วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๑๘. ระลึกชาติ)

ตอนที่ ๑๘. ระลึกชาติ


แพทย์หญิงมาวันทาเดินไปยังเพิงขายผลิตภัณฑ์พื้นเมืองแห่งหนึ่งที่เห็นแวบๆว่ามีกระจกเงากรอบเปลือกหอยวางขายอยู่ หล่อนเลือกซื้อบานใหญ่สุดขนาดสูงเกือบหนึ่งฟุตมายื่นให้ลานดาว

“ดูหน้าสาวสวยซะ”

ลานดาวรับกระจกมาถือ ส่องเงาตนเองด้วยใจที่เต้นแรงขึ้น ความรู้สึกจากแก่นแท้ยามนั้นช่างประหลาดนัก เสมือนถูกบังคับให้เชื่อว่าหล่อนคือใครอีกคนในกระจกเงา หากหล่อนเป็นเจ้าของใบหน้านั้นอย่างแท้จริง เหตุใดจึงไม่อาจระลึกได้เอง ต้องพึ่งกระจกเสียก่อน?

ส่องๆเงาไปชักคุ้น เหมือนยอมรับว่าถ้าคนเราต้องมีใบหน้า หล่อนก็ควรจะเป็นอย่างที่เห็นในกระจกนี่แหละ ดีใจที่ตนเป็น ‘สาวสวย’ อย่างมาวันทาว่าไว้จริงๆ แม้ไม่อาจทราบต้นสายปลายเหตุว่าได้ความสวยมาแต่ไหน ใครกำหนด แต่หันซ้ายหันขวาเล็งแลแล้วหลงเงา ปลื้มใจที่ใบหน้านั้นเป็นของตนก็แล้วกัน

มาวันทาต้องจัดแจงเป็นธุระเจรจากับเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันให้ โดยเล่าตามจริงว่าลานดาวช็อกและสูญเสียความทรงจำชั่วคราว ไม่อยู่ในสภาพพร้อมให้ลายเซ็น คงต้องประทับลายนิ้วมืออย่างเดียวไปก่อน ยังดีที่ในกระเป๋าสตางค์ของลานดาวครบทั้งใบขับขี่และบัตรประชาชนพร้อม มิฉะนั้นเรื่องคงยุ่งยากขึ้นอักโข

นานมากกว่าทุกอย่างจะลงเอยเรียบร้อย ทุกคนขึ้นรถของนายแพทย์อมฤต โดยเขาแนะนำให้มาวันทานั่งหลังกับลานดาวและชวนพูดคุยเรื่องต่างๆตามปกติ เสมือนสนทนาประสาพี่น้องแบบที่ผ่านมา ไม่ต้องพยายามรื้อฟื้น หรือเค้นความจำด้วยเรื่องราวใดเป็นพิเศษ เพียงบอกให้ลานดาวเรียกตัวเองว่าจ๊ะ เรียกหล่อนว่าพี่เอินบ่อยๆ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ความคุ้นเคยจะเรียกความจำกลับมาได้เร็วกว่าวิธียัดเยียดข้อมูล

มาวันทาทำตามคำแนะนำ พยายามไม่คิดว่าน้องสาวความจำเสื่อม ชวนคุยโน่นคุยนี่เรื่อยเปื่อย เรื่องไหนเห็นท่าทางลานดาวคุ้นก็พูดเรื่องนั้นนานหน่อย เรื่องไหนเห็นท่าว่าเป็นชนวนให้เค้นความจำมากเกินเหตุก็หยุด หล่อนสังเกตด้วยว่าแม้ศัพท์แสงและรูปประโยคบางแบบก็ไม่เป็นที่เข้าใจ คล้ายลานดาวมีโรคปัญญาอ่อนเข้าแทรกอยู่ด้วย

แต่อมฤตก็อธิบายว่านั่นเป็นเพราะลานดาวกำลังตระหนกและขวัญหาย อีกทั้งไม่รู้จะคิดเรื่องอะไร จึงเหม่อลอยบ่อย หากรวบรวมกำลังใจเข้าที่เข้าทางได้ ทำลายกำแพงความว่างวายภายในลงสำเร็จ ความรับรู้ ความจำ เชาว์ปฏิภาณ ตลอดจนกระทั่งนิสัยเก่าก็จะกลับมาเอง มีเสียงคนสนิทเข้าหูพักเดียวพอ

บางทีเห็นหน้าซึมจ๋อยของน้องแล้วก็ยิ้มมุมปาก อยากแซวว่าเป็นไง ทำตลกไม่ออกแล้วล่ะสิ โดนริบความจำทีเดียว ที่เคยทำหน้าเป็นตลอดศก ที่เคยทำไขหูชูคอดื้อ ที่ชอบพยศเป็นนางม้าป่า เดี๋ยวนี้กลายเป็นยายจ๋องไปแล้ว มองไปมองมาเผลอหัวเราะขำ จึงต้องเสหยิบผ้าโขมพัสตร์ที่ลานดาวซื้อฝากแม่ออกมากาง แล้วชมว่า

“เธอเลือกเก่งนะ อย่างนี้แม่คงหายโกรธสนิทที่แอบหนีมาเที่ยวกับพี่”

ลานดาวมองผ้าในมือมาวันทางงๆ แววตาฟ้องว่าระลึกอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย

“เอิน…”

อมฤตทัก

“คะ?”

“คำเพียงบางคำ ถ้าไม่ตรงไปตรงมา ก็ชะลอการระลึกได้เหมือนกันนะ”

“ยังไงคะ?”

“น้องจ๊ะไม่ได้ ‘หนีมาเที่ยว’ กับเอินนี่ ใช่ไหม?”

มาวันทามองชายหนุ่มด้วยความทึ่งอีกครั้ง

“พี่แตรรู้ได้ยังไงคะ?”

“หลักการสังเกตง่ายๆ เอินเพิ่งบอกพี่ว่าน้องจ๊ะอดอาหารมาหลายวัน ร่างกายอ่อนเพลีย ถึงช็อกหมดสติไป แล้วเอินเองก็มีร่องรอยของความเศร้าหมองอมทุกข์บางอย่างอยู่กับน้องจ๊ะ… ขอโทษนะที่พี่พูดตรงไปตรงมา เพียงแต่อยากบอกว่าถ้าหวังให้เขาฟื้นความจำโดยเร็ว เหมือนดัดความบิดเบี้ยวให้กลับเข้ารูป ก็ควรใช้คำตรง อ้างถึงความจริงมากที่สุด หลีกเลี่ยงการพูดอ้อมค้อมทั้งหลาย เช่นคำว่า ‘เที่ยว’ ในความรู้สึกของเราอาจผิดจากข้อเท็จจริงเพียงนิดเดียว แต่ในหัวของน้องจ๊ะที่กำลังว่างเปล่าขณะนี้ จะปรุงแต่งสับสนเกินเราๆคาดไปมาก”

มาวันทาฉุกใจเห็นตามอมฤตกล่าว แล้วก็ลอบบีบมือตนเองแน่นด้วยความระแวงว่าเขาจะล่วงรู้เกินเลยจนถึงเรื่องลับระหว่างหล่อนกับลานดาว จะด้วยศิลปะความช่างสังเกตคนแบบจิตแพทย์หรือความสามารถพิเศษประการใดก็ตามแต่

“เอ่อ… เห็นอิทธิพลของการพูดที่อ้างอิงแต่สัจจะความจริงเลยนะคะ คำพูดเท็จจริงมีผลแปลงจิตใจให้บิดเบี้ยวหรือเที่ยงตรงได้อย่างที่เรานึกไม่ถึง… ว่าแต่ถ้าเราพูดเรื่องที่เป็นทุกข์ ชวนให้เศร้าหมอง ไม่ยิ่งไปทำจิตใจเขาแย่ลงหรือ?”

“ตอนนี้ทุกข์เดียวของน้องจ๊ะคือการสูญเสียความทรงจำเท่านั้นแหละเอิน ดังนั้นต่อให้ใช้ความทุกข์ที่เคยหนักสุด รับไม่ได้ที่สุดมากระตุ้นเตือนให้ความจำกลับมา ก็ไม่ใช่เรื่องน่าหลีกเลี่ยงอะไร แต่หากเลือกได้ ลองขุดเอาความทรงจำดีๆ แบบที่เราเล่าได้ตรงไปตรงมา ก็จะทำให้เขาฟื้นคืนด้วยสภาพจิตที่เป็นสุข แบบเดียวกับตื่นจากฝันดี ก็ย่อมยิ้มแย้มมีชีวิตชีวากว่าตื่นจากฝันร้าย”

“ตกลงค่ะพี่แตร เอินจะระมัดระวังเรื่องการใช้คำไม่ให้เพี้ยนจากความจริง และคัดเฉพาะส่วนที่เป็นเรื่องดีๆมาพูดเข้าหูจ๊ะ”

“มีทฤษฎีของคนเชื่อเรื่องภพชาติอยู่อันหนึ่งนะ คือการลืมเลือนอดีตชาติอาจใช้กลไกเดียวกันกับโรคความจำเสื่อมนี่เอง เช่นตอนเกิดกับตอนตายมีกระบวนการทางสมอง หรือกระบวนการทางจิตวิญญาณที่ลี้ลับมาลบความทรงจำออกไปหมด ซึ่งก็คล้ายกับน้องจ๊ะช็อกแล้วความจำเลือนหาย เพียงแต่จะรู้สึกอยู่รางๆว่ามีอดีตที่ฝังลืม และจะลืมอยู่อย่างนั้นจนกว่าใครสักคนที่เคยผูกพันมากๆแวะเวียนมาให้เจอหน้า ถึงเกิดความสะดุดใจ คุ้นเคย ราวกับเห็นอดีตกับปัจจุบันมาบรรจบกัน”

แพทย์หญิงมาวันทาพยักหน้ายิ้ม

“แปลว่าถ้าเราสามารถเล่าเรื่องในอดีตชาติให้ใครๆฟัง บอกถูกว่าเขาเคยเป็นใคร ชื่ออะไร ความทรงจำต่างๆก็จะทยอยกลับมาเองอย่างนั้นใช่ไหมคะ?”

“เคยมีการทดลองเหมือนกันนะ เอาพวกคนทรงเจ้า หรือผู้มีความสามารถทางในมาบอกอาสาสมัคร ว่าเคยเป็นนั่นเป็นนี่ในชาติใกล้ ผลคือบางคนคุ้นทันที บางคนเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะ บางคนพยายามคิดตามอยู่นานกว่าจะเริ่มนึกออกทีละน้อย… ไม่รู้ล่ะว่าคนบอกเห็นจริงหรือเปล่า สรุปให้ง่าย ตอนคนเราเสื่อมจากความจำในอดีต หัวกำลังว่างเปล่า ถ้าถูกป้อนข้อมูลแบบไหน สมองก็จะประมวลผลแบบนั้น กรณีของน้องจ๊ะจึงไม่น่าเป็นห่วง เพราะกำลังอยู่กับคนที่รู้เรื่องจริงของเขา และเคยมีความผูกพันสนิทแน่นแฟ้น”

มาวันทาพยักหน้า เกิดความเข้าใจและสบายใจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็คิดเล่นๆว่าอย่างนี้น่าใส่ข้อมูลใหม่ ล้างสมองเสียเลยว่าที่ผ่านมาลานดาวรักกับหล่อนฉันพี่น้องท้องเดียวกันโดยตลอด ไม่เคยรักอย่างมีมลทินแบบอื่นใด

กำลังคิดเพลินๆ ก็ได้ยินอมฤตถาม

“คนเราเชื่อเรื่องภพชาติกันเพราะอะไรมากที่สุดรู้ไหมเอิน?”

“ไม่แน่ใจค่ะ”

“ความรักไง… การพบใบหน้าอันเป็นที่รักและคุ้นเคยสนิทโดยปราศจากเหตุผลต้นปลายในชีวิตปัจจุบันมาอธิบายนั่นแหละ ทำให้คนเราจำเป็นต้องเชื่อลึกๆว่านั่นคือบุพเพสันนิวาส… สรุปคือถ้าน้องจ๊ะได้อยู่กับคนที่เขาเคยรักสุดชีวิต ก็พอหวังได้ว่าความทรงจำทั้งหลายจะฟื้นเร็วเป็นพิเศษ เพราะมีกระแสความคุ้นเคยนำร่องอยู่ก่อน”

“เหรอคะ…” แพทย์สาวยิ้มเจื่อนๆ แล้วเสหันไปลูบศีรษะปลอบน้อง “อย่าห่วงเลยนะ คิดเสียว่าจ๊ะกำลังฝัน เดี๋ยวก็ตื่น”

ใช่แล้ว เป็นแค่ฝันหนึ่ง หรือเป็นอีกชาติหนึ่ง ก็มีค่าเท่าเทียมสำหรับผู้ไม่หลงเหลือความทรงจำ ต่างกับฝันยามนิทราก็เพียงยังมีร่างกาย ลมหายใจ และโอกาสระลึกชาติได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

สัมผัสอ่อนโยนแสนสนิทของมาวันทาทำให้ลานดาวกล้าเอนศีรษะเข้าอิงไหล่และกอดหลวมๆอย่างใจปรารถนา

“ครั้งแรกที่เห็นหน้าพี่เอิน จ๊ะบอกตัวเองว่านี่คือคนที่จ๊ะเคยรักและเทิดทูนที่สุด”

การใช้คำของลานดาวทำให้มาวันทาตะแคงหน้ามองอย่างสะดุดหู เพราะลานดาวชอบพูดแบบนี้บ่อยๆ

“นี่จ๊ะจำพี่ได้หรือยัง?”

หยั่งเสียงด้วยความระทึก

“จ๊ะจำได้ว่าจ๊ะรักพี่เอินค่ะ…”

ลานดาวตอบอย่างซื่อตรงต่อความรู้สึกภายใน ขณะแห่งความลืมว่าตนเป็นใคร มีความสำคัญแค่ไหน ใจจะไวสัมผัสกว่าปกติหลายเท่า เพราะทุกภาพทุกเสียงล้วนเข้าปะทะสำนึกรับรู้ตรงๆโดยปราศจากสิ่งขวางกั้นเช่นอคติและทิฐิมานะแม้น้อยเท่ายองใย

อมฤตได้ยินลานดาวกล่าวเช่นนั้นก็อมยิ้มกล่าวแทรก

“เห็นไหมล่ะเอิน แรงประทับของรักมีน้ำหนักขนาดไหน”

เมื่อมาวันทาเห็นว่าความรักอาจเป็นสิ่งดึงดูดความทรงจำเดิมกลับมาได้เร็วดังที่นายแพทย์อมฤตกล่าวไว้ จึงพยายามใช้ทั้งภาษากายคือการโอบกอด และภาษาใจผ่านคำพูดนุ่มนวลทว่าหนักแน่น

“สำหรับพี่ ต่อให้จ๊ะต้องเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ไม่อาจฟื้นความจำ และไม่มีใครต้องการอีก พี่ก็พร้อมจะเอาจ๊ะมาเลี้ยงไว้เอง ความทรงจำเกี่ยวกับจ๊ะที่พี่มีอยู่ เพียงพอแล้วสำหรับความเต็มใจดูแลจ๊ะไปจนชั่วชีวิตที่เหลือ”

พอพูดเอง ก็ทำให้เกิดจินตนาการเอง มาวันทานึกถึงสาวน้อยแบบบาง แสนซื่อ น่าสงสาร ที่จะปรากฏตัวในบ้านหล่อนตลอดไป แล้วใจหนึ่งก็นึกอยากให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หล่อนกอดน้องแน่นขึ้น ลานดาวผู้ไร้พิษสงอาจเป็นน้องที่หล่อนจะรักจนใจแทบขาด พิศวาสยิ่งกว่าลานดาวผู้แผลงฤทธิ์เก่งเป็นไหนๆ

ลานดาวอยู่ในสภาพเด็กแบเบาะที่ต้องการการประคบประหงม เอาแต่กอดมาวันทาไม่ปล่อย ซึ่งนั่นเป็นสัมผัสที่ไม่ทำให้มาวันทาระคายหรือรู้สึกผิดอีกต่อไป

“ถ้าหากความจำของจ๊ะกลับมา เขาจะลืมช่วงเวลานี้ไหมคะพี่แตร?”

“ถ้าอีกเดี๋ยวหลับลง แล้วตื่นขึ้นด้วยการกลับเป็นน้องจ๊ะคนเก่า ก็อาจลืมช่วงเวลาที่ความจำเสื่อม ทบทวนแล้วนึกออกรางเลือนเฉพาะช่วงเห็นรถบรรทุกวิ่งเข้ามาขยี้รถเขา… แต่หากอยู่ดีๆความจำเขาฟื้นคืนขณะกำลังตื่นเหมือนเดี๋ยวนี้ ก็อาจเชื่อมกันติด แบบเดียวกับคนตื่นนอนที่ระลึกได้ว่าเมื่อห้าวินาทีที่แล้วเพิ่งฝันอะไรมา”

“ถ้าหลายวันแล้วความจำยังไม่ฟื้น เคสแบบนี้พี่แตรสะกดจิตได้ไหมคะ?”

“ก็คงต้องลองดู… เอินมองแง่ดีไว้เถอะ ความจำเสื่อมชั่วคราวของบางคนจัดเป็นบทเรียนเล็กๆที่จะนำไปสู่ความเข้าใจชีวิตมากขึ้น เอินเดาไม่ถูกหรอกว่าตอนเรามองโลกด้วยใจที่ปราศจากความจำ ชีวิตปรากฏต่างไปขนาดไหน”

“เห็นจากยายจ๊ะ ก็พอนึกออกค่ะว่าต่างอย่างไร”

“จิตแพทย์หัวก้าวหน้าบางคนมองด้วยซ้ำ ว่าอาการทางจิตหลายๆอย่างเป็นเพียงวิธีพิเศษที่ผู้ป่วยสร้างขึ้นเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ทนอยู่ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว…ความหมายของการเอาตัวรอดเป็นเรื่องลึกซึ้ง ในธรรมชาติไม่เคยมีทางตัน แต่บางทางออกอาจต้องพ้นจากสภาพตัวตนแบบเก่าๆ”

มาวันทาคิดตาม คำพูดเกี่ยวกับทางออกที่พ้นสภาพตัวตนของอมฤต ทำให้นึกถึงอุปาทานในอัตตาซึ่งเป็นคำสอนเชิงพุทธขึ้นมา

“สิ่งที่เกิดกับจ๊ะในครั้งนี้ทำให้เอินรู้สึกว่ามนุษย์เรามักมีอันเป็นไปให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างเช่นยายจ๊ะกรี๊ดสลบให้กับอุปาทานของตัวเองแท้ๆ ทั้งที่ความจริงเอินไม่ได้นั่งอยู่ในรถ อาจจะทำนองเดียวกับที่พระพุทธองค์ชี้ว่าเราต้องร้องไห้จนน้ำตาเท่ามหาสมุทรก็เพราะอุปาทานว่ามีตัวเรา ทั้งที่เรื่องจริงไม่เคยมีเราอยู่ตรงไหน”

ตั้งข้อสังเกตเช่นนั้นเพราะหวังจะได้ฟังมุมมองจากอมฤตบ้าง หากเขามีใจอยู่กับพุทธ แต่กลายเป็นเขานิ่งเฉยแบบไม่มีความเห็น ต่างฝ่ายจึงต่างเงียบกันไป อมฤตมองตรง ทำหน้าที่ขับรถ ส่วนมาวันทาพอเห็นลานดาวผล็อยหลับ ก็เหมือนหมดหน้าที่ จึงหันไปมองข้างทางคิดถึงความวุ่นวายในช่วงหลัง นึกในใจเงียบๆว่าชีวิตมนุษย์เป็นการเผชิญภัยอันน่าเหน็ดหน่าย ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาแต่ละเช้าต้องพบเจอกับใครหรือสถานการณ์ใดบ้างภายในวันนั้น

พักใหญ่ต่อมาสองสายตาก็โคจรมาสบกันผ่านกระจกมองหลังโดยบังเอิญ เกิดสัมผัสทางใจจังๆราวกับคนคุ้นเคยมาเนิ่นนาน แต่ในที่สุดอมฤตก็เป็นฝ่ายเบนวิถีตาไปแลตรงตามเดิม ขณะที่มาวันทายังมองเสี้ยวหน้าของเขาผ่านกระจกเงานิ่ง

"พี่แตรเป็นพุทธหรือเปล่าคะ?"

อมฤตกระแอมเล็กน้อยกับคำถามชวนสนทนานั้น

“ส่วนหนึ่ง…”

คิ้วโก่งเลิกขึ้นเล็กน้อย

“ใช่หรือไม่ใช่พุทธนี่มีแบ่งเป็นส่วนๆได้ด้วยหรือคะ?”

"คือ… โจทย์ของชีวิตพี่อาจยังไม่ตรงกับโจทย์ของพุทธ หรืออีกทางหนึ่งอาจเพราะยังไม่เคยเจอใครในแวดวงพุทธที่ทำให้พี่สนิทใจว่าเขาเป็นตัวแทนตอบคำถามให้พุทธได้ ที่ผ่านมาพี่สมัครใจเลือกเป็นคนไม่มีศาสนาไปพลางๆ ขอเป็นนักศึกษาที่ปราศจากกรอบความเชื่อโบร่ำโบราณหรือแม้ความรู้ยุคใหม่มาเป็นข้อจำกัด"

"แม้แต่จิตเวชศาสตร์ที่พี่เรียนจบมา?"

"ใช่! พี่ไม่อยากยอมให้อะไรมาตีกรอบเลยสักอย่าง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพี่มีอคติหรือคิดทรยศอาชีพตัวเองนะ พี่ก็อยู่ใต้กฎเกณฑ์และระเบียบการรักษาคนไข้ตามที่ร่ำเรียนมา เหมือนจิตแพทย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีสิทธิ์จ่ายยาและบอกแนวทางฟื้นฟูจิตใจแก่คนไข้ ตอนอยู่ในคลินิกพี่จะไม่พูดถึงแนวทางรักษาที่ต่างจากการแพทย์สากลยอมรับ”

เขาเล่าอย่างเปิดเผยแบบพร้อมคุยยาว มาวันทาชักสนใจ

“แล้วตอนอยู่นอกคลินิกล่ะคะ?”

“พี่อาจสนใจศึกษาวิธีบำบัดโรคด้วยพลังจิต พลังปราณ พลังอัญมณี การกดจุด และอื่นๆ เผอิญช่วงเด็กโชคดีมีซินแสข้างบ้านสอนให้ด้วยความเอ็นดู ความรู้และประสบการณ์รักษาโรคหลากหลายเลยผ่านเข้ามาสั่งสมในตัวพี่ตั้งแต่เล็ก และทำให้พี่มองการมีสิทธิ์สั่งยาแผนปัจจุบันเป็นเพียงความสามารถส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ทำไมพี่เลือกเป็นจิตแพทย์คะ?”

“คงเพราะมองว่าส่วนนี้ของแพทย์แผนปัจจุบัน ท้าทายที่สุด และมีสิทธิ์ช่วยคนได้ลึกลงไปถึงรากความรู้สึกนึกคิดของเขา”

“เมื่อกี้พี่แตรบอกว่าสนใจการบำบัดโรคด้วยพลังจิตด้วย ซึ่งถ้ามีพลังจิตพอจะบำบัดโรคได้ ก็แปลว่าต้องบำเพ็ญตบะแบบใดแบบหนึ่ง พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมคะ?”

“ได้… ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก เพียงแต่ถ้าบอกทั้งหมด เอินจะมึนว่าตกลงพี่ฝึกแบบไหนแน่ เอาเป็นอย่างนี้แล้วกัน ที่เขาว่าดัง ว่าดี ว่าได้ผลสูง พี่ไปมาเกือบหมด แม้แต่เมืองนอกที่ใช้วิธีอธิษฐานขอพรจากพระเจ้า ก็เคยไปเข้ากลุ่มมาแล้ว”

มาวันทาเม้มปาก พยักหน้าน้อยๆ

“ใจกว้างจังนะคะ เปิดรับทุกอย่างจริงๆ เอินพอจะเข้าใจล่ะ ถ้าถามพี่แตรว่าเป็นคริสต์หรือเปล่า พี่จะตอบว่า ‘ก็ส่วนหนึ่ง’ ใช่ไหมคะ?”

อมฤตหัวเราะ

“คงงั้นมั้ง”

“สรุปว่าภาพรวมของชีวิตพี่แตรคือหมอแท้ๆ ขอให้รักษาคนได้เถอะ ไม่เกี่ยงเลยว่าจะเป็นความรู้จากสำนักไหน ศาสนาใด แผนปัจจุบันหรือโบราณ… ใจดีจัง”

“เรื่องอยากช่วยคนก็ใช่ แต่อีกส่วนก็คือความสนุก ความพอใจในการเรียนรู้ด้วยน่ะนะ วันหนึ่งถ้าพี่อยากสนุกกับการศึกษา แบบค้นลึกลงไปในสัจจะเกี่ยวกับจิตวิญญาณจริงๆ พี่อาจอุทิศตัวไปอีกทาง”

“จะเอาแต่เรียนรู้ ไม่คิดมีครอบครัวบ้างหรือคะ?”

มาวันทาเริ่มเลียบเคียง

“ก็เคย… แต่ชีวิตพี่รักการแสวงหาความรู้มาตั้งแต่เด็ก เหมือนเป้าของการเกิดมาคือเรียนเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เน้นหาคู่ เลยทำให้พี่เห็นว่าถ้าเลือกคู่ผิด ก็อาจหมายถึงการเสียเวลาช่วงหนึ่งในชีวิตไปเปล่าๆ”

แพทย์หญิงนิ่งฟัง อดเปรียบเทียบกับน้องสาวไม่ได้ ชีวิตลานดาวแทบจะเกิดมาเพื่อแสวงหาความรักโดยเฉพาะ ไม่ยินยลสนใจเรื่องไปเรียนต่อ เรื่องงานการ หรือกระทั่งเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านร้านถิ่น ขอให้พลิกแผ่นดินหารักจนเจอเถอะ ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น

มาวันทาตระหนักว่าตนไม่อาจรู้จักอมฤตด้วยการได้ยินคำตอบจำกัดจำเขี่ยจากการสนทนาครั้งเดียว ทราบแต่ว่าคนเก่งจัดมักชอบเป็นกบฏทางความคิด และหล่อนก็รู้สึกว่าอมฤตมีมิติกว้างยาวลึกทางความรู้กับประสบการณ์เหนือคนทั่วไปมาก แถมเป็นคนน่าพิศวง ที่มีทั้งความเปิดเผยเข้าถึงง่ายในรอยยิ้ม กับความลึกลับสุดหยั่งในแววตาควบคู่กัน เรียกว่ารอยยิ้มน่าคบ แววตาน่าค้นหา มีทั้งลักษณะของทูตที่พร้อมจะเสริมกำลังใจใครๆ ขณะเดียวกันก็มีพลังของนักปฏิวัติที่พร้อมจะพังกรอบจำกัดเดิมออกไปค้นหาสิ่งใหม่ด้วยความเชื่อมั่นเกินร้อย

มองๆเขาแล้วหล่อนนึกอย่างไรไม่ทราบ จึงพูดออกไปเกือบโต้งๆ

“เอินอยากให้พี่แตรรู้จักจ๊ะตอนปกติจังค่ะ เขาน่ารักนะคะ กล้าพูดเลยว่าเป็นผู้หญิงเสน่ห์แรงที่สุดในโลกคนหนึ่ง!”


ลานดาวตื่นจากหลับเอาเกือบถึงกรุงเทพฯ มาวันทาภาวนาให้น้องสาวจำความได้เสียที หล่อนถามชื่อ นามสกุล มหาวิทยาลัยที่ศึกษา และอื่นๆเป็นการทดสอบ ผลปรากฏว่าเหมือนเดิม คือลืมหมดเกลี้ยง จำได้อย่างเดียว พูดได้เรื่องเดียว เหมือนหุ่นยนต์กระป๋องยุคอัดเทปเล่นซ้ำไปซ้ำมา คือ ‘จ๊ะรักพี่เอิน’ ซึ่งพอฟังเหมือนนกแก้วนกขุนทองหลายเที่ยวเข้า มาวันทาก็ชักนึกรำคาญแทนความปลื้มใจเหมือนแต่แรก

ทานข้าวกลางวันแบบง่ายๆกันที่ร้านใกล้บ้าน ลานดาวในสภาพสมองบกพร่องกลายเป็นคนกินง่าย สมัครใจตักอาหารใส่ปากเองด้วยความหิวโหย ดูแล้วน่ารักน่าสงสารกว่าตอนดื้อด้าน อดข้าวประท้วงเป็นอันมาก หล่อนตั้งหน้าตั้งตากินเอาๆแบบไม่ปิดบังความหิว แต่ขณะเดียวกันก็ยังสำรวมท่าทีเยี่ยงคุณหนูจากบ้านผู้ดีเก่าไว้ได้ด้วย

ขณะลอบมองลานดาวในร้านอาหาร มาวันทาถามตัวเองขึ้นมาว่าตัวตนของลานดาวที่หล่อนรักอยู่ตรงไหนกันแน่ บุคลิก ความรู้สึกนึกคิด วิธีพูดจา ตลอดจนความทรงจำทั้งหลายสลายไปหมดแล้ว แต่เหตุใดหล่อนจึงยังรักน้องสาวคนนี้อยู่เหมือนเดิม? อาจเป็นรูปร่างหน้าตาน่าหลงใหล หรืออาจเป็นเยื่อใยความรักความผูกพันที่ยังฝังแน่นในใจหล่อนกระมัง

นึกถึงบุญที่ทำร่วมกันตอนเช้า ความสว่าง ความอบอุ่นในบรรยากาศสานไมตรีเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องอิงสิ่งใดอื่น ก็เป็นดุจสายใยเชื่อมใจให้ผูกกันแน่นแฟ้นได้แล้ว สายสัมพันธ์ทางใจบางครั้งพ้นไปจากรายละเอียดความทรงจำต่างๆ ถ้าเคยทำให้รักได้ ก็จะรักอยู่อย่างนั้นเอง ไม่ต้องขุดคุ้ยหาเหตุผลให้มากว่าเพราะอะไร เหตุการณ์ไหนบันดาลให้รัก เช่นนี้เอง แม้ความทรงจำเกี่ยวกับตัวตนจะเลือนแล้ว แต่สายใยก็ยังไม่จางไปไหน

ออกจากร้านอาหารกลับเข้าบ้าน ลัดธีร์ออกไปนานแล้ว เพื่อทำหน้าที่นำนกเหล็กทะยานขึ้นฟ้า มาวันทาต้องไปขอกุญแจจากเพื่อนบ้านซึ่งลัดธีร์บอกทางโทรศัพท์ว่าจะฝากไว้ที่นั่น

เจ้าของบ้านสาวพาแขกมาที่ห้องดนตรี แน่นอนว่าหล่อนมีเจตนาใช้เครื่องดนตรีเป็นสื่อเหนี่ยวนำความจำของลานดาวกลับมา

“จ๊ะเล่นเปียโนมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก ไปแข่งขันได้รางวัลมาเป็นกระบุงโกยด้วย เพราะฉะนั้นถ้าลงนั่งหน้าเปียโน พี่รับรองว่าจะต้องเล่นได้ปร๋อ ของตายแบบนี้”

มาวันทาทำนายรวบรัดเสร็จสรรพ ก่อนจูงมือลานดาวมานั่งแป้น เปิดฝาครอบเปียโนโชว์ ๘๘ คีย์ขาวดำให้เห็น โดยมีอมฤตยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

ทุกคนหวังเห็นความอัศจรรย์ในระบบการทำงานของสมอง ที่ความจำจะวาบกลับมาทันทีทันใดเมื่ออยู่ตรงหน้าเครื่องดนตรีชิ้นโปรด ลานดาวบังเกิดความตื่นเต้นกับความคาดหมายทั้งของตนเองและคนอื่น หล่อนพยายามเพ่งจ้อง พยายามวางสองมือ เคาะนิ้วลงบนบางคีย์ ซึมซับรับสัมผัสการยุบของกระเดื่องที่มีกลไกส่งต่อไปเคาะสายให้เกิดเสียงต๊องแต๊ง

บางขณะลานดาวเริ่มคุ้นอยู่บ้างกับส่ำเสียงและสัมผัส แต่ทว่าด้วยความตื่นเต้น ผสมกับการลงนิ้วทีละเคาะทีละแคะ ไม่ทำให้เกิดการเข้ารหัสเดิมเช่นเมื่อครั้งสามารถพรมนิ้วประสานกันรี่เร็วราบรื่น ความคุ้นก็ปรากฏเป็นเพียงพยับแดดลิบๆ ที่เมื่อพยายามเข้าใกล้แล้วเลือนลงเป็นทรายแห้งแล้งแทนบ่อน้ำลวงตา

พยายามอยู่เกือบยี่สิบนาที มาวันทาทั้งลองเอาโน้ตมาตั้ง ทั้งบอกชื่อเพลงที่ลานดาวเคยเล่นประจำ จนอดีตนักเปียโนมือทองเริ่มทำหน้าเคร่งเครียด และมาวันทาไม่เห็นวี่แววว่าจะสำเร็จแน่แล้ว ก็ชวนให้เลิกพยายามชั่วคราว หยุดพักผ่อนก่อน

ลานดาวมีสีหน้าและแววตาเศร้าหมองน่าสงสาร หล่อนกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะกลายเป็นบุคคลไร้สมรรถภาพตลอดไป มาวันทาเองเห็นแล้วก็ท้อตาม และนึกกลัวขึ้นมาวูบๆวาบๆเหมือนกัน จะทำอย่างไรในเมื่อของมันจำไม่ได้ นึกไม่ออกอยู่อย่างนี้ มองไปมองมา หนักใจกระทั่งต้องแตะแขนอมฤต ขอออกไปคุยด้วยในห้องครัว และบอกให้ลานดาวนั่งรอในห้องดนตรีไปก่อน

สองหมอมายืนเงียบเชียบในครัวเกือบครึ่งนาที ฝ่ายหนึ่งยังใจเย็น แต่อีกฝ่ายชักใจร้อนและเสียงเริ่มปร่า

“เท่าที่เอินทราบ ผู้ป่วยความจำเสื่อมชั่วคราวนี่ถ้าได้กลับมาสัมผัสกิจกรรมถนัด มักเรียกวิธีคิดหรือการทำงานของสมองแบบเก่าๆให้กลับมาเข้าที่เข้าทางได้ไวไม่ใช่หรือ?จ๊ะเป็นมือเปียโนระดับพระกาฬทีเดียวนะคะ เก่งขนาดเล่นสดจากการอ่านโน้ตเมื่อแรกเห็น แถมแต่งเพลงเองได้เพราะด้วย”

“อย่าเพิ่งเป็นทุกข์ซีเอิน เท่าที่พี่เห็นเมื่อกี้คือความคาดหวังมากเกินไป เริ่มจากเอิน แล้วแพร่ไปถึงจ๊ะ เขาทั้งเค้น ทั้งตื่นเต้น หาความสบายใจไม่ได้เลย ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนพยายามดูลายมือกันในห้องมืด ดูยังไงก็ไม่เห็นหรอก ต้องเปิดม่าน เปิดหน้าต่างให้โปร่งโล่งเสียก่อน”

หัวคิ้วของมาวันทาคลายออก

“แล้วเมื่อกี้ทำไมพี่แตรไม่ห้ามเอินล่ะคะ?”

“เอินพูดออกไปแล้ว เขาเกร็งกับความคาดหวังไปแล้ว เอาน่ะ… เดี๋ยวลองใหม่ หาอะไรที่มันแหวกแนวจากเปียโน เพราะตอนนี้จ๊ะเชื่อว่าเขาเล่นเปียโนไม่เป็นแล้วล่ะ ชุดความจำเกี่ยวกับเปียโนถูกเก็บแบบใส่หีบลงล็อกสนิท”

“เอินแปลกใจจังค่ะ หน้าเอินเขาก็เห็นแล้ว บ้านที่เคยขลุกขลุ่ยตั้งหลายเดือนก็มาถึงแล้ว เปียโนที่เคยเล่นได้เหมือนโชแปงกลับชาติมาเกิดก็ลองสัมผัสแล้ว ทำไมยังจำไม่ได้อีก ชักสงสัยว่าแกล้งอำหรือเปล่า”

อมฤตหัวเราะ

“เขาไม่ได้แกล้งหรอกเอิน จังหวะไหนคลื่นไฟฟ้าในสมองแปรปรวนผิดปกติ ก็จะส่งผลให้สมองรวนไปชั่วคราวเหมือนเครื่องไฟฟ้ามันช็อตอยู่ข้างใน เราดูตาเปล่าเห็นตัวถังข้างนอกยังดีๆอยู่ก็นึกว่าไม่เห็นน่าจะเสียได้”

ฟังจิตแพทย์หนุ่มเปรียบเทียบให้เข้าใจแล้วมาวันทาค่อยสงบลงได้ อมฤตอธิบายต่อ

“ความจริงถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆเช่นบ้านของเขาเองน่าจะช่วยให้ความจำฟื้นเร็วขึ้น แต่พอพี่จะเอาตัวไปส่ง เอินก็ยังไม่อยากให้พ่อแม่เขาเจอในสภาพอย่างนี้ จะลองเอามาปลุกความจำดูเองก่อนเผื่อฟลุก… เอินเป็นคนใช้คำนี้เองนะ เผื่อฟลุกน่ะ แล้วไหงตอนนี้ถึงต้องเดือดร้อนเพียงเพราะปาฏิหาริย์ไม่เกิดเร็วทันใจเล่า?”

“จริงค่ะ เอินอยากลองดูเองก่อนเผื่อหายเสียที่นี่ สารภาพตามตรงว่าไม่อยากเสียเครดิต พาลูกเขาไปไหนแล้วเอ๋อกลับมาอย่างที่กำลังเป็น แม้จะไม่ใช่ความผิดของเอินก็ตาม”

“อือม์… ดูก็รู้ว่าพ่อแม่น้องจ๊ะคงเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม พอเห็นอยู่ในสภาพบ้องแบ๊วอย่างนี้คงตกใจน่าดู ไปหัวหินมาคืนเดียว”

อมฤตตั้งใจผ่อนคลายความตึงเครียด และคำพูดของเขาก็ทำให้มาวันทาอดขำไม่ได้ สีหน้าผ่อนคลายลงบ้าง

“คุณพ่อจ๊ะน่ะใจดีค่ะ เข้าใจอะไรทุกอย่างแบบมองโลกด้วยใจกว้างมาก เน้นสอนให้คิดเป็นเท่านั้น จ๊ะขอไปไหนค่อนข้างปล่อย แต่คุณแม่เขาค่อนข้างเข้มงวดแล้วก็คุมแจ นี่เพิ่งตอนจ๊ะเรียนปีสุดท้ายนั่นแหละ ถึงอนุญาตให้ไปไหนมาไหน หายใจหายคอสะดวกขึ้น”

“งั้นลองอีกสักตั้ง แล้วค่อยเอาตัวไปส่ง… แต่เอินอย่าหวังมากนักนะ อธิบายพ่อแม่เขาเท่าที่เรื่องสุดวิสัยมันเกิด ถ้าเคืองก็คงเดี๋ยวเดียว พอจ๊ะหายดีแล้วก็ลืมๆกันเอง”

“ถ้านะคะ… ถ้าจ๊ะไม่หาย…”

“รอสักอาทิตย์หนึ่ง หากยังเป็นอย่างนี้อยู่ก็ต้องส่งโรงพยาบาล จะได้สืบหาต้นตอความผิดปกติที่แท้จริงซึ่งอาจเป็นระบบสมอง จะได้ดูแลด้วยวิธีการทางจิตบำบัดต่อไป… ญาติๆอาจเจ็บปวดหน่อยนะ แต่นั่นก็คือสิ่งที่ต้องทำ ยังไงตอนนี้มองแง่ดีตามพี่ดีกว่านะเอิน น้องจ๊ะไม่มีอาการชัก ไม่มีอาการกระตุกหลังช็อก แสดงว่าไม่มีความผิดปกติของคลื่นสมองขนาดต้องเตรียมใจมองในแง่ร้ายขนาดนั้นหรอก”

ตรึกตรองเป็นครู่ก่อนกล่าวสืบต่อ

“ระหว่างอาทิตย์นี้อย่าให้ต้องกังวลหรือเครียด เดี๋ยวก่อนจะพาไปส่งบ้านก็ควรโทร. บอกพ่อแม่ให้รับทราบล่วงหน้า และทำเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อธิบายด้วยว่าความห่วงออกนอกหน้าจะยิ่งทำให้จ๊ะกระวนกระวายหนักเข้าไปใหญ่ พูดถึงเรื่องกังวล ถ้าวันสองวันนี้เห็นหนักนักก็พาไปหาพี่ที่โรงพยาบาล แล้วพี่จะจ่ายยาประเภทคลายกังวลให้เขาดีขึ้น”

“ค่ะ เอินจะทำใจมองแง่ดีตามพี่แตรแนะ… ว่าแต่พี่แตรเสียเวลากับเรามากเลย ถ้าจะกลับไปทำธุระอื่นก็ตามสบายนะคะ ที่เหลือเอินดูแลเองได้แล้ว”

“นี่คือไล่หรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ… เกรงใจพี่แตรจะแย่ต่างหาก”

“ช่างเถอะ พี่เต็มใจนี่”

“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันนะคะ เดี๋ยวเอินจะลองเล่นฟลุตให้จ๊ะฟังดู เลือกเพลงที่เขาชอบขอให้เอินเล่น ถ้ายังไม่หายอีก ก็คงต้องโทร.เรียนคุณพ่อคุณแม่ของจ๊ะตามจริงว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อเตรียมใจ แล้วค่อยพาไปส่งบ้าน”

“พี่เอินคะ…”

สองแพทย์ชะงักคำปรึกษา หันไปทางต้นเสียงอย่างตกใจ เห็นลานดาวยืนเกาะขอบประตูห้อง มองมาวันทาตาละห้อย

“จ๊ะไม่อยากไปไหน ไม่อยากเจอพ่อแม่ ไม่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว พี่เอินให้จ๊ะอยู่กับพี่เอินที่นี่ได้ไหมคะ?”

ทีแรกมาวันทานึกเคืองแม่หนูน้อยตัวปัญหาที่เสียมารยาทแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน ทั้งที่สั่งให้นั่งรอในห้องดนตรี แต่พอเห็นเงาร่างหมอง สะท้อนจิตใจที่อยู่ในสภาพซมซาน มาวันทาก็คลี่ยิ้มปลอบ และรีบเดินเข้าไปหา

“ถ้าเปลี่ยนเป็นให้พี่ไปดูแลที่บ้านจ๊ะจะดีกว่าไหม? เพราะพี่เอินต้องทำงาน แล้วพ่อแม่ของจ๊ะก็คงไม่ยอมปล่อยลูกสาวสุดรักสุดหวงไว้ที่บ้านคนอื่นหรอก”

ลานดาวช้อนมองพี่สาวด้วยนัยน์ตาชอกช้ำ

“จ๊ะไม่ได้แกล้ง จ๊ะไม่อยากเป็นอย่างนี้ จ๊ะจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ จ๊ะไม่อยากเป็นตัวตลกให้ใครหัวเราะ แล้วก็ไม่อยากทำให้ใครตกใจค่ะพี่เอิน”

หยาดน้ำตาไหลออกมาสองสาย ทำให้มาวันทาเริ่มใจเสีย เพราะตนเป็นคนหลุดปากพูดโดยไม่ทันระวังว่าน้องจะมาแอบฟังจนทำให้คิดมากอย่างนี้

“น่า… พี่พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ ถ้านึกว่าจ๊ะจำได้แล้วแกล้งอำจริงๆ ป่านนี้แกล้งกลับด้วยการหยิกเราเนื้อขาดนานแล้ว ไปเถอะ… เดี๋ยวพี่จะเป่าฟลุตให้ฟัง เพลงที่จ๊ะเคยชอบ ยังนึกไม่ออกก็ช่าง พี่จะเป่าให้ฟังทุกวันจนกว่าจะจำได้… ดีไหม?”

ลานดาวนิ่งอั้น ก่อนจะรับเบาๆในที่สุด

“ค่ะ”

แล้วหล่อนก็ยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ปล่อยโฮออกมาอย่างคนสิ้นไร้หนทาง มาวันทาเห็นเช่นนั้นก็รั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอด ทำตาแดงๆตาม แต่สะกดอารมณ์ไม่ให้สะอื้นไปกับน้อง เพราะเหมือนจะยิ่งพลอยทำให้บรรยากาศสิ้นหวังก่อตัวแจ่มชัดกว่าเก่า

นานจนลานดาวสะอื้นแผ่วลง และดึงกายออกจากอ้อมกอดของพี่สาวเพื่อถาม

“พี่เอินบอกจ๊ะตามตรงเถอะ ถ้าจ๊ะไม่หายจริงๆ จ๊ะจะถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลคนบ้าหรือเปล่าคะ?”

“ไม่หรอกครับจ๊ะ พี่รับรองว่าอาการของจ๊ะจะหายเองเร็วๆนี้”

อมฤตเป็นคนตอบ สำนึกผิดและละอายที่เมื่อครู่หลุดบางคำที่ลานดาวแอบฟังแล้วอาจทำให้นึกว่าเขาเห็นหล่อนเป็นตัวตลก เช่นบอกว่าไปหัวหินคืนเดียวกลับมาหน้าตาบ้องแบ๊ว แถมเขาเป็นคนปล่อยความลับเกี่ยวกับการส่งตัวไปโรงพยาบาลอีกต่างหาก

ฝ่ายมาวันทาก็ประคองไหล่ลานดาว เปิดตาจ้องนิ่งขณะพูดนิ่มนวลชัดถ้อยชัดคำ

“จ๊ะ… ถ้ามีใครพาเธอไปที่นั่น พี่จะตามไปอยู่กับเธอเอง”

มาวันทาหมายความตามนั้น หล่อนจะไม่มีวันทิ้งน้องให้อ้างว้างเดียวดายเลย

ใจจริงของพี่สาวที่ก่อกระแสรู้สึกอบอุ่นท่วมอก ทำให้ลานดาวจุกแน่นคอหอยด้วยความตื้นตันปรีดา ต้องโผเข้ากอดอีกฝ่ายทั้งน้ำตา ใจเหมือนจะขาดไปกับความซาบซึ้งรุนแรง บอกตนเองว่าชะตากรรมจะเล่นงานหนักหนาเพียงใดก็ยอม ตราบใดยังมีอ้อมอุ่นเยี่ยงนี้ไว้เป็นเรือนตาย

ประเล้าประโลมอีกพักใหญ่ มาวันทาก็พาลานดาวกลับมาที่ห้องดนตรีอีกครั้ง

“คืนแรกที่จ๊ะมานี่ แล้วเราเล่นเปียโนกับฟลุตคู่กัน จ๊ะเป็นคนเลือกเพลงด้วยการลงมือเล่น Gymnopedie ให้พี่เป่าตาม…”

มาวันทาเล่าพลางนำกล่องฟลุตมาเปิดและประกอบชิ้นส่วนทั้งสามเข้าด้วยกัน ระหว่างประกอบก็ส่งยิ้มใสให้ลานดาวเป็นการลำเลียงถ่ายไมตรีจิตไม่ขาดตอน และนั่นก็ทำให้ใจของลานดาวเบิกบานขึ้น ลดความหดหู่ลงแทบสิ้น

เมื่อฟลุตถูกประกอบสำเร็จเป็นเลายาว มาวันทาก็ยกขึ้นเริ่มเป่า โดยที่สายตาไม่ละไปจากการสานสบกับน้องสาว ลำนำเสนาะกล่อมโลกให้สงบของ Gymnopedie ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่เกิดจากอาการสดับของสองผู้ฟังในห้อง

มาวันทาขับน้ำหนักห้วงลมแรงเบาจากทรวงอกอย่างตั้งอกตั้งใจใช้เป็นสื่อให้ระลึกถึงคืนแห่งความสุขแรกระหว่างกันในห้องดนตรีนี้ คมเนตรงามรวมศูนย์อยู่ที่จุดเดียวคือดวงตารอนแสงสติของลานดาว เกิดความเชื่อขึ้นมาว่าพลังแห่งความรักที่เอ่อท้นในตนสามารถเรียกน้องสาวคนเดิมกลับมาหาหล่อนได้ในเวลาไม่นานเกินรอ

แม้จะเล่นเดี่ยวตามลำพัง นักฟลุตสาวก็นึกถึงเสียงเปียโนของลานดาวไปด้วย ราวกับมีลานดาวเล่นคลออยู่ในใจ แววตาคล้ายเปล่งสัญญาณบอกอยู่เนืองๆว่าถึงตาลานดาวควรเล่นส่งให้หล่อนอย่างไรแล้ว นัยน์ตาพูดได้ของหล่อนคล้ายตัดพ้อในบางครา ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้หล่อนต้องเล่นอยู่เดียวดายเพียงลำพัง

ภาษาดนตรีทางใจที่ถ่ายทอดอย่างเงียบเชียบผ่านเสียงฟลุต ทำให้ลานดาวค่อยๆเริ่มคุ้นขึ้นมาทีละชั้น นับจากสถานที่และบุคคล สำเนียงอ่อนโยนแห่งสันติภาพของเพลงที่เข้ากับบรรยากาศสงบสุข ตลอดไปจนกระทั่งความประทับใจในลีลาทางกายอรชรสมส่วนของมาวันทา ที่พลิ้วไหวได้เข้ากันลงตัวกับเครื่องดนตรีสีเงินแวววาวชิ้นยาวในสองมือ

กระทั่งเสียงเพลงจบลง เสียงปรบมือดังขึ้นแทนที่ แล้วพร้อมกันนั้น ลานดาวก็มั่นใจว่าหล่อนเคยเล่นฟลุตได้มาก่อน

“พี่เอินคะ จ๊ะเคยเป่าฟลุตเป็นไหม?”

“ได้ซี… เก่งด้วยนะ พี่สอนให้แค่ไม่กี่เดือน ถึงขนาดเป่าเพลงยากๆเล่นคู่กับพี่ได้แล้ว”

ลานดาวลุกขึ้นยืน

“พี่เอินเป็นคนสอนจ๊ะหรือคะ?”

“ใช่… เธอบอกว่าเครื่องเป่าเป็นศัตรูกับเธอมานาน เพิ่งคิดเล่นก็เพราะอยากเป่าคู่กับพี่”

“งั้นสอนจ๊ะอีกครั้งได้ไหม?”

“ทำไมจะไม่ได้ เริ่มกันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

มาวันทาตอบทันทีอย่างไม่เหนื่อยหน่ายแม้ต้องสอนซ้ำอีกกี่ร้อยรอบ หรือกี่ร้อยชาติก็ตาม หล่อนก้าวมายืนเบื้องหน้าน้องสาว ยื่นฟลุตให้ ลานดาวก้มลงมอง ระลึกได้ว่านั่นเป็นสัญญาณบอกความรัก ความสนิทใจไม่รังเกียจที่จะให้ใช้ของที่ต้องร่วมลมหายใจเดียวกัน

“ทำตัวตรงๆ อย่าให้หลังงอ ต้องยืนในท่าที่จะได้หายใจสะดวกไว้ก่อน เอาล่ะยกฟลุตขึ้นถือไว้อย่างนี้ ไม่ต้องเกร็ง…”

คุณครูสอนวิธีสร้างรูปปากให้ส่งลมเป็นลำได้ง่าย หายใจเต็มๆแล้วเป่าคล้ายผิวปากลงไปตรงๆ กะให้แทงเข้าบริเวณขอบบนของรูเป่า พูดซ้ำคล้ายกับที่เคยสอนมาก่อน จากนั้นจึงค่อยๆบอกวิธีกดกระเดื่องเพื่อบังคับให้ลมผลิตเสียงโน้ตที่ต้องการ

ฟลุตเป็นเครื่องดนตรีที่ต้องพึ่งลมหายใจเป็นหลัก ลานดาวหายใจตามคำสั่งของคุณครูอยู่ครู่หนึ่งก็เกิดสมาธิจากการรวมจิตจ่อกับการหายใจ และเริ่มคุมจังหวะได้เป็นอัตโนมัติ พลังลมนั้นเองส่งผลกระทบใหญ่หลวง นับเริ่มจากผนึกสติให้ตั้งมั่น ส่งทอดถึงสัญญาณความจำที่จะระบายลม แล้วเชื่อมต่อไปยังรหัสกระเดื่อง ซึ่งต้องอาศัยการขยับประสานงานระหว่างนิ้วมือ

ความคุ้นทยอยมาทีละชุดคล้ายทัพทหารที่ค่อยๆรวมพลเข้ากระแทกประตูเมืองลับแลอันถูกลั่นดาลไว้แน่นหนา จากที่เคยรู้สึกคล้ายยืนอยู่ท่ามกลางหุบเหวแห่งความลืมเลือนอันอ้างว้าง บัดนี้เหมือนกลับมาประชิดเมืองนอนรอมร่อ ลานดาวเพียรส่งลำลมวิเศษลงเลาฟลุตเพื่อปลุกสติตนเองทีละระลอก แปรกลุ่มนิ้วสลับตำแหน่งกดกระเดื่องที่คล้ายแผงรหัสปล่อยมนต์ขลัง มีอัตโนมัติในลำนิ้วผุดขึ้นมาเรื่อยๆ และนั่นก็เหมือนดาลประตูถูกกระทุ้งหนักเข้า เปราะบางมากเข้า กระทั่งเห็นรอยปริแตกชัดขึ้นทุกที

ครั้งหนึ่งการหายใจเข้ายาวทำให้ระลึกได้ว่าหล่อนหายใจสั้นมาเสียนาน พอสายลมยืดยาวขึ้นก็ฉุดกำลังเก่าๆให้ฟื้นตัว พลิกจิตเข้าที่เหมือนพลิกรถคว่ำให้หงายกลับขึ้นใหม่ บัดนั้นเกิดชุดความจำของการกดโน้ตต่างๆเพื่อบรรเลง Gymnopedie โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพามาวันทาบอก

คล้ายเคลื่อนมาตามทางออกที่ถูก แล้วพบว่าเงาไม้ในป่ารกกลับเบาบางลง แปลกตาน้อยลงคุ้นเขตใกล้พ้นป่ารำไร จากนั้นอีกครู่ใหญ่ก็ถึงวาระแรกแห่งความจำเกี่ยวกับตัวตน เมื่อระลึกได้ว่าขณะแห่งการเป่าฟลุตที่มีความรักล้นอก หล่อนจะชำเลืองแลทอดตาหวานประสานกับมาวันทาเสมอ

เมื่อจำวิธีชำเลืองส่งกระแสตาได้นั่นเอง มายากลอันมหัศจรรย์พันลึกแห่งสมองจึงเริ่มแสดงตัว เสมือนการรวมเศษแก้วชิ้นสุดท้ายมาปะเข้าได้รูปทรงชัดเจนด้วยกาวสติ วินาทีแห่งความตื่นเต็มนั้นเอง หมอกมืดแห่งความลืมพลันถูกขับไล่ให้ปลาสนาการ บันดาลความสว่างเจิดจ้าขึ้นแทนที่อย่างเฉียบพลัน!




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น