก่อนหลัง อย่างเช่นถ้าถามเดี๋ยวนี้ว่าจะเลือกทางไหนระหว่างไปเป็นคนสำคัญบนเวทีในสเตเดียมจุคนร่วมหมื่นร่วมแสน กับมาอยู่ที่นี่เพื่อร้องเพลงให้พี่เอินฟังเพียงคนเดียว… จ๊ะจะเลือกมาอยู่ที่นี่!”

มาวันทาสยายยิ้ม อำนาจเจตจำนงอันหนักแน่นของคนพูดจริงทำจริงมีผลให้คนฟังปลาบปลื้มล้นอก เพิ่งตระหนักว่าตนเองอ่อนไหวง่ายขึ้นทุกที ลานดาวมีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนอารมณ์คนอื่นชนิดยากจะต้าน เพียงพูดสองสามคำ คนฟังอาจเห็นตนเองมีคุณค่าเกินจริงจนน่าตกใจทีเดียว

อยู่กับลานดาว บางขณะมาวันทาก็เห็นตัวเองเป็นพี่สาว แต่บางขณะก็เหมือนเพื่อนที่เสมอกัน และบางเวลาเช่นในขณะนี้ หล่อนก็สับสนและสะดุ้งไหวอยู่หน่อยๆ ที่ตนตัวอ่อน เอียงคอผุดยิ้มพึงใจราวกับได้รับมธุรสจากชายคนรัก!

“กลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว”

มาวันทายืดตัวตรง ออกปากไล่ในลีลาอาทรเยี่ยงพี่สาวที่พึงเป็นห่วงน้อง ลานดาวหันมาทั้งหน้า มองอีกฝ่ายงงๆด้วยสำเหนียกการเปลี่ยนแปลงปุบปับผิดปกติ ทว่าก็ไม่คิดอะไรมาก พยักหน้าอย่างว่าง่าย

“ค่ะ”

สองสาวลุกจากที่ มาวันทาเดินมาส่งลานดาวถึงประตูรถ

“ราตรีสวัสดิ์ ขอบใจมากสำหรับทุกอย่างในวันนี้”

“เอ๋อ?… จ๊ะต้องเป็นฝ่ายขอบคุณพี่เอินก่อนสิคะ อุตส่าห์เหนื่อยเลือกฟลุตให้”

“แค่นั้นเรื่องเล็ก”

“ทุกอย่างที่จ๊ะทำให้พี่เอินยิ่งเล็กกว่านั้นค่ะ เพราะเป็นไปเพื่อความสุขส่วนตัวของจ๊ะเองล้วนๆ”

มาวันทาเหลือบมอง เห็นดวงตาดุจประกายพรึกกำลังเล็งนิ่งมายังตนพร้อมรอยยิ้มเก๋ไก๋บาดใจ ก็ออกปากไล่ซ้ำเหมือนจะต้องเร่งรีบไปทำอะไรสักอย่าง

“ขึ้นรถซิ มัวยืนเป็นหุ่นไล่กาอยู่ได้”

“ค่า… ขับไสไล่ส่งเหลือเกินนะค้า พอจ๊ะไปพี่เอินก็รีบขึ้นนอนด้วยล่ะ… ราตรีสวัสดิ์”

ลานดาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแถมถอนสายบัวเสริม มาวันทารับไหว้ และเฝ้ามองอีกฝ่ายขึ้นรถขับจากไปจนลับตา




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น