วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๒๒. ฝันร้าย)

ตอนที่ ๒๒. ฝันร้าย


แต่ละคนมีศิลปะการตื่นที่แตกต่างกัน แม้ต้องตื่นนอนกันหลายร้อยครั้ง หรือบางคนอาจเป็นพันหนต่อปี ก็แทบไม่มีใครรู้สึกว่าการตื่นเป็นเรื่องสำคัญอันใด แค่เพียงคิดง่ายๆว่าการตื่นนอนก็คือการลืมตาขึ้น ทำกิจวัตรที่ควรทำในวันใหม่เท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วการตื่นอย่างมีคุณภาพอาจมีบทบาทกำหนดให้เกิดความกระตือรือร้นหรือความหดหู่ซึมเซาไปได้ทั้งวันทีเดียว

ลานดาวเคยชินที่จะตื่นมั่วๆแบบคนเมา ไม่เว้นแม้ครั้งนี้ ที่หล่อนพบตนเอง ‘ออกจากฝัน’ เหมือนนกปีกหักที่ถลาจากอากาศเวิ้งว้าง ร่วงหล่นลงกระแทกพื้นดินจนสลบไสลไปชั่วขณะ ก่อนจะตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เพิ่งฝันอะไรมา จำได้แค่ภาวะเด่นชัดกว่าเพื่อนคืออาการกระตุกวูบเหมือนหนังสติ๊กดีดตัวกลับเข้าแล่งปุบปับฉับพลัน

ดึงกายขึ้นนั่ง ตั้งสติแหวกม่านแห่งความงุนงงอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทบทวนประสบการณ์ฝันแปลกที่คาอยู่ในใจ ทว่านึกไม่ออกเอาเลย

เหลียวมองกระบอกโทรศัพท์ด้านซ้ายมือข้างตัว ก่อนความทรงจำจะผุดขึ้นทีละน้อย นับตั้งแต่คุยโทรศัพท์กับอมฤต กระทั่งนัดหมายว่าจะเข้าไปฝันร่วมกับเขา ทว่าความจำก็สะดุดค้างคาอยู่แค่นั้น เหมือนวัตถุที่ตั้งใกล้แค่เอื้อม แต่พยายามยื่นมือออกไปคว้าเท่าไหร่ก็ไม่ถึง ทราบเพียงว่าเมื่อครู่ช่างเป็นประสบการณ์ที่แจ่มชัด ละเอียด ประณีต สนุกสุขใจเหลือประมาณ

มือหยิบโทรศัพท์ไร้สายข้างกายขึ้นมาแนบหู เมื่อพบว่าสัญญาณยังไม่ขาด อีกทั้งแบตเตอรี่ยังอยู่เหลือเฟือก็ทดลองกรอกเสียงลงไปอย่างงัวเงียและวิงเวียนเล็กๆ

“ฮัลโหล…”

“สวัสดีสาวน้อย… เป็นไงมั่ง”

เขาทักเหมือนรออยู่นานแล้ว

“ค่ะ… เอ้อ…”

เสียงหล่อนขาดห้วงไป ทำให้อมฤตต้องหัวเราะเอาใจช่วย

“งงมากเหรอ?”

ลานดาวพยายามรวบรวมสติ เหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง

“หลับไปหลายชั่วโมงเลย”

“ดีไหมล่ะ?”

“เอ่อ… เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นคะ เราได้เจอกันในฝันหรือเปล่า?”

“อ้าว! จำไม่ได้เลยหรือ?”

“จ๊ะพยายามทบทวน แต่ดูเหมือนตอนเป็นความจำเสื่อมน่ะค่ะ คุ้นแต่นึกไม่ออก โดยเฉพาะช่วงที่ อือม์… จะว่าไงดี… เหมือนมีช่วงที่พิเศษสุด มีความสุขเหลือล้น อย่างนี้ถือว่าไม่เอาไหนใช่ไหม?”

“เป็นเรื่องปกติ พยายามตื่นเองก็อย่างนี้แหละ ทีแรกพี่จะช่วยให้ก็ไม่เอา ถ้าตื่นขึ้นด้วยสภาพจิตที่ใกล้เคียงกับฝันก็จะจำได้”

“ตายจริง! จ๊ะอวดเก่งกับพี่แตรด้วยหรือ? ขอโทษค่ะ… นี่เป็นฤทธิ์ข้างเคียงของโรคความจำเสื่อมหรือเปล่าคะ?”

“ไม่ใช่หรอก นี่เหมือนลืมฝันธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันเท่านั้น”

“แปลกจัง จำได้แค่รางๆว่าฝันชัด สนุก มีความสุขมาก ปกติฝันประเภทนี้ตื่นมาต้องจำได้สนิทเลยนี่คะ?”

“เอาเป็นว่าจิตจ๊ะถูกยกขึ้นไปอยู่อีกมิติหนึ่งชั่วคราว แตกต่างจากปัจจุบันเสียจนเชื่อมกับความจำในมิตินั้นไม่ได้ก็แล้วกัน”

ลานดาวอึ้ง ธรรมชาติของจิตวิจิตรพิสดารเสียจริงๆ เพียงเคลื่อนจากภาวะหนึ่งสู่อีกภาวะหนึ่งที่ต่างกันมากๆ ก็ทำให้ลืมได้อย่างสนิท คิดว่าหล่อนได้คำตอบอันน่าพอใจให้กับภาวะความจำเสื่อมในช่วงกลางวันที่ผ่านมาของตนเอง เงื่อนไขนั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือสภาวจิตของหล่อนหกกลับคว่ำคะมำจนต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากทุกภาวะที่ผ่านมาในชีวิตจึงหมดความเชื่อมโยงกับอดีตไม่เหลือซาก กระทั่งพอเรียนเป่าฟลุตให้สภาวจิตเริ่มเข้าที่เข้าทางใกล้เคียงของเดิม ความทรงจำจึงถูกดึงกลับมาอีกครั้ง

นอกจากนี้ลานดาวยังคิดไกลไปกว่านั้น คือเรื่องเกี่ยวกับภาวะการเปลี่ยนภพภูมิ เช่นที่เพิ่งออกจากฝันอันแสนละเอียดสุขุมเมื่อครู่ บัดนี้กลายเป็นสภาพหยาบ ผิดกันเป็นคนละระดับชั้น ก็ทำให้ลืมเลือนภาวะที่ผ่านมาอย่างสนิท แม้คุ้นว่าเคย ‘สูงส่งกว่ากัน’ ความสูงส่งก็กลายเป็นเพียงเงาเลือนทางความทรงจำ ใช้ประโยชน์อันใดไม่ได้อีกต่อไป

“ถ้าตกจากที่สูง เราจะเงยหน้าย้อนกลับไปเห็นที่ยืนเก่าไม่ได้ใช่ไหมคะ?”

อมฤตหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดู

“จะต่ำหรือสูง ถ้าต่างจากปัจจุบันมากก็จำไม่ได้ เห็นไม่ได้ทั้งนั้นแหละจ๊ะ”

“แล้วถ้าย่ำอยู่ชั้นเดิมล่ะคะ สมมุติชาตินี้เป็นมนุษย์ ชาติหน้าก็เกิดเป็นมนุษย์อีก เขาจะจำได้ไหม?”

“เด็กหลายคนระลึกชาติได้ก็ด้วยกรณีนี้แหละ คือตายจากความเป็นมนุษย์แล้วกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ทันที ภาวะย่ำซ้ำกับที่จะทำให้ระลึกได้เหมือนนึกออกว่าเพิ่งฝันอะไรไป แต่คนส่วนใหญ่เคลื่อนมาจากภูมิที่ต่ำหรือสูงกว่ามนุษย์เลยจำไม่ได้”

“เคยสงสัยเหมือนกันว่าถ้าคนเราเคยผ่านนรกสวรรค์มาจริงทำไมถึงจำไม่ได้ ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้ว มันขึ้นอยู่กับสภาพจิตที่เอื้อให้จำได้หรือไม่ได้ เกิดใหม่ต้องลืมหมดเพราะเปลี่ยนสภาพอย่างสิ้นเชิง ระบบความจำนี่เหมือนไม่ได้เป็นสมบัติของเราเลย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเฉพาะกาลแท้ๆ”

“อือม์… ชักพูดเหมือนชาวพุทธชั้นดีแล้ว”

อมฤตกล่าวเชิงชมกลั้วหัวเราะ

“เล่าให้จ๊ะฟังหน่อยสิคะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง น่าจะนึกออกทีละนิดทีละหน่อย”

“เริ่มต้น จ๊ะไปอยู่กับพี่ในปีระมิดที่พี่สร้างขึ้น สำนึกคิดอ่านชัดเจนเป็นปกติเหมือนกำลังลืมตาตื่น จ๊ะสงสัยว่าถ้าออกนอกเขตปีระมิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น พอทดลองก็ตกอยู่ในห้วงฝันเลือนรางครู่หนึ่งก่อนกลับเข้ามาใหม่ จ๊ะบอกพี่ว่าที่กลับเข้ามาเพราะเห็นนิมิตของพี่เตือน จากนั้นจ๊ะส่องกระจกเห็นตัวเองเหมือนคนปกติ พยายามเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาตัวเองแต่ไม่สำเร็จ พอพี่ให้เปลี่ยนที่จิต ดูเหมือนจ๊ะระลึกถึงบุญกุศลบางอย่างในอดีต ถึงเรืองแสงรัศมีขึ้น และเห็นพี่อยู่ในชุดนักปรัชญากรีกโบราณ…”

“จำได้หมดแล้วค่ะ!”

ลานดาวส่งเสียง ความจริงหล่อนเริ่มคุ้นตั้งแต่เขาเล่าได้แค่สองประโยคแรก ซึ่งธรรมชาติความจำจะเป็นเช่นนั้น เมื่อถูกสะกิดให้นึกออกเพียงจุดเดียว รายละเอียดที่เหลือก็พรั่งพรูตามมาเอง

“ให้จ๊ะเล่าต่อนะคะ ถ้าผิดจากนี้ช่วยทักด้วย… พอจ๊ะรู้ว่าตัวเองยังไม่อยู่ในมิติเดียวกับพี่แตรจริง เลยถามว่าทำอย่างไรจึงจะเห็นเหมือนที่พี่เห็น พี่สั่งให้นั่งสมาธิ ตอนแรกตามรู้ลมหายใจก่อน พอเริ่มนิ่งแล้วก็สร้างปีระมิดแฝดซ้อนขึ้นมาอีกหลัง ซึ่งทำได้ง่ายเพราะมีกำลังช่วยหนุนจากปีระมิดของพี่… พอจ๊ะสร้างปีระมิดได้ พี่แตรก็ให้หลับซ้อนลงไปอีกชั้นเพื่อตื่นขึ้นอย่างมีกายละเอียด สามารถขยับเขยื้อนและพูดคุยกับพี่แตรด้วยสภาพเสมอกัน”

แล้วการเล่าก็สะดุดลง

“เอ! ลืมอีกแล้วสิ พอตื่นขึ้นมาครั้งที่สอง แค่จำได้เลือนๆว่าเป็นอะไรที่… สุดๆๆ”

อมฤตช่วยฟื้นความจำให้

“จ๊ะมีความสุขกับภาวะที่ประณีต แทบไม่มีผัสสะอื่นนอกจากความสุขที่อิ่มเต็มในจิตเอง แล้วเกิดความอยากจะให้คนทั้งโลกมารู้จักภาวะนั้น เราเลยแผ่เมตตาออกไปทั่วจักรวาลร่วมกัน”

ลานดาวตาสว่าง

“จำได้แล้ว โอ!… ดีใจ!”

อุทานเสร็จก็ย่นคิ้วอยู่กับตนเอง เพราะแม้นึกออกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หล่อนก็ระลึกไม่ถนัดนักว่าสภาพหรือภาวะทางใจขณะนั้นเป็นอย่างไร ทุกอย่างแผ่วเลือนเหมือนสายลมที่เกิดจากการผิวปาก แม้สัมผัสได้ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอุปาทานไปเองหรือเปล่า

“คงต้องขอความช่วยเหลือจากพี่แตรบ่อยๆนะคะ กว่าจะฝันเป็น และใช้ประโยชน์จากฝันอย่างคุ้มค่าแบบพี่แตรได้บ้าง”

“ด้วยความยินดี”

“ตอนอยู่กับคนอื่นในโลก พี่แตรดูกลมกลืนดีจัง ทั้งที่ทำอะไรได้ขนาดนี้”

“ขนาดไหนกัน? พี่เป็นแค่นักขุดทองจากฝันเท่านั้น คนทั่วไปไม่รู้เองว่าอำนาจจิตขณะหลับไร้ขีดจำกัดเพียงใด แต่ฝันก็คือฝัน ต่อให้ฝันว่าเป็นผู้วิเศษเพียงใด ตื่นมาก็กลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง”

“ชีวิตมนุษย์มีอะไรให้กอบโกยเยอะนะคะ ต้องหาใครมาช่วยบอกเท่านั้นว่าควรลงมือโกยจากตรงไหนบ้าง จ๊ะนึกไม่ออกถนัดก็จริง แต่จำได้แค่รางๆว่าการแผ่เมตตาเป็นอนันต์นี่เป็นรสที่เหนือรสจริงๆ”

“สมบัติบางอย่าง ต่อให้มีค่าและวางอยู่เกลื่อนกลาดแบบกรวดทราย ก็ไม่ใช่ก้มลงเก็บง่ายๆหรอกนะ คนเราเหมือนมีขื่อคาล็อกตัวไว้ กับแค่เก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆน้อยๆจากการให้อภัยยังทำกันไม่เป็น ที่ไหนจะหวังโกยสุขชั้นสูงอย่างการแผ่เมตตาเป็นอนันต์ได้”

ลานดาวตรองตามแล้วเริ่มเห็นตัวตนของตนเอง ที่ผ่านมาแค่เปลี่ยนวิธีมองโลกจากแง่ร้ายเป็นแง่ดีเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขสักครู่ก็ยากแล้ว และเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนทั้งโลกก็เป็นเช่นนั้น คือผูกโกรธ ผูกอาฆาตเก่ง เร่งสารพิษจากต่อมตมในร่างกายมาฆ่าตัวเองแบบผ่อนส่งกันทั่วทุกหัวระแหง

“จริงด้วยเนอะ…”

หญิงสาวยิ้มหวานกับโทรศัพท์ อยู่กับอมฤตแล้วเหมือนหล่อนเห็นจริงตามเขาเพิ่มขึ้นทุกที

“จ๊ะชักเห็นแล้วสิคะว่าคนทั้งโลกกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้าย ความจริงทุกคนอยากฝันดี แต่ก็หมั่นก่อเหตุของฝันร้ายด้วยความโง่หลงไร้สติ”

“หัวไวจริง อีกหน่อยคงเป็นเจ้าแม่สำนักอะไรสักแห่ง”

เจ้าแม่หัวเราะคิก แล้วยกมือปิดปากหาว

“เพิ่งตื่นหยกๆ ไหงง่วงอีกก็ไม่ทราบค่ะพี่แตร”

“เพราะเมื่อกี้ฝันจนเหนื่อยน่ะซี ไว้ชำนาญสมาธิแล้วจะหลับสนิทเต็มตื่นได้เอง ถ้าง่วงงั้นไปนอนเถอะนะ”

“ค่ะ… ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ดีใจมากๆๆที่รู้จักพี่แตร… ราตรีสวัสดิ์”

“เดี๋ยว… จ๊ะ”

“คะ?”

“เอ้อ… พรุ่งนี้ว่างไหม?”

หางเสียงอมฤตออกหนีบหน่อยๆ ลานดาวอมยิ้มนิดหนึ่ง ท่าทางเขาไม่ใช่คนชำนาญขอนัดสาว ซึ่งก็ดี เพราะคนหล่อแล้วไม่เจ้าชู้หายาก

“คงต้องวุ่นวายเรื่องหางานหาการทำน่ะค่ะ… แต่เย็นๆน่าจะว่าง”

“ทานข้าวกับพี่นะ”

คนถูกขอนัดทำเป็นเงียบคิดครู่หนึ่ง ทั้งที่ในใจมีคำตอบเตรียมไว้แล้วแต่แรก

“ก็ได้ค่ะ…”


ออกจากโรงพยาบาลในเย็นนั้น แพทย์สาวขับรถตรงมาจอดที่หน้ารั้วบ้านหลังหนึ่งย่านฝั่งธน ลงกดกริ่งยืนรอครึ่งนาทีก็มีเด็กชายวัยรุ่นมาเปิดประตูให้พร้อมยกมือไหว้

“สวัสดีครับพี่เอิน”

มาวันทาสะพายกระเป๋าเครื่องมือแพทย์เข้าไหล่ก่อนรับไหว้

“สวัสดีจ้ะโพธิ์”

ปัจจุบันอุปการะอยู่บ้านที่เจ้าของยกค่าเช่าให้ฟรีหนึ่งปี มีรถยนต์ขนาดกลางที่ใครคนหนึ่งถอยมาให้ใช้หนึ่งคัน นอกจากนั้นยังมีใครต่อใครหยิบยื่นข้าวของให้สารพัด รวมทั้งหมออย่างหล่อนที่อาสามาดูแลตรวจสุขภาพให้คนในบ้านตามโอกาส เป็นการตอบแทนที่ช่วยสอนทำสมาธิภาวนา ตลอดจนชี้แนะและไขข้อข้องใจต่างๆให้

นับแต่พบกับอุปการะในวันแรก มาวันทาก็แวะเวียนมาหาเขาเนืองๆ และพอหล่อนทำตัวเป็นแพทย์ประจำบ้าน อุปการะก็เริ่มให้การต้อนรับในฐานะญาติสนิท เลิกนับเป็นลูกค้า และพูดคุยกันเองแบบครูกับศิษย์เต็มขั้น จากการเปิดเผยของอุปการะ ทำให้มาวันทาทราบว่าเดี๋ยวนี้เขามีเวลามากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากจะเป็นคนเลือกรับนัดเอง ไม่ใช่หมอดูนั่งโต๊ะที่ใครมาหาเมื่อใดก็ได้ ถ้าพยากรณ์ให้ใครแล้วคนนั้นอาจนำความเดือดร้อนย้อนกลับมาหาเขา ก็จะเบี่ยงบ่าย ปฏิเสธดื้อๆตั้งแต่คุยทางโทรศัพท์ อีกทั้งมีการแยกเก็บค่าบริการเป็นหลายอัตรา ขึ้นอยู่กับฐานะของลูกค้าด้วย

เมื่อเข้าบ้าน มาวันทาตรวจร่างกายทั่วไปให้กับมารดาของอุปการะถึงห้องนอนเป็นอันดับแรก ทั้งวัดความดัน ฟังปอด ฟังหัวใจ พูดคุยไถ่ถามเกี่ยวกับอาหารและการใช้ยาด้วยความเอาใจใส่อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง กระทั่งอุปการะลงจากชั้นบนมาเรียก จึงไปคุยกันในห้องรับแขกแทน

“เป็นไงมั่งหมอเอิน ช่วงนี้”

“สบายดีค่ะอาจารย์”

แพทย์หญิงตอบแบบตัวลีบนิดๆ

“สบายแน่รื้อ?”

“ก็… เอ่อ… อาจจะงานยุ่งนิดหน่อย สมาธิตกไปบ้าง วันนี้เลยไม่มีความคืบหน้ามารายงาน ขออภัยด้วยนะคะ”

“ฝันร้ายบ้างหรือเปล่า?”

ถูกทักตรงๆเช่นนั้นมาวันทาถึงกับตกใจ รับเสียงจ๋อย

“มีบ้างค่ะ… อยากเรียนถามอาจารย์ด้วยว่าควรจะแก้ไขอย่างไรดี เพราะท่าทางน่าจะมีมาอีก”

ในเมื่อปิดไม่ได้ ก็เปิดอกถามไปเลย

“เกือบไปแล้วนะหมอ…” ทักด้วยความปรานีแฝงสำเนียงตำหนิ “อีกนิดเดียวก็กลายเป็นวิญญาณที่ต้องฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ เหมือนอย่างฝันร้ายนั่นแหละ”

มาวันทาก้มหน้าก้มตาหลบ ชินเสียแล้วกับการรู้ทุกอย่างทะลุปรุโปร่งไปหมดของผู้เป็นอาจารย์

“ตอนนั้นเอินสับสน เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง มองไปมีแต่ทางตัน เหตุผลและความกลัวทั้งหลายหายไปหมด นึกไม่ถึงเหมือนกันค่ะว่าจะเป็นไปได้”

“สถานการณ์เลวร้ายไหนๆขณะกำลังมีชีวิต ก็ดีกว่าสถานการณ์เลวร้ายหลังฆ่าตัวตายทั้งนั้นแหละหมอ จำไว้เถอะ”

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบีบคั้นหนักเสียจนเอินเหมือนถูกบังคับให้ละเมอหลงทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดทำมาก่อนเลยนะคะอาจารย์”

หญิงสาวออดแบบกึ่งขอความเห็นใจ กึ่งแก้ตัวเล็กๆ

“ต่อให้เป็นการคิดสั้นชั่ววูบอย่างที่สุด ก็ไม่มีใครฆ่าตัวตายด้วยแรงกดดันครั้งเดียวหรอก คนฆ่าตัวตายจะมีความคิดอยากหนีปัญหาด้วยทางลัดซ้ำๆกันมาระยะหนึ่งทั้งนั้น เพียงแต่เป็นแค่เงาๆความคิดความอยากแวบไปแวบมาไม่จริงจัง ถ้าปล่อยให้ซ้ำซากไม่หยุดในที่สุดก็กลายเป็นการตัดสินใจจริงจนได้”

มาวันทาตรึกระลึกแล้วก็นึกออกว่าเป็นตามนั้นจริงๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาหล่อนทุกข์หนัก คิดมาก อยากตายให้พ้นๆอย่างน้อยวันละสามรอบ ยิ่งพอลานดาวก่อเหตุคอขาดบาดตาย ชนิดที่หล่อนตัดสินใจเลือกอย่างไรก็ผิดหมด แก้ไขให้อะไรดีขึ้นไม่ได้ พอสบจังหวะเหมาะเลยอยากเหาะเหินหนีไปดื้อๆเสียเดี๋ยวนั้นเอง ยังดีเท่าไหร่ที่ลานดาวมาช่วยรั้งไว้ทันก่อนสายเกินการณ์

อุปการะเห็นลูกศิษย์สาวปิดปากเงียบก็ถอนใจยาว รู้ดีว่ามาวันทาเป็นคนรักหน้ามาก ถ้าตำหนินักเดี๋ยวจะยิ่งเสียใจเปล่าๆ จึงเฉลี่ยความผิดให้แรงกระทำลี้ลับภายนอกเสียบ้าง

“ยุคนี้กระแสการฆ่าตัวตายกำลังแรง ถ้าปล่อยให้ความหดหู่เศร้าซึมครอบงำจิตใจ ก็เป็นจังหวะโอกาสให้หลวมตัว โดนกระแสดึงดูดกันง่ายที่สุด”

“แปลว่ามีกระแสดึงดูดให้หลงคิดผิดอยู่จริงๆหรือคะ?”

มาวันทาทำตาโตถามอย่างสนใจ

“ก็มีน่ะซี… เหมือนคลื่นความร้อนในร่างกายเรา ถึงแม้เราเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปแล้ว ก็ยังทิ้งร่องรอยความร้อนไว้ให้ตรวจจับด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ได้ ความคิดของคนเราก็คล้ายอย่างนั้น การปลงใจคิดที่จะปลิดชีวิตตัวเองเป็นพลังงานฝ่ายทำลาย เป็นกรรมเพื่อความหายนะชนิดหนึ่ง ถึงแม้ตัวตายหายหนไปจากโลกแล้ว รูปความคิดชนิดทำลายตัวเองนั้นก็ยังคงตกค้างอยู่ ทีนี้ถ้ายุคไหนมีกลุ่มความคิดชนิดเดียวกันนี้รวมกันมากๆเข้า ในที่สุดก็กลายเป็นแรงดึงดูดได้”

“เอินนึกว่าเป็นอิทธิพลของสื่อ ที่ออกข่าวคนฆ่าตัวตายบ่อยๆ เลยทำให้คนรับข่าวเกิดความคิดเอาอย่างบ้าง”

“นั่นก็เป็นปัจจัยหนึ่งจริงๆแหละหมอ คือมีส่วนกระตุ้นให้มักง่าย แต่ตัวเร่งเร้าให้ลงมือจริงมันหลายอย่างประกอบกัน จิตหดหู่ซึมเศร้าเรื้อรังเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งเหนือสิ่งอื่นใด นอกนั้นก็มีความอ่อนแอจากอดีตกรรมที่เคยฆ่าตัวตายมาเชียร์บ้าง เจ้ากรรมนายเวรมาดลใจบ้าง กระแสดึงดูดจากกลุ่มคลื่นความคิดของคนฆ่าตัวตายไปแล้วบ้าง ตอนคิดลงมือฆ่าตัวตาย กรรมขาวหรือกรรมดำที่เคยทำไว้เป็นประจำจะมีส่วนช่วยฉุดดึงหรือช่วยถีบส่ง คนไม่มีกรรมขาวหนุนอยู่บ้างจะขาดปัจจัยเข้าขัดขวางให้ยุติสถานการณ์วิกฤต ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปจนสุดทางของมัน”

“แต่ถึงเอินพลาดพลั้ง อาจารย์ก็คงไม่ดูดายปล่อยให้เอินต้องแช่จมอยู่ในอบาย”

“หมอเข้าใจผิดแล้ว วิบากที่เกิดจากการฆ่าตัวตายนั้นแรงมาก ไม่เหมือนการตายธรรมดาทั่วไป ถ้าตายทรมานแบบดิ้นปัดๆด้วยโรคร้ายยังช่วยได้ง่ายเสียกว่า อย่านึกว่ามีผมเป็นที่พึ่งแล้วอย่างไรก็คงรับการช่วยเหลือสะดวกๆ ของมันไม่แน่ เรื่องราวหลังความตายมีทั้งที่สงเคราะห์ได้และสงเคราะห์ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับแรงผูกมัดของกรรมว่าเปิดช่องให้แค่ไหน”

มาวันทาทำหน้าสลดยิ่งกว่าเก่า นึกหวาดกลัวภาวะหลังความตายขึ้นมาอีก ฝันหลอนหลายคืนว่าหล่อนพลัดตกจากตึกทั้งที่ไม่เต็มใจ ร่างที่พุ่งลิ่วลงหาพื้นเบื้องล่างน่ากลัวเหลือประมาณ พอตกถึงพื้นก็ขึ้นไปยืนนิ่งบนตึกด้วยอารมณ์เศร้าสร้อยอีกพักใหญ่ ก่อนจะถูกขับไสให้กระโดดลงมาใหม่ ลิ้มรสทุกขเวทนาแห่งความเสียวสยองในการดิ่งจากที่สูงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจิตจะลงโทษตนเองให้หลาบจำ หรืออีกทางคือหลอนตนเองให้เครียดจัด ผลักดันให้คิดลงมือทำเข้าจริงๆจนได้

“ค่ะอาจารย์… เอินจะควบคุมตัวเองไม่ให้ประมาทพลาดพลั้งอย่างนี้อีก” แล้วหล่อนก็สอบถามในสิ่งที่คาใจ “เมื่อกี้อาจารย์พูดถึงกระแสดึงดูดชักชวนจากโลกของคนที่ฆ่าตัวตายไปแล้ว เอินอยากรู้ว่าที่เอินเห็นนั้นเป็นของจริงหรือเปล่า คือตอนเตรียมโดด เอินเห็นผู้ชายคนหนึ่งกวักมือเรียกอยู่ข้างล่าง”

อุปการะฟังแล้วเงียบกำหนดจิตอยู่อึดใจหนึ่งก่อนเอ่ย

“เห็นเขาในชุดบ๋อยโรงแรม ตัวโตกว่าคนปกติเมื่อมองจากความสูงระดับนั้นใช่ไหม?”

มาวันทาขนลุกซู่ คล้ายคนสงสัยจากอาการแวดล้อมว่าตนเป็นโรคร้าย พอเจาะเลือดตรวจก็ปรากฏว่าผลออกมาเป็นเช่นที่สงสัยจริงๆ

“ค่ะอาจารย์ เอินเห็นอย่างนั้น”

อุปการะพยักหน้า

“ได้เห็นกับตาแล้วสินะว่าโลกหน้าหลังฆ่าตัวตายมีจริง แล้วก็ไม่ใช่สภาพที่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว”

ลูกศิษย์สาวทำหน้าเหย

“ค่ะ”

“วิญญาณเขาเห็นหมอ เพราะคลื่นจิตของหมอเตรียมจะแปรไปอยู่ในภพเดียวกับเขา เขาอยู่บนตึกและบนพื้นสลับกันอย่างทำอะไรอื่นไม่ได้จนกว่าจะถึงอายุขัยของชีวิตมนุษย์ดั้งเดิม”

“เอินทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา เหมือนเขาเคลื่อนจากความเป็นอย่างนั้นแล้วนี่คะ”

อุปการะส่ายหน้า

“เขามีความสุขขึ้น นิ่งขึ้น เหมือนคนสภาพจิตใจดีขึ้นก็เลิกเกเรอาละวาด เขาแค่ไม่ต้องโดดซ้ำโดดซากเท่านั้น แต่ยังไปไหนไม่ได้หรอก”

สีหน้ามาวันทาสลดลงด้วยความสมเพช แต่ก็ไม่ทราบจะช่วยอย่างไรมากกว่านั้น

“ก่อนทำบุญอุทิศส่วนกุศล ตอนเอินเลิกคิดฆ่าตัวตายแล้ว เขาก็ยังตามมาเข้าฝันถูกได้ยังไงคะ?”

“ภพของจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อน มันไม่ต้องมีเหตุผลเป็นรูปธรรมแบบโลกสามมิติที่ปรากฏกับหูตาอย่างนี้หรอก เหมือนถ้าจิตหมอประหวัดถึงใครแรงๆขณะเขาหลับ ก็จะมีคลื่นสะเทือนไปถึงจิตเขา ทำให้จิตในฝันของเขาเห็นหมอขึ้นมา ส่วนจะเลือนรางหรือชัดเจนก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบ เช่นจิตของหมอมีอำนาจสะเทือนเข้มข้นแค่ไหน หรือก่อนหลับเขามีสติติดจิตอยู่มากน้อยเพียงใด”

“แปลว่าวิญญาณบ๋อยคิดถึงเอินตลอดเวลา?”

“ก็หลังจากเขาโดดตึก ก็เพิ่งมีหมอนี่แหละจะมาเป็นเพื่อน ที่เขามาเข้าฝันเราได้ รวมทั้งติดตามรับส่วนบุญจากเราได้ ก็เพราะมีสื่อเก่าคือความคิดฆ่าตัวตายของเรา กับสื่อคือคลื่นความหวาดกลัวขณะฝันหลอนซ้ำซากที่ส่งเป็นความสะเทือนไปให้เขาสัมผัส นั่นแหละเหมือนส่งสะพานเชื่อมให้มาถึงตัวเราได้ทันที พอเราตื่นขึ้นและทำบุญอุทิศให้เขา ก็เหมือนยื่นน้ำเย็นให้รับไปดื่มแก้กระหาย ความสว่างแห่งบุญที่เราทำให้จิตตัวเองเบิกบานแล้ว ก็เป็นตัวช่วยปรับกระแสจิตเขาให้สว่างและเบิกบานตาม อีกอย่างคือกระแสบุญใหญ่ที่ใส่บาตรพระสงฆ์ด้วยใจเคารพนั้น เมื่อเขามีใจยินดีร่วมกับเราแล้ว ย่อมเปลี่ยนสภาพมืดบอดในภพแคบ ให้กลับกลายเป็นสว่างแจ้งในภพที่กว้างขึ้นได้”

มาวันทายิ้มปีติ

“ดีใจจังค่ะที่มีโอกาสช่วยให้เขาสบายขึ้นบ้าง”

“แต่ก็ถือว่าหมอยังไม่หมดเคราะห์เสียทีเดียวนะ เพราะสิ่งที่ติดตามมาคือสภาพจิตที่หลอกหลอนตัวเอง คนที่รอดจากการคิดฆ่าตัวตายด้วยการโดดตึกสูงมักฝันร้ายซ้ำๆ เพราะเจตนาจะโดดกับภาพเบื้องล่างที่น่าหวาดเสียวนั้น เป็นสิ่งฝังใจยากจะลบจากความจำ แบบเดียวกับคนกลัวความสูง ก็เพราะจินตนาการว่าจะต้องหล่นลิ่วลงไปมันแรงเกินสติรับรู้ความจริงว่ายังปักหลักอยู่กับพื้นมั่นคง ฝันร้ายของหมออาจถือเป็นการสอนตัวเองให้หลาบจำก็ได้ หรือจะเป็นตัวกระตุ้นให้เครียดจนประสาทกินไปเลยก็ได้อีกเหมือนกัน”

“แปลว่าเอินจะต้องฝันร้ายอย่างนี้อีกเรื่อยๆอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงอย่างนั้นหรือคะ?”

มาวันทาทำเสียงน่าสงสาร อุปการะไม่ตอบในทันที แต่ถามกลับเพื่อความแน่ใจ

“ที่รอดมาได้เพราะมีคนห้ามใช่ไหม?”

“ค่ะ”

“ถ้าเลิกล้มความตั้งใจด้วยตัวเองก็อาจไม่ต้องมาวนเวียนฝันร้าย แต่นี่เราตั้งใจไว้เด็ดเดี่ยวและใจเย็นมาก เลยยังไม่มีตัวแก้จากข้างใน ข้างในยังไม่เป็นที่พึ่งของตัวเอง…ทำกรรมคือคิดฆ่าตัวตายไว้ ก็ต้องถอนด้วยการทำกรรมคือคิดอยู่ต่อ”

“ต้องทำยังไงบ้างคะ?”

อุปการะหยั่งจิตลูกศิษย์สาว เห็นว่าหลุดพ้นจากเหตุที่อาจบันดาลให้คิดสั้นแน่แล้ว จึงบอก

“ลองอย่างนี้ดู กลับไปที่เดิมที่หมอคิดฆ่าตัวตาย มองจากตำแหน่งเดิม เวลาเดิม จนกว่าจะเห็นว่าใจตัวเองไม่ต้องการโดดลงไป จำภาวะนั้นไว้ดีๆ แล้วกลับไปนอนให้หลับ คิดล่วงหน้าว่าถ้าฝันจะมีแต่การตัดสินใจไม่โดดลงไป”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นเค้าอันเป็นเหตุเป็นผล

“ค่ะ… เอินจะทำตามอาจารย์บอก”

“นอกจากนั้น ควรเติมความชุ่มชื่นให้จิตมากๆ ปล่อยนกปล่อยปลาให้ผ่องใส แล้วอธิษฐานขออย่าได้มีความตั้งใจผิดๆอย่างนั้นอีกจนชั่วชีวิต ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใด ขอให้บุญเป็นแรงพยุงทุกครั้งไป”

“ค่ะ”

คำแนะนำของอุปการะไม่ลำบากเหลือบ่ากว่าแรงเลย อีกทั้งสมเหตุสมผลทั้งในเชิงจิตวิทยาและในเชิงศาสนาพร้อมกัน หล่อนจึงยอมรับอย่างเต็มใจยิ่ง

“มีอีกไหมคะ?”

“ถ้าหมอใช้อาชีพของตัวเองทำประโยชน์กับกลุ่มคนที่คิดสั้นบ้างก็จะได้อานิสงส์สูง อาจเขียนบทความหรือเอกสารทางการแพทย์ ช่วยป้อนข้อมูลโน้มน้าวให้คนเหล่านั้นมีความเห็นที่ถูกต้อง ว่าความตายไม่ใช่จุดยุติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตายเพื่อหนีปัญหานั้น กลับจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้ต่างหาก การช่วยคนหลงผิดให้กลับใจมาเห็นถูกต้องจัดเป็นทานชั้นเลิศ ถ้าช่วยได้มากๆก็เหมือนเติมน้ำลดความเค็มของเกลือก้อนหนึ่งให้จางลงจนไม่เหลือ”

มาวันทาคลี่ยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความคิดสร้างสรรค์ใสๆที่สว่างขึ้นปัจจุบันทันด่วน

“ตกลงค่ะ เอินนึกออกแล้ว เอินจะทำสื่อทางอินเตอร์เน็ตเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย จะโฆษณาให้รู้จักกันกว้างๆ จะหาข้อมูลแพทย์ที่ชี้ให้เชื่อว่าความตายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่มาทำให้เห็นจริงเห็นจังมากขึ้น นอกจากนั้นคงต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณหลังฆ่าตัวตายด้วย ตรงนี้เอินขออนุญาตรบกวนอาจารย์ไว้ล่วงหน้านะคะ”

“ได้… เอาเลย ผมจะสนับสนุนเต็มที่”

รับปากหนักแน่นด้วยใจเมตตาปรารถนาเอื้อเฟื้อลูกศิษย์สาว อุปการะโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย

“ทำให้พวกที่คิดหาทางลัดหนีปัญหาชีวิตตระหนักเถอะว่าการฆ่าตัวตายจะเกิดขึ้นเมื่อขีดความอดทนหมดลง และสิ่งที่จะพาไปถึงขีดสุดของความอดทนก็คือการปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความเศร้า วิญญาณหลังความตายเป็นภาวะยืดเยื้อเหมือนไม่มีวันจบ ยิ่งถ้าเคลื่อนจากภาวะผีตายโหงไปเข้าท้องสัตว์ทุกเข็ญ เรื่องจะยิ่งเลวร้ายเกินแก้ อาจต้องวนเวียนเกิดตายในร่างสัตว์อีกเป็นพันๆหมื่นๆครั้งกว่าจะมีโอกาสกลับมาเป็นคนอีก แถมเมื่อเป็นคนก็มักมีจิตใจอ่อนแอ ยอมแพ้ปัญหาง่าย เพียงพบเรื่องน่าร้องไห้ที่มีประจำโลกสองสามครั้งก็อาจคิดฆ่าตัวตายตั้งแต่อยู่ในวัยเยาว์แล้ว!”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น