วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๕. มื้ออร่อย)

ตอนที่ ๕. มื้ออร่อย


ลานดาวมาถึงภัตตาคารก่อนเวลานัด ปกติหล่อนจะมีความสุขกับการให้คนอื่นรอ แต่ดูเหมือนคราวนี้คือครั้งแรกกระมังที่หล่อนเริ่มเป็นสุขกับการรอคนอื่นบ้าง

มาวันทามาถึงตรงเวลาพอดี ลานดาวโบกมือให้หยอยๆ นานเหลือเกินแล้วสำหรับครั้งสุดท้ายที่หล่อนดีใจกับการปรากฏตัวของใครบางคน เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่ความรู้สึกเช่นนั้นย้อนกลับมาอีก

“ถึงนานหรือยัง?”

คุณหมอถามเสียงนุ่มขณะลงนั่งด้วยท่วงทีนิ่มนวล น้ำมะนาวตรงหน้าลานดาวที่พร่องลงเกือบหมดบอกได้ว่าอย่างน้อยต้องอยู่นี่ระยะหนึ่งแล้ว

“แป๊บเดียวค่ะ”

ตอบเสร็จก็ยิ้มกริ่ม จับมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง นัยน์ตาทอประกายสุขระริก มาวันทาสานตาตอบด้วยความสนเท่ห์เล็กน้อย ลานดาวดูสวยกว่าตอนกลางวันมาก ทั้งดวงหน้า ทรงผม แววตา และกระทั่งยิ้มพิมพ์ใจ ทุกองค์ประกอบในเครื่องหน้าคล้ายอาบมนต์เสน่ห์อันเต็มไปด้วยพลังสะกดที่แม้เพศเดียวกันยังงวยงง

นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนมีนัดส่วนตัวกับคนไข้ รวมทั้งเป็นนัดแรกกับคนรู้จักทางอินเตอร์เน็ต แต่บอกตนเองว่าเหมือนนัดกับน้องรักที่สนิทชิดเชื้อกันเกินกว่าจะจัดเข้าประเภทคนแปลกหน้า

“สั่งกันเลยไหม?”

“เอาซีคะ”

ต่างเลือกกับข้าวคนละสองจาน พอบริกรรับรายการเดินจากไป ก็หันหน้าเข้าหากันอีก

“ท่าทางพี่เอินคงมีคนไข้จากอินเตอร์เน็ตเยอะ”

“แค่นิดหน่อย ถึงจะคุยถามตอบกันพอใจอย่างไร เขาก็เลือกหมอใกล้บ้านมากกว่า… จ๊ะคงเจอเพื่อนทางเน็ตบ่อยล่ะซี”

ลานดาวย่นหน้า

“เพิ่งมีพี่เอินนี่แหละค่ะที่ได้เจอตัวเป็นๆของจ๊ะ”

“เห็นแจกยิ้มเก่งทั้งในเน็ตและตัวจริง นึกว่าน่าชอบสังสรรค์”

“จ๊ะคบคนยากค่ะ รักใครก็ยาก”

พูดจบสยายยิ้มกว้างขึ้นอีก ฐานที่ถูกชมว่าแจกยิ้มเก่ง

“รักใครยาก แต่คงทำให้ใครมารักเราง่ายมากสินะ”

“บ้องแบ๊วเหมือนตัวการ์ตูนอย่างจ๊ะจะมีใครตาบอดมารักคะ อิจฉาพี่เอินต่างหาก มีพระเอกตัวจริงมาขอแต่งตั้งแต่… เออ… ยังไม่รู้เลย พี่เอินอายุเท่าไหร่เนี่ย”

“ยี่สิบสี่”

“โห! ยังไม่ถึงเบญจเพสเลย ถือว่าแต่งเร็วกว่าเกณฑ์เฉลี่ยนะคะ ของจ๊ะเนี่ย มีหมอดูทำนายว่ากว่าจะเจอตัวจริงก็เกือบสี่สิบแน่ะ”

มาวันทาหัวเราะ

“ใครจะเชื่อ”

“เขาบอกเป็นกรรม หาว่าเราทำอะไรไว้นักหนาก็ไม่รู้… พี่เอินเชื่อเรื่องกรรมไหมคะ?”

“ในขอบเขตหนึ่งเท่าที่รับรู้ได้ก็ต้องเชื่อมั้ง”

“ขอบเขตที่รับรู้ได้มีแค่ไหน?”

“ก่อนอื่นต้องดูนิยามของคำว่า ‘กรรม’ ในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่ากรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ใครทำอะไรบ่อยๆก็กลายเป็น ‘อาจิณณกรรม’ หรือพูดให้ง่ายคือ ‘นิสัย’ คือความเคยชินในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง… ในแง่นี้เราทุกคนต่างก็กำลังเสวยผลจากวิธีคิด วิธีพูด และวิธีลงไม้ลงมือกันทั้งนั้น อย่างถ้าพี่ไม่ตั้งใจเป็นหมอ ไม่พยายามเรียนหมอให้ต่อเนื่องจนเกิดภาวะนิสัยแบบหมอ ก็คงไม่มีสิทธิ์ใส่เสื้อกาวน์ ไม่ได้ช่วยตรวจจ๊ะ แล้วก็จะไม่มานั่งกับจ๊ะอยู่เดี๋ยวนี้”

“แต่ขอบเขตของกรรมที่ไทยเราเชื่อๆกันนี่ ดูเหมือนต้องเกินพรมแดนชีวิตปัจจุบัน ย้อนกลับไปหาอดีตที่เราไม่รู้ และจำไม่ได้นี่คะ กรรมแบบนั้นพี่เอินเชื่อไหม?”

แพทย์สาวนิ่งไปอึดใจ

“เกณฑ์ความเชื่อของแต่ละคนต่างกัน สำหรับพี่ พี่สมัครใจเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรู้เห็น ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่ามีหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้ และหาคำตอบจากหลักฐานทางหูตาไม่ได้ เช่นคนไข้มากรายเจ็บป่วยแบบพิสดารเกินกว่าจะพลิกตำราหาทางวินิจฉัย ก็ต้องโทษให้เป็นเรื่องสุขภาพจิตหรือวิบากกรรมไปพลางๆ เพราะมันเป็นคำตอบที่ง่าย และทุกคนยอมรับว่าซุกอยู่ในซอกมุมมืดของธรรมชาติ ซึ่งยากจะชี้ว่าผิดหรือถูก เชื่อแล้วโง่หรือฉลาด”

“แต่เรื่องกรรมเวร คนที่ตัดสินว่าใครเชื่อก็โง่ทันทีนี่เยอะเหมือนกันนะคะ”

“พี่เคยนั่งนึกนะ ว่ามนุษย์เรามีสักกี่คนที่ฉลาดจริงๆ อย่างคุยว่ายุคเราล้ำสมัย ก้าวออกมาจากยุคหินที่เต็มไปด้วยความงมงายแล้ว หากตรึกตรองตามจริง จะเห็นว่าในจำนวนมนุษย์นับพันล้าน มีเพียงไม่กี่ร้อยคนที่ทรงอิทธิพลขนาดริเริ่มสร้างรถ ประดิษฐ์หลอดไฟ หรือออกแบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ แต่คนส่วนใหญ่พออยู่ยุคไหน ก็มักสำคัญความฉลาดของตัวเองว่าเทียบเท่ากับวิทยาการในยุคนั้น”

ลานดาวเบิกตาโพลง

“จริงด้วยแฮะ”

“เอาง่ายๆ ทุกวันนี้ศาลให้ใช้ดีเอ็นเอเป็นหลักฐานชี้ขาดว่าใครเป็นคนขโมย ใครเป็นฆาตกร ใครเป็นพ่อแม่ลูกกันจริง สังคมก็พลอยเออออยอมรับตาม ทั้งที่มีน้อยคนเข้าใจเรื่องรหัสพันธุกรรม และยิ่งน้อยเท่าน้อยที่รู้จักกระบวนการพิสูจน์ว่าทำกันอย่างไร ผลลัพธ์แม่นยำขนาดไหน รับทราบแต่ว่ามีกลุ่มบุคคลที่ทรงภูมิให้การรับรอง ทั้งนักวิทยาศาสตร์และผู้พิพากษา ก็จำใจเชื่อโดยปราศจากความรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง อย่างนี้ต่างอะไรจากความงมงายของพลโลกในยุคมืด ที่จำต้องรับการตัดสินจากผู้อยู่เหนือกว่า ทั้งพระราชาและพ่อมด”

ฝ่ายรับฟังพยักหน้า ยกมือเท้าคางยิ้ม

“ชักเห็นตามพี่เอินแล้วล่ะ คนส่วนมากเป็นนักเดาผู้ยิ่งใหญ่ ด่วนเชื่อหรือปฏิเสธโดยอาศัยความไม่รู้เป็นฐาน ไม่ใช่เพราะรู้อะไรดี สรุปคือเรื่องกรรมเวรข้ามชาตินี่พี่เอินรู้ตามจริงว่าตัวเองไม่รู้ใช่ไหมคะ จ๊ะจะได้ยึดไว้เป็นแนวมั่ง”

“ก็คงงั้น คนเรามีร่องรอยหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากดีเอ็นเอที่ยอมรับกันทางวิทยาศาสตร์ ก็มีลายมือ ลายเท้า โหงวเฮ้ง สิ่งเหล่านี้บอกชัดว่าคนเราแตกต่าง แต่ใครจะเป็นคนรับประกันว่าอะไรเป็นอะไร หมอดูมีหลายสำนัก แต่ละสำนักมีหลักการผิดแผก สืบถึงรากก็จะเห็นว่าเพราะตั้งข้อสังเกตไว้ต่างมุมมองกัน และนี่ขนาดสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ายังลึกลับซับซ้อนยากจะชี้ถูกชี้ผิด ถ้ายิ่งไปพูดถึงนามธรรมที่จับต้องไม่ได้อย่างกรรมวิบาก ใครจะเก่งขนาดน่าเชื่อถือว่ารู้จริง เช่นต้องประสบผลอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะกระทำเหตุอย่างนี้อย่างนั้น”

ลานดาวพยักหน้าอีก

“อันนี้เจอกับตัวเองเลยค่ะ หมอดูที่จ๊ะเพิ่งไปหา เขาใช้กรรมเป็นเกณฑ์ทำนาย แล้วก็ใส่ไข่ใหญ่ หาว่าเราชอบหลอกชาวบ้าน เร็วๆนี้ต้องรับผล ต้องโดนคนทำให้เจ็บมั่ง ระบุด้วยว่ารูปร่างเป็นอย่างไร อายุเท่าไหร่ ฮะๆ ไร้สาระสิ้นดี เพราะบุคคลในคำทำนายของหมอดูน่ะ… เฮ้อ!… อย่าให้พูดดีกว่า สรุปคือถ้ากรรมวิบากเป็นเรื่องจริง ตาคนนี้ก็ไม่ได้รู้อะไรจริงหรอก!”

มาวันทาเลิกคิ้วเล็กน้อย

“แต่ฟังดูน่าสนใจนะ ใช้กรรมเป็นเกณฑ์ทำนาย ทำยังไงเหรอ?”

“ก็นั่งมองหน้าเราแล้วพูดเลยค่ะ แบบพวกนั่งทางในน่ะ ไอ้เราก็ฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เห็นว่าแม่นนักแม่นหนา ไปๆมาๆน่าจะพวกจิตวิทยาสูงมากกว่าอย่างอื่น”

“หน้าตาเจ้าเล่ห์?”

“ก็…” ลานดาวอ้อมแอ้ม “ดูภายนอกน่าเลื่อมใสอยู่หรอกนะคะ อายุสักสี่สิบเห็นจะได้ พูดจาอย่างกับพระ จ๊ะเกือบก้มลงกราบอยู่รำไร แต่ทายไปทายมาชักอยากวีนใส่แทน”

แวบนึกถึงชาญวิทย์ปั่นจักรยานหัวฟูแล้วโมโหจี๊ดขึ้นมาอีก ค่าที่เหมือนถูกหมิ่นว่าหล่อนจะโดนชายกระจอกหลอกหักอก

“แล้วเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่จ๊ะได้ยินนี่คือยังไง?”

“เพื่อนจ๊ะไปดูมา เห็นทักถูกเกี่ยวกับความในใจ คือเขาอยากรู้ว่าจ๊ะชอบเขาหรือเปล่า นอกจากนั้นยังทายมาถึงจ๊ะถูกว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง หน้าตาหยั่งงี้ทำกรรมอะไรมา แถมพอไปถึง ต้องยืนต่อคิวเสียด้วย คนยืนคิวหน้าเราเล่าให้ฟังว่าทำโทรศัพท์มือถือหาย หมอดูก็สามารถระบุถูกว่าคนเก็บได้เป็นใคร อยู่ที่ไหน นอกจากนั้นยังแผ่เมตตาให้อาอี๊ที่เพิ่งเสีย ช่วยให้พ้นจากความเป็นเปรต เห็นทายแม่นว่าอุปนิสัยอย่างไรจึงส่งไปเกิดเป็นเปรต เสร็จแล้วอาอี๊มาเข้าฝันขอบคุณด้วย”

คำบอกเล่าของลานดาวทำให้สีหน้ามาวันทาเปลี่ยนไป จากที่ฟังเรื่อยๆกลายเป็นสนใจจริงจังกว่าเดิม แม้ขณะนั้นเริ่มมีการลำเลียงอาหารมาวาง ก็คล้ายทั้งคู่ลืมสนิท

“นอกจากคำพยากรณ์ที่จ๊ะเห็นว่าเหลวไหล เขาทักอะไรที่เข้าเค้า หรือเรารู้อยู่แก่ใจว่าแม่นบ้างไหม?”

“ก็มีค่ะ” ลานดาวยอมรับ “เขาบอกถูกว่าจ๊ะเคยพูดกับใครไว้ท่าไหน แต่… แค่พูดผิดอย่างจังคำเดียว ก็ทำให้ศรัทธาทั้งหมดก่อนหน้าล้มละลายหายสูญหมด”

มาวันทาเม้มปาก

“เขาอยู่ที่ไหนบอกพี่หน่อยได้ไหม?”

ลานดาวกะพริบตาปริบๆ แล้วมองอีกฝ่ายหน้าตื่น

“พี่เอินจะดูหมอ?”

แพทย์หญิงผงกศีรษะ เห็นความฉงนของผู้ด้อยอาวุโสแล้วจำต้องเปิดเผยเบื้องหลังความต้องการ

“คุณป้าพี่เพิ่งเสียเมื่อสองเดือนก่อน พี่รักท่านมาก แล้วก็… ถ้าภพชาติมีจริง พี่ค่อนข้างไม่สบายใจ เพราะตอนไปท่านค่อนข้างทุรนทุราย และพึมพำแบบที่ทำให้นึกห่วงจนถึงวันนี้”

“พึมพำว่ายังไงคะ?”

“ร้อน…”

ลานดาวทำตาหยี ถามแบบยิ้มแหย

“คิดว่าหมอดูจะทำนาย หรือช่วยเหลือได้หรือคะ?”

วินาทีนี้ยังนึกชังหมออุปการะอยู่ตงิดๆ เพราะแค้นกับคำที่เหมือนสาปแช่งมากกว่าทำนาย และเมื่อคนเราผูกใจโกรธใคร ก็ยากจะมองกันในแง่ดีหรือเห็นน่าเชื่อถือ ต่อให้ชื่อเสียงกระฉ่อนปานใด ใครๆพากันยกย่องสักแค่ไหนก็ตาม


“ในความไม่รู้ ถ้าพี่จะเลือกเชื่อเกณฑ์ทำนายสักอย่าง ก็น่าจะเป็นเกณฑ์ที่มีเหตุผล มีต้นปลาย ที่ไปที่มา หมอดูของจ๊ะใช้กรรมเป็นเกณฑ์ นั่นน่าฟังกว่าเกณฑ์อื่นเช่นตำแหน่งดาว อีกอย่าง หากเขาเก่งขนาดบอกชื่อที่อยู่คนเก็บของหายถูก ก็เป็นเครดิตว่าเขาน่าจะมีความสามารถล่วงรู้สิ่งที่พวกเราเข้าไม่ถึง อย่างน้อยพี่ก็อยากฟังว่าเขาจะพูดถึงคุณป้าสักนิด”

“ได้ค่ะ… แต่ขออาสาเป็นคนพาพี่เอินไปได้ไหม?”

“ต้องรบกวนจ๊ะขนาดนั้นเลยหรือ แค่บอกที่อยู่ให้พี่ก็พอมั้ง”

“อยากพาไปนี่คะ รังเกียจเหรอ?”

“เปล่า… ถ้าได้อย่างนั้นต้องขอบคุณมากๆด้วยซ้ำ”

หล่อนกล่าวจากใจจริง แม้ลานดาวเริ่มแสดงท่าทีชัดว่าอยากสนิทชนิดไปไหนมาไหนด้วย มาวันทาก็ปราศจากความขัดข้อง ตรงข้าม หล่อนเองก็อยากได้ลานดาวเป็นเพื่อนเที่ยวยามห่างจากสามี คนเราถ้าเข้ากันดี เริ่มคบวันแรกก็เป็นสุขจนรู้ว่าใช่แล้ว

“ทีแรกที่แปลกใจเพราะนึกว่าพวกแพทย์จะหลีกห่างจากการดูโชคชะตาราศีและการทำนายทายทักที่ขาดเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์เสียอีก”

“แสดงว่าไม่ค่อยรู้จักหมอ เพื่อนๆพี่น่ะ บางคนขนาดเอาตัวเองเข้าศึกษาจนช่ำชองทีเดียวนะ หมอมีความรู้ความจำมากกว่าคนทั่วไป มีทักษะความสามารถรักษาโรค แต่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่อยากรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรกับตนเองในวันหน้าเหมือนกัน”

“จริงนะคะ… งั้นถ้าไม่นับวิธีพยากรณ์ด้วยการนั่งทางในส่องกรรม พี่เอินพอจะยอมรับเกณฑ์ทำนายชะตาแบบไหนบ้าง?”

มาวันทาส่ายหน้า

“พี่เจอหมอดูมาน้อยเกินกว่าจะตัดสินว่าเกณฑ์พยากรณ์แบบไหนแม่นมากแม่นน้อย แค่พอรู้คร่าวๆว่าโหราศาสตร์หมายถึงการพยากรณ์โดยอาศัยตำแหน่งดาวเป็นเกณฑ์ นอกจากนั้นก็มีทั้งดูไพ่ นับเลข จิปาถะจำไม่ไหว แต่ละหลักการพยายามโยงเราเข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอก จะมีใกล้ตัวหน่อยก็ลายมือลายเท้า เป็นสมบัติที่ปรากฏชัดในเราเองและเห็นง่ายว่าปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าบังคับให้เลือกเชื่อ พี่จะเอาแบบที่ปรากฏร่องรอยในร่างกายเรามากกว่าอย่างอื่น… อย่างกรุ๊ปเลือดนี่ก็มีคนเก็บสถิติไว้นะว่าสัมพันธ์กับนิสัยใจคอ พอบอกอุปนิสัยพื้นฐานของคนเราได้จากกรุ๊ปเลือด”

“อะฮ้า! มีงี้ด้วย?”

“มี… สำหรับคนช่างสังเกต ก็เอารายละเอียดในคนเรามาใช้ทำนายทายทักได้ทั้งนั้นแหละ ความเป็นตัวเราปรากฏอยู่ทุกอณู นับแต่หนังกำพร้าไปจนถึงเลือดทุกหยด พวกมันเหมือนเบาะแสบอกความเป็นเราในทางใดทางหนึ่งเสมอ อาจจะอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต”

“ที่ไม่มีวิชาทำนายกระดูก ก็คงเพราะคนยังไม่นิยมแงะออกมาดูกันนะคะ”

มาวันทาหัวเราะ

“ใครจะรู้ ถ้าอีกหน่อยเอกซเรย์กันง่ายเหมือนเอาแว่นขยายส่อง ก็อาจมีคนริเริ่มเก็บสถิติ ตั้งตนเป็นบิดาแห่งอัฐิศาสตร์แข่งกับหัตถศาสตร์กัน” แล้วก็มองจานกับข้าวเหมือนเพิ่งนึกได้ “ทานเถอะ”

ทั้งสองเริ่มลงมือรับประทาน แต่ลานดาวยังติดใจถามต่อเมื่อปากว่าง

“พี่เอินบอกได้ไหม อย่างจ๊ะนี่น่าจะเข้าข่ายเลือดกรุ๊ปอะไร?”

มาวันทาเงยหน้ามองอีกฝ่าย ทบทวนความจำประเภทรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามเป็นครู่ ก่อนจะตอบว่า

“กรุ๊ปบี”

“อุ๊ย!” ลานดาวทำตาตะลึง “ใช่จริงๆด้วย อะไรเป็นตัวบอกคะ?”

“ก็จากสถิติที่เขารวบรวมไว้กว้างๆน่ะ จ๊ะในสายตาของพี่เผอิญอยู่ในข่ายของคนกรุ๊ปบี ก็ทายไปตามตำรา ใช่ว่าพี่ใช้สังหรณ์พิเศษอะไร ก่อนทายก็เตรียมใจไว้ด้วยซ้ำว่าอาจผิด เพราะกรุ๊ปเลือดนั้นบอกได้เพียงนิสัยขั้นพื้นฐาน”

“คนกรุ๊ปบีเป็นยังไง?”

ถามราวกับไม่รู้จักตนเอง

“หัวเราะง่าย ร่าเริง กล้าพูด กล้าทำ ใช้ชีวิตตามความพอใจของตัวเอง ไม่กลัวใคร มีสายตามุ่งชัดกับสิ่งที่ต้องการ แล้วก็ท่าทาง…”

มาวันทาลังเลเลือกคำ ลานดาวเห็นก็ยักคิ้วหลิ่วตา ชิงเฉลยเสียเอง

“จะบอกว่าจ๊ะเจ้าชู้ใช่ไหม? พูดเถอะ รับได้”

แพทย์หญิงหัวเราะเก้อๆ บอกตนเองว่าแม่คนนี้ท่าทางอ่านใจคนเก่ง และนั่นเป็นอาวุธสำคัญในการเอาชนะ ครองใจทั้งศัตรูและมิตรได้

“แล้วพี่เอินล่ะคะ เลือดกรุ๊ปอะไร?”

“โอ”

ลานดาวประสานแขนวางบนโต๊ะ แทบเลิกสนใจข้าวปลา

“ตัวพี่เอินตรงกับตำราว่าด้วยเลือดกรุ๊ปโอไหมคะ?”

“ก็…”

เอ่ยเอื้อนแค่นั้นแล้วยิ้มมุมปากหน่อยๆ ตักแกงใส่ถ้วยเฉย

“แปลว่าตรง… ให้จ๊ะทายนะ”

ยิ้มกว้างเหลือบตาไปทางซ้าย สองนิ้วเคาะโต๊ะในท่าตริตรองเรียบเรียงคำ

“เยือกเย็น ปรานี สุขุม ใช้สมองมากกว่าหัวใจ ชอบมีชีวิตบนฐานที่ให้ความรู้สึกมั่นคง โอบอ้อมอารี มีความจริงใจและจริงจังกับคนรักสูง หากเป็นหมอก็จะมีใครต่อใครรัก… และสำคัญคือเป็นแรงบันดาลใจ แรงบันดาลสุขให้กับคนเลือดกรุ๊ปบียิ่งนัก”

มาวันทาหัวเราะนิ่มๆ

“อย่าเว่อร์น่า…”

“บอกสิว่าตำราไม่ได้ทายไว้อย่างนี้”

ฝ่ายถูกทายยิ้มเบะเล็กๆ ก้มหน้าตักแกงใส่ปากเฉย ลานดาวเมียงมองคนเลือดกรุ๊ปโอครู่หนึ่ง ก่อนจิ้มไก่ห่อใบเตยเข้าปากเคี้ยวหยับๆ แล้วยื่นหน้าพูดทั้งอมตุ้ย

“ไก่ชะตาขาดร้านนี้อร่อยดีนะคะ!”

มาวันทาเงยหน้ามองคนทำตลกแวบหนึ่งแล้วเบือนไปหัวเราะออกจมูก ลานดาวแกะใบเตย ช้อนใส่จานผู้นั่งตรงข้าม

“ลองสักชิ้นสิ”

“ขอบใจ”

สองสาวสานตากันด้วยประกายยิ้มสนิทและเริงรมย์

“ผู้หญิงเราดูดวงก็เรื่องคู่กันมากที่สุด บรรดาหมอดูที่เคยทายพี่เอินนี่มีใครแม่นบ้างไหม? เช่นจะเจอเนื้อคู่สูงต่ำดำขาวอย่างไร อายุเท่าไหร่”

“จำไม่ได้แฮะ อาจมีใครบังเอิญทายตรงแล้วพี่ลืมเสียสนิท”

“งั้นมีเหตุการณ์ชวนให้เชื่อไหมว่าเป็นบุพเพสันนิวาส หรืออย่างน้อยเอาความรู้สึกส่วนลึกก็ได้ ว่าคนนี้ใช่เลย เราเคยคุ้นฉันคู่ผัวตัวเมียกับเขามาก่อน?”

“ก็คงเหมือนพี่คุ้นกับจ๊ะมั้ง พี่เชื่อว่าอธิบายเป็นเหตุเป็นผลได้ คนเราหากมีวิธีคิด วิธีพูด และนิสัยใจคอคล้ายกัน ก็ต้องถูกใจ และมีบรรยากาศของคนกันเองเมื่อพบปะเสวนา”

“สารภาพนะคะ จ๊ะอ่านบรรดานิทานหลอกหนุ่มสาวทั้งหลาย เห็นคำบรรยายหวานซึ้งในฉากรักแรกพบแล้วอยากเจอแบบนั้นบ้าง เกิดมาไม่เคย จนบางทีเหมือนตัวเองเป็นจอมเจ้าชู้ แจกตาหาปิ๊งบ่อยๆ”

แล้วลานดาวก็ยักคิ้วและหลิ่วตาอวดเป็นตัวอย่าง ก่อนถาม

“กับแฟนพี่เอิน พบกันครั้งแรกมีปรากฏการณ์พิเศษเกิดขึ้นแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปบ้างไหมคะ?”

“คงเพราะจ๊ะไปเค้นความรู้สึกมากเกินมั้ง สำหรับพี่ ตอนเจอเขาครั้งแรกก็ประหม่า สบตาแล้ววูบไหวอยู่บ้าง แต่ไม่ขนาดมีฝนตกฟ้าร้อง หรือบังเอิญมีใครเชิดสิงโตตีปี๊บประกอบฉากหรอก”

“มองหน้าพี่เอินแล้วเหมือนได้ยินเสียงดนตรี ตอนเจอแฟนน่าจะมีเสียงดนตรีประกอบ”

มาวันทาอมยิ้ม

“เผอิญมีจริงๆเสียด้วย พี่เจอเขาในห้องซ้อมละคร ช่วงนั้นมีคนขอแรงพี่ให้ช่วยเล่นฟลุตคู่กับเขา เป็นรายการหนึ่งของกิจกรรมหารายได้เพื่อการกุศลของมหาวิทยาลัย ตอนเดินเข้าไป เขากำลังเล่นเปียโนอยู่พอดี”

“เพลงอะไร?”

Goodbye Girl”

“โอ๋ยโหย…”

ลานดาวทำคออ่อนหัวเราะ

“ตอนแรกพี่ก็ไม่รู้ชื่อเพลงหรอก พอถามเขาก็อ้ำอึ้ง ทำเป็นเฉไฉพูดเรื่องอื่น คบกันแล้วพักหนึ่งถึงเฉลย”

“ฮ่ะๆ แสดงว่านับแต่วินาทีแรกที่เห็นพี่เอิน เขาก็คิดยังไงๆเดี๋ยวนั้น คงกลัวถ้าบอกแล้วจะเสียความรู้สึก… อันที่จริงถ้าใช่ Goodbye Girl ของเดวิด เกตส์ ก็ไม่เห็นเป็นไร ฟังแค่ทำนองเพราะๆ ไม่ต้องสนชื่อเพลง ก็เป็นแรกพบที่โรแมนติกมากเลย เพราะเนื้อหาที่แท้ไม่ใช่การบอกลาถาวรสักหน่อย”

“นั่นสิ”

“เรียนปีเดียวกันหรือเปล่าคะ?”

“ตอนนั้นพี่เพิ่งเป็นเฟรชชี่ แต่เขาเรียนปีสุดท้ายแล้ว”

“ถ้าเป็นนักบิน ตอนมหา’ลัยน่าจะเรียนอะไรประมาณวิศวะ?”

“ใช่”

“ชื่ออะไรคะ?”

“อ๋อง”

ลัดธีร์เป็นจุดอ่อนนุ่ม อบอุ่น และหวานไหวในหัวใจเสมอ มีความสุขรินๆเมื่อคุยถึงเขา และลานดาวก็เสมือนเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัวมาแสนนาน นั่นทำให้มาวันทาอยากแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันเร็วๆ

“คงเท่น่าดูล่ะ ชนะใจขอเคียงข้างพี่เอินได้ต้องหล่อแน่ จบวิศวะต้องฉลาด เป็นนักบินต้องทักษะดี แถมเล่นดนตรีระดับออกงานกุศลด้วย คงละมุนได้ที่ล่ะ ว้าว! เทพบุตรแหงแซะ”

มาวันทาส่ายหน้า

“ธรรมดานะ กระเดียดไปข้างขี้เหร่เสียอีกถ้าเทียบกับภาพลักษณ์ของเทพบุตร ช่วงแรกที่รู้จักจะออกแนวลงพุง หน้ากางเหมือนแป๊ะยิ้มด้วยซ้ำ”

“รู้น่า… จะหาใครสมบูรณ์แบบเป็นเทพบุตรสุดหล่อสำเร็จรูป พร้อมทั้งเก่ง พร้อมทั้งแสนดีได้ จ๊ะยอมรับว่าทุกวันนี้ยังเลือกที่จะชอบใครเพราะหลงรูปอยู่ แต่อีกเดี๋ยวคงเปลี่ยนไป เพราะเจอหล่อลากดินจนเบื่อ บางทียังเร้าใจสู้หน้าจืดๆไม่ได้เลย ถ้าหากจ๊ะจะมีใครเป็นตัวจริง จ๊ะจะมาให้พี่เอินช่วยเลือกนะคะ”

“คงมีตัวเลือกจนน่ากลุ้มเลยสินะเรา”

ลานดาวปรายตามองน้ำพุกลางร้านที่กำลังส่งเสียงจั้กๆไม่ขาดสาย เหม่อลงเล็กน้อยขณะกล่าวตอบ

“ถ้าไม่มีใครถูกใจจริงสักคน จะต่างอะไรกับการไม่มีตัวเลือกอยู่เลย…”

ปลายเสียงแผ่วนั้นส่องให้เห็นความเหงาในส่วนลึกแจ่มชัด

“วันหนึ่งจ๊ะจะเจอ”

สำเนียงปลอบโยนของมาวันทาทำให้ลานดาวรู้สึกตัว และปรุงหน้าตากับสุ้มเสียงให้แจ่มใสขึ้น

“ก็หวังอย่างนั้นแหละค่ะ แต่ถ้าเป็นอย่างคำสาปแช่งของหมอดู ที่ให้จ๊ะรอถึงเกือบสี่สิบ คงชักดิ้นชักงอขาดใจตายเสียก่อน… ว่าแต่พี่เอินเป็นหมออายุแค่นี้ ทำไมอยู่กรุงเทพฯได้ล่ะคะ ไม่ต้องออกไปทำงานโรงพยาบาลต่างจังหวัดสองสามปีก่อนหรือ?”

“พี่เรียนอายุรกรรมต่อน่ะ”

ลานดาวมารู้ภายหลังว่าแพทย์จบใหม่จะเรียนต่อสาขานี้ได้ต้องเก่งเข้าตาอาจารย์จริงๆ กับทั้งต้องทำงานหนักและตื่นเช้าเป็นประจำ

“ตอนอยู่ในห้องตรวจ พี่เอินเหมือนหมอที่ขยัน แล้วก็เอางานเอาการ ต่างจากตอนนี้นะคะ ต้องบอกว่าเป็นนักดนตรีอารมณ์ดีถึงจะเชื่อ”

“อารมณ์ดีเพราะอยู่กับจ๊ะมั้ง”

ลานดาวยิ้มดีใจที่คุณหมอคนสวยพูดถึงตน

“พี่เอินชอบฟลุตนี่จ๊าบดีนะคะ เครื่องดนตรีนางเอกจริงๆเลย”

“พี่ชอบพวกเครื่องเป่ามาตั้งแต่เด็ก แม่สอนเป่าใบไม้ ก็นึกรักเสียงที่เกิดจากลมมาก เคยทำด้วยตัวเองเลยนะ ฟลุตเนี่ย ทั้งจากไม้ไผ่ จากท่อพลาสติก นั่งเจาะรูขมักเขม้นเป็นวันๆจนแม่เห็นเอาจริง เลยซื้อฟลุตเงินให้ แล้วส่งเรียนจริงจัง”

“เท่าที่รู้จัก คนเล่นฟลุตจะรักสงบกันมาก ดูพี่เอินแล้วก็ใช่เลย คงเพราะเล่นฟลุตมาแต่เด็กนี่เอง จริงไหมคะ?”

“การเล่นฟลุตสอนให้เราจดจ่อลมหายใจในแบบที่สามารถยุติความวุ่นวายทางจิตได้สนิท มันเป็นการทำสมาธิอย่างวิเศษทางหนึ่ง เครียดจากงานขนาดไหนก็สลายหมด ยิ่งชำนาญก็จะยิ่งมีลมหายใจยาวขึ้น ช่วยเสริมสุขภาพกายให้แข็งแรงเป็นเงาตามไปด้วย และนั่นก็ทำให้พี่ติดฟลุตทำนองเดียวกับพวกสิงห์อมควันติดบุหรี่ วันไหนเลิกเป็นหมอ ก็คงอยากหากินด้วยการเป่าฟลุตนี่แหละ”

ลานดาวตาเป็นประกาย

“อยากฟังจริงจริ๊ง”

มาวันทาชั่งใจเพียงวินาทีเดียวก่อนชวน

“ทานข้าวเสร็จแล้วไปบ้านพี่ไหมล่ะ?”

“ทำไมจะไม่เอา!”

ลานดาวรีบทำตาโตตอบ แล้วยิ้มแก้มแทบปริ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น