หลังจากสนทนาสารพัดข้อจิปาถะอีกครู่ใหญ่
อุปการะก็ขอให้ลานดาวกลับ เพราะมีนัดกับแขกสำคัญรายหนึ่ง
ทีแรกลานดาวค่อนข้างแปลกใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินอาจารย์เรียกใครว่า
‘แขกสำคัญ’ สักที แต่แล้วเมื่อกราบลาอาจารย์เดินออกจากตัวบ้าน
มาถึงโรงรถก็ได้ทราบว่าวีไอพีของอาจารย์คือใคร
“เฮ้!
โจ๊ก!”
เห็นเขาแต่ไกล
ไม่พบกันนาน หน้าตาท่าทางนนทกานต์เปลี่ยนไปมาก
ชายหนุ่มเดินยิ้มเข้ามาหาและโบกมือทักทายเพื่อนเก่า
“ว่าไง!
จ๊ะ”
“โอ้โห!
อาจารย์บอกว่ามีนัดกับแขกสำคัญ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ”
ชายหนุ่มเบิกตาเล็กน้อย
เมื่อทราบว่าอุปการะยกย่องตนเป็นคนสำคัญก็มีท่าทีภาคภูมิใจ
“อาจารย์ประชดด้วยการกลับดำให้เป็นขาวมั้ง
ช่วงหลังนี้โจ๊กมารบกวนท่านบ่อย”
“จ๊ะว่าอาจารย์ไม่พูดเล่นหรอก
เพิ่งเอ่ยปากไล่แขกกระจอกอย่างจ๊ะกลับ บอกว่าต้องเตรียมต้อนรับแขกสำคัญ กำลังจะน้อยใจอยู่ทีเดียวนะเนี่ย”
แล้วหล่อนก็ทำตาวาว“หลายเดือนก่อนพี่เอินเล่าให้ฟังว่าเจอเธอที่นี่
ยังบอกเลยว่าหน้าตาอิ่มบุญขึ้น จ๊ะไม่นึกว่าจะเข้าขั้นผ่องใสราวกับพระอย่างนี้
เอ๊ะ! หรือว่า…”
ด้วยความเป็นคนมีสังหรณ์แม่น
ทำให้ลานดาวค่อนข้างมั่นใจที่จะทัก
“เธอกำลังจะบวช?”
นนทกานต์กะพริบตาสองสามทีแล้วเบนหน้าไปทางอื่น
“จ๊ะสบายดีหรือ?”
“ก็เรื่อยๆ
ถ้าวัดกันแล้ว จ๊ะคงสุขได้ซักแค่ครึ่งเดียวของโจ๊กมั้ง”
หญิงสาวหมายความตามนั้น
เดี๋ยวนี้หล่อนชั่งน้ำหนักความสุขเก่ง
นนทกานต์ผ่อนลมหายใจแช่มช้าสม่ำเสมอเยี่ยงผู้ที่หายใจเป็น
และมีความสุขอยู่กับลมหายใจของตนเองตลอดเวลา
“ตอนนี้จ๊ะดังระดับประเทศแล้ว
ก็น่าจะมีความสุขระดับประเทศนี่
มาบอกว่าสุขแค่ครึ่งหนึ่งของคนต๊อกต๋อยอย่างโจ๊กได้ยังไง”
ลานดาวหัวเราะ
มองเพื่อนหนุ่มด้วยความรักสนิทลึกซึ้ง
“โจ๊กคะ
จ๊ะอยากขอบคุณโจ๊กมานานแล้ว”
หล่อนพนมมือไหว้เพื่อนชายวัยเดียวกันด้วยใจระลึกถึงบุญคุณจากก้นบึ้ง
ประกอบกับความอ่อนน้อมที่ฝึกเป็นนิสัยในระยะหลังจนสามารถไหว้ใครก็ได้
ส่วนนนทกานต์เมื่อเห็นแล้วงุนงงจนรับไหว้ไม่ถูก
“เรื่องอะไรกัน?”
ริมฝีปากหญิงสาวคลี่ออกเป็นยิ้มเย็น
หล่อนผินหน้าชำเลืองแลไปรอบด้านที่ปรากฏเป็นตึกรามบ้านช่องกลางแสงอาทิตย์ พลางเอ่ย
“เดี๋ยวนี้จ๊ะเห็นโลกต่างไป
เหมือนเรากำลังยืนอยู่ในเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่ทุกคนและทุกสิ่งเป็นองค์ประกอบละครกรรมวิบากของกันและกัน
กรรมเป็นใหญ่ เป็นประธานในการสร้างเหตุการณ์สารพัด แม้ปราศจากเมฆฝน
ฟ้าก็ผ่าลงมาตรงที่จ๊ะยืนได้เดี๋ยวนี้ถ้ามีกรรมอันสมควรให้โดน”
นนทกานต์หัวเราะมองฟ้า
“เอาล่ะซี
พูดซะเราหนาวๆร้อนๆเลยเนี่ย”
“ถ้าไม่มีโจ๊ก
จ๊ะก็คงไม่ได้มาพบกับอาจารย์ การมีอาจารย์ที่สามารถชี้ทางถูกทางชอบให้เราได้ ก็คือรุ่งอรุณของความเจริญ
ข้างหน้าจะได้ดีมีสุขก็เพราะประกอบกรรมอันเป็นกุศลอย่างถูกต้อง
ชีวิตนี้ถือว่าจ๊ะติดหนี้โจ๊กครั้งหนึ่งแล้วนะ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
ส่ายหน้าเล็กน้อย
“เราพาจ๊ะไปพบอาจารย์คราวนั้นก็ด้วยเจตนาแอบแฝง
คือแค่หวังควงจ๊ะเที่ยวก็หาอุบายล่อใจด้วยการพาไปดูหมอ
ไม่ใช่เจตนาพาไปพบกับทางสว่างแต่อย่างใดเลย เพราะฉะนั้นขออย่าได้ถือเป็นบุญคุณอะไร
โจ๊กมีแต่ต้องขอแสดงความยินดีกับการเลือกเดินอยู่บนทางมงคลของจ๊ะเท่านั้น”
ลานดาวยิ้มหวาน
“เอาเป็นว่าจ๊ะขอขอบคุณโจ๊กสุดหัวใจนะคะ…
ว่าแต่ถามจริงๆ โจ๊กกำลังตั้งใจจะบวชหรือ?”
เพื่อนหนุ่มกระแอมเล็กน้อย
ก่อนใช้ภาษากายตอบด้วยการพยักหน้ารับเหมือนไม่ใคร่เต็มใจเอ่ยผ่านปากผ่านคำเท่าใดนัก
“อนุโมทนาค่ะ”
หล่อนยกมือไหว้ท่วมศีรษะ
กิริยาที่เจือด้วยการแสดงความเคารพของลานดาวทำเอาชายหนุ่มยืนเก้อๆชอบกล
ไม่ทราบควรโต้ตอบอย่างไรถูกก็อ้อมแอ้ม
“เอ้อ…
ขอบใจ”
“ตั้งใจจะบวชนานแค่ไหน?”
“ก็คง…
ไม่รู้ซี คงบวชไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดบุญในผ้าเหลืองมั้ง”
“นึกแล้วเชียว…
จ๊ะขอไปร่วมงานบวชด้วยคนนะคะ”
คาดหมายว่าฝ่ายนั้นจะรับคำง่ายๆ
ตั้งใจว่าให้เขาบวชไกลแค่ไหน หล่อนติดธุระสำคัญปานใด
ก็จะดั้นด้นติดตามไปในวันบวชให้จงได้โดยไม่เห็นความสำคัญของสิ่งใดอื่น
“อย่าเลย”
เขาปฏิเสธด้วยเสียงสงบ
ทำให้ลานดาวผงะเล็กๆ
“ทำไมล่ะ?”
นนทกานต์ถอนใจ
ก้มหน้าผายมือทั้งสองข้างอย่างจะสารภาพ
“เพิ่งรู้ตัวว่าทุกวันนี้โจ๊กยังทำใจตัดจ๊ะไม่ได้เด็ดขาดเสียที
ทั้งที่เหมือนลืมๆมาตั้งนานแล้ว จ๊ะคงไม่เข้าใจหรอก
เห็นจ๊ะแล้วยังเหมือนถูกเข็มแทงตามเดิม โจ๊กอยากบวชด้วยความรู้สึกสงบนิ่ง
ไม่อยากฟุ้งซ่านซัดส่ายเพราะเจอรูปเสียงของจ๊ะอีก
เราควรทำตัวเหมือนตายจากกันไปเลยดีกว่า”
ลานดาวรับฟังด้วยความเสียใจยิ่งในวูบแรก
แต่แล้วเมื่อหยั่งซึ้งถึงเจตจำนงแน่วแน่ที่จะเป็นภิกษุสงฆ์ผู้บริสุทธิ์
ปราศจากเยื่อใย ปราศจากความอาลัยไยดีในโลกแม้น้อยเท่าน้อย
หล่อนก็เปลี่ยนจากความน้อยใจเป็นเข้าใจได้แทน
ยืนกัดมุมปากล่างข้างหนึ่ง
สำรวจตนเอง เห็นในช่องอกยังถูกบีบคั้นจากแรงแห่งความเศร้าสร้อยอาลัย
แม้เขาก้มหน้ากล่าวคล้ายคนหมดท่า
แต่ทุกถ้อยคำกลับเปล่งออกมาด้วยน้ำหนักสติของคนที่รู้ว่ากำลังทำอะไร ต้องการสิ่งใด
และปฏิเสธคำขอใครๆด้วยเหตุผลส่วนตัวข้อไหน นั่นทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชม
ขณะเดียวกันก็เสียดายที่ชาตินี้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายเดียว
ไม่เคยมีโอกาสช่วยเหลือเกื้อกูลเขาบ้างเลย
และคงไม่แม้กระทั่งจะได้ไปใส่บาตรสักครั้ง…
โอกาสเดียวที่อาจมีบ้าง
คือเมื่อเขาขอบวชอย่างสงบ ไม่อยากพบเจอหล่อนอีก หล่อนก็จะช่วยเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจเสียเดี๋ยวนี้
“ก็ได้ค่ะ
เราจะไม่เห็นหน้ากันอีก ขอให้หลวงพี่ปฏิบัติธรรมโดยปราศจากอุปสรรค
และจงพบพระนิพพานในกาลปัจจุบันด้วยเถิด”
ยกมือไหว้เขาอย่างสวยที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนเบี่ยงกายก้าวเดินด้วยจังหวะที่มั่นคงจากไป
นนทกานต์กลับหลังหันมองตามเพื่อนสาว
เกือบพลั้งปากเรียกรั้งไว้ก่อนเพื่อเอ่ยขอโทษที่อาจทำให้หล่อนขุ่นข้อง
แต่เมื่อเห็นลานดาวเปิดประตูรั้วก้าวผ่านเขตบ้านไปโดยสงบก็ยั้งปาก ทำใจตามวาจาที่ลั่นไว้
ทำตัวเหมือนตายจากกัน…
ภาพลานดาวหันหลังเดินห่างไปเรื่อยๆจนลับตาเป็นสิ่งงดงามละมุน
และควรเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นหล่อนในชาตินี้
ภายในห้องรับแขกของบ้านโหราจารย์ผู้ทรงฤทธิ์
ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เมื่อเห็นผู้อาวุโสนั่งรออยู่ก็พนมมือไหว้
“สวัสดีครับอาจารย์”
“อือ…
สวัสดี ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นล่ะ?”
อุปการะถามทั้งที่รู้ดีอยู่แล้ว
นนทกานต์ฝืนยิ้มแห้งแล้งอย่างจะขอกำลังใจ และเอ่ยตอบแบบเปิดอกไม่อำพราง
เพราะทราบดีว่าต่อให้โกหกเก่งเท่านักจารกรรมระดับโลกก็หลอกอาจารย์ของตนไม่สำเร็จ
“เมื่อกี้ตอนเข้ามาเดินสวนกับจ๊ะ
เพิ่งรู้ตัวว่ายังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่มากครับ”
ผู้เป็นอาจารย์ยิ้มนิดหนึ่ง
“จะบวชอยู่แล้ว
เจอเครื่องทดสอบใจหน่อยเดียวยกธงขาวเลยเหรอะ?”
“เปล่าครับ
แต่… ตอนนี้ผมไม่ทราบจะทำอย่างไร เหมือนคนถูกเข็มแทง สะดุ้งจนเบลอ
ไม่ทราบควรเลือกยาขวดไหน”
อุปการะหัวเราะเอื่อยๆ
“รูปเหมือนเข็มแทงตา
เสียงเหมือนเข็มแทงหู อันนั้นก็จริงอยู่ แต่ใจที่คิดถึงผู้หญิงน่ะ
ไม่เหมือนเข็มแทงตัวเองหรอก มันแค่ออกอาการแด่วดิ้นทุรนทุรายไปเองโดยไม่จำเป็น
ผู้หญิงเขาไปตั้งไกลแล้วยังดิ้นปั้ดๆอยู่นั่น นี่แหละ… ฉันถึงว่าพอความรักโผล่
ความโง่ก็แพลม เห็นจากจิตเลยนะว่าความโง่เป็นเงาตามความรักมาจริงๆ”
นนทกานต์ยังก้มหน้านิ่งด้วยความสลดและเห็นจริง
“ครับ”
“สตรีคือศัตรูของพรหมจรรย์
พระพุทธเจ้าตรัสว่าสำหรับผู้ถือบวช ไม่เจอสตรีเลยดีที่สุด
อันที่จริงฉันไล่เขากลับก่อนเวลานัดกับเธอตั้งครึ่งชั่วโมง
เธอก็ดันมาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเสียนี่!”
ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว
“คงเป็นดวงผมที่ต้องเจอบทพิสูจน์น่ะครับ
อันที่จริงผมลืมๆเลือนๆจ๊ะมาพักใหญ่ ยิ่งพอมาใฝ่ใจคิดเอาดีทางนี้
ก็ยิ่งเหมือนตัดขาดได้หมด ถึงรู้ว่าเขาดัง
ถึงทราบว่าเขาออกรายการทีวีวิทยุไหนๆก็ไม่ติดตาม ไม่สนใจอยากดูเลย…
แต่พอเจอตัวจริงทีเดียว พิษความอาลัยไหลย้อนกลับเข้าหัวใจหมด”
“อย่างนี้แหละ
เป็นธรรมดา คนเราอยากทวนกระแส ตั้งใจทำอะไรดีๆ
จะมีบทพิสูจน์มาลองใจว่าผ่านไหวหรือไม่ไหว
ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วทุกอย่างสำเร็จง่ายดายทันทีโดยไม่มีข้อสอบ
ทุกคนคงผ่านขึ้นสวรรค์และเข้านิพพานกันหมด แต่เพราะเจอข้อสอบแล้วไม่ผ่าน
ถึงมีมนุษย์ที่ตายไปสู่สุคติได้น้อยเต็มทน”
ชายหนุ่มยิ้มซึม
“ครับ
ผมจำได้ดี อาจารย์เคยสอนว่าคนเราเกิดมาเพื่อสอบไล่ไปเรื่อยๆ”
“ถ้าเธอบวชด้วยความตั้งใจปฏิบัติจริงไม่ย่อท้อ
คราวนี้อาจหมายถึงการสอบไล่ครั้งสุดท้าย”
นนทกานต์ได้ยินเช่นนั้นก็ใจชื้นขึ้น
และนึกถึงวันบวชด้วยใจปรีดา แต่อีกทางหนึ่งเหมือนรู้สึกถึงรูโหว่อันเป็นภายใน
ยอมรับกับตนเองด้วยความทรมานใจว่าการพบลานดาววันนี้อาจมีผลให้ฟุ้งซ่านยืดเยื้อขึ้นมาอีก
หล่อนมีรัศมีฉายจับตาจับใจกว่าเดิมหลายเท่า เขาคงเก็บไปฝันอีกนาน
ในที่สุดก็ยอมหมดท่า เอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์ตรงๆโดยไม่เกรงจะถูกหาว่าจนป่านนี้ยังเหมือนไก่อ่อนสอนขัน
“อาจารย์ครับ
ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่น่าไว้ใจเลย
ถ้าคิดถึงจ๊ะขึ้นมาอีกแล้วสลัดเขาออกจากหัวไม่ได้ ควรทำอย่างไรดีครับ
ผมอยากปล่อยวางเขาให้ได้เร็วๆ?”
อุปการะมองลูกศิษย์หนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เธอต้องแม่นหลักปฏิบัติกว่านี้อีกนิดหนึ่ง
ตราบใดยังอยาก ตราบนั้นเธอยังไม่เริ่มปฏิบัติหรอก แม้จะเป็นความ ‘อยากปล่อยวาง’
ก็ตาม”
คำตอบของอาจารย์ทำให้นนทกานต์รู้สึกตัวว่ากำลังทุรนทุราย
หาได้มีเหตุปัจจัยอันถูกต้องให้เกิดความปล่อยวางไม่ พอเห็นอาการดิ้นรนคันอกคันใจชัดโดยไม่เพิ่มอัตราความอยากเข้าไปอีก
จิตก็เหมือนสงบลงราบคาบได้อย่างน่าประหลาด
ได้ข้อสรุปประจักษ์ชัดอีกครั้ง
ความอยากคือต้นเค้า ต้นเงื่อน ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
แม้ความอยากนั้นจะเป็นอยากสงบ อยากปล่อยวาง หรืออยากได้ดีได้เป็นใดๆก็ตาม
ต่อเมื่อหยุดเอาใจไปผสมโรงกับความอยาก เมื่อนั้นจิตจึงสงบลงเอง เลิกกระวนกระวายเอง
ปราศจากทุกข์ไปเอง
ชายหนุ่มถอนใจด้วยความโล่งอกผสมสังเวชตนเอง
“เรื่องตื้นๆแค่นี้ผมยังจับจุดไม่ถูกอยู่เลยนะครับ
โง่เหลือเกิน”
“คนเราไม่ฉลาดเรื่องจิตของตัวเองกันง่ายๆหรอก”
อุปการะปลอบอย่างมีเมตตา “จำไว้เถอะว่าการพยายามปล่อยวางวัตถุหรือบุคคลนอกตัวนั้น
เป็นได้เพียงอาการแกล้งมอง แกล้งคิด ไม่ทำให้วางเฉยจริง ต่อเมื่อดูเข้ามาที่ใจ
เห็นอาการทางใจที่ยื่นออกไปหาเรื่องข้างนอก
แล้วทราบชัดว่าความหลงรักเป็นแค่อาการของจิต ไม่มีอะไรมากกว่ามายาของจิต
ก็จะวางเฉยเสียได้”
นนทกานต์พยักหน้ารับทราบอย่างเต็มตื้น
การรู้เข้ามาภายใน เห็นชัดว่าอาการยื่นออกไป
อาการทะยานอยากแห่งใจนี้เองเป็นต้นตอที่แท้จริงของทุกข์
เมื่อวางเฉยกับอาการทางใจเสียได้ ก็ไม่ต้องดิ้นรนปล่อยวางสรรพสิ่งนอกตัวอีก
เรื่องเหมือนง่ายเท่าเส้นผมบังภูเขา
เรื่องยากคือทำอย่างไรจะเตือนตัวเองให้เห็นเข้ามาเช่นนี้ได้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น
“คิดแล้วชีวิตผมนี่ก็พลิกได้อย่างนึกไม่ถึงเลยนะครับ”
เว้นวรรคหัวเราะเอื่อยอย่างผ่อนคลาย
“เริ่มต้นจากการดูหมอโดยไม่นึกว่าจะเจอคนที่เป็นยิ่งกว่าหมอดู
ตามมาด้วยการช่วยให้ผู้หญิงที่ตัวเองหลงรักเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนโดยไม่ได้ตั้งใจ
สุดท้ายคืออยากได้เคล็ดวิชาพยากรณ์กรรมของอาจารย์
อยากเอาดีเป็นหมอดูกรรมพยากรณ์เพื่อช่วยคนอื่นอย่างอาจารย์บ้าง
ไปๆมาๆพอรู้ซึ้งว่าเคล็ดวิชาพยากรณ์กรรมก็คือเคล็ดวิชาดับทุกข์ของพระพุทธเจ้า
เลยตกลงปลงใจบวชพระซะ นี่ปีก่อนต่อให้เป็นอาจารย์มาทำนายว่าผมจะอยากบวช
ผมยังไม่เชื่อเลยนะครับ”
เขายังจำได้ดีถึงวันที่ขอวิชาจากหมอดูอุปการะแบบกล้าๆกลัวๆ
ด้วยนึกในใจว่าวิชาของท่านอาจลี้ลับเป็นที่ปกปิดหวงแหนยิ่งยวด
ประเภทไปเรียนมาจากเขมรหรือทิเบตซึ่งถ่ายทอดกันแบบหลบๆซ่อนๆตามซอกเขา
และเหมือนศาสตร์ลับทั้งหลายที่มักสาบสูญไปพร้อมกับการตายของผู้สืบทอดที่รู้จริงเพียงหยิบมือเดียว
เพราะกว่าจะคัดตัวผู้สืบทอดได้แต่ละคน ต้องรักและไว้ใจกันจริง
พิสูจน์ความพร้อมเช่นพรสวรรค์ ฝีไม้ลายมือ
ตลอดจนความอดทนแบบที่เห็นในนิยายจีนกำลังภายใน ที่สุดพอไร้ผู้สามารถสืบทอด
วิชาก็มลายเลือนไปจากโลก
แต่ปรากฏว่านอกจากอุปการะจะไม่ปกปิดหวงแหนวิชาแล้ว
ยังมีความกระตือรือร้น สอนเขาเดี๋ยวนั้นโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆอีกด้วย
เริ่มต้นตั้งแต่การให้ความรู้ว่า ‘ผลกรรม’ นั้นปรากฏแสดงอยู่ที่คุณภาพกาย
ปรากฏแสดงอยู่ที่คุณภาพจิต ตลอดจนปรากฏแสดงอยู่ที่สิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์รอบตัว
ดังนั้นถ้าตั้งต้นเอาสติเข้ามาดูกาย เอาสติเข้ามาดูจิต
เอาสติเข้ามารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
ไม่ปล่อยให้ความอยากครอบงำความรู้สึกนึกคิด
ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้สั่งสมความรู้ความเห็นเรื่องกรรมและวิบากเพิ่มขึ้นทีละน้อยไปเอง
การดูกายนั้น
อุปการะสอนเขาให้รู้จักเหตุผลทางกายในวินาทีนี้ เช่นถ้าเหตุคือลมหายใจยาว
ลากเข้าและระบายออกแช่มช้า เนื้อตัวจะสงบไม่กวัดแกว่ง
ระงับความกระสับกระส่ายทั้งปวงได้ และมีไออุ่นเป็นที่สบายพอดี พูดง่ายๆคือธาตุดิน
น้ำ ไฟ ลมจะเกิดสมดุล
เป็นสุขทางกายอยู่ในปัจจุบันด้วยสติรู้การหายใจอย่างถูกต้องเท่านั้น
ส่วนการดูจิต
เขาได้รับการชี้แนะให้เห็นว่าเมื่อกายสงบนิ่งอยู่ในดุลเหมาะ จิตก็จะสงบระงับตาม
และเมื่อจิตสงบระงับไม่กระสับกระส่าย กายก็ยิ่งนิ่งสบายไม่ไหวติงยิ่งๆขึ้น
นี่ก็นับเป็นปรากฏการณ์ทางกรรมและวิบากที่เห็นได้เดี๋ยวนี้
ไม่ต้องรอชาติหน้าหรือปีอื่น
ฝึกอย่างเข้มงวดอยู่ในการควบคุมและประกันความถูกต้องจากอุปการะประมาณ
๔ เดือน ทั้งนั่งสมาธิแบบหลับตา ทั้งกำหนดสติดูเหตุดูผลของกายใจในระหว่างวัน
นนทกานต์ก็เริ่มแยกออกว่าคิดอย่างไรเป็นเหตุให้เกิดกุศลจิต
คิดอย่างไรเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิต
รวมทั้งเริ่มประมาณได้ถูกว่ากุศลก็มีน้ำหนักแตกต่างกันตามเหตุปัจจัยนานา
โดยคร่าวคือยิ่งแช่มชื่นเบิกบานสว่างไสวนานเพียงใด
ก็ยิ่งส่งผลกระทบหนักหน่วงมากขึ้นเพียงนั้น
เริ่มจากคุณภาพของจิตที่คิดอ่านฉับไวและสว่างเป็นสุขมากขึ้นเรื่อยๆ
ไปจนกระทั่งสุขภาพกายที่โปร่งเบาคล่องแคล่วไม่ติดขัดคับข้อง
เมื่อเริ่มดูเหตุดูผลของรูปนามขั้นพื้นฐานเป็น
อุปการะก็เริ่มสอนให้เขาดูกายดูจิตคนอื่นเหมือนกับที่สัมผัสรู้จากกายและจิตตนเอง
นนทกานต์พบด้วยความประหลาดใจว่าใครๆในโลกช่างหมั่นเอาจิตไปแช่อยู่ในหนองน้ำแห่งความเศร้า
หรือเอาจิตไปซุกอยู่ในป่ารกแห่งความเครียด โดยมีเหตุผลเพียงไม่รู้ว่าจะเอาจิตออกมาจากหนองน้ำแห่งความเศร้าหรือป่ารกแห่งความเครียดได้อย่างไรเท่านั้นเอง
เกือบทุกคนในโลกเป็นเหมือนกับที่อาจารย์เขาชี้ให้ดู
คืออยากจะหายทุกข์หายโศก แต่กลับติดใจชอบสร้างเหตุแห่งความทุกข์โศกไม่เลิกรา
แปลกแต่จริง เหลือเชื่อแต่เป็นไปแล้ว และเป็นมานานมากๆเสียด้วย
เมื่อเฝ้าสังเกตเหตุผลของรูปนามในตนและคนอื่นชำนาญขึ้น
จิตของเขาก็เริ่มอยู่ในภาวะอุเบกขาได้เป็นปกติ
เพราะเห็นว่าทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นไปตามเหตุผลที่สมควรอยู่แล้ว
เมื่อเขาทำสมาธิได้นิ่งนานกว่าเคย
อุปการะก็ชี้ให้ดูสิ่งที่เห็นได้ยากขึ้น นั่นคือ ‘ภาพรวมของดวงจิต’
ในแต่ละคนมีน้ำหนักของกุศลหรืออกุศลอ่อนแก่กว่ากันอย่างไร
และความสว่างความมืดอันเป็นปกติในจิตนั่นเอง
ดลให้บุคคลคิดเรื่องดีบ่อยๆหรือเรื่องร้ายบ่อยๆ บันดาลให้เกิดความอบอุ่นใจหรือมีจิตแห้งผาก
ตรงนั้นเองเขาจึงสามารถเห็นคนเป็นสองมิติได้ในเวลาเดียวกัน
คือร่างข้างนอกที่แสดงโครงสร้างกรรมเก่า
กับจิตใจภายในที่กำลังก่อร่างสร้างกรรมใหม่ๆ บางคนสอดคล้องกับของเดิม
แต่ก็มีมากที่ขัดแย้งเป็นคนละเรื่อง เห็นชัดในคนรูปร่างหน้าตาดีๆ แต่มีจิตวิญญาณเหมือนปีศาจ
อุปการะสอนพื้นฐานต่างๆ
เช่นให้เขาสัมผัสว่าคนไหนมีแนวโน้มคิดพูดชั่วๆใส่หูคนอื่นเป็นประจำ
จะเห็นดวงจิตภายในของผู้นั้นปรากฏเป็นร่างหยาบ มืดมน
และเต็มไปด้วยกระแสความวุ่นวาย
สอดคล้องกับภพที่มากด้วยเหตุการณ์วุ่นวายทำร้ายจิตใจกันและกัน แล้วเปรียบเทียบกับคนที่มีแนวโน้มคิดพูดดีๆประโลมคนอื่นให้รู้สึกเย็น
จะเห็นดวงจิตภายในของผู้นั้นปรากฏเป็นร่างละเอียด สว่างไสว และแผ่ความเย็นซ่าน
สอดคล้องกับภพที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิต
จากนั้นอุปการะช่วยป้อนกำลังหนุนให้จิตของเขาตั้งมั่นแน่วนิ่งถึงระดับหนึ่งชั่วคราว
เพียงพอจะรู้เห็นทะลุเข้าไปว่าจิตแบบหนึ่งๆนั้น
เหมือนมีสิ่งแวดล้อมอันเป็นภพเป็นภูมิสมตัวแสดงให้เห็นอยู่แล้ว
ทำนายได้ทันทีว่าถ้าตายเดี๋ยวนั้นจะไปอยู่ไหน หรืออย่างน้อยประมาณถูกว่าช่องชั้นที่สมตัวควรต่ำหรือสูง
ใกล้ชิดหรือห่างไกลมนุษยภูมิเพียงใด
นาทีที่เห็นดังนั้น
นนทกานต์จึงตระหนักว่าภพมนุษย์ไม่ใช่ที่ตั้งของวิญญาณเพียงหนึ่งเดียว
แม้ภาวะความเป็นสัตว์ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็เป็นภพที่ตั้งของวิญญาณนับอนันต์
อัตภาพของแต่ละภพภูมิเป็นเกณฑ์จำแนกกรรมระดับใหญ่สุด
มนุษย์มีความละอายบาปอกุศลเป็นพื้นยืน
มีความกระตือรือร้นในงานกุศลเติมเต็มความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์พร้อม
ส่วนสัตว์ร้ายจะปราศจากความสะดุ้งกลัวหรือสะทกสะท้านกับกรรมชั่วทั้งปวง
ชนิดฆ่าได้โดยไม่กะพริบ มีความเกียจคร้าน ปล่อยใจเหม่อลอย ไม่ยินดีกับความก้าวหน้าในกุศลทั้งปวงเป็นสิ่งหน่วงเหนี่ยวพวกมันไว้ในอบายภูมิ
แม้ในภูมิมนุษย์และภูมิสัตว์เองก็มีการจำแนกกรรมแยกย่อยละเอียดยิบ
วิญญาณมนุษย์บางคนเข้าใกล้สัตว์หรือเลวกว่าสัตว์
ในขณะที่วิญญาณสัตว์บางตัวเข้าใกล้มนุษย์หรือดีกว่ามนุษย์ น้ำหนักของกรรมทางความคิด
การเปล่งเสียงสื่อความ รวมทั้งการกระทำต่างๆนานานั่นเอง
ก่อให้เกิดผลรวมเป็นความโน้มเอียงเข้าใกล้ภาวะความเป็นเช่นใด
จากการเห็นระดับพื้นฐาน
นนทกานต์เริ่มได้แนวทางส่องสำรวจผลกรรมหลักๆเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นประสาคนธรรมดาคนหนึ่ง
ว่าทำกรรมขาวอย่างนั้นหรือกรรมดำอย่างนี้ได้ผลอย่างไร
ทำกรรมขาวระคนกรรมดำจะออกหัวออกก้อยท่าไหน
กระทั่งถึงจุดหนึ่งย้อนกลับมาเห็นชัดว่าตนก็เป็นผู้หนึ่งที่กำลังเล่นเกมแห่งความไม่รู้
เกมแห่งความเสี่ยงผิดเสี่ยงถูก ยากจะพยากรณ์ว่าชาติไหนภพใดจะเคราะห์หามยามร้าย
ก่อกรรมดำอันเป็นเหตุให้ต้องร่วงหล่นลงสู่อบายภูมิเข้าให้บ้าง
เพราะกรรมดำส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องหมายหรือป้ายบอกว่านี่ต้องห้าม
กระทำแล้วจะเกิดความเสื่อม ความตกต่ำ หรือกระทั่งโศกนาฏกรรมทางวิญญาณ
เกิดในภพไหนๆก็มีกิเลสคอยยั่วยุผลักดันให้ทำบาปทำกรรม
นี่สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าถ้ามาดหมายจะเดินทางเกิดตายไปเรื่อยๆ
ก็ไม่ใช่วิสัยเลยที่จะพ้นนรกได้ตลอดรอดฝั่ง
เมื่อตระหนักว่านรกมีจริง
และไม่ใช่เพียงอุปมาอุปไมยเช่นสวรรค์ในอกนรกในใจ
ความหวาดกลัวก็ดลให้นนทกานต์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับกรรมแซงหน้าผู้อื่น
นั่นคือคำถามว่าด้วยกรรมอย่างไรจึงดับกรรมทั้งปวงเสียได้
และคำตอบที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นานนับพันปีมาแล้วก็คือ ‘กรรมไม่ดำไม่ขาว’
หรือปฏิบัติธรรมภาวนาจนจิตใสเหนือความขาวของกุศลและความดำของอกุศล
และวิถีทางของผู้ตั้งใจทำกรรมไม่ดำไม่ขาวก็คือวิถีทางของนักบวชในพุทธศาสนา…
เมื่อตกลงปลงใจแน่นอน
รวมทั้งขออนุญาตพ่อแม่แล้วว่าจะบวช
นนทกานต์ก็ได้รับคำแนะนำจากอุปการะให้ถอนการรู้เห็นกรรมของคนและสัตว์อื่นเสีย
แล้วกลับเข้ามารู้เห็นความไม่เที่ยง ไม่น่าติดใจยินดีของกายใจเขาเอง
ซึ่งเขาก็อุทิศเลือดเนื้อและวิญญาณทั้งหมดให้กับการฝึกรู้ฝึกดูตามแนวที่เรียกว่า
‘สติปัฏฐาน ๔’ นั้นเต็มกำลัง
เขาดำรงชีวิตในอีกแบบหนึ่ง
เห็นโลกและตนเองในอีกมุมมองหนึ่ง
สุขสงบและปราศจากเยื่อใยกระสันอยากประการต่างๆมาระยะหนึ่ง
จนเริ่มชะล่าว่าเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสแล้ว กระทั่งถึงวันนี้เอง
จึงเพิ่งรู้ว่ากามไม่เคยทอดสายตาปรานีใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ประกาศตนอย่างอาจหาญว่าจะพยายามหนีให้พ้นเงื้อมมือเกาะกุมของมัน
นักโทษที่เริ่มวิ่งหนีได้ไกลจะปรากฏเด่นเป็นพิเศษ
และลากเอาผู้คุมขังมาไล่จับกลับด้วยเงื่อนไขพิสดารเกินคาด
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้มาหาอาจารย์ด้วยความตั้งใจดี
นึกว่ามาสู่เขตปลอดภัยจากการติดตามของกาม
กลับกลายเป็นเจอของแข็งสุดยอดเข้าให้ในเขตบ้านอาจารย์นี่เอง!
เดี๋ยวนี้จิตของลานดาวปรากฏเป็นดวงวิญญาณโสภิตอาภาสมร่าง
จึงบาดจิตยิ่งกว่าเดิมหลายขุม
ยิ่งบวกเข้ากับความปฏิพัทธ์เดิมของเขาที่เคยรุนแรงอยู่แต่ก่อน
ตบะบารมีธรรมจึงร่อแร่ว่าจะพังทลาย
กระทั่งมานั่งแสดงอาการหมดท่าให้อาจารย์เห็นในนาทีแรก
แต่ก็ดีเหมือนกัน
ตระหนักเสียแต่เนิ่นๆว่ายังไปไม่ถึงไหนไกล จะได้ไม่ทะนงตนผิดความเป็นจริง
หลงนึกว่าแน่แล้ว แก่กล้าแล้ว เขาพบว่าการภาวนาเพื่อพ้นทุกข์นั้น นอกจากรู้หลัก
นอกจากมีกุญแจสำคัญ นอกจากสั่งสมประสบการณ์มาช้านาน
ยังต้องแม่นในวิธีกำหนดรู้เมื่อเผชิญปัญหาต่างๆอีกด้วย
นนทกานต์สำรวจใจตนเองว่ายังอ้อยอิ่งอาวรณ์ลานดาวอยู่แค่ไหน
เขาพบว่าพอมีบ้าง แต่เหลือน้อยอย่างน่าประหลาดใจ
เพียงเพราะเขาไม่ได้ทุ่มจิตใจผสมโรงเข้ากับความอาลัยหล่อน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอยากขจัดความคิดถึงหล่อนทิ้ง
แค่ยอมรับว่าคิดถึง แล้ววางเฉยเสียได้ว่านั่นแค่อาการหนึ่งของจิต
ก็ไม่มีความกระสับกระส่ายติดตามมามากกว่านั้น คิดเมื่อใดก็รู้และวางเฉยเมื่อนั้น
ไม่ว่ายืดเยื้อกี่ร้อยกี่พันหนก็ตาม
การระลึกถึงลานดาวขณะอยู่ต่อหน้าอุปการะทำให้นนทกานต์อดสงสัยไม่ได้
“อาจารย์ครับ
วิถีชีวิตของจ๊ะเปลี่ยนไปอย่างมากก็ด้วยคำทำนายของอาจารย์ อย่างนี้เอ้อ…
ไม่ถือว่าคำทำนายรบกวนระบบกรรมของจ๊ะหรือครับ?”
“ฉันแค่บอกเขาว่าทำกรรมแล้วต้องรับผลกรรม
อย่างเช่นเขาลวงให้คนอื่นมามีความหวังกับความรักที่เป็นไปไม่ได้
ก็ต้องประสบกับความรักที่เป็นไปไม่ได้คืนเข้าให้บ้าง หากฉันไม่บอก
เขาก็จะไม่อาจโยงเองได้ถูกว่านั่นเป็นการสนองกรรมทันตาในชาติปัจจุบัน
เมื่อผลกรรมแสดงตัวย่อมสูญเปล่า แต่นี่เพราะฉันพูดดักไว้ก่อน เมื่อผลกรรมแสดงตัวเขาถึงเริ่มเชื่อ
และไม่ใช่เชื่อคำพูดของฉัน แต่เชื่อว่าวิบากกรรมมีจริง”
นนทกานต์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
อาจารย์ของเขาทำอาชีพพยากรณ์กรรมโดยไม่ล่วงละเมิดหรือก้าวก่ายกฎแห่งกรรม
ไม่เคยบอกลานดาวตรงๆว่าจงระวังจะไปตกหลุมรักผู้หญิงด้วยกัน
โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอาชีพเป็นหมอ
แต่บอกเป็นนัยเพียงว่ากำลังจะเสวยกรรมที่ไปหลอกคนอื่น และใบ้เพียงลักษณะว่าผมยาว
สูงไล่เลี่ยกัน ซึ่งก็ทำให้ลานดาวไพล่นึกไปว่าเป็นหนุ่มใกล้บ้านเท่านั้น
ชะตาชีวิตของหล่อนไม่ได้พลิกผันไปเพราะมีใครมาสับทางให้แต่อย่างใด
หล่อนเดินมาตามทาง และพยายามเปลี่ยนทางด้วยกำลังใจอันเป็นกุศลของหล่อนเอง
“ขอเพียงรู้กฎแห่งกรรม
ดวงดาวก็ทำอะไรเราไม่ได้เลยใช่ไหมครับ?”
“ก็ทำได้ในแง่ส่งอิทธิพลคุมรูปชะตา
แต่ละคนมาตกอยู่ในร่องชะตาอย่างนั้นอย่างนี้ก็ด้วยกรรมเก่า
ถ้าเราเรียนรู้ว่าเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นแต่ละอย่าง เป็นผลจากกรรมดำประเภทไหน
ก็เพียงเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความเคยชินที่จะก่อกรรมดำนั้นเป็นกรรมขาวขั้วตรงข้าม
ในที่สุดก็เกิดภาวะกรรมชนะกรรมให้เห็นเอง”
นนทกานต์แย้มยิ้มแจ่มแจ้ง
“เข้าใจแล้วครับ”
อุปการะยิ้มตอบ
“ดวงดาวน่ะ
เก็บไว้เป็นของสวยของงามไว้ดูเล่นตอนกลางคืนก็พอแล้ว กรรมเรานี่แหละ
ที่ควรเอาไว้สำรวจดูจริงจังตลอดวันตลอดคืน ว่ากำลังเป็นดำหรือเป็นขาว
เรารู้จักกรรมอันเป็นประโยชน์สูงสุด คือกรรมไม่ดำไม่ขาว เพื่อความสุขในปัจจุบัน
เพื่ออยู่เหนือกรรม เพื่อชนะกรรมทั้งปวง
เพื่อพ้นจากทุกข์ในโลกนี้และโลกอื่นกันแล้วหรือยัง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น