ตอนที่ ๓๙.
นับหนึ่งใหม่
“มาพบคุณสรณะค่ะ”
ลานดาวบอกกับประชาสัมพันธ์ซึ่งกำลังนั่งจัดข้าวของท่าทางเตรียมตัวจะกลับบ้าน
“คุณอะไรคะ?”
เจ้าหล่อนผู้มีหน้าที่ต้อนรับแขกเงยขึ้นถามอย่างไม่รู้จักหน้าค่าตา
“ลานดาวค่ะ นัดกับคุณสรณะไว้ห้าโมง”
“สักครู่ค่ะ”
กดเบอร์ภายในเพื่อรายงานเลขานุการของบอสใหญ่ตามระเบียบ
พอปลายสายให้ไฟเขียวก็หันมาบอกทางแก่อาคันตุกะยามเย็น
“เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาหัวมุมขึ้นลิฟต์
ท่านอยู่ชั้น ๕ นะคะ”
ลานดาวพยักยิ้มขอบคุณแล้วก้าวเท้าไปตามทางที่ได้รับการชี้บอกด้วยจังหวะคงเส้นคงวาฉายราศีสง่า
แต่ว่าภายในกำลังซ่อนความตื่นเต้นครั้งใหญ่ไว้ เมื่อตระหนักว่ากำลังจะได้พบกับ
‘ท่าน’ ของประชาสัมพันธ์สาวในเวลาเพียงอึดใจข้างหน้า
อาคารนั้นค่อนข้างโอ่อ่า
บอกฐานะความรุ่งเรืองของบริษัทเป็นอย่างดี
สามวันก่อนเขาให้คนไปเชื้อเชิญถึงสถานีวิทยุ ชักชวนมาคุยเกี่ยวกับงานพิธีกร
แน่นอนว่าเป็นโอกาสงาม เป็นความก้าวหน้าอันควรคว้า
เพราะในจำนวนบริษัทผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ระดับหัวแถวของไทยซึ่งคนทั่วไปรู้จักและติดตามผลงานกันมากที่สุด
ต้องมีชื่อบริษัทนีโอเทรนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์
ของท่านโฆษกรัฐบาลรวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนนีโอเทรนด์ถือกำเนิด
สรณะเป็นพิธีกรเกมโชว์หนึ่งรายการ ทอล์คโชว์อีกหนึ่งรายการ
ทั้งสองรายการได้รับความนิยมล้นหลามเข้าขั้นที่ใครไม่ดูถือว่าตกยุค
ขาดสถานภาพบุคคลร่วมสมัย ฟังมุขตลกที่พาดพิงถึงรายการของสรณะไม่รู้เรื่อง
ประมาณนั้น
เมื่อค่าตัวแพงขึ้นเรื่อยๆ
ชื่อเสียงขจรขจายพอจะเอาดีทางทำรายการโทรทัศน์เป็นล่ำเป็นสัน
เขาก็ลงทุนก่อตั้งบริษัทนีโอเทรนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ร่วมกับนายทุนใหญ่รายหนึ่ง
จุดขายที่สำคัญของนีโอเทรนด์คือความแปลกแหวกแนว เล่นง่าย ท้าทาย
แถมแฝงสาระอย่างแยบยล สรณะคิดเกมโชว์เร้าใจชุดใหม่ๆขึ้นเอง
และเริ่มเขยิบเข้าใกล้แวดวงนักปกครองด้วยรายการทอล์คโชว์ทันเหตุบ้านการเมือง
แสดงวิสัยทัศน์ที่เฉียบแหลม วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและฝ่ายค้านด้วยการยิงหมัดบวกมุขตลกเด็ดดวงที่ให้ภาพชัดลึก
แม้แต่คนไม่เคยสนใจการเมืองมาตลอดชีวิตก็ถูกชื่อเสียงด้านนี้ของสรณะลากมาดู มาสนใจ
มาหัวเราะท้องคัดท้องแข็งทุกอาทิตย์
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเมื่อเขาลงสมัครส.ส.ครั้งแรกจึงสอบติดทันที
ชนิดผู้คนมาเทคะแนนให้อย่างมืดฟ้ามัวดิน
โพลทุกสำนักพยากรณ์ล่วงหน้าว่าสรณะเป็นเต็งหนึ่งเหมือนกันหมด
บางคนเปรียบให้เขาเป็นม้าเทศฝีตีนจัด
ขณะที่คนอื่นในเขตเดียวกันต่อให้เก่งแค่ไหนเมื่อเทียบกับสรณะก็เป็นได้แค่ลาแก่เท่านั้น
ปัจจุบันนีโอเทรนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ที่เขาสร้างมากับมือเปรียบเหมือนหนุ่มใหญ่โตวันโตคืนที่เนื้อหอมและมีกำลังมาก
ทั้งเกมโชว์ ทอล์คโชว์ และงานละคร
ยิ่งจำนวนรายการที่ประสพความสำเร็จเพิ่มขึ้นมากเท่าใด อิทธิพลก็เริ่มกว้างขวาง
และดึงดูดคนเก่งๆมาร่วมงานด้วยอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
และการถูกเรียกตัวมาสัมภาษณ์ครั้งนี้
ลานดาวก็มีแก่ใจดูรายละเอียดจากอินเตอร์เน็ตถึงผลงานของนีโอเทรนด์มาพร้อม
น่าตื่นใจที่ทราบว่าบริษัทได้รับรางวัลต่างๆเป็นจำนวนมากจากสถาบันในประเทศมากมาย
เช่น รางวัลจากสำนักคณะกรรมการเยาวชนแห่งชาติ รางวัลเมขลา
ตลอดจนคะแนนนิยมจากสื่อมวลชนต่างๆ
โดยเฉพาะคำนิยมเกี่ยวกับการริเริ่มสร้างสรรค์รายการชนิดไม่ติดกลิ่นลอกเลียนมาจากไหนเลย
ถึงชั้น ๕
พนักงานคนหนึ่งยืนคอยต้อนรับอยู่ใกล้ๆลิฟต์และทักทันที
“คุณลานดาวใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ”
“เชิญทางนี้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวยิ้มแจ่มใส อบอุ่นใจและรู้สึกว่าสรณะให้เกียรติหล่อนเป็นพิเศษ
หนุ่มคนนั้นพามาถึงห้องที่มีป้ายชื่อ ‘สรณะ กรีธาพล’ ปิดไว้ด้านหน้า
และเอื้อมมือเปิดประตูให้อย่างบริการเต็มอัตรา
ลานดาวค้อมศีรษะนิดๆให้เขาเป็นเชิงขอบคุณก่อนก้าวเดินผ่านเข้าห้องบิ๊กบอสของนีโอเทรนด์ด้วยใจประหม่าหน่อยๆ
รู้สึกเหมือนลูกหนูกำลังเผชิญหน้ากับราชสีห์ที่ยิ่งใหญ่จริง
สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจท่วมท้น หลามล้นมาถึงหน้าประตูห้องทีเดียว
ลานดาวก้าวเข้าไปสู่ห้องนั้นด้วยอิริยาบถเดินเป็นปกติ
เจ้าของห้องกำลังใช้ปากกาเซ็นงานยิก แต่พอเห็นหล่อนปรากฏตัวก็ทิ้งปากกาในมือ
ลุกขึ้นยืนต้อนรับทันที
“สวัสดีค่ะคุณสรณะ”
หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อ่อนช้อย
“สวัสดีครับคุณจ๊ะ”
สรณะยิ้มแจ่มใสรับไหว้อย่างเป็นกันเอง
และผายมือไปทางชุดรับแขกหนังแท้
“ไปนั่งคุยกันทางโน้นดีกว่า”
ลานดาวก้าวไปยังที่นั่งตามคำเชิญ
พยายามควบคุมจิตใจและรักษาแข้งขาไม่ให้สั่น
“ขอบคุณที่มาตามคำเชิญ”
กิริยาวาจาเก๋ เท่ เตะตา
ที่เคยมัดใจหล่อนไว้ในห้วงอารมณ์หลงฝัน
บัดนี้มาขยับเขยื้อนอย่างมีชีวิตชีวาต่อหน้ากัน
เคยเชื่อว่าวันหนึ่งจะต้องรู้จักกับเขา
แต่ก็เหมือนความเชื่อที่เป็นแค่ฝันกลางวันลมๆแล้งๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้จริงๆ
ราวกับจินตนาการลวงใจแปรรูปเป็นสีสันและความเคลื่อนไหวกระจะตาในโลกแห่งความจริงจนได้
“ด้วยความยินดีค่ะ
ไม่ทราบว่าคุณสรณะมีอะไรเกี่ยวกับรายการให้ดิฉันรับใช้หรือคะ?”
“เรียก ‘พี่ณะ’ เถอะครับ
แล้วพี่ขออนุญาตเรียกน้องจ๊ะแล้วกัน
ชื่อเล่นของเราสองคนเอามาเรียงต่อกันได้ความหมายพอดีเลย”
ลานดาวผ่อนคลายจากอาการเกร็งเล็กๆอย่างรวดเร็ว
คิดตามเขาเป็นครั้งแรกแล้วเผยอยิ้มออกมา… ณะ จ๊ะ
สรณะยิ้มกว้าง ดูจริงใจ เปิดเผย
และยังไม่ค่อยเปื้อนรังสีอำมหิตเฉกเช่นนักการเมืองผู้คร่ำหวอดกับวงจรอิทธิพลระดับประเทศเท่าใดนัก
อีกอย่างตัวจริงของเขาไม่ได้วางมาดเข้มทรงคุณวุฒิเหมือนที่เห็นประจำในข่าวโทรทัศน์
เขาดูเป็นกันเอง สบายๆเท่ากับหรือมากกว่าครั้งเมื่อยังเป็นดาราหนุ่ม
ความมีชีวิตชีวาของเขาจึงพลอยเรียกชีวิตชีวาในรอยยิ้มของหล่อนตามมาด้วย
“ค่ะ พี่ณะ”
“พี่แอบฟังรายการจ๊ะมาหลายครั้ง
ถึงแม้ส่วนใหญ่ช่วงเช้าพี่ไม่ว่าง ก็ต้องให้คนช่วยอัดไว้เสมอ
อยากบอกซ้ำอย่างที่เคยโทร.เข้าไปในรายการอีกครั้งว่าประทับใจมาก”
หญิงสาวพนมมือไหว้อ่อนช้อย
ความเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนออกมาจากใจทำให้จิตสงบเบาและเอ่ยคำได้ด้วยใจจริง
“ขอบพระคุณค่ะ
จ๊ะยังซาบซึ้งไม่หายที่พี่ณะกรุณาโทร.เข้าไปช่วยส่งเสริม”
เงยหน้าขึ้นก็เห็นประกายตาแจ่มจรัสของเขาส่งมาเหมือนพอใจกิริยาไหว้สวยๆของหล่อน
“หนังสือของจ๊ะพี่ก็อ่านนะ…
ว่าแต่จ๊ะวางแผนจะเขียนเล่มต่อไปแล้วหรือยัง?”
“ค่ะ”
“เป็นความลับหรือเปล่า บอกได้ไหมว่าไตเติ้ลหนังสือคืออะไร?”
“วิธีค้นหาตัวเองให้พบ ค่ะ”
สรณะยิ้มพราย
“ได้แรงบันดาลใจมายังไง?”
“คงจะ… เป็นความดีใจที่ค้นพบตัวเองมั้งคะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“นึกว่าจ๊ะรู้จักตัวเองดีมาตลอดเสียอีก”
“รู้ดีว่าอยากได้นั่นอยากได้นี่อยู่ตลอดเวลา
แต่ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครกันแน่ ต่างจากพี่ณะที่มีความชอบใจ
และมุ่งมั่นจะเล่นการเมืองมาแต่ก่อนเข้าวัยรุ่น”
ลานดาวพูดอย่างรู้เพราะเคยอ่านสัมภาษณ์ของเขามามาก
สรณะยิ้มอย่างปีติที่อีกฝ่ายก็ทราบตื้นลึกหนาบางของตนเช่นกัน
“พี่ได้ยินชื่อเสียง
ได้ยินใครต่อใครพูดถึงจ๊ะมาพักใหญ่ แต่เพิ่งเดือนก่อนที่มีโอกาสอ่านหนังสือของจ๊ะ
อ่านแล้วทำให้พี่นึกถึงใครบางคนเช่นซิสเตอร์จวานน่า เดอลา ครูซ ในศตรวรรษที่ ๑๗
ที่มีพร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ แถมจิตวิญญาณงดงาม เป็นแรงบันดาลใจในทางสร้างสรรค์ได้กว้างขวางตั้งแต่อายุยังน้อย”
หญิงสาวสั่นหน้านิดๆ
ท่าทีคล้ายบอกเขาว่าตัวจริงหล่อนน่าสมเพชมากกว่า
“ความจริงจ๊ะคือวัยรุ่นที่อ่อนแอและสับสนหลงทางคนหนึ่ง
ตัวตนในวันนี้คือผลจากการปั้นแต่งใหม่ด้วยน้ำมือของครูอาจารย์และพี่ๆหลายคน
จ๊ะเคยก่อความเดือดร้อนระดับวายร้ายโลกไม่ลืมไว้เยอะ
ปัจจุบันแค่มาถึงจุดที่ต้องชดใช้คืนเสียบ้าง”
สรณะนึกชอบวิธีถ่อมตัวของหล่อน
เพราะไม่ใช่แค่สักแต่หลบคำสรรเสริญแบบขอไปที
แต่สามารถกล่าวถึงแง่เสียของตัวเองให้สมดุลกันกับคำเยินยอ
ดูเป็นคนรู้จักและเข้าใจตนเองตามจริงอย่างน่ารักทีเดียว
“คนเคยร้ายกว่าใคร พอดีก็มักเป็นดีผิดธรรมดา
เดี๋ยวนี้จ๊ะก็นับว่าประสพความสำเร็จอย่างสูง ได้ไพรม์ไทม์จากคลื่นเด่นเสียด้วย…
ว่าแต่ในหนังสือ ‘วิธีค้นหาตัวเองให้พบ’
ที่กำลังเขียนนี่จะเล่าความเป็นมาเป็นไปของจ๊ะละเอียดหน่อยไหม พี่สนใจจัง”
“จ๊ะตั้งใจเขียนเกี่ยวกับตัวเองให้น้อยที่สุดค่ะ
อาจยกตัวเองมาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ ถ้าโชคร้ายขาดความสนใจ
ขาดความรักงานใดงานหนึ่งจากก้นบึ้งของความเป็นตัวของตัวเอง
ก็จะอยู่อย่างซังกะตายไปวันๆ”
นักการเมืองหนุ่มทำท่าสนใจยิ่งขึ้นอีก
“หมายความว่าจ๊ะเคยซังกะตายไปวันๆ?”
“ค่ะ”
“แล้วแนวทางเพื่อการค้นตัวเองให้พบล่ะ เขียนไว้ยังไง?”
“ก็ตั้งใจจะรวบรวมความเป็นมากับเกร็ดชีวิตคนเก่งที่ประสพความสำเร็จอย่างสูง
เป็นตัวของตัวเอง และทำประโยชน์กับวงกว้าง
จ๊ะจะแสดงให้เห็นว่าบุคคลเหล่านี้มีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกัน เช่นวิธีปลูกฝังความชอบใจ
และวิธีสร้างแรงบันดาลใจให้เพียรต่อสู้จนกว่าจะถึงดวงดาว
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ใช่การรอพรสวรรค์หรือดวงชะตา”
แล้วลานดาวก็คลี่ยิ้ม
“เผอิญพบตัววันนี้ก็ขออนุญาตไว้เลยนะคะ
หนึ่งในสิบบุคคลที่ประสพความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยของหนังสือจ๊ะ…
มีพี่ณะอยู่ด้วย”
หน่วยตาสรณะเปิดกว้างขึ้นนิดหนึ่ง
หน้าผากคลายออกด้วยความเบิกบาน
“ด้วยความยินดีและขอขอบใจเป็นอย่างยิ่ง
เพิ่งรู้สึกว่าพี่โด่งดังและน่าสนใจพอก็วันนี้เอง
เดี๋ยวพี่เอาไปคุยโม้ให้ทั่วเลยว่าจ๊ะจะเขียนถึงพี่”
ลานดาวหัวเราะเสียงนิ่ม
“จ๊ะไม่มีความหมายขนาดนั้นหรอกค่ะ
นักเขียนมือทองเขียนถึงพี่กันทั้งเมือง จ๊ะแค่เด็กรุ่นหลังที่เพิ่งเกิดเมื่อวานซืน
และริจะขอส่วนแบ่งเกียรติยศของพี่มาประดับหนังสือบ้างเท่านั้น”
คนได้รับเกียรติทำหน้าขึงขัง
“ต่างกันนะ
ด้วยวิธีลำดับและจาระไนความที่ไม่เหมือนใครของจ๊ะ
ทำให้พี่อยากขออ่านเสียเดี๋ยวนี้ว่าจ๊ะจะเขียนถึงพี่ยังไง
มันอาจทำให้พี่เห็นตัวเองในมุมที่ไม่เคยสังเกต
คงต้องสั่งจองร้านเจ้าประจำไว้ล่วงหน้าล่ะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ
จ๊ะส่งให้พี่ถึงมือหลายๆเล่มเลย”
“นี่ปลื้มจริงๆนะที่รู้ตัวว่าร่วมขบวนพาเหรดคนดังในสายตาของจ๊ะกับเขาด้วย”
“คนที่อยู่ในหนังสือ
คือแรงบันดาลใจของจ๊ะทุกคนแหละค่ะ พี่ณะคงไม่รู้
บางทีแค่คำสั้นๆที่เป็นมุขเด็ดในโฆษณาแชมพูของพี่เช่น ‘อย่าเอาแต่สวยนะครับ’
ก็เป็นชนวนเริ่มต้นให้เด็กขี้เกียจอย่างจ๊ะหันมาขยันเรียนจนพอลืมตาอ้าปากกับเขาได้”
สรณะทำตาโต แล้วหรี่ลงอย่างพยายามทบทวน
งานโฆษณาและงานแสดงจำนวนมหาศาลทำให้ต้องเค้นนึกอยู่อึดใจกว่าจะจำได้รางๆ
ว่าเป็นลูกฮุกของแชมพูยี่ห้อหนึ่งในช่วงสร้างภาพสระสางผมให้ได้เงางามเร็วๆเพื่อเอาเวลาอันมีค่าไปใช้สะสางงานการที่คั่งค้างอื่นๆ
เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ซึ่งมีหน้าที่มองสาวเก่งด้วยสายตาชื่นชมในตอนต้น และพูดว่า
‘อย่าเอาแต่สวยนะครับ’ เป็นการปิดท้ายโฆษณา
“บางทีเราก็ทำอะไรดีๆโดยไม่รู้ตัวไว้บ้างเหมือนกันนะ”
ลานดาวยิ้มตอบ
“อาจมากจนพี่นึกไม่ถึงทีเดียวค่ะ พลังดารานั้น
แค่ภาพลักษณ์ที่ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็เป็นแรงบันดาลใจกับใครต่อใครได้มากมายให้อยากเอาตามแล้ว
และพี่ณะก็เป็นภาพดีๆให้เด็กรุ่นหลังอย่างพวกจ๊ะมาตลอด”
เจ้าของนีโอเทรนด์ฟังคำสรรเสริญด้วยสีหน้ายิ้มแบบคนไม่บ้ายอนัก
เขาชั่งใจนิดหนึ่งก่อนเปิดโอกาส
“พี่จะให้ข้อมูลทุกอย่างที่จ๊ะต้องการ
อยากถามมาเมื่อไหร่ก็ได้เสมอนะ”
“ขอบคุณค่ะ
แต่คงไม่จำเป็นต้องรบกวนให้เสียเวลาของพี่
เพราะจ๊ะอ่านบทความและสัมภาษณ์ของพี่ณะตั้งแต่สิบปีก่อนจนถึงปัจจุบันนับร้อยชิ้น
น่าจะมากพอ”
“พี่อาจมีข้อมูลลึกและลับที่ไม่เคยเปิดเผยกับใครหน้าไหนมาก่อนก็ได้นา”
เขาพูดยิ้มๆ เอาสองมือแตะอกและผายออกกว้าง คล้ายสัญญาว่าจะเปิดเผยกับหล่อนหมดตัวหมดใจ
“อย่างนั้นจ๊ะจะขอรบกวนเมื่อเรียบเรียงคำถามเป็นข้อๆเสร็จสมบูรณ์นะคะ”
“เอาเลย ให้สัมภาษณ์เดี๋ยวนี้ยังไหว
ตกลงวันนี้สลับมุมกันล่ะ ไม่ทำหน้าที่ผู้สัมภาษณ์แล้ว”
“จ๊ะยังไม่ได้เตรียมคำถามไว้
ถามไปเดี๋ยวต้องซักซ้ำอีกหลายรอบค่ะ เอาไว้ก่อนดีกว่า”
“ตกลง อย่างที่บอกคือเมื่อไหร่ก็ได้”
“ขอบพระคุณค่ะ”
“วันหนึ่งถ้าเกิดสงสัยตัวเองว่าที่ทำๆอยู่นี้เป็นไปเพื่ออะไร
พี่อาจเปิดไปเจอคำตอบของตัวเองจากหนังสือของจ๊ะบ้าง”
ลานดาวยิ้มบางอย่างรู้ว่าโดนลองภูมิ
“ในนิตยสาร ‘บุคลิก’ ฉบับเดือนมีนาคม ถ้าไม่ปี ๔๑
ก็ ๔๒ พี่ณะให้สัมภาษณ์ไว้น่าจดจำออกค่ะ ที่ว่าบางคนยอมเหนื่อยเพื่อเอาชีวิตให้รอด
บางคนยอมเหนื่อยเพื่อให้ได้รวย บางคนยอมเหนื่อยเพื่อให้ได้ดัง
แต่พี่ณะยอมเหนื่อยเพื่อให้โลกนี้ดีขึ้น ถึงแม้จะต้องปิดทองหลังพระก็ตาม”
รอยยิ้มในริมฝีปากหุบลง
สรณะทอดตามองลานดาวด้วยแววลึกซึ้งอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอียงคอโน้มตัวเล็กน้อย
นัยน์ตาแปรประกายเป็นสนุกขณะยกมือซ้ายชี้นิ้ววนหน่อยๆ
ส่อความหมายให้สังเกตความจริงรอบด้าน
“งานของพี่ที่ผ่านมานี่ไม่ค่อยจะปิดทองหลังพระสักเท่าไหร่เลยนะ
ออกหน้าออกตาตลอด ฉะนั้นคำสัมภาษณ์น่าจะส่อนิสัยปากกับใจไม่ตรงกัน
ซึ่งก็เทือกเดียวกับนักการเมืองที่ต้องพูดตุนคะแนนนิยมไว้ก่อนคิดหาใจจริงของตัวเองให้เจอ”
“เคยอ่านพบในหน้าบันเทิงของหนังสือพิมพ์
‘แผ่นดินไทย’ ดูเหมือนสักเมื่อสองปีก่อน พี่ณะพูดทำนอง…
ใจจริงมีไว้บอกตัวเองเงียบๆว่าเราเป็นใคร แต่คิดดีๆก่อนรู้ว่าเราเป็นใคร
ก็อาจต้องทำอะไรให้กับโลกมากพอจะถูกตัดสินว่าใช่อย่างนั้นจริงไหม”
ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว เชื่อสนิทว่าหญิงสาวรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขามากจริง
ชนิดถ้าเอาไปออกรายการแฟนพันธุ์แท้มีหวังได้ครองแชมป์
“รายการวิทยุสองครั้งหลังที่ผ่านมาดูจ๊ะไม่ปราดเปรียวฉูดฉาดเหมือนเคยๆ? ไม่รู้ว่าพี่คิดไปเองหรือเปล่า หวังว่าคงไม่ใช่สัญญาณเริ่มเบื่อนะ”
“ยังไม่เบื่อหรอกค่ะ
แต่ช่วงนี้ทดลองเลิกทำเสียงเหมือนนังแม่มดบ๊องดูบ้าง”
ท่านผู้แทนราษฎรหัวเราะออกมาดังๆ
ก่อนเว้นวรรคเงียบครู่หนึ่ง มองหล่อนเต็มตาด้วยความรู้สึกราวกับมองเงาตนเอง
เงาของเขาในกระจกกลับขวาเป็นซ้าย แต่เงาของเขาในหล่อนกลับจากชายเป็นหญิง เป็นส่วนปฏิภาคที่ได้ดุลกันทั้งคุณลักษณ์ภายนอกที่เห็นด้วยตา
และทั้งคุณสมบัติภายในที่วัดได้ด้วยใจ
“อันที่จริงทำรายการถามตอบสดๆแบบจ๊ะนี่เสี่ยงเหมือนกันนะ
ยิ่งพูดมากอาจยิ่งผิดมาก
และทำให้จำนวนคนไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นเป็นสัดส่วนใกล้เคียงกันกับคนที่พอใจ…
แต่เท่าที่ให้เด็กของพี่ช่วยสำรวจ ปรากฏว่ายิ่งเหมือนคนรักจ๊ะเพิ่มมากขึ้น
แถมพวกหมั่นไส้ก็น้อยลงทุกที จ๊ะพอมองออกไหมว่าเป็นเพราะอะไร?”
ลานดาวหยุดคิดนิดหนึ่ง
เพราะไม่แน่ใจนักว่าสรณะอยากได้คำตอบจริงจังแค่ไหน
หรือกระทั่งจะนำคำตอบไปใช้ในทางใด
“จ๊ะจะถือหลักในการตอบอย่างหนึ่ง
คือถ้าไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ หลีกเลี่ยงภาพลักษณ์ประเภทรู้รอบตอบได้หมด
หลายครั้งจ๊ะเป็นฝ่ายขอความรู้จากคนโทร.มาด้วยซ้ำ
เพราะอยากให้ภาพของรายการออกมาในแนวร่วมด้วยช่วยกันมากกว่าฉันเก่งอยู่คนเดียว
การดึงทุกคนมาร่วมวงสร้างบรรยากาศเกื้อกูลกัน เหมือนรวบรวมพลังแม่เหล็กที่นับวันจะมีแรงดึงดูดมากขึ้น
และเป็นทั้งกำแพงป้องกันภาพฉายเดี่ยวให้คนเขม่นเราไปในตัว”
สรณะสั่นศีรษะ เหมือนครูที่บอกว่านักเรียนตอบผิด
“อันนั้นก็มีส่วน
แต่คุณสมบัติที่ตรึงคนฟังไว้ได้ต่อเนื่องคือ ‘ใจ’ ของจ๊ะต่างหาก
ถึงคนทั่วไปจะไม่มีความสามารถรู้ใจใครเหมือนอย่างจ๊ะรู้ใจคนอื่น
แต่มนุษย์ทุกคนมีสัมผัสตามธรรมชาติอยู่ ถ้าเงี่ยหูฟัง ถ้าเปิดตามองใครนานๆ ก็
‘เห็นใจจริง’ กันได้ สิ่งที่เราทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ
รวมกันเป็นกองแล้วจะกลายเป็นภาพแทนใจจริงขึ้นมา เวลาใครนึกถึงเรา
พยายามพูดว่าเราเป็นอย่างไร เขาจะนึกถึงใจจริงของเราตามที่เขารับรู้”
ลานดาวฟังแล้วยิ้มๆ
เหมือนนั่งฟังเลกเชอร์ว่าด้วยปรัชญาการทำงานจากผู้อาวุโสที่คร่ำหวอดในวงการมาช้านาน
และอีกทางหนึ่งก็นึกครึ้มที่มีโอกาสฟังผู้เชี่ยวชาญมานั่งวิเคราะห์ตน
“แล้วใจจริงของจ๊ะในความรับรู้ของพี่ณะเป็นอย่างไรคะ?”
“ที่เห็นเด่นเป็นอันดับแรกคือความสนุกกับงาน
อันดับต่อมาคือความปรารถนาจะช่วยเหลือคนอื่นให้เข้าใจวิถีทางที่เป็นกุศล
สองข้อนี้จะทำให้จ๊ะเป็นนางเอกในดวงใจของหลายๆคนได้อีกนาน”
คำพูดนั้นทำให้ลานดาวนึกถึงครั้งหนึ่งระหว่างเดินทางไปบางแสนกับนนทกานต์
และขอให้เพื่อนหนุ่มบอกว่าชาตินี้หล่อนมีความดีอะไรอยู่บ้าง
ยังจำได้สนิทถึงอาการพยายามเค้นนึกของเพื่อนหนุ่ม แต่เค้นเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
มาเดี๋ยวนี้
หล่อนคงไม่จำเป็นต้องขอให้ใครฝืนใจเค้นนึกเช่นนั้นอีก
เพราะแต่ละวันมีเสียงชื่นชมสรรเสริญหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
จาระไนคุณงามความดีของหล่อนอย่างละเอียดลออในทิศทางเดียวกันจนรู้ว่าไม่บังเอิญ
ไม่ใช่ความลำเอียงเฉพาะคน และไม่ใช่ชมเพราะหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่งตอบแทน
ลานดาวจึงตระหนักว่าภาพความดีของมนุษย์ใช่จะติดตัวมาแต่กำเนิด
ทว่าอยู่ที่ผลของงานอันสร้างทำไว้เป็นประจำดังเช่นที่สรณะกล่าวจริงๆ
กรรมที่ทำเป็นประจำ หรือ ‘อาจิณณกรรม’
นั่นเองก่อภาพบุคคลขึ้นในใจผู้อื่น และทำให้ผู้อื่นบอกได้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร
คนเราไม่มีความน่ารักน่าชังในตัวเอง
ถ้าใครรู้จักหล่อนเมื่อปีก่อนอาจหลงเพราะรูปอันเป็นของเก่าจากกุศลกรรมในอดีต
หากรู้จักในช่วงนี้อาจรักในความดีอันเป็นของใหม่จากกุศลกรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน
หล่อนโชคดีที่มีโอกาสเปรียบเทียบ ทั้งในแง่การเสวยรางวัลเก่าและใหม่ ทำให้มองเห็นชัดว่าคุณค่าของกรรมดีนั้น
จะเก่าหรือใหม่ผลย่อมเป็นสุขน่าอิ่มใจ แต่ระหว่างเก่ากับใหม่
ของใหม่ที่เป็นปัจจุบันชาติย่อมมีน้ำหนักมากกว่า เพราะตนเองรู้อยู่ คนอื่นเห็นอยู่
ว่าทำอะไรมาบ้างเพื่อแลกกับเกียรติยศชื่อเสียงหอมหวนทวนลม
ผิดกับของเก่าที่เป็นอดีตชาติซึ่งไม่มีใครรู้ว่าทำดีท่าใดมา
อยู่ๆจึงผุดขึ้นเป็นสาวแสนสวยร่ำรวยอย่างน่าริษยาปานนี้
ลานดาวมองสรณะด้วยดวงตาเป็นประกายกว่าเดิม
หล่อนยังเหมือนปุถุชนธรรมดา ที่เมื่อมีใครพูดถึงตัวเองในทางดีก็ภูมิใจ
และอยากฟังรายละเอียดมากขึ้น
“แล้วพี่ณะมีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับการปรับปรุงตัวของจ๊ะบ้างไหมคะ? จ๊ะอยากฟัง”
ทำหน้าทำตาว่าประสงค์เช่นนั้นจริง
และคำวิจารณ์ของเขาจะมีค่ากับหล่อนต่อไป นักการเมืองหนุ่มมองด้วยสายตาเห็นคน
เข้าใจคน ก่อนตบมือสองแปะช้าๆ
“นี่ก็เป็นอีกความดีหนึ่ง ไม่ทะนง
และระวังตัวเองไม่ให้เหลิง”
“อ๋อ… คือจ๊ะเคยหลงตัวมามากน่ะค่ะ
พอทำงานทำการแล้วก็เลยอยากระวังตัวหน่อย อาจารย์จ๊ะเตือนเสมอว่าไม่ควรประมาท
บาปกรรมหนักๆที่ทำแค่ครั้งเดียว
อาจล้มล้างภาพรวมของกรรมดีที่สร้างทำมาทั้งชีวิตได้
และคนดีๆในอดีตที่เผลอทำบาปทำกรรมกันระนาวนั้น ก็เพราะความทะนง ความเหลิงหลงนี่เอง”
“ใช่…
หนังสือพิมพ์อาจลงข่าวกรอบเล็กให้คนธรรมดาถ้าทำดีมากๆ แต่จะลงข่าวใหญ่
ตีไข่ใส่สีหลายวันถ้าคนแสนดีทำเรื่องเลวๆขึ้นมา… สำหรับภาพใหญ่ๆโดยรวมของจ๊ะนั้น
ถ้าไม่มีความทะนงหลงตัวอันเป็นวิสัยปกติของคนเก่ง ก็คงหาที่ติอื่นได้ยากแล้วมั้ง”
“มีคนอยากจับจ๊ะไปถ่วงน้ำเยอะเหมือนกัน
แสดงว่าต้องมีที่ติอยู่แน่ๆ ต่อไปถ้าพี่ณะเห็นก็กรุณาชี้ทางสว่างให้จ๊ะด้วยนะคะ”
เจ้าของห้องเม้มปากยิ้มและพยักหน้ากับตนเองหน่อยๆ
ความมีสัมมาคารวะและอาการอ่อนน้อมถ่อมตนแบบไม่แกล้งของลานดาวทำความพึงใจให้เขายิ่งยวด
และรู้สึกว่าสามารถร่วมงานกันได้อย่างสบายใจต่อไป
“ถามหน่อยเถอะ ไม่ต้องเดา
ไม่ต้องสืบค้นข้อมูลจากไหนเลย
ก็รู้ทันทีด้วยตาเปล่าว่าแบบจ๊ะนี่มีใครต่อใครรุมจีบเยอะแน่นอน
แล้วทุกวันนี้ก็ช่วยเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้คนเกือบครึ่งเมือง
เรียกว่ามีประสบการณ์กับตัว แถมหูตากว้างขวางเพราะรับข้อมูลมากเป็นพิเศษ
จ๊ะคิดว่า… ความล้มเหลวในรักชนิดที่ก่อคดีฆ่าตัวตาย
หรือตัดสินใจลงมือฆ่าแฟนซึ่งชักเห็นกันดาษดื่นเหมือนโรคระบาดนี่
มีสาเหตุสำคัญคืออะไร?”
การสัมภาษณ์ครั้งนี้ออกไปในทางคุยเล่นเป็นกันเองมากกว่าสอบความสามารถเข้าทำงาน
เหมือนเขาอยากทำความรู้จักให้คุ้นเคยกันเท่านั้น
ลานดาวจึงตอบทุกคำถามด้วยความปลอดโปร่งและรู้สึกเป็นตัวของตัวเองยิ่ง
“จ๊ะว่าคนเราไม่ตระหนักว่าตอนขาดสติตัวเองทำเรื่องโง่ได้ขนาดไหน…”
ลานดาวเหลือบลงต่ำ
ระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนฝันด้วยความสลด ก่อนช้อนตาขึ้นสบกับเขา
เอ่ยสืบต่ออย่างรวดเร็วเหมือนน้ำไหล
“อย่างเวลาจะฆ่าตัวตายหรือฆ่าคนอื่นตายด้วยเรื่องชู้สาว
สืบดีๆจะเห็นว่าไม่ขึ้นอยู่กับความรักที่ผ่านมา
แต่จะขึ้นอยู่กับสติและความมีเหตุผลในขณะนั้นๆ
ต่อให้เคยรักขนาดสละทุกสิ่งได้ก็อาจฆ่าแกงกันง่ายดายตอนเห็นภาพชู้บาดตา
หรือถึงไม่ใช่คู่ที่แท้ แต่เราไปหลงทึกทักยึดมั่นว่าเขาใช่
เราก็อาจฆ่าตัวตายบูชาอุปาทานอย่างน่าเสียดายที่สุด”
ชายหนุ่มเท้าศอก มือแตะคางเลิกคิ้วสูง
“ฟังสะดุดดีนะ ถึงไม่ใช่คู่แท้
แต่ทึกทักว่าใช่ก็อาจฆ่าตัวตายให้เขาได้… หมายความว่าตามความเชื่อของจ๊ะ
เรามีคู่แท้รออยู่เหมือนฟ้าหลังฝนกันทุกคนหรือ?”
“จ๊ะอาจแค่ใช้คำที่ทุกคนนึกถึง
และเชื่ออยู่ในส่วนลึกว่าต้องมีกันมั้งคะ อาจารย์จ๊ะเคยบอกว่าคู่แท้ไม่มีหรอก
เพราะเราต้องเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ แต่คู่บุญนั้นมีจริง
และบุญจะส่งกระแสชักนำให้มาพบกัน
รวมทั้งรักษาสัมพันธภาพไว้ให้ยั่งยืนกว่าคู่ที่ปราศจากบุญร่วมกันมา… แต่นักฆ่าตัวตายหลายคนจะไม่มีวันได้เจอคู่บุญไปทั้งชาติ
หากเขาเอาตัวรอดจากคู่บาปไม่สำเร็จ”
สรณะพยักหน้าช้าๆ
“ธรรมดาคนเราจะใจร้อนและยึดมั่นรุนแรง
เจอทีแรกปักใจเลย ชนิดที่ถ้าฉันไม่ได้มา คนอื่นก็ต้องไม่ได้ไป
ยอมตายดับไปเกิดใหม่ด้วยกันทั้งคู่ดีกว่า”
ลานดาวพยักหน้า
“ค่ะ… โดยเฉพาะถ้าเพิ่งรู้จักแต่ชีวิตวัยเยาว์
และไม่เห็นอะไรมีค่าไปกว่าอารมณ์รุนแรงของตัวเอง”
“มนุษย์เรามีโอกาสทางความรักแตกต่างกัน
โดยเฉพาะถ้าเรามีความรักในอุดมคติเลิศเลอเกินจริง
ก็อาจต้องรอจนตายโดยไม่เจอคนที่เป็นอย่างใจเยี่ยมผ่านมาเลย จ๊ะเคยคิดอย่างนั้นไหม?”
สองตาสานกัน
ลานดาวยิ้มไม่สนิทนักด้วยความขัดเขินแปลกๆกับการตอบ
“ค่ะ! เพราะอายุคนเราสั้นนัก
สั้นเกินกว่าจะรอแล้วรอเล่าอย่างปราศจากขีดจำกัด
แถมเพศหญิงมีโอกาสเป็นที่หมายตาของคนอื่นเฉพาะในช่วงวัยต้นๆ
พ้นจากวัยสาวคือการทนทรมานกับการเห็นเนื้อหนังมังสาเหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ
ดูแล้วรู้ตัวว่านับวันยิ่งน่าแหนงหน่ายไม่ชวนจับจอง
บางคนเลยหมดความอดทนแล้วสักแต่คว้าใครก็ได้ที่ใกล้ตัวแบบส่งเดช”
สรณะยิ้มละไม
เคาะนิ้วลงกับโต๊ะช้าๆสองสามหนก่อนเบี่ยงประเด็นเล็กน้อย
“การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ใครทำให้ประชาชนเชื่อได้
คนนั้นก็ครองอำนาจไป ภาพลักษณ์ใครดีกว่าก็มีภาษีกว่า… สำหรับพี่นั้น
ความสำเร็จทางธุรกิจช่วยส่งภาพให้คนยอมรับว่าทำงานเป็น คิดเองเป็น
และครองความสำเร็จเป็น
ต่อไปคงน่าเชื่อถือว่าคุมทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายหลักของประเทศได้
แต่ก็ยังด้อยกว่าเพื่อนนักการเมืองหลายๆคนที่สร้างบ้านสร้างเรือน
มีครอบครัวอบอุ่นผาสุก
พี่เพิ่งตระหนักว่าภาพนี้ก็สำคัญไม่แพ้ภาพความสำเร็จทางธุรกิจ
วันหนึ่งคนจะตั้งคำถามว่าตกลงเราเป็นตุ๊ดหรือเปล่า
หรืออาจจะคลางแคลงว่าเราเป็นพวกเห็นแก่ตัว
รักสนุกอยากนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้าไปเรื่อยๆหรือเปล่า
หากขาดลูกเมียเป็นตัวเป็นตนมายืนยันความสามารถทะนุถนอมเลี้ยงดูคนใกล้ตัวให้ได้ดีแล้ว
ภาพผู้ใหญ่ที่โตพอจะเป็นนักปกครองประเทศก็เหมือนแหว่งวิ่นไปมาก
และอาจเป็นขี้ปากจนกว่าจะลงจากตำแหน่งเลยทีเดียว”
ลานดาวสานตากับสรณะอย่างจะอ่านใจว่าเขาเพิ่งรำพึงรำพันอะไรเล่นหรือว่า
‘ส่งคำถาม’ มายังหล่อนกันแน่ และถ้านั่นเป็นคำถาม
หล่อนก็ต้องใช้เวลาครุ่นคิดสักนิดหนึ่งว่าควร ‘ส่งคำตอบ’ อย่างไรดี
“พอจะนึกออกค่ะ
หลายอาชีพต้องอาศัยภาพลักษณ์ที่ดีพอถึงจะซื้อความน่าเชื่อถือจากคนในวงกว้างได้
แต่งานของพี่ณะก็ไม่เกี่ยวกับความรักโดยตรงนี่คะ จ๊ะเสียอีก
หน้าที่ส่วนหนึ่งคือทำให้วัยรุ่นเข้าใจความรัก พบรัก และรักษาความรักกันไว้ดีๆ
แต่ทีตัวเองกลับแคล้วคลาดกับความรักมาจนกระทั่งวันนี้
นี่ต่างหากเรียกว่าคนมีภาพลักษณ์แหว่งวิ่นอย่างแท้จริง”
ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจ
อาการตั้งท่ารอคำตอบผ่อนคลายลง โล่งใจที่ข้อมูลข่าวกรองของเด็กเขาผิด
มีสายรายงานว่าลานดาวคบกับจิตแพทย์คนหนึ่งมานานร่วมปี
แต่แปลกๆที่ทั้งคู่มักเที่ยวไปไหนต่อไหนพร้อมกันกับสาวอีกคน
ไม่ได้ควงคู่จู๋จี๋กันตามลำพังฉันคนรักทั่วไป
เป็นความก้ำกึ่งน่าสงสัยให้แก่สายตาที่พบเห็นชอบกล
“พี่คิดว่าการยอมแคล้วคลาดกับคนที่เราเห็นตามจริงว่ายังไม่ใช่
บางทีจะดีเสียกว่าดันทุรังไม่ลืมหูลืมตา กระทั่งต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยอาการหน้าชื่นอกตรม
บางทีเห็นเพื่อนนักการเมืองบางคนมีครอบครัวแสนสุขแล้วนึกอิจฉา
กับทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องแพ้เขาเรื่องนี้
แต่คิดดีๆอีกทีก็รู้สึกว่าจังหวะชีวิตคนเราต่างกัน วันก่อนเราแพ้
แต่วันหนึ่งเราอาจกลับมาชนะและน่าอิจฉากว่าใครเพื่อนก็ได้”
นัยน์ตาของเขามีประกายใหม่ที่ทำให้หญิงสาวต้องเสเบนหน้าไปมองทางอื่นชั่วคราว
และเงียบฟังเขาเอ่ยต่อข้างเดียว
“เวลาสังคมเห็นผู้ชายคนไหนซื่อสัตย์กับเมียอย่างน่าประทับใจ
ก็ชื่นชมว่าอย่างนี้สิลูกผู้ชายขนานแท้
สมควรได้รับคะแนนนิยมจากเรื่องส่วนตัวข้อนี้ไป แต่บางคนมีข่าวกระบ่อนกระแบ่นกับเมีย
ก็โดนหาว่าไม่เอาไหนทันที
ไม่มีใครมามัวเสียเวลามองด้วยความเห็นใจหรอกว่าเขาขาดโอกาสจะเจอรักแท้ต่างหาก
คนเราหากขาดพื้นฐานความรัก จะฝืนสร้างภาพแฟมิลี่แมน
เป็นสุภาพบุรุษผู้รักครอบครัวยิ่งชีวิตได้สักกี่น้ำ”
ลานดาวเบนสายตาไปไกลห่างจากเขามากกว่าเดิม แต่ก็จำต้องอ้อมแอ้มโต้ตอบตามเพลง
เพราะรู้สึกว่าถึงจังหวะที่ตนควรกล่าวอะไรบ้างในฐานะผู้กำลังถูกสัมภาษณ์เข้างาน
“จริงด้วยนะคะ”
“พี่คิดจะปล่อยไปเรื่อยๆ
ยอมเสียภาพที่ตกแต่งขึ้นมาว่าเรามีแบ็กอัพอบอุ่นพรั่งพร้อม
ยอมขาดคู่บารมีเชิดชูหน้าตา ดีกว่าด่วนคว้าใครที่ไม่ใช่ตัวจริงมา
เพื่อให้ใครต่อใครซุบซิบลับหลังได้ว่าที่แท้อยู่กันเหมือนเอาปลาร้าตั้งทิ้งไว้กลางพื้นเรือน
เหม็นตลบอบอวลจนไม่มีใครอยากกลับบ้านเพื่อทนสูดกลิ่นชนิดนั้น”
หญิงสาวอมยิ้ม
“แต่ก่อนจ๊ะนึกด่าสาดเสียเทเสียเหมือนกันค่ะ
ผู้ชายที่ทิ้งลูกทิ้งเมียให้เหงาแล้วไปอยู่บ้านใหม่กับเมียน้อย
แต่พอรับฟังปัญหาของคนมากขึ้น หูตาก็กว้างขวางกว่าเดิม
ความคิดนอกใจเกินครึ่งมาจากความมักมากในกามของผู้ชาย
แต่บางทีเป็นเรื่องของโอกาสก่อนหลังที่จะพบคนซึ่งเข้ากับตนได้สนิท
เกมชีวิตออกจะโหดร้ายและน่าทรมานใจตรงนี้ พอด่วนเลือกโดยไม่รอดูดีๆ
ก็มักเจอผู้หญิงขี้บ่น ขี้หึง และขี้ขอ
อยู่ไปอยู่มาเจอผู้หญิงที่เหมาะกับตัวมากกว่า ทั้งพูดน้อย ทั้งมีเหตุผล
และทั้งใจกว้าง เลยมองไม่เห็นว่าทำไมต้องทนต้านแรงกิเลส มัวรักษาศีลธรรมอยู่
ในเมื่อมันจะทำให้ชีวิตเป็นสุขขึ้น และผ่อนคลายจากแรงกดดันในบ้านใหญ่ลง”
หนุ่มใหญ่โฆษกรัฐบาลคนปัจจุบันระบายยิ้มไม่จาง
ประจักษ์กับตาว่าคนๆหนึ่งจะเข้าใจชีวิตแตกฉานลึกซึ้งนั้น
หาใช่ต้องอายุอานามมากเสียก่อน ลานดาวรู้จักคนมาก รับฟังปัญหามามาก
ช่วยแก้ปัญหามาก พลอยทำให้ตัวตนของหล่อนกระโดดก้าวเกินวัยไป
อาจจะร่วมสองทศวรรษทีเดียว!
“พี่ไม่ได้คุยกับใครเรื่องพรรค์นี้มาเสียนาน
ตั้งแต่อายุ ๒๐ พี่ก็คำนวณเวลาเป็นเงินเป็นทอง
บางทีไปได้แรงบันดาลใจผิดๆจากสื่อทรงอิทธิพลจำพวกนิตยสารเศรษฐกิจการเงินมาเยอะ
อยากผลักดันตัวเองขึ้นสูงไปแข่งกับคนที่ทรงอิทธิพลทางการเงินและมีฐานอำนาจใหญ่
ลืมคำนวณเวลามาเฉลี่ยให้ความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตเสียบ้าง”
“อันนั้นพอจะเข้าใจค่ะ
แวดวงบุรุษผู้ทรงอิทธิพลทางการเงินมีเรื่องมันๆไว้ยั่วใจเยอะ
อย่างจ๊ะได้ยินว่าคนรวยที่สุดในโลกอย่าง บิลล์ เกตส์ ครั้งหนึ่งเคยมีรายได้ ๒๕๐
ดอลลาร์ต่อวินาที แปลว่าถ้าระหว่างคิดงานสำคัญแบงก์ร้อยดอลล์ในกระเป๋าถูกลมหอบไป
๕-๖ ใบ มันจะไม่คุ้มเลยกับการเสียเวลาไล่เก็บแทนที่จะนั่งคิดงานต่อ
เพราะเพียงปล่อยให้สองวินาทีผ่านไป เขาก็ได้เงินนั้นคืนมาเองอยู่แล้ว…
การคำนวณที่ชวนมันเขี้ยวชนิดนี้กระตุ้นให้เราหลงลืมว่าชีวิตไม่ใช่เครื่องจักรผลิตเงินอย่างเดียว
ถ้าหลงใหลมนต์สะกดของวิธีคำนวณเวลาเป็นค่าเงินเมื่อไหร่ ก็ถูกดูดเข้ากระแส
‘ชีวิตเพื่อเงิน’ เมื่อนั้น”
สรณะหัวเราะแจ่มใส
รู้สึกว่าลานดาวเป็นเพื่อนคุยที่ตามเขาทันไปทุกฝีก้าว
ทั้งเป็นฝ่ายรับความคิดและเป็นฝ่ายปลุกความคิด
“ยอมรับว่าในปี ๑๙๙๙ บิลล์ เกตส์
เคยเป็นแรงบันดาลใจของพี่เหมือนกันนะ ตอนที่สินทรัพย์ของเขาทะยานขึ้นทะลุทุกเพดาน
คือฟาดเข้าไปร่วม ๙๐ พันล้านดอลลาร์
มากกว่าใครหน้าไหนในประวัติศาสตร์ที่เคยมีกันมาทั้งหมด
ต่อให้มีวิธีทำลายเงินนาทีละเกือบเจ็ดล้านบาทไทย ก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่าจะทำให้เขาหมดตัว!”
“แต่ก็ดีนะคะ บิลล์ เกตส์
นี่ถึงแม้จะเขี้ยวลากดินทางธุรกิจอย่างไร
เขาก็มีใจจริงจะช่วยเรื่องการศึกษาและการรักษาโรค
เห็นบริจาคเงินที่ตัวเองสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงมากกว่าใครในประวัติศาสตร์เช่นกัน
ถ้ามองในแง่ของกรรม ก็ไม่น่าสงสัยว่าทำไมถึงมีปัจจัยอุดหนุนให้เขารวยล้นฟ้าล้นดินขนาดนั้น
เคยทำในชาตินี้อย่างไร ก็น่าจะเคยปลูกฝังนิสัยแบบเดียวกันไว้ในชาติก่อน”
ชายหนุ่มผงกศีรษะ
“คนรวยจำนวนหนึ่งอยากรวยไปเรื่อยๆเพื่อทำได้ทุกสิ่งที่อยากทำ
หรือเพื่อให้มีอำนาจเบียดเบียนคู่แข่งทางธุรกิจสะดวกขึ้น
แต่ประเภทที่อยู่บนหลังคาโลกอย่าง บิลล์ เกตส์ นั้นต่างไป
ดีที่ถึงจุดนั้นแล้วเขาตั้งคำถามใหม่แตกต่างจากมหาเศรษฐีทั้งหลาย
นั่นคือเขาควรจะใช้เงินส่วนเกินอย่างไร
และนั่นก็คือที่มาของการบริจาคระดับพันล้านดอลลาร์หลายต่อหลายงวด
กระจายเม็ดเงินจำนวนมหึมาไปเพื่อการกุศลสารพัดทาง”
เขาพูดด้วยเสียงชื่นชม
ทำให้ลานดาวมองเห็นตัวตนของสรณะเพิ่มขึ้นอีกแบบ คนเราชื่นชมใครในแง่ไหน
ก็แสดงถึงความเป็นคนชนิดนั้นในทางใดทางหนึ่ง จะมากหรือน้อยก็ตาม
“ขออนุญาตถามคำหนึ่งได้ไหมคะ?”
“เอาซี”
สรณะรับด้วยท่าทีกระตือรือร้น เพราะเดาว่าคงได้เห็นคำตอบของตนเองในหนังสือเล่มใหม่ของลานดาว
“พี่ณะบอกว่าคนรวยมีหลายประเภท
ทั้งพวกที่เอาไว้ทำอะไรตามใจ ทั้งพวกที่เอาไว้ฟาดฟันกับคู่แข่ง
และทั้งพวกที่อยากสละส่วนเกินให้คนอื่นบ้าง…
แล้วสำหรับพี่ณะเองในฐานะนักธุรกิจใหญ่คนหนึ่ง พี่ณะตั้งใจจะรวยไปเพื่ออะไร?”
นักธุรกิจหนุ่มใช้ปลายนิ้วเกาหว่างคิ้วเบาๆ
“พี่มาจากพื้นฐานครอบครัวปานกลาง
ก็มีความทะเยอทะยานประสามนุษย์คนหนึ่ง
อยากมีกินมีใช้ทัดหน้าเทียมตาใครต่อใครในสังคม
ทุกวันนี้ยังต้องกังวลประคับประคองความคล่องตัวทางการเงิน
วันดีคืนดียังต้องก่อหนี้ โดยเฉพาะตอนสร้างรายการใหม่ เรียกว่าไม่ถึงขนาดรวยลอยลำ
การมีธุรกิจที่ประสพความสำเร็จมากไม่ได้หมายความว่ารวยแล้ว
แต่อาจหมายความว่าเราต้องระมัดระวังกับมันสักหน่อย พลาดก้าวเดียวอาจเซ
หรือเป็นชนวนให้ล้มตึงเข้าได้ เงินทองเหมือนกองภูเขาสำหรับคนอื่น
ในสายตาเราอาจเป็นแค่ฐานให้อุ่นใจชั่วระยะเวลาหนึ่ง
มีรายละเอียดซุกซ่อนอยู่ซับซ้อนที่คนอื่นไม่เห็น แต่เราเห็น อือม์…
นี่พี่ตอบคำถามจ๊ะไปหรือยัง?”
“สรุปคือทุกวันนี้สร้างตัวเพื่อความมั่นคงของชีวิตและคนในบริษัทก่อนเป็นก้าวแรกใช่ไหมคะ?”
เศรษฐีหนุ่มยิ้มอย่างพอใจที่อีกฝ่ายเรียบเรียงคำพูดสรุปเป็นคำตอบให้โดยที่เขาไม่ต้องพูดเอง
“อีกอย่างมันเป็นภาพซื้อความเลื่อมใสน่ะ
ถ้าเรารวยได้ ก็น่าจะทำให้ประเทศรวยด้วย
ความรวยด้วยลำแข้งน่าเชื่อถือกว่าปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์มากนัก”
ลานดาวยิ้มอย่างคล้อยตาม
“จ๊ะเป็นลูกสาวนักธุรกิจมานาน
ยังไม่เคยอ่านเกมธุรกิจออกอย่างเป็นรูปธรรมเลยค่ะ การเมืองการปกครองด้วย
ภาพในใจเห็นแต่การฟาดฟันแย่งชิงอำนาจเท่านั้น”
“อำนาจเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจและการเมืองเกือบเหมือนพี่น้องฝาแฝด
แต่อำนาจก็ไม่ใช่ทั้งหมด มันมีจิตวิญญาณของผู้ครองอำนาจอยู่ตรงนั้นด้วย
แต่ละคนจะใช้อำนาจไปในทางที่ใจของตัวเองมีอยู่จริง
พูดง่ายๆว่าใครอยากได้อะไรก็จะใช้อำนาจไปเอามาในทางนั้น”
ลานดาวมองสรณะอย่างตั้งใจคิดตาม
ชีวิตหล่อนรู้จักอำนาจมาหลายรูปแบบ
เช่นเกิดมาก็มีเงินทองของพ่อไว้ใช้เนรมิตข้าวของ เป็นสาวมาก็มีความสวยไว้สั่งหนุ่มให้ทำตามต้องการ
และล่าสุดโตขึ้นก็มีปัญญาไว้ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง
แต่อำนาจเหล่านั้นไม่ใช่แบบเขา และหล่อนก็ไม่อยากได้อำนาจปกครองประเทศอย่างเขาด้วย
“พี่ณะทำให้จ๊ะเข้าใจอย่างหนึ่งเดี๋ยวนี้เอง
คนเราจะสมอยากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับอำนาจในมือ”
สรณะพยักหน้า
“แต่ละคนโตมาต่างกัน เห็นอะไรมาต่างกัน
แล้วก็ทำให้มีความอยากที่ต่างกัน
ทุกวันนี้จ๊ะอาจพอใจที่มีส่วนเปลี่ยนแปลงใครสักคนไปในทางดีขึ้น
แล้วคนรอบตัวเขาก็อาจดีขึ้นตามไปด้วย
นั่นแปลว่าถ้าจ๊ะทำให้คนหลักพันพูดว่าเขาเปลี่ยนไปเพราะจ๊ะ ก็อาจหมายถึงจ๊ะคนเดียวสามารถก่อกระแสความเปลี่ยนแปลงกับผู้คนในหลักหมื่น…
“ถึงตรงนั้นจ๊ะอาจอยากทำประโยชน์มากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
และหันมาเห็นว่าระบบสังคมประชาธิปไตยในไทยเรามีกลไกรองรับผู้ต้องการทำประโยชน์ในวงกว้างถึงขีดสุดอยู่
นั่นคือเปิดโอกาสให้กระโดดเข้ามาเล่นการเมือง เสนอตัวเป็นนักปกครอง
นักวางแผนพัฒนาประเทศแทนคนทั้งชาติ
ซึ่งคราวนี้ตัวตนของจ๊ะจะไม่กระทบแค่คนกลุ่มพันกลุ่มหมื่น
แต่จะยกขึ้นสู่ขอบเขตประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน…
“คิดง่ายๆ
ถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสช่วยผู้หญิงถูกข่มขืนให้รอดปลอดภัยสักคน
เราคงเก็บไปภูมิใจอีกนาน แต่หากเรามีอิทธิพลได้ถึงขนาดทำให้ชายโฉดทั้งหลายหายไปจากประเทศล่ะ
ความน่าภูมิใจจะยิ่งต่างไปขนาดไหน? กลไกอำนาจรัฐที่มารองรับไอเดียดีๆ
ทั้งในด้านปรับพื้นจิตใจคนในชาติ และทั้งในด้านการลงโทษที่น่ากลัวพอ
ย่อมบันดาลความเป็นไปได้ให้เกิดขึ้นทั้งนั้น เราจะสนุกกับการตั้งเป้าหมายดีๆ
และใช้อำนาจรัฐกับพลังความคิดสร้างสรรค์เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น”
ลานดาวรับฟังด้วยตาตื่น
ปกติฟังนักการเมืองพูดจะไม่ค่อยเข้าหู ถ้อยคำหยั่งลงไม่ถึงจิตถึงใจ
อาจเป็นเพราะถูกปลูกฝังให้มองนักการเมืองในแง่ร้ายมาแต่เด็ก เห็นเป็นเสือ สิงห์
กระทิง แรดที่เอาแต่โกหกมดเท็จปั้นน้ำเป็นตัวไปวันๆ
หลายปีที่ผ่านมาถ้าจะฟังการเมืองบ้าง
ก็คือวันถ่ายทอดสดจากรัฐสภา และจำเพาะเจาะจงดูลีลาอภิปรายของ สรณะ กรีธาพล คนเดียว
แม้บางทีฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนัก
ก็ติดตามด้วยความประทับใจมาดเข้มแบบพระเอกเก่าของเขาเป็นหลัก ภาพเสียงและวาจาของเขาคมคาย
ชัดเจน เข้าใจง่าย ฟังแล้วอยากพยักหน้าคล้อยตามเสมอ
มาวันนี้เมื่อได้คุยกับเขาเป็นการเฉพาะ
ก็บังเกิดแรงบันดาลใจทางการเมืองขึ้นอย่างประหลาด
อาจเพราะรู้สึกว่ากำลังได้สัมผัสกับบุคคลซึ่งเป็น ‘ของจริง’
ที่กระโดดออกมาจากความฝันก็ได้
“อำนาจไม่ใช่เป้าใหญ่ของพี่ณะใช่ไหมคะ? การใช้อำนาจต่างหากที่ใช่ พอบอกได้ไหมว่าเป้าใหญ่ในชีวิตของพี่ณะคืออะไร?”
“ที่ผ่านมารัฐบาลมักเน้นกันว่าต้องทำธุรกิจอย่างไรเศรษฐกิจจะดีขึ้น
นั่นเป็นสิ่งที่พี่ต้องพูดถึงเพื่อหาเสียงเหมือนกัน แต่วันหนึ่งพี่จะบอกเพิ่ม
ว่าทำบุญท่าไหนถึงจะรวยจริงทั้งเงินและความสุข
คือพี่อยากก่อกระแสใหม่ให้คนคำนวณเวลาเป็นบุญเป็นกุศลกันเสียบ้าง
สรุปให้ง่ายที่สุด พี่จะไม่หยุดการปกครองอยู่แค่ระดับประชาธิปไตย
แต่จะพยายามไปให้ถึงระดับธรรมาธิปไตยด้วย!”
เขาขยายฝันและอุดมการณ์หมดเปลือก
จนตาสวยของลานดาวเปิดกว้างอย่างพลอยร่วมกระตือรือร้นตาม
หาคำพูดที่ควรพูดเพื่อแสดงว่าหล่อนเชียร์เขาสุดใจ
“จ๊ะไม่เคยรู้สึกถึงตัวตนความเป็นนักปกครองที่แท้จริงเหมือนอย่างนี้มาก่อนเลย”
“นักการเมืองในอุดมคติยังมีเยอะ
เท่าที่พี่เห็นกับตา บางคนเหมือนเกิดมาเพื่อถูกวางไว้ในตำแหน่งเฉพาะ
ทำงานปิดทองหลังพระป้องกันไม่ให้ชาติวิบัติด้วยน้ำมือคนโง่และขี้โลภทั้งหลาย
แต่งานการเมืองก็เหมือนหมักหมมคราบสกปรกมายาวนาน คนไม่รู้จักเกม ไม่ทันเกม
หรือมัวห่วงความสะอาดสะอ้านไร้ยองใย อย่างไรก็ต้องถูกปาดกระเดือกทิ้งจากระบบ
ต่อให้ประชาชนหนุนหลังแค่ไหนก็อยู่ไม่รอด หรือจอดเสียก่อนจะไปถึงยอดสุดของระบบ”
“พี่ณะมีครบทุกอย่างที่จะไปถึงตรงนั้น
จ๊ะเชื่อพี่ณะ”
ลานดาวพูดแบบยิ้มๆประจบ
ยิ่งคุยนานยิ่งยำเกรงอำนาจในตัวสรณะมากขึ้นทุกที
“ไม่ง่าย แล้วก็ไม่ใช่นอนมาอย่างนั้นหรอก”
นักการเมืองหนุ่มทำหน้าเหนื่อยหน่ายนิดๆ
หาได้ลำพองกับถ้อยคำแสดงความปักใจนิยมและเชื่อมั่นในตัวเขาแม้แต่น้อย
เหตุเพราะเห็นตามจริงว่าต้องฝ่าฟันหอกดาบอีกหลายร้อยเล่ม
และปีนป่ายกำแพงเหล็กอีกหลายพันชั้น
“พี่เพิ่งทำงานการเมืองมาไม่กี่ปี
ทุกวันนี้รู้สึกเลยว่าตัวเองเหนื่อย และไม่เหนียวทนทายาดอย่างที่คิด
บางบทบาทคล้ายเห็นตัวเองแกล้งทำอะไรก็ไม่รู้ ต่อให้เกลียดใครสักคนเข้าไส้
ก็ต้องทนยืนยิ้มเจรจากับมันเป็นนานสองนาน หรือรู้ความชั่วร้ายอย่างระยำของใคร
แต่ยังกอดคอเป็นพวกเดียวกันกะมัน
แถมบางทีต้องช่วยพูดให้มันดูดีขึ้นจนเราต้องรับส่วนเลวของมันจนเหม็นตามไปด้วย
หรือบางทีไม่เห็นด้วยกับนโยบายอันเป็นมติของพรรคพวก
แต่ก็ต้องกัดฟันแถลงข้อดีให้ประชาชนฟังเป็นคุ้งเป็นแควเหมือนเราคิดเอง
พอใจพูดด้วยตัวเอง”
พอจบประโยคก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“อ้าว!… ตายล่ะ! เพลินไปหน่อย
เผลอนึกว่ากำลังระบายความในใจกับคนในครอบครัว ขอโทษนะ…
คำพูดเมื่อกี้ห้ามแพร่งพรายล่ะ แล้วอย่ารวมไว้ในหนังสือจ๊ะเด็ดขาด”
เขาทำหน้าทำตาขึงขัง
ทว่าแฝงยิ้มแนบเนียนด้วยลีลาของดาราเก่า นั่นทำให้ลานดาวรู้ว่าเป็นลูกเล่นหยอดมุขบอกอ้อมๆว่าเขาไว้ใจหล่อนขนาดไหน
เพียงด้วยการคุยกันครั้งแรกก็ยอมคายความลับที่อาจเป็นภัยกับตนในภายหลังหากหล่อนนำไปโพนทะนา
ลานดาวรีบรับคำอย่างแข็งขันกลั้วหัวเราะ
“ค่ะ! จะฟังและเก็บไว้ในความทรงจำส่วนตัวเท่านั้น
จ๊ะให้สัญญา”
สรณะยิ้มให้ลานดาว
“ปีนี้อายุ ๒๒ ใช่ไหม?”
“ค่ะ”
หญิงสาวยิ้มตอบ
คิดในใจว่าเจ้านายใหม่ช่างดีเหลือเกิน
รู้ทุกอย่างหมดโดยหล่อนไม่ต้องให้ข้อมูลอะไรทั้งสิ้น
“อีกสามปีจ๊ะมีสิทธิ์สมัครผู้แทน
ระหว่างนี้เตรียมๆดูใจไปแล้วกันว่าพอจะสนุกกับการเมืองได้ไหม?”
ลานดาวสั่นศีรษะทันที
“ขอเป็นฝ่ายเชียร์พี่ณะดีกว่าค่ะ
จะให้จ๊ะช่วยตระเวนหาเสียงให้พี่ยังไหว แต่ลงเล่นเองนี่ขอตัว
ชาตินี้จะไม่มีใครเห็นจ๊ะยืนในสภาเด็ดขาด”
สรณะหัวเราะเบาๆ
“อย่าเพิ่งลั่นวาจาเป็นเด็ดเป็นขาดอย่างนั้น
วันหนึ่งอาจเปลี่ยนใจก็ได้ วังวนของอำนาจมันมีแรงดึงดูดที่เกินต้าน
พี่มองแล้วว่าจ๊ะจะมีฐานอำนาจใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อายุแค่นี้ยังอย่างนี้
พอเริ่มเป็นผู้อาวุโส ธรรมชาติจะส่งขึ้นไปยืนระดับใหม่เอง”
ลานดาวหัวเราะบ้าง
“ขอทนยืนน้ำลายไหลอยู่กับระดับเดิมนี่แหละค่ะ
ยิ่งวันจ๊ะยิ่งอยากทำตัวจ๋องจริงๆนะคะ นึกภาพตัวเองเป็นนักการเมืองไม่ออก
ทั้งซีกรัฐและซีกค้าน”
“ทำไมถึงคิดว่าอยู่ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้?”
หญิงสาวเริ่มเคยชินกับการถามหาเหตุผลให้แต่ละความเชื่อ
เพราะอาชีพที่ทำอยู่บังคับให้มองสิ่งต่างๆอย่างละเอียดรอบด้านด้วยความเป็นกลางเสมอ
“ความฝันของพี่ณะต้องการซูเปอร์แมนมาทำให้เป็นจริง
จ๊ะอยากให้มีคนๆนั้น แต่ก็ตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่
พ่อจ๊ะเคยบอกว่าการเมืองไทยอำนาจอยู่ที่เงิน
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือลูกพรรคต้องมีเงิน
ถึงจะมีกำลังใจช่วยกันแบกหัวหน้าพรรคขึ้นนั่งเก้าอี้นายก ถ้านายกหาเงินไม่เก่ง
อย่างน้อยก็ต้องสร้างภาพสุจริต แล้วเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ปล่อยให้ลูกพรรคทุจริตกันตามสบาย แต่ถ้านายกหาเงินเก่ง
ก็หลีกเลี่ยงข่าวผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ ขืนเห็นแก่ประชาชนมากกว่าลูกพรรค
ก็จะไม่มีใครช่วยรักษาเก้าอี้ไว้ได้นาน
ความจริงนี้ทำให้จ๊ะเห็นว่าจะเชื่อบาปบุญคุณโทษแค่ไหน
คนคิดเป็นนายกก็ต้องกล้าทำอะไรบางอย่างเพื่อเงินเสมอ
และเป็นผลในทางตรงหรือทางอ้อมให้ต้องทนยอมรับการมีคนรักกับคนเกลียดคละกันทั่วทั้งแผ่นดินด้วย…
สำหรับจ๊ะ จ๊ะอยากโตขึ้นโดยไม่ถูกบังคับให้กัดฟันยอมรับว่าเงินคือฐานอำนาจ”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าอยู่ฝ่ายค้านไม่ได้?”
“ก็… ถ้าคิดในแง่ของกรรม มันเหมือนถูกบังคับให้ทำกรรมอีกชนิดหนึ่ง
คือต้องมองทุกการกระทำของคนอื่นเป็นสิ่งผิดพลาดไปหมด
จะมองหรือพูดยกย่องว่าเขาดีไม่ได้
ต้องปลูกฝังความจงเกลียดจงชังให้ลึกเข้าไส้ถ้าอยากได้เป็นรัฐบาลบ้าง
จ๊ะคงฝืนใจตายเลย ยิ่งก่อนถึงฤดูเลือกตั้งต้องเข้าป้อมต่อสายตรงกับกลุ่มทุนที่หวังผลประโยชน์ภายหลัง
ขอให้ส่งเสบียงกรังไว้สู้ศึก แค่คิดก็แหยงแย่แล้วค่ะ”
สรณะขมวดคิ้วยิ้ม
“ไหนว่าไม่ชอบการเมือง ทำไมเห็นอะไรชัดนัก?”
“จำๆเขามาทั้งนั้นแหละค่ะ
ถ้าให้ลงรายละเอียดก็บอกไม่ถูกหรอก”
“อือม์! ความจริงไม่เล่นการเมืองก็ดีเหมือนกัน
จ๊ะจะได้สะอาดเหมือนผ้าขาว…”
เขายั้งคำไว้แค่นั้น ไม่ต่อประโยคเต็มๆที่เหลือคือ
‘เอาไว้คอยโบกพัดให้ความเย็นรื่นกับพี่’
“ทีนี้มาคุยกันเรื่องรายการโทรทัศน์หน่อย”
สรณะกล่าวพลางขยับตัวเป็นงานเป็นการ พลอยทำให้ลานดาวยืดหลังตรงสนใจฟังตาม
“เกมโชว์ที่ผ่านๆมาส่วนใหญ่ดัดแปลงหรือเอาของเก่ามาปรุงให้เร้าใจกว่าเก่าด้วยรูปแบบที่มีสีสันแปลกตาไป
รวมทั้งการพยายามดึงผู้ดำเนินรายการที่มีลีลาดึงดูดผู้ชมเข้ามาแทนหน้าเก่าๆ
หรือไม่ก็ล่อใจผู้เล่นและผู้ชมด้วยเงินรางวัลก้อนโตมากๆ…
“หนึ่งปีที่ผ่านมาพี่เกิดความคิดอยากสร้างรายการใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
เกมไม่จำเป็นต้องเป็นแบบที่นีโอเทรนด์ถนัด
คือไม่ต้องสนุกสนานเฮฮาแฝงสาระอย่างที่เคยๆ แต่อาจมีความกดดัน ความตึงเครียด
และความเร้าใจให้เต้นระทึกได้แรงๆเสียบ้าง…
“รูปแบบเกมใหม่ที่พี่คิดขึ้นนี้
จะเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ ความกดดัน ความตื่นเต้น
รวมทั้งชัยชนะเข้าถึงจิตถึงใจคนดูตรงๆ
ยิ่งกว่านั้นพี่จะผลิตสินค้าจำลองเครื่องเล่นในรายการขึ้นมาวางขายตามท้องตลาด
ซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของสมองคนเล่นได้มากด้วย”
ลานดาวกะพริบตาปริบๆ
เดาไม่ถูกเอาเลยว่าเขากำลังพูดถึงเกมชนิดไหน หรือจะเป็นไปได้อย่างไร
“แค่ฟังก็ระทึกตามแล้วค่ะ”
หล่อนเผยความรู้สึกอย่างจะเร่งให้เขาพูดต่อเมื่อเห็นพักนานคล้ายยั่วให้อยากรู้
“รายการนี้พิธีกรจะเป็นองค์ประกอบแวดล้อมที่สำคัญ
คือต้องมีพลังพอจะตรึงคนดูให้อยู่กับความเข้มข้นของบรรยากาศ
รวมทั้งเชื่อว่าตัวรายการไม่ใช่ของเก๊
นี่เป็นรายการแรกในรอบสองปีที่พี่จะเข้ามาเป็นพิธีกรด้วยตัวเองอีกครั้ง
เดิมทีกะจะทำคนเดียว แต่เมื่อเห็นจ๊ะ ก็คิดใหม่ว่าควรมีพิธีกรผู้ช่วยอีกคน”
ลานดาวลืมความอยากรู้รายละเอียดของรายการไปชั่วคราว
บังเกิดความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงเมื่อทราบว่าจะมีโอกาสยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสรณะ
เกือบหลุดปากว่าดีใจจังค่ะ แต่เปลี่ยนเป็นพนมมือไหว้แทน
“ขอบพระคุณสำหรับเกียรติที่มอบให้จ๊ะนะคะ”
บิ๊กบอสแห่งนีโอเทรนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ไม่ตอบอะไร
แต่ลุกเดินไปยกหูโทรศัพท์ต่อสายภายในถึงใครคนหนึ่ง
“คุณสมคิด
เตรียมเครื่องให้พร้อมนะ ผมกำลังจะพาน้องจ๊ะไปสาธิตการทำงานเดี๋ยวนี้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น