วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๑๗. ชาติใหม่ )

ตอนที่ ๑๗. ชาติใหม่


รุ่งเช้า…

มาวันทาปลุกลานดาวตั้งแต่ฟ้ายังมืด และชวนไปหาอาหารคาวหวานใส่บาตร โดยบอกว่าหลังผ่านเรื่องร้ายก็อยากทำบุญร่วมกันให้จิตมีความสว่างชดเชยกับจิตที่มืดมนอนธการมาเป็นอาทิตย์ ทำบุญเสร็จแล้วพูดจาอโหสิให้แก่กันย่อมเชื่อมสัมพันธภาพให้กลับแน่นแฟ้นดังเดิมได้เร็ว และประการสำคัญคือหล่อนอยากทำบุญอุทิศให้กับวิญญาณที่มากวักมือชวนให้โดดลงไปอยู่กับเขาด้วย

ไม่มีความจำเป็นต้องไปสืบหาให้วุ่นวายว่าเคยมีบ๋อยโรงแรมกระโดดตึกฆ่าตัวตายหรือไม่ ในเมื่อเขามาเยี่ยมในฝันเกือบทั้งคืน!

แพทย์สาวไม่ใช่คนฝันร้ายง่ายๆ เพราะตั้งแต่เด็กแทบไม่เคยคิดร้ายกับใคร แต่นิทราคราวนี้เห็นตัวเองดิ่งลิ่วๆลงจากตึกไปกระแทกพื้น กระแทกเสร็จก็กลับขึ้นมายืนมองพื้นใหม่ ฝันร้ายทะมึนมืดนั้นเต็มไปด้วยคาวเลือดกับความเจ็บปวดกายใจ และเที่ยวนี้หล่อนไม่เห็นใครมายืนกวักมือเรียกจากเบื้องล่างอีกต่อไป เพราะเขาคนนั้นทะลึ่งขึ้นมายืนยิ้มแสยะอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจให้หล่อนโดดซ้ำโดดซากถึงบนหน้ามุขเลยทีเดียว!

นึกขอบคุณลานดาวที่เข้ามาห้ามไว้ทัน ถ้าภาระหลังฆ่าตัวตายคือการวนเวียนอยู่กับการฆ่าตัวตายไม่รู้จบ ก็คงยิ่งทารุณทรมานยืดเยื้อกว่าฝันร้ายอย่างยากจะคำนวณเปรียบ เพราะแม้ฝันร้ายดูจริงจังยาวนานปานใด แค่ไม่กี่อึดใจก็พ้นแล้ว แต่การเป็นวิญญาณบาปที่หมดสิทธิ์ ‘รู้สึกตัวตื่น’ นี่สิ ต้องชดใช้เวรกันช้านานกี่วันกี่ปีมนุษย์ก็ไม่อาจทราบ ตัวอย่างสภาพจิตในฝันร้ายบอกหล่อนว่าสำนึกคิดอ่านแบบที่จะทำให้เกิดสตินั้นบอดสนิท มีแต่วนเวียนฆ่าตัวตายด้วยจิตที่ซมเศร้าคล้ายเล่นวิดีโอสยดสยองซ้ำซาก ขาดเหตุขาดผลว่าปลิดชีพตนเองทำไม กระโดดลงไปแล้วได้อะไรขึ้นมา

มาวันทาจำหน้าเสี้ยมที่มีเลือดไหลออกปากออกจมูกได้ถนัด เกิดมาไม่เคยจดจำใบหน้าในฝันแม่นยำชัดเจนขนาดนั้นมาก่อน นึกถึงทีไรยังขนลุกเกรียวไปทั้งแผ่นหลังด้วยสังหรณ์ว่าจิตตนกับจิตเขายังสื่อกันอยู่ได้ตลอด หลังจากใส่บาตรทำบุญจึงตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้แบบจิตสื่อถึงจิต แล้วบังเกิดความเชื่อว่าบุญน่าจะไปถึง เพราะตั้งแต่นาทีนั้นค่อยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเหมือนกระทุ้งสิ่งอุดตันภายในออกได้ เลิกขนลุกขนชันแม้เมื่อลองตั้งความคิดเพ่งถึงเขาอย่างแรง

ตอนลานดาวอาบน้ำ หล่อนแอบไปยืนพูดดังๆกับอากาศบนหน้ามุข

“ขอให้เธอไปดีนะ ขอบใจที่ทำให้ฉันเห็นสภาพที่จะเกิดขึ้นหลังการฆ่าตัวตาย กลับกรุงเทพฯฉันจะทำสังฆทานกับวัดดีแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้เธออีกครั้ง”

ไม่ขนลุก ไม่สัมผัสอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีลมรำเพยแสดงอาการร่วมรับรู้ มาวันทารู้สึกแต่อากาศว่างโหวง จึงสรุปกับตัวเองว่าเขาคงไปแล้ว ดีเหมือนกันที่เจออะไรอย่างนี้ ภพภูมิกับการตายแล้วเกิดใหม่ได้กลายเป็นความจริงที่ใกล้ตัว และรับรู้ผ่านประสบการณ์ตรงมากขึ้น

บนเส้นทางกลับกรุงเทพฯ มาวันทาเป็นคนอาสาขับเพราะเรี่ยวแรงลานดาวยังไม่เข้าที่นัก ช่วงแรกลานดาวเอนเบาะครึ่งนั่งครึ่งนอน พยายามเป่าขลุ่ยทำเสียงเอื้อนเลียนแบบมาวันทา แต่พักเดียวก็เบื่อ เนื่องจากเป่าเท่าไหร่ก็ไม่เพราะพริ้งลึกซึ้งกินใจเหมือนที่ฟังมาวันทาเป่าเมื่อคืน จึงเสียบเลาขลุ่ยไว้กับซองหลังเบาะคนขับ แล้วเลื่อนสวิตช์ไฟฟ้าดึงพนักขึ้นตั้ง ตาชำเลืองมองตัวเลขบอกความเร็ว เห็นพี่สาวขับช้าไม่ทันใจก็กระแนะกระแหน

“พี่เอินนี่สงสัยเคยแต่ขี่เกวียน พอหันมาขับรถเข้าบ้าง เห็นเร็วนิดเร็วหน่อยเลยกลัวจัด”

มาวันทาปรายตาไปทางจอมซิ่งแวบหนึ่ง

“คืบก็ถนน ศอกก็ถนน เธอไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เรากำลังวิ่งเร็วขนาดไหน จนกว่าจะมีเหตุฉุกเฉินให้ต้องหยุดกะทันหัน”

“เนี่ยนะเร็ว?… กดๆหน่อยสิคะ วิ่งเข้าไปได้ยังไงร้อยเดียว ช้าเป็นเต่าเลยอ้ะ”

“ถุงลมนิรภัยดองไว้นาน กลัวไม่คุ้มราคาเลยอยากลองใช้นักใช่ไหม?”

“หวาย!… ไม่ใช่เสียหน่อย คันเก่าเค้าเคยลองมาแล้วล่ะ ระเบิดปุ้งใส่หน้า ตกใจแทบตาย แค่เข้าไปช่วยเจิมตูดรถป้ายแดงหน่อยเดียว”

มาวันทาอดหัวเราะไม่ได้ ขณะนั้นเองลานดาวก็นิ่วหน้า งอตัวกุมท้องคราง

“โอย…”

“เป็นอะไร?”

“ปวดสมอง… ปวดท้อง… ปวดหัวใจ”

“สมไหมล่ะ ทำเก่งอดข้าวอีกสิ เดี๋ยวคราวหน้าคงได้ปวดไปถึงเม็ดเลือด”

ลานดาวหัวเราะร่วน เปลี่ยนเรื่องพูดทั้งยังเอามือคลำท้องป้อย

“หลังทำบุญใส่บาตรพระเช้านี้จ๊ะรู้สึกเหมือนเป็นโจรกลับใจ หรือเหมือนคนสารเลวที่กลับเนื้อกลับตัวเป็นมนุษย์มนากับเขาได้ เหมือนเกิดใหม่ เป็นชาติใหม่เลยล่ะพี่เอิน”

มาวันทาลดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่งในอาการเมินน้ำคำน้อง

“พี่จะคอยดูว่านางโจรจะเล่นบทนางเอกได้กี่น้ำ”

ตอบเรื่อยเปื่อยเหมือนสักแต่แสดงอาการรับทราบเท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะน้ำเสียงหล่อนเคลือบกังวลมากไปหน่อย ลานดาวจึงเอนศีรษะอิงต้นแขนเหมือนลูกแมวขี้ประจบและอ้อนด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“จ๊ะสำนึกแล้วจริงๆนะคะ เกิดความซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่พี่เอินเป่าขลุ่ยให้ฟัง กระแสเสียงเหมือนพยายามบอกว่าพี่เอินรักและแคร์จ๊ะมากกว่าใครทั้งหมดในโลก แต่พี่เอินก็เศร้าที่ไม่สามารถทำให้จ๊ะเห็นใจจริงของพี่เอิน… ต่อไปจ๊ะจะพยายามตอบแทนความรักความไยดีของพี่เอินบ้าง”

“อือ… แค่ต่อไปไม่ตบตีพี่ก็นับเป็นบุญพอล่ะมั้ง”

“โห่!… เอาอะไรมาพูดคะ อย่างจ๊ะน่ะหรือคิดตบตีพี่เอิน?”

แล้วปลายเสียงท้ายประโยคก็แผ่วลงกะทันหัน เพราะนึกขึ้นได้ว่าคืนที่มาวันทาไม่ยอมรับบทสวาทในห้องรับแขก ทำให้หล่อนเดือดดาลถึงขีดหนึ่ง เกิดความคิดวูบวาบอยากทุบตีพี่สาวให้น่วม เดชะบุญเกิดสติยั้งมือทันแค่ชั่วขณะสำนึกฉิวเฉียด

“อย่าว่าแต่ตบตีเลย บางทีเห็นจ๊ะจ้องถมึงทึงแล้ว พี่ว่าจ๊ะฆ่าพี่ได้ด้วยซ้ำ”

ลานดาวหน้าม่อย

“ราคะนี่ทำให้เราเป็นบ้าหลุดโลกได้หลายแบบจริงๆนะคะ”

มาวันทาพยักหน้า

“โลกหมุนด้วยพลังบาปมากกว่าพลังบุญก็เพราะราคะเป็นแม่ทัพ”

“จ๊ะสัญญาค่ะ สัญญาเป็นครั้งที่ร้อยว่าจะไม่ทำให้พี่เอินเสียใจเหมือนผ่านๆมาอีกแล้ว… จำได้ไหมที่จ๊ะเคยเล่าให้ฟัง หมอดูอุปการะทำนายว่าจ๊ะจะต้องเจ็บจากรักครั้งแรกเพราะกรรมที่เคยเที่ยวไปหลอกผู้ชายไว้เยอะ พอจ๊ะระลึกได้และยอมรับว่าถูกกรรมเก่าบังคับให้ชอบคนที่ไม่ควรชอบ ก็เหมือนสำนึกไปทีหนึ่งแล้วล่ะ แต่พอใกล้ชิดพี่เอินมากๆเข้าก็ลืมหมด หลงบ้าบอเหมือนไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษได้อีก จ๊ะถึงว่าราคะนี่ทำให้เราเสียสติได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้เคยสำนึกมาขนาดไหนก็ตาม”

แรงสำนึกในลานดาวทำให้มาวันทาใจอ่อน พลอยสำนึกตาม

“พี่เองก็ไม่ดีด้วย รู้ทั้งรู้ว่าเธอคิดยังไง ก็ยังปล่อยให้เกิดความใกล้ชิดเกินเหตุ”

“ต่อไปนี้สบายใจเถอะค่ะ ตอนฟังพี่เอินเป่าขลุ่ยเหมือนสื่อจิตถึงจิต มันเหมือนเมฆหมอกชั่วร้ายสลายตัวไป อธิบายยากนะ แต่เหมือนผุดอีกสำนึกหนึ่งขึ้นมาว่าที่พี่เอินดีกับจ๊ะมาทั้งหมดนั้นเป็นเยื่อใยความรักความห่วงแบบแม่หรือพี่สาว สะอาดเกินกว่าที่เราควรคิดมีสัมพันธ์แบบอกุศล”

ประโยคท้ายเหมือนจะกลืนหายลงไปในลำคอคล้ายรำพึงกับตนเองมากกว่าจะตั้งใจกล่าวให้มาวันทารับรู้ แต่แล้วก็กลับทำเสียงสดใสใหม่

“ชักอยากเป็นคนดี อยากทำสมาธิแบบพี่เอินบ้างแล้วล่ะ พายุความคิดคนเรา บางทีทำให้รู้สึกเหมือนในหัวมีปลาตัวหนึ่งดิ้นอยู่ตลอดเวลา ดิ้นมากหรือดิ้นน้อยเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรล่อให้มันนอนสงบเสียบ้าง สักวันเราอาจทนไม่ไหว ต้องเผลอสติเต้นงิ้วเหมือนหุ่นกระบอกอาละวาดตามการชักใย ทั้งที่ใจส่วนลึกไม่อยากทำเลย”

มาวันทายิ้มหน่อยๆกับความช่างเปรียบเทียบของลานดาว

“เอาสิ ดีเหมือนกัน หัดทำสมาธิเสียบ้าง ไว้ไปให้อาจารย์อุปการะสอนดีไหม?”

“ไม่ต้องขนาดไปรบกวนแกหรอกค่ะ ให้พี่เอินนี่แหละสอน”

ลานดาวรีบตอบทันควัน แล้วประสานมือรองศีรษะ ตาลอยเล็กน้อยเมื่อนึกถึงหมอดูอุปการะ

“จ๊ะกลัวคำพยากรณ์ของอาจารย์พี่เอินจริงๆแล้วล่ะ คงต้องทำใจยอมรับว่ากว่าจะเจอคู่แท้ ต้องรอจนอายุใกล้สี่สิบ”

“สิ่งที่อาจารย์ทำนายอาจเป็นผลกรรมเก่า… แต่นี่เป็นโลกมนุษย์ ไม่ใช่นรกหรือสวรรค์ที่เราควรงอมืองอเท้ารับผลกรรมอย่างเดียว เรามีสิทธิ์ก่อกรรมได้ด้วย พี่ศรัทธาในการฮึดสู้หรือทัดทานพลังกรรมเก่าด้วยพลังกรรมใหม่ ถ้าสามารถเปลี่ยนเส้นทาง รื้อโครงสร้างแผนผังเดิมด้วยการปรับนิสัยใหม่ กรรมใหม่อาจเร่งรัดให้เธอเจอคู่แท้เร็วกว่านั้น”

มาวันทาให้กำลังใจ

“ฟังง่าย แต่ทำยากนะคะ เปลี่ยนเส้นทาง… ขอแบบที่ง่ายกว่านั้นหน่อยสิ มีไหมที่เราเร่งรัดให้กรรมดีเก่าๆส่งผลทันใจได้?”

แพทย์สาวผู้รอบรู้เรื่องทางศาสนานิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนตอบไม่เต็มเสียงนัก

“ก็มีอยู่นะ เรื่องดึงกรรมเก่ามาให้ผลเร็วๆ แต่ต้องเป็นกรรมดีเก่าๆที่ได้น้ำหนักสมน้ำสมเนื้อกับความปรารถนาด้วย คือท่านให้เปล่งวาจาแบบเต็มปากเต็มคำ อ้างกรรมดีที่ใจรู้อยู่ว่าเราทำมาจริงๆ แล้วขอว่าด้วยสัจจวาจานี้ จงบันดาลให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามต้องการ ถ้าใจเธอนึกถึงกรรมดีที่อ้างอย่างเชื่อมั่นมากพอ ก็อาจลัดคิวการให้ผลของกรรมได้จริง ยิ่งถ้ามีศีลมีสัตย์ เป็นคนพูดคำไหนรักษาคำนั้นมาตลอด ใจก็จะยิ่งหนักแน่นและทำให้สัจจวาจามีอานุภาพสูงขึ้น”

ลานดาวหัวเราะอย่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าสนุก

“ต้องอ้าปากพูดด้วยเหรอ?”

“ถ้าแค่คิดในใจ จิตจะไม่หนักแน่นเท่า”

“พี่เอินเคยลองหรือเปล่า เคยเห็นอานุภาพของสัจจวาจาไหม?”

“ไม่เคย” มาวันทายอมรับ “แต่คนจิตแรงๆแบบเธอทำแล้วอาจเห็นผลทันตาก็ได้”

“งั้นลองดู!”

ลานดาวยิ้มใสยักคิ้วตาวาววาบ แต่พอขยับปากจะลองก็ไม่แน่ใจ

“ขอตัวอย่างสักนิดสิคะ ต้องพูดยังไง พูดไม่เป็น”

มาวันทานึกอยู่อึดใจก่อนให้ตัวอย่าง

“เอาแบบที่พระพุทธเจ้าเคยแนะนำพระองคุลีมาลแล้วกัน เธอคงรู้จักนะ ครั้งเป็นฆราวาสท่านองคุลีมาลเคยฆ่าคนไว้มาก แต่พอพระพุทธเจ้าทำให้ท่านสำนึกผิด กลับใจบวชเป็นพระได้แล้ว ท่านก็ไม่คิดปลงชีวิตแม้สัตว์เล็ก เช้าวันหนึ่งพระองคุลีมาลออกบิณฑบาต ไปพบหญิงท้องแก่ใกล้คลอดกำลังทุรนทุรายเจ็บปวด พอกลับมาทูลเล่าให้พระพุทธเจ้าฟังว่าสงสารหญิงท้องแก่ผู้กำลังเศร้าหมองนั้น พระพุทธเจ้าก็ให้ท่านองคุลีมาลไปกล่าวต่อหน้าหญิงท้องแก่ ว่าตั้งแต่บวช ซึ่งถือว่าเกิดใหม่ในอริยชาติแล้ว ไม่เคยคิดแกล้งปลงชีวิตสัตว์เลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้ความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของน้องหญิงเถิด”

ลานดาวหันมามองพี่สาว เลิกคิ้วสูง

“แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ?”

“ดูเหมือนหญิงท้องแก่คนนั้นจะคลอดสะดวก หรือหายเจ็บปวดอย่างไรนี่แหละ ความจริงยังมีเรื่องการใช้สัจจวาจาในพระไตรปิฎกอีกหลายแห่ง แต่ที่พี่จำได้ชัดๆว่าพระพุทธเจ้าท่านแนะให้ทำด้วยองค์ท่านเองก็มีเรื่องนี้”

“อ้ะ! งั้นจ๊ะลองมั่ง” ฉีกยิ้มจนตาหยีนึกถึงกรรมดีของตนเอง แล้วก็ต้องถามมาวันทาอีก “พี่เอินว่าจ๊ะทำกรรมดีอะไรมั่ง ที่สมน้ำสมเนื้อพอจะส่งให้เจอแฟนดีๆ คบแล้วรู้สึกถูกใจกับเขาสักคน?”

“ก็… ลองที่คิดเลิกเกเรจองเวรกับพี่ เลิกคิดในแง่ชู้สาวกับพี่ ปล่อยให้พี่เป็นอิสระอยู่กับสามีอย่างถูกทำนองคลองธรรม ด้วยความสำนึกผิดอย่างแท้จริง และเหลือแต่สำนึกด้านดีให้ อือม์… อย่างนี้น้ำหนักน่าจะพอได้มั้ง”

“โอเค!” แล้วลานดาวก็เปล่งวาจาเต็มเสียง “กฎแห่งกรรมเจ้าขา จ๊ะบริสุทธิ์ใจเลิกเกเรด้วยความสำนึกผิดอย่างแท้จริง และต่อไปนี้จะกลับตัวกลับใจ คิดทำดีกับพี่เอินให้เท่ากับหรือมากกว่าที่พี่เอินเคยทำดีมากับจ๊ะ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอกำลังใจให้จ๊ะหน่อย ส่งผู้ชายที่โสด หล่อ เก่งกาจเร้าใจมาเป็นแฟนสักคน จ๊ะจะได้ไม่เผลอไปคิดวาบหวามกับพี่เอินอีก… นะคะ”

พูดจบก็เงยหน้ามองฟ้านิ่ง ยิ้มเหมือนรอฟ้าส่งใครลงมาให้ทันทีทันใด แต่ที่พบคือความว่างเปล่าและสีฟ้าจรัสใสเบื้องบนเท่านั้น มาวันทาเหลือบไปมองแวบหนึ่งแล้วอดหัวเราะไม่ได้

“เธอนี่บางทีเหมือนคนสติไม่เต็มบาทยังไงชอบกล อธิษฐานแล้วก็ลืมๆซะเถอะ เหตุปัจจัยในโลกไม่ทำให้เกิดเรื่องบังเอิญขนาดนั้นหรอก มีอย่างที่ไหนขอปุ๊บแล้วได้ปั๊บ เขาต้องรอกันทั้งนั้น อย่าใจร้อนให้มาก”

“อ้าว! เหรอ นึกว่าได้เลย”

แล้วลานดาวก็ลดสายตาลงมามองขนานพื้นปกติ มาวันทายิ้มอ่อนใจ

“ทำเป็นเล่น จะไปได้ผลยังไง”

“ทำท่าเหมือนเล่น แต่ใจคิดจริงๆนี่คะ ไม่ได้เล่นตามอาการข้างนอกหรอก”

ขณะนั้นเอง อยู่ๆลานดาวก็ก้าวก่ายหน้าที่ถือพวงมาลัยรถของอีกฝ่าย ยื่นมือกดแตรปี๊นๆหลายครั้ง

“ทำอะไร?”

“อ๋อ… บีบแตรให้หมาเสียกำลังใจค่ะ เห็นมันตั้งท่าจะข้ามถนน พวกนี้บางทีโง่จัง ไม่รู้รอดมาจนโตได้ไง จู่ๆก็วิ่งพรวดออกมาให้รถชนโป้งดื้อๆ”

“ตัวเมื่อกี้เห็นมันยืนดูอะไรเล่นเฉยๆ ไม่ได้ตั้งท่าจะพุ่งเสียหน่อยนี่”

“ไม่รู้ล่ะ ท่าทางมันกำลังเหม่อไร้สติ กันไว้ดีกว่าแก้ เคยเห็นกับตาค่ะ เหลือเชื่อเลย ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม กระโจนออกจากฝั่งให้รถชนตูมเอาเฉยๆ”

“เหรอ…” แล้วมาวันทาก็ซึมลงนิดหนึ่ง “คงเหมือนพี่เมื่อคืนมั้ง อยู่ๆก็ขาดสติ อยากโดดตึกเสียอย่างนั้น เป็นหมาต่อให้ทุกข์ยังไงคงไม่มีสัญชาตญาณหลบหนีด้วยการฆ่าตัวตายอย่างมนุษย์”

ลานดาวอึ้ง แต่ก็แก้ให้

“จะไปรู้ได้ยังไงคะ จ๊ะว่าหมาที่จ๊ะเห็นต้องวางแผนล่วงหน้าไว้หลายวันแน่ๆ มันโดดแบบไม่ดูซ้ายดูขวาเลยนะพี่เอิน หมาแก่แล้วด้วย อยู่มาจนปูนนั้นเกิดอยากลองสัมผัสกระจังหน้ารถเก๋งกับเขาขึ้นมา… อุ๊ย! พี่เอิน ช่วยจอดหน่อยค่ะ”

มาวันทามองกระจกหลังแล้วค่อยๆชะลอความเร็วลง พอถึงจังหวะก็หักเลี้ยวเข้าซองจอดระหว่างรถอีกคันทางขวามือกับมอเตอร์ไซค์ทางซ้ายใต้ร่มไม้ พอเดาได้ว่าลานดาวต้องการลงเลือกสินค้าพื้นเมืองซึ่งพ่อค้าแม่ขายตั้งเพิงวางเป็นตับทั้งสองฟากถนนอันร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่เรียงแถว

“เดี๋ยวซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากแม่เสียหน่อย จะได้ถูกเอ็ดน้อยๆ”

เมื่อเช้าลานดาวโทร.ทางไกลไปบอกที่บ้านด้วยเสียงสดใสแล้วว่าจะกลับ และทราบจังหวะดีว่าถ้าแม่เห็นจิตใจหล่อนเป็นปกติ ก็จะเริ่มกลับมาตั้งกัณฑ์เทศน์ชุดใหม่ทันที

“จ๊ะลงไปคนเดียวนะ”

“อ้าว! ทำไมล่ะคะ? เผื่อได้ของปลอบใจพี่อ๋อง ที่ต้องเสียเวลาแสนสุขไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืนฟรีๆ”

“พี่จะพักตาหน่อย…”

พูดจบก็เอนศีรษะพิงพนักปิดตาลง ลานดาวเห็นอย่างนั้นเลยเลิกคะยั้นคะยอ

“งั้นเดี๋ยวจ๊ะซื้อของให้พี่อ๋องเองแล้วกัน เป็นการชดใช้เวลาที่เอาพี่เอินมาเป็นของจ๊ะซะหลายชั่วโมง”

มาวันทาโบกมือซ้ายไหวๆเป็นเชิงไล่ ลานดาวจึงลงมาเดินเลือกชมผลิตภัณฑ์พื้นเมืองที่กลุ่มนักขายในหัวหินตั้งดักคนผ่านทาง มีทั้งผลไม้อบน้ำผึ้งเช่นสับปะรด กล้วย กับมะพร้าว ผลิตภัณฑ์ว่านหางจระเข้ ตลอดจนสินค้าพื้นเมือง เช่นของที่ทำจากเปลือกหอย กะลามะพร้าว เครื่องใช้ทำจากป่านศรนารายณ์ และเครื่องจักสานไม้ไผ่

ลานดาวข้ามฝั่งมาดูผ้าโขมพัสตร์ซึ่งพิมพ์ลายพื้นเมืองลวดลายพรายพร้อย ครั้งหนึ่งเคยเป็นเครื่องนุ่งห่มของเจ้านายในสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเท่าที่หล่อนจำได้ ตู้เสื้อผ้าของแม่ยังไม่มีผ้าแบบนี้ เลยตกลงใจเลือกซื้อให้ เพราะถึงแม้อาจถูกแขวนทิ้งไว้เฉยๆไม่ถูกใส่ออกไปไหน อย่างน้อยตอนหล่อนยื่นให้แล้วเห็นสีสันลวดลายของผ้า ก็เดาว่าน่าจะหายเคืองหล่อนชั่วคราว

หลังจากสนุกกับการต่อรองประสาคนรวยที่มีความสามารถหั่นราคาด้วยข้อเสนอแลกเปลี่ยนเป็นการซื้อหลายผืน ลานดาวก็ออกจากร้านผ้าแล้วเยี่ยมชมร้านสินค้าพื้นเมืองร้านโน้นที ร้านนี้ที ใจก็นึกว่าจะหาอะไรไปให้พี่สาวที่กำลังนั่งพักตาอยู่ในรถ ด้วยความเชื่อว่านอกเหนือไปจากการทำบุญร่วมกันเมื่อเช้า ถ้ามีของกำนัลบ้างคงช่วยกลบเกลื่อนอารมณ์ลบได้อีกชั้น ทำนองเดียวกับเล่นเกมสะสมแต้ม ถ้าโดนหักแต้มไปเยอะก็หาทางเพิ่มแต้มเข้าไปใหม่ หากหักกลบลบหนี้เดิมได้ก็ฟื้นคืนเสมออารมณ์เดิม แต่หากเพียรเพิ่มแต้มไม่หยุด เดี๋ยวก็ดีเกินอารมณ์เดิมไปเอง

กำลังเลือกของเพลินๆในบรรยากาศปลอดโปร่งไร้กังวล ลานดาวก็ยินเสียงกระหึ่มน่าพรั่นพรึงอย่างประหลาดของรถบรรทุกคันหนึ่ง ดังขึ้นจากทิศเบื้องหลัง หล่อนขมวดคิ้ว เวียนหัววิ้งด้วยสังหรณ์พิกล ถึงกับดึงให้ค่อยๆเหลียวไปมอง

พร้อมกันนั้น ก็เริ่มมีการประชุมเสียงเอะอะตกใจดังขึ้นจากฝั่งนี้และฝั่งโน้น

“เฮ้ยๆๆ!”

“ว้าย!!”

“หลบ! หลบ!!”

ภาพความโกลาหลฉุกละหุกและส่ำเสียงฟังไม่ได้ศัพท์เกิดขึ้นในพริบตาเดียว ลานดาวใจหายวาบ เพราะรถบรรทุกที่ห้อตะบึงเป็นพายุพัดมาโดยคนขับท่าทางหลับในหรือเมายานั้น แฉลบซ้ายเข้าหาตำแหน่งที่จอดรถของตน ซึ่งมีมาวันทานั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ข้างใน!!

เกิดภาพอันไม่ชวนทัศนาครั้งใหญ่ กะทันหันเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นความจริง คล้ายเห็นตอร์ปิโดพุ่งเข้าปะทะเป้าหมายอย่างจัง รวบเอามอเตอร์ไซค์และรถสองคันที่จอดเคียงกันอัดรวมเข้าเป็นกองเดียวราวกับมือยักษ์ตบปี๊บให้บุบบู้ยู่ยี่ฉับพลัน และดันไปกระแทกต้นไม้ใหญ่รุนแรงขนาดทำให้โงนเงนแล้วหักโค่นลงทันตา เกิดเสียงครืนโครมหลายชั้นหลายซ้อน

แรงต้านของกำแพงวัตถุสองชั้นทำให้ล้อรถบรรทุกเกยย่ำขึ้นบดขยี้รถยุโรปคันแรกบี้แบน เห็นหลังคายุบฮวบ กระจกทุกด้านแตกเปรื่องกระจุยกระจาย กลายเป็นภาพเขย่าขวัญที่สาปให้ทุกคนในละแวกนั้นอ้าปากค้างนิ่งเป็นตุ๊กตาหินไปหมด

พ้นช่วงแห่งความปุบปับรวดเร็วจนดูแทบไม่ทัน ก็คล้ายโลกหมุนช้าลง กาลเวลาแบ่งซอยออกเป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อย ลานดาวได้ยินตัวเองกรีดแหลมสุดแก้วเสียง ทว่ากลับเลือนรางคล้ายแว่วจากอดีตที่ห่างแสนห่าง และมีบางสิ่งขาดหายไป สิ่งที่เรียกว่าสำนึกรับรู้… ทุกอย่างวูบดับลง เหมือนภาพตรงหน้าเป็นกระจกเงาที่สะท้อนภาพวันวาน บัดนี้ถูกทำให้แตกเปรื่องเป็นเศษยิบยับ หลงเหลืออยู่แต่เพียงความทึบบอด ไร้สีสันและส่ำเสียงอันใดปรากฏอีกต่อไป

มาวันทาตกใจกับภาพสั่นประสาทที่เห็นพร้อมกับทุกคนไม่พอ ยังต้องสะดุ้งอีกเป็นคำรบสองกับเสียงหวีดเรียก ‘พี่เอิน!!’ ก้องถนนบาดแก้วหู มันเป็นเสียงแห่งความตระหนกสะท้านรุนแรงที่ไม่เคยได้ยินจากไหนชวนขวัญหายตามเท่านี้มาก่อน

เมื่อสะบัดหน้ามาทางต้นเสียงเรียกชื่อตนนั้น ก็เห็นลานดาวยืนเบิกตาโพลง หน้าขาวซีดเหมือนกระดาษด้วยอาการช็อกสุดขีด ของในมือร่วงหลุดลงพื้น ตัวเกร็งทื่อพักหนึ่งแล้วกลับอ่อนเป็นหยวกทรุดลง โชคยังดีมีชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งรีบเข้ามาช้อนรับไว้ในอ้อมแขนก่อนล้มหัวฟาดพื้น

ขบวนรถที่สัญจรทั้งสองฝั่งพากันเบรกล้อครูดพื้นสนั่น หยุดดูความวินาศสันตโรวุ่นวายกันหมด มาวันทาเป็นห่วงน้องมากกว่าวินาศภัยและไทยมุงที่พุ่งความสนใจมาทางกองเหล็กยับเยิน หล่อนวิ่งข้ามฝั่งไปถึงตัวลานดาวในอึดใจเดียว ขณะนั้นพลเมืองดีผู้เอื้อเฟื้อกำลังกาย ได้ย่อลงนั่งเพื่อใช้ตักและท่อนแขนของตนเป็นแท่นรองพักร่างลานดาวอยู่

“จ๊ะ! พี่อยู่นี่!”

มาวันทาส่งเสียงดังนำมาก่อนถึงตัว แล้วเขย่าร่างที่อยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่มแรงๆ เพื่อปลุกสติเรียก บอกให้รู้ว่าหล่อนไม่เป็นอะไร แต่เปล่าประโยชน์ เพราะลานดาวตกใจถึงขั้นสลบไสล แม้เขย่าเรียกด้วยเสียงอันดังก็ไม่แสดงความรับรู้แต่ประการใด

คนเราชะตาไม่ถึงฆาตเสียอย่าง ก็มีปาฏิหาริย์มาฉุดออกจากปากมรณาวันยังค่ำ อยู่ดีๆแพทย์สาวก็นึกอยากลงเดินเล่นดูของบ้าง เพียงครึ่งนาทีก่อนสิบล้อมหาประลัยจะมาเยี่ยม การณ์เลยกลายเป็นว่าคนฉิวเฉียดมรณะเองไม่เป็นไร แต่คนที่ควรอยู่ดีปลอดภัยกลับทรุดลงเสียได้

“คุณคือพี่เอินที่เธอเรียกเมื่อกี้ใช่ไหมครับ?”

ชายหนุ่มเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงทัก มาวันทาเพิ่งเงยขึ้นมองเขา สะดุดเล็กน้อยกับดวงตาดำใหญ่ทรงอำนาจ

“ค่ะ… ขอบคุณนะคะที่ยื่นมือเข้ามารับน้องสาวดิฉันก่อนล้ม”

“เธอคงหมดสติเพราะตกใจ นึกว่าคุณอยู่ในรถ”

เขาบอกในสิ่งที่หล่อนเดาได้อยู่แล้ว

“เดี๋ยวผมย้ายเธอเข้าที่ร่ม แล้วหายาดมให้ดีกว่า พักเดียวก็คงฟื้น… ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมเป็นหมอ”

“ค่ะ”

มาวันทาเก็บถุงของฝากที่หล่นพื้น ขณะชายหนุ่มผู้อารีอารอบลุกขึ้น พร้อมกับช้อนร่างหญิงสาวผู้ตกอยู่ในห้วงวิสัญญีภาพขึ้นด้วยปลอกแขนแกร่ง เดินตัวปลิวตรงไปยังที่หมายคือใต้ร่มไม้โปร่งไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป มาวันทารีบหาซื้อยาดมยาหม่องจากร้านแถวนั้น แล้วรุดตามไม่ชักช้า ทันกันพอดีกับที่เขาอุ้มร่างไม่ได้สติของลานดาวมาถึงจุดหมาย วางราบลงบนโต๊ะไม้ จับศีรษะตะแคงข้าง กับหยิบปี๊บที่มีคนทิ้งไว้ข้างทางใบหนึ่งมารองเท้าคนเป็นลมยกขึ้นสูง

มาวันทาเปิดจุกยาดมแล้วเอาไปรอจมูกน้อง มือสั่นเล็กน้อยกับเหตุการณ์ระทึก

“รถคุณถูกชนยับทั้งคัน เคราะห์ดีเหลือเกินที่ออกมาเสียก่อน ตอนคุณก้าวลงมาเผอิญผมมองทางนั้นอยู่พอดี”

เขาเหลือบตาไปทางจุดเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเริ่มชุลมุนวุ่นวายกว่าเมื่อครู่ บ้างก็ร่วมแรงงัดประตูรถบรรทุกเพื่อช่วยโชเฟอร์ตีนผี แต่บางคนก็เข้าไปสำรวจรถเก๋งทั้งสองคันด้วยจุดมุ่งหมายต่างๆกัน ขณะนั้นเร็วเกินกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดมาถึง

“รถของน้องน่ะค่ะ เขาเหนื่อยดิฉันเลยช่วยขับให้ ทีแรกก็กะนอนพัก แต่นึกรำคาญ จู่ๆอยากลงมาเดินเล่นก่อนหน้าโดนชนนิดเดียว”

มาวันทาตอบ ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังไปดูสภาพรถ ใจจดจ่อห่วงใยลานดาวเท่านั้น เพราะอาการช็อกน่าจะรุนแรงพอสมควรจึงสลบได้ แถมสภาพร่างกายยังแย่จากการอดอาหาร แม้เขย่าเรียกเป็นระยะ ทายาหม่อง รอยาดมก็ไม่รู้สึกตัว

“ท่าทางน้องสาวจะรักคุณเอินมากนะครับ ถึงตกใจขนาดนี้”

ชายหนุ่มถือวิสาสะเรียกชื่อเล่นหล่อนที่ทราบโดยบังเอิญจากเสียงกรีดเรียกของลานดาว มาวันทาไม่ค่อยอยากโต้ตอบกับเขานัก แต่ก็ประจักษ์ดังเช่นที่เขากล่าว เห็นชัดว่าพิษของความรักและอุปาทานทำให้คนเราขวัญกระเจิงจนสิ้นสติได้ท่าไหน

มาวันทาเงยหน้าขึ้นฝืนยิ้มให้กับชายผู้อ้างตัวว่าเป็นหมอ

“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ อย่างไรก็เชิญตามสบายเถิดค่ะ ดิฉันจะดูแลน้องเอง”

แพทย์หนุ่มยิ้มให้ มีความเป็นมิตรที่อบอุ่นคุ้นเคยราวกับเพื่อนเก่า

“เดี๋ยวคุณเอินอาจต้องวุ่นวายสะสางธุระเรื่องรถ อนุญาตให้ผมอยู่ช่วยดูแลน้องสาวจนฟื้นดีกว่า”

น้ำเสียงของเขานุ่มนวลเสียจนอดเหลือบตาสบไม่ได้ เพิ่งสังเกตเต็มที่ ก็พบว่านัยน์ตา รอยยิ้ม เค้าหน้า กับรูปร่างของเขาช่างบาดความรู้สึกเพศตรงข้ามได้อย่างชะงัด แต่นั่นไม่สำคัญไปกว่ากระแสความอบอุ่น อาทรจริงใจที่มีต่อคนไข้ทุกคนเยี่ยงหมอในอุดมคติ มาวันทาคิดถึงสถานการณ์ของตน ชั่งใจเพียงวินาทีเดียวก็รับการขันอาสาของเขา

“คุณหมอมาคนเดียวหรือคะ?”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นหากไม่เป็นภาระหรือรบกวนคุณหมอจนเกินไป ก็ต้องขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับความมีน้ำใจค่ะ น้องสาวอยู่ในความดูแลของหมอ ดิฉันจะได้อุ่นใจด้วย”

มุมปากข้างหนึ่งของเขาแย้มเล็กน้อย มีความเร้นลับในแววลึกของตาและรอยหยักของยิ้ม

“หมอเอินช่างถ่อมตัวดีจริง ทั้งที่ก็เป็นหมอให้อุ่นใจด้วยตัวเองอยู่แล้ว ผมแค่อยากช่วยดูแลแทนตอนหมอเอินต้องไปจัดการธุระเรื่องรถเท่านั้นแหละ”

มาวันทาฉงนเล็กน้อยที่เขาล่วงรู้ พยายามนึกในใจว่าขณะนี้ตนมีสัญลักษณ์บอกความเป็นแพทย์ที่เป็นรูปธรรมอันใดบนกายก็นึกไม่ออก จะว่าดูบุคลิก ก็ไม่เคยมีใครทายถูกจากรูปร่างหน้าตาเลยว่าหล่อนประกอบอาชีพใด โดยมากมักเดาว่ายังเป็นนักศึกษาเพราะหน้าอ่อน บางทีบอกใครว่าเป็นหมอเคยเจอหาว่าอำด้วยซ้ำ ต้องใส่เสื้อกาวน์นั่งอยู่ในห้องตรวจนั่นแหละ ค่อยหายสงสัยกัน

“รู้ได้ยังไงคะว่าดิฉันเป็นหมอ?”

“สง่าราศีของหมอฉายชัดอยู่แล้วนี่ครับ”

แพทย์สาวพินิจชายหนุ่มตรงหน้าซ้ำ ครั้งนี้มองผ่านใบหน้าอาบเสน่ห์ล่อตา หยั่งลึกเข้าไปในความเป็นเขา แล้วบอกตนเองว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดา

“ดิฉันยังไม่รู้จักชื่อของคุณหมอเลย”

“ผมอมฤตครับ เป็นจิตแพทย์ เรากันเองเถอะ เรียกผมว่าแตรแล้วกัน”

“งั้นขอเรียกพี่แตรนะคะ”

“ครับ… น้องเอิน”

กระแสยิ้มในตาสนิทนิ่ง กับหางเสียงทอดอ่อนยามขานชื่อหล่อน ทำให้มาวันทารีบเอ่ยขอ

“ถ้าไม่รบกวนพี่แตรจนเกินไป เอินขอยืมโทรศัพท์มือถือเรียกสามีมารับจะได้ไหมคะ?”

รอยยิ้มของเขาค่อยๆเลือนลง ทว่ายังคงกล่าวคำด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นปกติ

“เอินอยู่กรุงเทพฯใช่ไหม?”

“ค่ะ”

“ถ้าหากจะโทร.แจ้งให้แฟนทราบก็ดีครับ แต่ไหนๆพี่ก็มาคนเดียวอยู่แล้ว เอินกับน้องสาวติดรถพี่เข้ากรุงเทพฯเถอะนะ ไม่จำเป็นต้องรอแฟนนานเปล่าๆหรอก”

มาวันทายิ้มสดใสและพนมมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่างค่ะพี่แตร เป็นพระคุณมากเลย”

ความจริงหล่อนแค่จะพูดว่า ‘โทร.หาสามี’ เข้าหูเขาไปอย่างนั้นเอง อย่างไรลัดธีร์ก็มารับไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเขาติดภาระต้องบินในช่วงบ่าย

“ไม่เป็นไร มีโอกาสแสดงน้ำใจระหว่างคนไทยด้วยกันมั่งก็ดี เวลาถึงคราวเคราะห์ร้าย”

“เคราะห์ร้ายของบริษัทประกันน่ะค่ะ คงต้องซื้อรถให้ยายจ๊ะใหม่ ยังดีที่ไม่ต้องจ่ายค่าทำศพ… ที่เป็นลมนี่คงเพราะเผอิญร่างกายจ๊ะเขากำลังอ่อนแอจากการอดอาหารหลายวันด้วยน่ะค่ะ เพิ่งทานเมื่อดึกที่ผ่านมา พอตกใจหน่อยเลยหมดสติไปง่ายๆ”

ลังเลนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจถาม

“พี่แตรมาเที่ยวทะเลคนเดียวเป็นปกติหรือคะ?”

“คนเดียว… บ้านพ่อแม่พี่อยู่หัวหินน่ะ อาทิตย์สองอาทิตย์ถึงจะมาทีนึง”

“ดีจังค่ะ เท่ากับได้มาตากอากาศบ่อยๆ”

“แล้วเอินกับน้องสาวล่ะ มาเที่ยวแถวนี้ประจำหรือเปล่า?”

“เพิ่งมากับเขาเป็นครั้งแรกแหละค่ะ เขาอยากมาหัวหิน… ไม่ได้เป็นพี่น้องกันแท้ๆนะคะ”

“รู้… หน้าตาต่างกัน”

“ค่ะ… จ๊ะเขาสวย”

อมฤตอมยิ้ม อยากจะบอกว่าเอินก็สวย เพียงแต่ไปคนละแบบ ทว่ายั้งไว้ก่อน

“แล้วหนีมาเที่ยวกับน้องสาวอย่างนี้ไม่ถูกสามีเอินโวยหรือ?”

“ก็คงมีบ้างมั้งคะ พอดีน้องสาวเพิ่งเลิกกับแฟน กำลังโศก เลยต้องมาเป็นเพื่อนแก้เหงาให้เขาหน่อย”

บุคลิกของอมฤตดีเสียจนมาวันทาด่วนบอกรายละเอียดเสร็จสรรพ สรุปว่าลานดาวเป็นโสด โดยยืมคำพูดของลานดาวเอง ที่อ้างว่าช่วงหลังหงุดหงิดบ่อยเพราะถูกนนทกานต์ทิ้ง คิดในใจว่าคงไม่ถือเป็นการโกหก

ขณะนั้น ตีนผีเจ้าของผลงานขยี้มอเตอร์ไซค์หนึ่งรถเก๋งสองถูกชาวถนนหิ้วย่องแย่งลงจากรถได้ มาวันทาชำเลืองไปเห็นก็กล่าวกับจิตแพทย์หนุ่ม

“พี่แตรคะ เดี๋ยวเอินไปช่วยดูอาการโชเฟอร์เสียหน่อยดีกว่า ว่าจะช่วยเบื้องต้นอะไรได้บ้าง ท่าทางคงไม่สาหัส รบกวนพี่แตรดูน้องจ๊ะด้วยนะคะ”

“เอามือถือพี่ไปโทร.เรียกประกันเสียเลยสิ แล้วเผื่อยังไม่มีใครตามรถพยาบาลกับตำรวจด้วย”

“ค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าจ๊ะทำประกันไว้กับใคร เดี๋ยวคงต้องพยายามดูจากสติ๊กเกอร์กระจกหน้ารถ ถ้าไม่เหลือซากก็ต้องโทร.ถามจากที่บ้านของจ๊ะ ขอเผื่อไว้โทร.หลายบาทหน่อยนะคะ”

อมฤตหัวเราะ

“ตามสบาย เดี๋ยวถ้าโทร.จนหิวอาจมีมื้อกลางวันแถมเป็นการขอบคุณที่ใช้บริการด้วย”

มาวันทาหัวเราะตามด้วยความรู้สึกอบอุ่นเหมือนญาติสนิท ขอบคุณซ้ำก่อนยื่นมือรับโทรศัพท์พกพาจากอมฤต แล้วเดินข้ามถนนย้อนกลับไปยังจุดเกิดเหตุอย่างเร่งรีบด้วยจิตสำนึกของคนเป็นหมอ


เปลือกตาเผยอขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน ที่ทุกสีสัน ทุกรูปทรง ทุกเหลี่ยมมุมอันปรากฏกระทบตาดูแปลกประหลาดไปหมด ความรู้สึกภายในว่างโหวง คล้ายเด็กทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก สมองชา เคว้งงง สงสัย พยายามระลึก นี่มันอะไรกัน?

และเช่นเดียวกับขณะฝัน ที่อยู่ๆก็เกิดความรับรู้นิมิตภาพกับเสียง โดยไม่ต้องรู้ว่าตนเป็นใคร มาจากไหน สำนึกคิดอ่านเพียงทำงานรับกับสถานการณ์ชั่วเวลาปัจจุบันนั้น สิ่งแรกที่ปรากฏเข้าตาคือใบหน้ายิ้มแย้มของชายหนุ่มคนหนึ่งพร้อมเสียงทักนุ่มนวล

“สวัสดีครับ”

หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ ศีรษะหล่อนตะแคงไปทางเขา ร่างกายวางราบ เท้าวางอยู่บนปี๊บใบหนึ่ง ก้มลงเห็นเช่นนั้นก็ยกเท้าพ้นจากปี๊บและพยายามดึงกายลุกขึ้น ลงจากโต๊ะมานั่งเก้าอี้

“เป็นยังไงมั่ง ปวดหัวหรือเปล่า?”

“ค่ะ… ปวดหัวจัง แต่… นี่ฉันอยู่ไหนคะ?”

อมฤตชะงัก เล็งตาพินิจหญิงสาวเงียบๆครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า

“อยู่บนเส้นทางกลับกรุงเทพฯครับ คุณมาเที่ยวหัวหินกับพี่สาวไง”

หญิงสาวพยายามทบทวน พี่สาวไหน? หล่อนเริ่มกระวนกระวาย

“คุณเป็นใคร?”

“ผมชื่ออมฤต”

“แล้ว... เอ้อ... ขอโทษนะคะ เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ

“ไม่หรอกครับ ผมแค่เผอิญยืนอยู่ใกล้ๆตอนคุณช็อก มีอุบัติเหตุใหญ่ คุณหมดสติเพราะนึกว่าพี่สาวอยู่ในรถ แต่ความจริงเธอออกมาเสียก่อนที่จะมีการชน... พอนึกออกหรือยัง รถบรรทุกก็ยังกองเป็นภูเขาเลากาอยู่นั่น”

นายแพทย์อมฤตกล่าวพลางชี้ไปทางทิศที่ซากรถยังกองยับยู่ยี่อยู่ให้เห็น หญิงสาวหันตาม และแลเห็นเช่นที่เขาบอก แต่ภาพทั้งหมดปรากฏเป็นของใหม่อย่างสิ้นเชิง หล่อนระลึกอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

“คนไหนคะ… พี่สาว?”

“ผู้หญิงผมยาวในชุดกระโปรงลายขาวฟ้า ที่ยืนหันหลังให้เรา และกำลังคุยกับตำรวจนั่นน่ะครับ”

เนื่องจากระยะค่อนข้างห่างกับทั้งไม่เห็นหน้า จึงไม่อาจมั่นใจว่าตนจำ ‘พี่สาว’ ได้ แต่ที่แน่ๆคือความทรงจำของหล่อนถูกลบสิ้น ลืมสนิทว่าเกิดอะไรบ้างก่อนหน้าเปิดตาขึ้นในครั้งนี้

“ฉันเป็นใคร?”

ยังมีสำนึกรู้ดีพอจะทราบว่านั่นเป็นคำถามที่น่าขันและฟังดูเพี้ยน แต่หล่อนกำลังงุนงง สับสน และตกใจกลัว ต้องการคำตอบอย่างที่สุด แม้จากเขา ผู้ประกาศตัวว่าเป็นเพียงคนผ่านมาช่วยเท่านั้น

“คุณชื่อจ๊ะ ผมได้ยินพี่สาวคุณเรียกอย่างนั้น… อย่าห่วงเลย คุณแค่ความจำเสื่อมชั่วคราวจากอาการช็อกเท่านั้น แต่อีกไม่นานความจำทั้งหมดก็จะฟื้นคืนกลับมาเอง ไม่มีใครความจำเสื่อมถาวรจากการช็อกหรอก”

คำบอกนั้นดูเหมือนทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้นเล็กน้อย

“ดิฉัน… มันเหมือนทุกอย่างว่างไปหมด ไม่เหลืออะไรในหัวเลย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้”

“เพราะว่านี่คือประสบการณ์ในวัยเด็กแรกเกิดอีกครั้ง ต่างแต่ว่าคราวนี้มีสำนึกคิดอ่านได้แบบผู้ใหญ่ทันที”

นายแพทย์อมฤตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเสมือนนี่เป็นสิ่งปกติที่ใครๆก็เจอกัน

“ตอนคุณตกใจจนรับการสูญเสียไม่ได้ มีการทำลายตัวตนเดิมทิ้งเพื่อหลบหนีจากบาดแผลที่ใหญ่เกินจะรับ พูดง่ายๆว่าความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองและญาติมิตรถูกลบทิ้งหมด ซึ่งพอความจำหายไป ความรู้สึกว่างก็เข้ามาแทนที่ ทุกอย่างเลยเหมือนการเริ่มต้นใหม่”

อมฤตพยายามพูดช้า สังเกตเมื่อตาของหญิงสาวเริ่มเลื่อนลอยก็จะหยุดพูด แต่พอเบนกลับมาจับเขาอีกก็จะพูดต่อ โดยพยายามอธิบายให้ง่ายขึ้นเพื่อเหมาะกับสภาพงุนงงของคนเกิดใหม่

“จิตใจของคุณผูกพันอยู่กับพี่สาวมาก อย่างน้อยขณะเกิดเรื่อง ก็เหมือนกับพี่สาวเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เมื่อช็อกกับการเห็นอุบัติเหตุ นึกว่าเขาตาย เลยคล้ายหมดสิ้นทุกอย่าง ทั้งโลกแตกดับตามไปด้วย”

หญิงผู้ถูกความตระหนกคร่าความจำทำหน้านิ่ว หล่อนนึกไม่ออกแม้แต่หน้าตาของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ความรับรู้ทั้งหมดนับหนึ่งกันใหม่ เริ่มจากการมองโลกภายนอกด้วยนัยน์ตาเปล่า และฟังส่ำเสียงด้วยหูเปล่า ทว่าประหลาดแท้ที่ยังสามารถสื่อสารกับคนแปลกหน้าได้ราวกับรู้ความตามปกติ ก่อนเอ่ยแต่ละคำ หล่อนจะสำเหนียกถึงแรงขับดันทางภาษา ที่ส่งตรงออกมาจากดวงจิตอันรู้สำนึกคิดอ่าน เสมือนบรรดาถ้อยคำทั้งหลายผนึกติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจอยู่โดยเดิม ไม่ต้องเริ่มร่ำเรียนกันใหม่จากไหน

“แล้วจะเป็นอย่างนี้อีกนานแค่ไหนคะ?”

“คงสองสามนาที เดี๋ยวคุยๆไปก็ค่อยๆกลับมาเองครับ พอเจอหน้าพี่สาว รู้ว่าเธอยังอยู่ จิตใจอาจเริ่มเข้าที่ แล้วสมองส่วนความจำก็ทำงานตามเดิมเอง หรือถ้าโชคร้ายที่สุด ก็เพียงสองสามวัน ทุกอย่างจะกลับคืนเหมือนเดิม บางทีดูเงาตัวเองในกระจกก็นึกออกแล้ว”

“แต่ฉันอยากได้ความจำคืนมาเดี๋ยวนี้”

“ยิ่งอยาก ยิ่งกลุ้ม ทุกอย่างอาจยิ่งกลับคืนมาช้านะ สมองคุณเหมือนกับท่อน้ำที่ถูกขวางทางไหล ยิ่งพยายามเค้นมากๆยิ่งเท่ากับเอาของสกปรกไปสุมให้เกิดการหมักหมมอุดตันจนท่อแน่น ทางที่ดีควรทำใจให้สบาย ปล่อยให้เวลาเป็นตัวทะลวงสิ่งอุดตันจะดีที่สุด”

แล้วเขาก็หัวเราะอย่างจะให้เป็นเครื่องช่วยคลายกังวลกับหล่อน

“เผอิญคุณตื่นขึ้นมาเห็นคนแปลกหน้าด้วย เลยไม่มีความจำชุดไหนถูกดึงกลับมาทำความคุ้นให้เกิดขึ้น”

หญิงสาวส่ายหน้า บอกซื่อๆอย่างไร้มารยา

“ตรงข้าม เห็นคุณแล้วดิฉันคุ้นมาก แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก”

ความจริงอมฤตเองก็รู้สึกเช่นนั้น ทว่าไม่อยากกล่าวให้หล่อนสับสนกว่าเก่า เพียงเปิดตานิ่งให้โอกาสหล่อนสบจ้องเพื่อตรึกระลึกเต็มที่ ทว่าครู่สั้นๆก็มึนงงหัวหมุนติ้ว

พอหญิงสาวก้มหน้าใช้นิ้วกดเปลือกตาด้วยความตึงเครียด อมฤตก็แนะอย่างอ่อนโยน

“อย่าพยายามนึก อย่าพยายามเค้นอะไรเลย เชื่อผมเถอะ”

“แต่ฉันคุ้นหน้าคุณจริงๆนะคะ คุณบอกว่าเราไม่รู้จักกัน นั่นทำให้ยิ่งสับสน”

“ผมก็คุ้น”

ยอมเผยตามตรง ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเป็นกำลังใจไม่ให้หล่อนนึกว่าละเมอเพ้อพกอยู่คนเดียว

“เราอาจรู้จักกันมาก่อนจริงๆก็ได้ แต่ผมเองก็ความจำเสื่อมตั้งแต่ออกจากท้องแม่ เลยจำคุณไม่ได้เหมือนกัน”

หญิงสาวฟังแล้วงง หล่อนพยายามเอาชนะความกลวงโหว่ภายใน ทว่าทะเลแห่งความลืมช่างกว้างลึกโอฬารนัก หล่อนลอยคออยู่ ณ ใจกลางความเวิ้งว้าง ก้มลงมองอดีตเจอแต่ท้องสมุทรแห่งความทึบทางความจำ แหงนขึ้นมองปัจจุบันพบแต่ห้วงฟ้าแห่งความเหม่อไร้ขอบเขตสิ้นสุด

ขณะนั้นเอง มาวันทาก็เดินข้ามถนนกลับมาอย่างรีบร้อน

“จ๊ะ! ฟื้นแล้วเหรอ โล่งอกไปที”

หญิงสาวผู้มีความทรงจำบกพร่องเหลือบแลต้นเสียง เพียงเห็นใบหน้างามที่มีแววห่วงใยอาทร ความรู้สึกอบอุ่นก็แล่นปราดเข้าจับใจ ถึงขนาดบอกตนเองในปัจจุบันทันด่วนว่าหล่อนเป็นใครคงไม่กังวลอีกแล้ว ขอเพียงมีวงหน้าอันเป็นที่รักดวงนั้นยื่นเข้ามาเป็นพอ

และด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ปฏิกิริยาทางสีหน้าสีตาของหญิงสาวจึงเป็นไปในทางยินดี ราวกับคนปกติที่จำทุกอย่างได้ มาวันทายังไม่สังเกตก็พูดต่อ

“ดีเลยที่ฟื้นก่อนประกันจะมาถึง เพราะเจ้าของรถคงต้องเซ็นอะไรเอง”

“เอินครับ” อมฤตแทรกนิ่มๆ “พี่คิดว่าเรามีปัญหานิดหน่อยนะ... น้องสาวเอินเป็นแอมนีเซียจากการช็อกรุนแรง”

มาวันทาชะงัก พินิจแววตาของลานดาวที่มองนิ่งมายังตน แล้วทักเสียงเข้ม

“จ๊ะ... เป็นอะไรหรือเปล่า จำพี่ได้ไหม? นี่พี่เอินไง”

ปฏิกิริยาตอบสนองคืออาการพยายามเรียกความทรงจำอย่างแรง คือขมวดคิ้วแน่น เพ่งหล่อนขึงขังขณะพึมพำทวนชื่อ

“พี่เอิน...”

มีความคุ้น แต่ไม่ใช่ความเข้าถึง คล้ายคนเคยขุดดินเพื่อฝังซ่อนสมบัติไว้สุดลึก ลึกเสียจนกระทั่งออกแรงขุดเพียงใดก็ตะกุยหาลงไปอย่างไรไม่พบ เพียงแต่เห็นสภาพผิวดินกับสิ่งแวดล้อมแล้วจำได้รางๆว่าละแวกนี้เองเป็นแหล่งฝังสมบัติ

“อย่าพยายามเค้นเลย” อมฤตห้ามลานดาวอีก “เราคุยกันสบายๆเถอะ เดี๋ยวก็จำได้นะ อย่างที่ผมบอก ถ้ายิ่งเค้น เดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่”

มาวันทาได้ยินอมฤตเตือนน้องสาวตนเช่นนั้น ก็รีบลดอาการวิตกทางสีหน้าและแววตาทันทีเช่นกัน เปลี่ยนเป็นยิ้มคุยเสียงรื่นด้วยความชำนาญรับมือคนป่วยฉุกเฉินมามากพอ

“เรามาตากอากาศกันไง… ดีแล้ว ล้างๆความจำเก่าออกเสียบ้าง จ๊ะลืมพี่สักแป๊บนึงก็ช่างเถอะ อย่างน้อยยังมีพี่เป็นฝ่ายจำได้ว่าเรารักกันขนาดไหน…”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น