วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๒๙. หมอเทวดา)

ตอนที่ ๒๙. หมอเทวดา


บนโต๊ะทานข้าวในค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยอาหารอร่อย บรรยากาศพูดคุยสนุกสนานเป็นกันเอง ไม่มีใครแปลกปลอมเลยสักคน มาวันทายังคงเข้าหน้ากับผู้ใหญ่ได้สนิทหลังจากเมฆหมอกอึมครึมผ่านพ้นไป ส่วนอมฤตก็เข้าบ้านบ่อยจนทุบสถิติการมาเยือนของหนุ่มทุกราย เพื่อนชายในอดีตของลานดาวส่วนใหญ่ปรากฏตัวให้พ่อแม่เห็นสองสามหน ราวกับตัวตลกมายกมือไหว้คั่นรายการแล้วเด้งดึ๋งลับหายชั่วนิรันดร์ คล้ายพิธีสร้างสีสันรอเวลาพระเอกตัวจริงออกโรง เห็นได้ชัดว่าสำหรับอมฤตนั้น ลานดาวคบดูใจในฐานะผู้มีสิทธิ์คนแรกที่อาจเป็นเจ้าบ่าว มิใช่เหยื่อรายใหม่ไว้เขี่ยทิ้งเล่นเป็นการเพิ่มบารมีดังเคย

กระทั่งเกือบสองทุ่มเมื่อพ่อแม่ของลานดาวขอตัว เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวสนทนากันเอง ลานดาวจึงชวนอมฤตกับมาวันทาไปที่ห้องกระจกอันเป็นอาณาเขตส่วนตัวสุดโปรดของหล่อน หญิงสาวอารมณ์ดีพอจะเล่นเปียโนตามคำขอให้สองหมอฟังหลายเพลงเป็นรายการบันเทิงตบท้ายอาหารค่ำ จากนั้นจึงปิดเปียโนลุกมานั่งรวมกลุ่ม

“พี่แตรจะสะกดจิตรักษาพี่เอินไม่ใช่หรือคะ ลงมือเลยไหม? จ๊ะอยากดู”

เจ้าของสถานที่เป็นฝ่ายยิ้มแย้มถามแทนผู้รอรับการช่วยเหลือ อมฤตพยักหน้า

“ก็ดี… เอินพร้อมหรือยัง?”

คนถูกถามยิ้มเขิน นับจากวันแรกที่รู้จักกัน ก็เพิ่งคืนนี้ที่หล่อนพบเขาอีกครั้ง แม้จะมีความคุ้นเคยอยู่บ้างจากการสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ต พอเจอตัวจริงก็เหมือนยังแปลกหน้าในหลายๆทาง

“พร้อมค่ะ รบกวนพี่แตรหน่อยนะคะ”

“งั้นพวกเราปิดมือถือกันทุกคนนะ” แล้วเขาก็หันไปบอกลานดาวโดยเฉพาะ “ห้ามพูดอะไรแทรกขึ้นมาล่ะ ถ้ามีใครแวะมาป้วนเปี้ยนก็ช่วยออกไปรับหน้าด้วย หากโฉ่งฉ่างให้เอินวอกแวกอาจเกิดความเสียหายหรือมีผลกระทบกระเทือนได้”

“ก๊าบ!”

ลานดาวยกมือตะเบ๊ะรับคำสั่งเสียงแหลมเป็นทหารรับใช้ผู้น่ารัก

“บอกแนวทางคร่าวๆก่อนเพื่อความเข้าใจ” อมฤตอธิบายให้มาวันทาฟัง “ตามสมมุติฐานของพี่ ที่เอินยังฝันร้ายประปรายก็เพราะใจส่วนลึกยังกลัวความสูงซึ่งติดตาในฐานะเครื่องมือฆ่าตัวตาย ถึงแม้เอินเดินทางกลับไปที่เก่าเพื่อลบล้างเจตนาเดิมก็ยังแก้ได้ไม่ขาด เพราะขุดไม่ถึงรากแก้ว ฉะนั้นพี่จะจูงจิตเอินให้เข้าสู่ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เอินจะคุยกับพี่รู้เรื่องทุกอย่าง แต่จิตมีสภาพคล้ายฝัน คือสามารถเห็น ได้ยิน และรู้สึกชัดราวกับเกิดเหตุการณ์จริง พี่จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาใหม่ให้เอินรู้จักหน้าตาความกลัวอย่างถ่องแท้ จากนั้นจะให้การดำเนินจิตอีกแบบหนึ่งเป็นการลบล้างกัน หากถอนรากความกลัวชนิดนี้ได้ แม้ฝันอีกก็จะไม่ทรมานแล้ว”

มาวันทาพยักหน้าอย่างเชื่อมือ

“เข้าใจค่ะ”

“เปลี่ยนที่กับจ๊ะ ไปนอนบนโซฟายาวดีกว่า ร่างกายจะได้ผ่อนพักทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนต้องเกร็ง”

สองสาวสลับที่กันตามท่านจิตแพทย์สั่ง มาวันทาประหม่าเล็กน้อยเมื่อเอนลงนอนหนุนหมอนเหยียดกายหงายตามยาว นึกหวาดหวั่นอยู่ในใจว่าเดี๋ยวตนอาจจะออกท่าออกทางตลกให้ลานดาวหัวเราะขบขันเข้าบ้างหรือไม่ วินาทีนั้นชักอยากไล่แม่น้องสาวจอมล้อเลียนออกไปนอกห้องเสียไกลๆ ติดแต่เป็นเจ้าของสถานที่ แล้วไล่อย่างไรก็คงไม่ไป เพราะเจ้าตัวประกาศเองว่าอยากดู

กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆเมื่ออมฤตสั่งให้ปิดตา เขาคอยกำกับบททีละขั้น นับแต่ชี้ให้เห็นอาการหายใจซึ่งสะท้อนว่าหล่อนยังไม่สบายเต็มที่ สังเกตจากอาการหายใจขัด ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอ อีกทั้งยังตื่นเต้นกับความคิดว่ากำลังจะถูกสะกดจิต เมื่อมาวันทารู้ตัวจึงสงบความคิดลง เหลือแต่ความกำหนดอยู่กับกิริยาผ่อนพักสบาย ลมหายใจราบรื่นสม่ำเสมอขึ้นกว่าเดิม เยี่ยงผู้ฝึกสมาธิจนเริ่มชำนาญแล้ว

เมื่อเห็นมาวันทาสบายอยู่กับลมหายใจเป็นหลักตั้ง อมฤตก็ชี้ต่อไปเป็นจุดๆว่าร่างกายส่วนไหนของหล่อนยังฝืน ยังไม่วางพักเต็มที่ เช่นคอแข็งขืนเล็กๆ หน้าท้องยามระบายลมออกยังเกร็ง ตลอดจนกระทั่งนิ้วมือซ้ายบางนิ้วที่งอก่องอขิงไม่สบายตามธรรมชาติ จิตแพทย์หนุ่มจาระไนละเอียดยิบจนไม่เหลือส่วนใดในกายมาขโมยสุขได้อีก

ตามธรรมชาตินั้น แค่ตระหนักว่ากายส่วนใดยังฝืนเกร็ง กายส่วนนั้นก็คลายตัวไปเอง ที่ไม่คลายก็เพราะไม่รู้และปล่อยให้เป็นปมขมวดอยู่อย่างนั้น การที่มาวันทามีอมฤตกำกับตามลำดับทำให้กายใจหล่อนพักราบรวดเร็วขึ้นกว่าสำรวจตรวจตราด้วยตนเอง และเมื่อผลลัพธ์เป็นบวก กระแสจิตหล่อนก็คล้อยตามคำพูดเขาโดยดี

“คราวนี้ลองดูร่างกายทีละส่วนนะ ว่ามันหนักหรือว่าเบา เริ่มจากเท้าก่อน อาการที่มันไม่ขยับ ไม่มีความเกร็งนั่นแหละที่ให้ความรู้สึกเบา ถ้าจับที่ความเบาไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกเหมือนเท้าหายไปเป็นความว่างเสมอกับอากาศ”

มาวันทาลองกำหนดที่เท้า ทีแรกรู้สึกถึงความมีเนื้อหนังและน้ำหนักอยู่บ้าง แต่พอนึกตาม คือเห็นว่าอาการนิ่งไม่กระดุกกระดิกแม้แต่นิดเดียวคือเบา และความเบานั้นเสมอกับอากาศรอบเท้า ก็คล้ายเท้าจะล่องหนหายไปจริงๆ ซึ่งจังหวะที่เหมือนเห็นอากาศธาตุเข้ามาแทนอวัยวะเบื้องล่างสุด อมฤตก็พูดขึ้นทันที ทันกับจังหวะ เพื่อไม่ให้ใจมาวันทาแช่กับความว่างเฉพาะจุด

“สำรวจดูน่อง ตอนนี้ดูมีน้ำหนักของเนื้อที่แนบกับเบาะ ลองสังเกตว่าถ้าไม่มีริ้วเนื้อไหนทำงานก็เกิดความสบายทั่ว พอเห็นความสบายก็จะเห็นความกลมกลืนกับอากาศโดยรอบด้วย”

อมฤตจี้ให้รู้เช่นเดียวกันนั้น ไล่ขึ้นมาจากเท้า น่อง ต้นขา แผ่นหลัง ลำคอ แล้วสิ้นสุดที่ศีรษะ ทุกอย่างพลันมลายหายสิ้นราวกับถูกพ่อมดเสกให้ล่องหน เหลือแต่ภาวะเป็นสุขสงบซึ่งใจจับไว้เป็นที่มั่นสุดท้ายประการเดียว

ลานดาวซึ่งอยู่วงนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์เห็นร่างมาวันทาแน่นิ่งไม่ไหวติง และคล้ายทอรัศมีสุขเอิบอาบเป็นดวงเด่นออกมาจากภายในเฉกเช่นผู้อิ่มเต็มอยู่กับกระแสสมาธิ จิตไม่วอกแวก ไม่ข้องเกี่ยวกับประสาทสัมผัสหยาบ เป็นครึ่งทางระหว่างความเป็นตัวของตัวเองกับการถูกคนอื่นควบคุม การมาถึงจุดนี้ไม่ใช่นักสะกดจิตทุกคนจะทำได้ และผู้ถูกสะกดเองเป็นตัวแปรสำคัญยิ่งอยู่ด้วย อย่างเช่นถ้ามาวันทาฟุ้งซ่านหลุกหลิกหรือไม่ยอมนึกตามคำสั่ง ก็ยากที่จะหวังผลสำเร็จใดๆ

“เอาล่ะ ดูความขาวที่กำลังปรากฏเหมือนผืนผ้าใบตอนนี้ เอินลองดูดีๆนะ ว่ามันเหมือนสีของผนังปูนแห่งหนึ่ง”

พอได้ยินคำว่า ‘ผนังปูน’ จิตที่กำลังพร้อมจะวาดภาพฝันก็เนรมิตผนังปูนขึ้นทันที จิตอมฤตกำลังเชื่อมติดอยู่กับจิตของมาวันทาพลอยเห็นมโนภาพตามหล่อนราวกับเป็นตัวหล่อนเอง

“สังเกตว่ามีบันไดแนวตั้งอันหนึ่ง ทำขึ้นจากเหล็กสีดำ ประกบติดอยู่กับผนังปูน มีราวบันไดให้จับ… และเอินพบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่บันไดนั้น สองเท้าวางอยู่บนขั้นบันไดขั้นหนึ่ง รับน้ำหนักตัวเราไว้อย่างดี สองมือจับราวบันไดมั่นคง โดยที่เราหันหน้าเข้าหาผนัง ไม่เห็นอะไรอย่างอื่น”

อมฤตสัมผัสกระแสความสุขจากกระแสจิตของมาวันทาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ได้ผลเป็นการตามประกบจิตหล่อนไม่ลดละ และขณะพูด เขาก็สร้างจินตภาพขึ้นอย่างแจ่มชัดไปด้วย เพียงนึกเหนี่ยวนำให้หล่อนเห็นตามด้วยอำนาจจิตที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น ฝ่ายมาวันทาก็รู้สึกเสมือนไปปรากฏตัวบนบันไดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ สองเท้าเหยียบลูกนอนบันไดมั่นคง สองมือจับราวบันไดกระชับแน่น สองตามองผนังปูนโดยปราศจากความคิดของตัวเองว่าจะมองอยู่อย่างนั้นทำไม

“จับราวบันไดไว้ดีๆนะ”

เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเตือนเหมือนอยู่ในสถานที่จริง ทำให้มาวันทายิ่งอุปาทานเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น

“ทีนี้เอินค่อยๆเอนหลังห่างออกมาจากบันได ค่อยๆปล่อยแขนให้ยืดออกมา อย่าให้มือหลวมเด็ดขาด… เอาล่ะ ดี… สุดแขนแล้วใช่ไหม คราวนี้ควบคุมสติให้มั่นนะ ลองเหลียวหน้ามองย้อนลงไปข้างล่าง เอินจะเห็นตัวเองยืนอยู่บนขั้นบันไดชั้นล่างสุด และลึกลงในแนวดิ่งคือความสูงของตึกหลายสิบชั้น เห็นเป็นเส้นนำสายตาลู่ลงสู่พื้นเบื้องล่างไกลลิบ ถนนเหลือขนาดเท่าไม้บรรทัด อากาศรอบตัวเวิ้งว้างว่างเปล่าไปหมด”

“อ๊ะ!…”

คนถูกสะกดร้องเบาๆ ด้วยอำนาจการปรุงแต่งนิมิตของจิต และด้วยการปล่อยใจให้ผูกยึดแนบแน่นกับภาพลวงเช่นเดียวกับหลงยึดฝันเป็นจริงเป็นจัง ส่งผลให้มาวันทาใจหายวาบที่กลางอกและโหวงหวิวลึกลงไปจนสุดท้องน้อย กระชับมือเกาะราวบันไดแน่นขึ้นด้วยความเสียวสยองกับความสูงระดับที่ไม่เคยยื่นตัวเปล่าๆห้อยโหนท้าทายเช่นนั้นมาก่อน

ร่างจริงของมาวันทาที่ปรากฏต่อสายตาอมฤตและลานดาวกระตุกเกร็ง กำหมัดแน่น ใบหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนกำลังฝันร้าย ลานดาวเห็นแล้วยิ้มสนุก ปฏิกิริยาทางกายของมาวันทาบอกชัดว่าไม่ได้แกล้ง

“เอินหันหน้ากลับเข้าหาผนังนะ เห็นไหมว่ามือเราที่ชื้นเหงื่อทำให้จับราวไม่มั่น แขนที่รั้งน้ำหนักตัวไว้ก็เหมือนกัน เริ่มล้าใช่ไหม? ยังไงก็อย่าปล่อยเด็ดขาดนะ เพราะถ้าเผลอปล่อยหรือลื่นหลุดนิดเดียว เอินจะร่วงลงไปหาอากาศว่างที่น่ากลัวเบื้องล่างทันที”

มาวันทาผู้น่าสงสารเม้มปากแน่น ครางในลำคออึกอักเหมือนคนพยายามต่อสู้ยื้อชีวิตไว้ อกใจบังเกิดความกลัวตายขึ้นมาอย่างท่วมท้น ความเสียวทรมานแล่นจากกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า ทุกข์เหลือจะประมาณว่ามากมายเพียงใด

“พี่แตร… เอินกลัวค่ะ”

พึมพำบอกเขา สำนึกว่ากำลังมีเขาคอยช่วยอยู่ตลอดเวลา ลานดาวเหลือบตามองนักสะกดจิตด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะทำเช่นใดต่อไป แต่เห็นอมฤตยังมองมาวันทาแน่วนิ่งเฉยเมย เสมือนคนใจร้ายใจดำ ไม่อินังขังขอบกับความเดือดร้อนของคนอื่น ทั้งที่เขาเป็นคนบีบให้หล่อนเข้าสู่สภาพน่าขนลุกเช่นนั้นด้วยตนเอง

โดยที่แท้จิตแพทย์หนุ่มกำลังรอเวลาให้ถึงสุดยอดของความกลัว เขาหย่อนระเบิดเวลาให้จิตมาวันทาปรุงแต่ง อุปาทานหนักเข้าไปใหญ่

“แย่จัง มือเอินชื้นเหงื่อ แถมกำลังแขนก็ทำท่าจะทรงน้ำหนักตัวไว้ไม่ได้”

คนถูกสะกดรู้สึกราวกับจะได้เวลาลื่นหลุดอยู่แล้วรำไร

“พี่แตรขา… ช่วยเอินด้วย”

มาวันทาละล่ำละลัก เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น บิดร่างไปมาน้อยๆ คิ้วขมวดแน่น แขนขาเกร็งเห็นชัดด้วยตาเปล่า ลานดาวเริ่มเป็นห่วงและสงสารพี่สาว ชักสงสัยครามครันว่าอมฤตแน่ใจหรือว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้


“เอาล่ะ… หันมองลงไปข้างล่างอีกทีนะเอิน”

จิตของมาวันทาอยู่เหนือการควบคุมของตนเอง ใจจะขาดให้ได้เมื่อต้องเหลียวลงต่ำอีกครั้งทั้งที่ไม่สมยอมยินดีแม้แต่น้อย

“ฮือ…”

หล่อนปล่อยโฮออกมาด้วยความเย็นสันหลังวาบหวิวว่างโหวงดุจร่างจะหลุดร่วงจากบันไดเดี๋ยวนั้น ลานดาวแทบทนเฉยไม่ไหว เกือบช่วยวิงวอนขอร้องอมฤตให้เลิกทรมานพี่สาวหล่อนเสียที หรือไม่ก็เข้าไปปลุกปลอบมาวันทาเสียเองว่าแท้จริงหล่อนปลอดภัยอยู่บนโซฟาตั้งพื้น หาได้อยู่บนตึกเหมือนอย่างที่ถูกสะกดให้เห็นไปเองแต่อย่างใดเลย

ความกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดของลานดาวทำให้อมฤตต้องหันมาใช้สายตาปราม แล้วหันไปมองมาวันทาด้วยดวงตาเยือกขรึมของผู้ที่ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวพรรค์นี้มาอย่างโชกโชนจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต่างจากเห็นคนร้องเพลงขณะกำลังอารมณ์ดี

“ที่พี่เห็นคือแขนซ้ายของเอินหมดกำลังแล้ว ยอมปล่อยมันเสียทีก็ได้ ใช้กำลังแขนขวาเหนี่ยวตัวไว้ข้างเดียวไปก่อน”

ก่อนเขาพูด มาวันทากำลังรู้สึกอยู่เช่นนั้นจริงๆ มือซ้ายจึงปล่อยตกข้างกายอย่างหมดอาลัยตายอยาก ตระหนักว่าแม้แขนขวาก็ร่อแร่ใกล้หมดแรงเต็มทน วินาทีนั้นหล่อนนึกขึ้นมาได้ถึงสภาพร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างลิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฝันร้าย หล่อนกลัว และไม่อยากเป็นอย่างนั้นอีก จึงรวบรวมพลังที่เหลือทั้งหมดส่งไปที่แขนและมือขวาสุดความสามารถ

“ตายล่ะ! ดูเหมือนมือเอินกำลังจะลื่นมากขึ้นทุกที อย่าท้อถอยนะ นิ้วชี้กับนิ้วกลางยังพอเกี่ยวไว้ได้อีกสักสองสามวินาที”

“พี่แตร!”

เสียงขานชื่อเขาเริ่มกลายเป็นกรีดร้องโหยหวน วิงวอนอย่างลืมอาย ขอด้วยคำพูดเท่าที่จะนึกออกทั้งหมด

“ช่วยเอินด้วยค่ะ! อย่าปล่อยให้เอินตกลงไป! ยื่นมือมารับเอินไปทีเถอะ มารับเอินไปด้วย ได้โปรด… เอินขอร้อง”

ลานดาวพลอยทำหน้าเครียดถมึงทึงไปด้วย เพราะเห็นชัดว่าอมฤตยิ้มเหมือนกำลังเอ็นดูเด็ก ราวกับเล่นสนุกกับเกมที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยอารมณ์ซาดิสต์มากกว่าจะปรารถนาดีช่วยคลี่ปมทางจิตให้ใคร

นาทีเป็นนาทีตายเข้าด้ายเข้าเข็มนั้นเอง อมฤตก็กำหนดจิตตนเองเป็นสุขนิ่งอย่างใหญ่ แล้วขยายขอบเขตความสุขนั้นเข้ากลบกลืนคลื่นความทุรนทุรายในกระแสจิตปั่นป่วนในร่างบนโซฟายาว ก่อนพูดชัดถ้อยชัดคำ

“ถอนความรู้สึกออกจากนิ้วสุดท้ายเถอะ ยอมเสีย… เอินสัมผัสอากาศรอบตัวได้ใช่ไหม? ถ้าตัวเราเบาเท่าอากาศก็ไม่มีน้ำหนัก ถ้าไม่มีน้ำหนักก็ไม่ต้องเหนี่ยวตัวไว้ ไม่เชื่อลองปล่อยนิ้ว เลิกพยายามเอาตัวรอด แล้วถอยออกมาลอยกลางอากาศสิ”

จิตมาวันทาถูกเหนี่ยวนำด้วยคำพูดแต่ละประโยคของอมฤตดุจเขาเป็นเจ้าชีวิต หล่อนถอนความเพียรพยายามเอาตัวรอด ยินยอมคลายนิ้วจากลูกนอนอันเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย จิตสัมผัสความว่างเวิ้งของอากาศ เลิกกลัวมัน ลืมน้ำหนักตัวอันเกิดจากแรงดึงดูดโลก ฉับพลันก็คล้ายลอยห่างถอยออกมาจากบันไดตึกโดยไม่ตกร่วงหล่นตามแรงดึงดูดดังประหวั่นพรั่นพรึง

“เห็นไหมว่ามีแต่สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นตึก เป็นบันได ไม่มีอันตราย ไม่มีความน่ากลัว ไม่มีความทุกข์ทางใจ ตราบใดที่เราสามารถถอยออกมาเป็นผู้ดู ผู้ปราศจากน้ำหนักได้อย่างนี้”

นิมิตตรงหน้าปรากฏทำนองเดียวกับภาพในจอโทรทัศน์ ตัวจริงของมาวันทาผ่อนคลาย กลายเป็นสีหน้าสงบสุขเหมือนคนอยู่ในแหล่งพักพิงปลอดภัยไร้กังวลแล้ว

“ความกลัวทั้งหมดเป็นแค่ผลผลิตที่เกิดจากการเอาตัวเราไปผสมกับภาพลวงตา… ลองเรียนรู้ที่จะกลัวอีกครั้งนะ กลับเข้าไปเกาะบันไดใหม่ น้ำหนักตัวกลับมาอีกครั้ง”

มาวันทาพยายามขัดขืน เพราะเห็นชัดว่ากำลังจะถูกดูด หรืออีกนัยหนึ่งคือสมยอมพุ่งเข้าไปหาความทุกข์ แต่คำสั่งคือคำสั่ง คล้ายสมองของหล่อนยอมรับคลื่นเสียงอมฤตไว้แล้วว่าพูดอะไรมา ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น หมดทางปฏิเสธหรือแม้แต่จะคิดหลีกเลี่ยง หล่อนเห็นตนเองเกาะราวบันได หันหน้าเข้าหาผนัง เนื้อตัวมีน้ำหนัก สองเท้าเหยียบขั้นบันได ความรู้สึกล่อแหลมไม่มั่นคงกลับคืนมาอีกเต็มสภาพ

“เอินจับราวบันไดไว้แน่นเกินไป ไม่สนุกหรอก ลองใช้มือซ้ายที่ไม่ถนัดแค่ข้างเดียวดูซี”

หญิงสาวเห็นมือขวาของตนปล่อยออกทันทีคล้ายคนบ้าจี้ เขาสั่งให้ทำอะไรก็ทำ หล่อนรู้สึกถึงความเอียงซ้าย เกร็งซีกซ้าย และน้ำหนักตัวที่ทวีขึ้นเป็นสองเท่า เพราะเหลือกำลังแขนเพียงข้างเดียวสู้กับแรงดึงดูดโลกอยู่

“ค่อยๆยืดแขนออกมา แล้วมองลงไป”

“ไม่! พี่แตร… ทำไมทำกับเอินอย่างนี้คะ?”

ปากปฏิเสธเสียงแข็ง แต่จิตกลับอ่อนเปียก ยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยดีเช่นเคย เห็นความสูงที่เหมือนเครื่องดูดร่างหล่อนลงไปปะทะพื้นให้แหลกเหลวแล้วขนหัวลุกขึ้นมาอีก คล้ายภาพทั้งหมดปรากฏเป็นปากยักษ์ที่อ้ารอพร้อมจะขย้ำตนได้ทุกขณะจิต

ทว่ามาวันทาพบความแตกต่าง คือครั้งนี้อาการเสียวท้องน้อยลดลง เกิดความวางเฉยอยู่ในส่วนลึก คล้ายมีสิ่งกระซิบบอกว่านี่แค่ภาพที่ตาเห็น หล่อนจะไม่เป็นอันตรายเพียงจากสิ่งที่เห็นด้วยตาอย่างเดียว

“มันเป็นแค่ภาพที่เราเห็น เอินกำหนดใจไว้อย่างนั้นแหละถูกแล้ว ถ้าเราไม่มีน้ำหนักตัวอยู่ในมิติเดียวกับมันก็จะไม่เสียวไส้เลย ลองทำความรู้สึกถึงอากาศว่างไร้น้ำหนัก แล้วละลายตัวเองให้กลมกลืนกับความว่าง… อย่างนั้น… เห็นความไม่มีน้ำหนัก เห็นความไม่มีตัว เห็นเราลอยสูงขึ้น ภาพทั้งหลายกลายเป็นแค่สิ่งถูกเห็นจากมุมมองของจิตที่ว่างเปล่า”

คล้ายร่างหล่อนมลายหาย เหลือเพียงอากาศธาตุว่างวาย ดวงจิตหมดความเกี่ยวพันกับสิ่งที่เห็น ไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่อีก ทุกสิ่งแค่ถูกรู้เท่าที่ปรากฏเป็นภาพให้เห็นด้วยตา หาได้มีสิ่งใดประกาศความหมายในเชิงทำร้ายแม้แต่น้อย

“กลับไปที่บันไดใหม่”

มาวันทาเหนื่อยหน่าย แต่คำพูดของเขาทำให้ภาพน่าทรมานย้อนกลับมาอีกในทันที

“คราวนี้ลมกำลังพัดแรง แล้วเอินก็จับบันไดด้วยมือซ้ายข้างเดียว หน้าก้มลงมองเบื้องล่าง”

ลมพัดตึงดังอมฤตว่า คล้ายเขานั่งอยู่ในห้องคอนโทรลของสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดยักษ์ กดปุ่มให้เกิดสิ่งใดก็ได้ตามปรารถนา ความรู้สึกแรกของมาวันทาคือเสียววูบ เย็นไปทั้งสันหลัง กลัวโดนลมพัด รักษาน้ำหนักตัวไว้ไม่ได้ ต้องหลุดมือลอยลิ่วลงไป แต่แปลกที่คราวนี้มีอาการเพียงวูบเดียวแล้วกลายเป็นมองเฉยดุจคนด้านชาไร้ความรู้สึก เพราะตระหนักเท่าทันเสียแล้วว่าทั้งหลายที่กำลังปรากฏคือภาพลวงตา หล่อนเรียนรู้ที่จะปรับสภาพน้ำหนักตัวให้กลมกลืนกับอากาศว่างด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอนักสะกดจิตสั่ง ความทุกข์ใจจึงไม่เกิด

อมฤตสัมผัสได้ถึงคลื่นความสงบเฉยและนิ่งเย็นจากจิตมาวันทา ก็รู้ว่าตนติดตั้งโปรแกรมแก้ความกลัวให้หล่อนสำเร็จแล้ว จึงเริ่มกระบวนการถอนสะกด

“เอาล่ะ หันหน้ากลับเข้าหาผนังสีขาว”

หญิงสาวปฏิบัติตาม และเห็นตนมองผนังขาวเฉยเมยอยู่

“พี่จะนับถอยหลังจาก ๕ ถึง ๑ นะ ห้า… เอินรู้ตัวว่าจิตถูกสะกดควบคุมอยู่ สี่… เอินไม่ต้องเกี่ยวข้องกับภาพและสัมผัสรอบตัวแล้ว สาม… เอินเริ่มรู้สติเห็นตัวเองในปัจจุบันตามจริงว่ากำลังนอนอยู่บนโซฟา สอง… เอินเป็นอิสระจากคำสั่งของพี่ หนึ่ง… ค่อยๆลืมตา”

เปลือกตาของมาวันทาเผยอขึ้นทีละน้อย สิ่งแรกที่รู้สึกชัดคือความเบาใจ ราวกับบางสิ่งที่หนักอึ้งหายไป หรือถูกถอนทิ้งไว้เบื้องหลัง หล่อนค่อยๆเอียงหน้าทางขวา เห็นจิตแพทย์หนุ่มกำลังจับจ้องมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ยิ้มให้ และดึงตัวขึ้นนั่ง พนมมือไหว้เขา

“ขอบคุณนะคะพี่แตร”

“ไม่เป็นไร”

นั่งนิ่งเป็นครู่ ระบายลมหายใจด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย

“เอินจะไม่ฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหมคะ?”

“ก็อาจฝันบ้าง แต่ลึกลงไปถึงความเข้าใจระดับจิต เอินจะถอนตัวจากภาพโหดร้ายที่หลอกหลอนสั่นประสาทเสียได้ด้วยโปรแกรมที่พี่ติดตั้งไว้ คือเมื่อเจอนิมิตเกี่ยวข้องกับความสูง จิตเอินจะรู้ตัวแล้วถอยออกมาเป็นผู้ดู แทนที่จะเข้าไปมีน้ำหนักร่วมในมิตินั้น”

มาวันทายิ้มใสอย่างเข้าใจกระจ่าง ลานดาวเข้าไปนั่งชิดแฟนหนุ่ม ดึงแขนเขามากอดแนบอกด้วยความทึ่งผลงาน

“อาวุธในการรักษาคนไข้สารพัดชนิดเลยนะคะ พี่แตรนี่หมอเทวดาแท้ๆ!”

“หมอธรรมดามากกว่า”

มาวันทาทอดมองอมฤตด้วยสายตาเคารพรักดุจพี่ชายร่วมอุทรเดียวกัน เขาเป็นจิตแพทย์ที่สามารถจ่ายยา ทำจิตบำบัดที่แพทยสภาให้การรับรอง กับทั้งมีสิ่งที่จิตแพทย์ทั่วไปไม่มี นั่นคือพลังจิตช่วยเหลือคนไข้ตรงๆ หล่อนทบทวนประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ และเห็นว่าถ้าหากเขาปราศจากจิตสัมผัส ก็จะไม่สามารถรู้วาระอันควรชี้นำตามลำดับเหมาะสมได้ขนาดนั้นเลย

“นี่เป็นอุบายสะกดจิตมาตรฐานหรือเปล่าคะ?”

อมฤตสั่นศีรษะ

“พี่ประยุกต์จากแนวปฏิบัติธรรมของพุทธ คือแทนที่จะให้จิตผสมรวมเข้ากับความคิดปรุงแต่งหรือนิมิตทางจิต ก็ถอยแยกออกมาเป็นผู้ดูเสีย เมื่อฝึกซ้ำๆจนวิถีการดำเนินจิตทรงตัวในฐานะผู้ดู ไม่หลงกลายเป็นผู้เล่น ก็จะปล่อยวางเสียได้”

มาวันทาตาสว่าง เข้าใจแนวการดำเนินจิตเพื่อตัดอุปาทานหลงยึดมั่นถือมั่นความปรุงแต่งอย่างกระจ่าง

ลานดาวยื่นหน้ายกยอฉอเลาะ

“เหมือนธรรมชาติให้โอกาสพวกชอบช่วยคนอย่างพี่ๆได้สนุกกับรูปแบบวิธีรักษาชนิดต่างๆไปเรื่อยนะคะ ยิ่งถ้าเข้าใจเรื่องทางจิตลึกซึ้ง ก็ยิ่งทำอะไรได้พิสดาร เห็นคนไข้เป็นสิ่งท้าทาย น่ากระโจนเข้าหา”

มาวันทาพยักหน้าเห็นด้วย

“เคยได้ยินว่าซิกมันด์ ฟรอยด์กล่าวไว้ตอนแก่อย่างเสียดาย ว่าถ้ากลับเป็นหนุ่มได้อีกครั้ง เขาจะศึกษาเรื่องพลังจิต แทนที่จะเป็นตัวตั้งตัวตี ถางทางเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์อย่างที่ทุ่มเวลาทั้งหมดในชีวิตไปแล้ว”

อมฤตยิ้มเล็กน้อย

“ถ้าฟรอยด์ศึกษาเรื่องพลังจิต พวกเราก็คงไม่รู้จักเขาหรอก เพราะพลังจิตจะไม่เป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาในชั่วอายุคนเดียวเหมือนจิตวิเคราะห์”

“กลไกการทำงานของจิตยากจะเข้าใจจริงๆนะคะ เอินแค่จ้องพื้นจากความสูงของตึกนิดเดียว จิตเก็บมาปรุงแต่งเป็นฝันร้ายหลอกหลอนไม่รู้จบได้ขนาดนี้”

“เอินไม่ได้แค่จ้อง แต่ตั้งใจหนักแน่นว่าจะโดดด้วยน่ะซี เหตุการณ์เลยเหมือนเกิดขึ้นแล้ว มันต่างจากที่คนธรรมดายืนมองอย่างเดียวเป็นคนละเรื่องเลย เจตนาของเราที่เข้าไปรวมกับองค์ประกอบสถานที่ทั้งหมด จะปรุงแต่งใจให้เห็นเหมือนที่ตรงนั้นคือแดนต่อระหว่างความเป็นกับความตาย ไม่ใช่แค่อิฐปูนและทัศนียภาพทั่วไปอย่างเคย”

มาวันทาตรองตามพลางกะพริบตาปริบๆ นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเล่นบันจี้จั๊มป์หรือพลร่มที่โดดเครื่องบินจากความสูงเป็นพันฟิตต่างก็ผจญกับภาพน่าหวาดเสียวกว่าหล่อนหลายร้อยเท่า ยังไม่เห็นมีปัญหาฝันหลอนกันสักกี่คน ตรงจุดนี้จึงประจักษ์ชัดว่าเจตนานั่นเองเป็นประธานแห่งการปรุงจิตทั้งปวง ชวนให้ระลึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า เจตนาเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ

กรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ทำกรรมอันใด จิตย่อมปรุงแต่ง จิตย่อมยึดมั่น จิตย่อมมีกรรมนั้นติดตามไปประดุจเงาตามตัว กรรมย่อมก่อสภาวะ หรือภพแห่งความสอดคล้องกับกรรมนั้นๆขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่ปัจจุบันก็อนาคต ไม่อนาคตใกล้ก็อนาคตไกล อย่างไรย่อมย้อนมาหาเจ้าของกรรมแน่นอน

“ความจริงก็ดีเหมือนกัน” อมฤตเอ่ยต่อ “เหมือนเป็นบทเรียน หรือเป็นบทลงโทษให้เอินเอาไปบอกต่อกับใครต่อใคร ว่าภาวะหลังฆ่าตัวตายมันทรมานซ้ำซากไม่รู้จบอย่างไร ไม่ใช่ความยุติทุกข์หรือเป็นทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีแต่อย่างใดเลย”

“ค่ะ… เอินคงต้องช่วยคนให้เลิกอยากฆ่าตัวตายอีกเยอะ กว่าจะกลบกลืนบาปที่คิดฆ่าตัวตายได้ ไม่อย่างนั้นก็… จิตวิทยาง่ายๆเลยมั้งคะ พอยอมอ่อนแอคิดสั้นได้ครั้งหนึ่ง ก็จะปลูกฝังนิสัยทางความคิดยอมแพ้แบบนั้นไว้ และหวนคิดทำอีกเมื่อเจอกับเรื่องบีบคั้นครั้งต่อๆไป”

อมฤตพยักยิ้ม

“คนฉลาดในกรรมต้องอย่างนี้แหละ ทำให้บาปเก่าเจือจางลงด้วยการเติมบุญที่เป็นตรงข้ามกับบาปนั้นๆลงไปในจิตมากๆ กระทั่งรสของบาปถูกกลืนหายไป เหมือนเกลือหย่อมน้อยถูกน้ำห้วงใหญ่ทำละลาย แม้ยังมีเกลือก็เหมือนไม่มีแล้ว”

มาวันทายิ้มตอบ พลางคิดว่าที่อมฤตกล่าวก็คือพุทธพจน์นั่นเอง เขาทรงจำความรู้ทางพุทธไว้มากมาย สมกับที่ประกาศว่าส่วนหนึ่งของเขาคือพุทธ ในมุมมองของหล่อนเขาเป็นพุทธเสียยิ่งกว่าชาวพุทธเต็มใบอีกหลายสิบหลายร้อยล้านคนบนโลกนี้

ลานดาวมองหน้าพี่สาวแล้วเปรยขึ้น

“เท่าที่เห็นคนในเว็บฆ่าตัวตายของเรา ส่วนใหญ่สภาพจิตใจห่อเหี่ยวหมดอาลัยมานาน แต่วันที่พี่เอินคิดสั้น ดูสติยังดีๆอยู่เลยนะคะ ไม่น่ารวมอยู่ในกลุ่มนักตัดช่องน้อยแต่พอตัวคิดหนีโลกตามลำพังกับเขาเล้ย แค่เครียดหน่อยเดียว”

อมฤตช่วยแก้

“ความเครียดไม่มีคำว่า ‘หน่อยเดียว’ หรอกจ๊ะ โดยเฉพาะถ้าสั่งสมมานาน”

“พี่เอินไม่เคยปริปากบ่นอยากตายซักคำ ปกติคนจะฆ่าตัวตายมักบ่นหรือเปรยให้คนสนิทฟังเสมอไม่ใช่หรือคะ?”

“ไม่บ่นไม่ได้แปลว่าไม่คิด คนจำนวนไม่น้อยชอบขังความคิดไว้ในหัวตัวเอง แล้วก็อยากให้ความคิดตายไปพร้อมกับตัวก่อนคายออกมาให้คนอื่นรู้ตาม”

มาวันทายิ้มเฝื่อน ไม่ค่อยชอบตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก ประกอบกับเวลานั้นเริ่มเพลียและเห็นควรแก่เวลา จึงตัดบทด้วยการขอตัวดื้อๆ

“ชักง่วงแล้วค่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ากว่าเคยด้วย เห็นทีจะต้องลาพี่แตรไปก่อน ขอบคุณอย่างที่สุดสำหรับความช่วยเหลือนะคะ”

“ว้า!” ลานดาวร้อง “ไม่อยู่คุยต่ออีกหน่อยล่ะ?”

แพทย์สาวส่ายหน้า

“เธอคุยกับพี่แตรเถอะ แล้วไม่ต้องเดินออกไปส่งหรอก”

“โถ! เจ๊… ใครจะใจจืดใจดำยักคิ้วส่งกันอยู่ตรงนี้แล้วปล่อยให้เดินออกไปคนเดียวได้เล่า”

สามหนุ่มสาวออกจากห้องกระจก ผ่านห้องกลางซึ่งคาดว่าบิดามารดาของลานดาวยังนั่งดูโทรทัศน์ อมฤตเป็นคนเข้าไปไหว้ลาผู้ใหญ่แล้วถอยออกมาให้มาวันทาไหว้ลาตาม

ระหว่างนั้นเอง อมฤตก็ก้มลงกระซิบกับลานดาว

“จ๊ะขอติดรถเอินไปด้วยนะ อ้างว่าจะคุยธุระส่วนตัวอะไรก็ได้ เดี๋ยวพี่ขับตามไปแล้วกลับมาส่งเอง”

“ทำไมคะ?”

ลานดาวทำหน้าตื่น

“ไม่รู้เหมือนกัน สังหรณ์แปลกๆ คล้ายเห็นใครซุ่มรออยู่ที่บ้านเอิน”

หญิงสาวฟังแล้วขนลุก เพราะตั้งแต่คบกันมา จิตสัมผัสของอมฤตผิดพลาดน้อยครั้ง โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ จึงกระซิบตอบ

“ได้ค่ะพี่แตร”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น