ตอนที่
๒๙. หมอเทวดา
บนโต๊ะทานข้าวในค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยอาหารอร่อย บรรยากาศพูดคุยสนุกสนานเป็นกันเอง ไม่มีใครแปลกปลอมเลยสักคน มาวันทายังคงเข้าหน้ากับผู้ใหญ่ได้สนิทหลังจากเมฆหมอกอึมครึมผ่านพ้นไป ส่วนอมฤตก็เข้าบ้านบ่อยจนทุบสถิติการมาเยือนของหนุ่มทุกราย เพื่อนชายในอดีตของลานดาวส่วนใหญ่ปรากฏตัวให้พ่อแม่เห็นสองสามหน ราวกับตัวตลกมายกมือไหว้คั่นรายการแล้วเด้งดึ๋งลับหายชั่วนิรันดร์ คล้ายพิธีสร้างสีสันรอเวลาพระเอกตัวจริงออกโรง เห็นได้ชัดว่าสำหรับอมฤตนั้น ลานดาวคบดูใจในฐานะผู้มีสิทธิ์คนแรกที่อาจเป็นเจ้าบ่าว มิใช่เหยื่อรายใหม่ไว้เขี่ยทิ้งเล่นเป็นการเพิ่มบารมีดังเคย
กระทั่งเกือบสองทุ่มเมื่อพ่อแม่ของลานดาวขอตัว
เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวสนทนากันเอง
ลานดาวจึงชวนอมฤตกับมาวันทาไปที่ห้องกระจกอันเป็นอาณาเขตส่วนตัวสุดโปรดของหล่อน
หญิงสาวอารมณ์ดีพอจะเล่นเปียโนตามคำขอให้สองหมอฟังหลายเพลงเป็นรายการบันเทิงตบท้ายอาหารค่ำ
จากนั้นจึงปิดเปียโนลุกมานั่งรวมกลุ่ม
“พี่แตรจะสะกดจิตรักษาพี่เอินไม่ใช่หรือคะ
ลงมือเลยไหม? จ๊ะอยากดู”
เจ้าของสถานที่เป็นฝ่ายยิ้มแย้มถามแทนผู้รอรับการช่วยเหลือ
อมฤตพยักหน้า
“ก็ดี… เอินพร้อมหรือยัง?”
คนถูกถามยิ้มเขิน นับจากวันแรกที่รู้จักกัน
ก็เพิ่งคืนนี้ที่หล่อนพบเขาอีกครั้ง
แม้จะมีความคุ้นเคยอยู่บ้างจากการสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ต
พอเจอตัวจริงก็เหมือนยังแปลกหน้าในหลายๆทาง
“พร้อมค่ะ รบกวนพี่แตรหน่อยนะคะ”
“งั้นพวกเราปิดมือถือกันทุกคนนะ” แล้วเขาก็หันไปบอกลานดาวโดยเฉพาะ
“ห้ามพูดอะไรแทรกขึ้นมาล่ะ ถ้ามีใครแวะมาป้วนเปี้ยนก็ช่วยออกไปรับหน้าด้วย
หากโฉ่งฉ่างให้เอินวอกแวกอาจเกิดความเสียหายหรือมีผลกระทบกระเทือนได้”
“ก๊าบ!”
ลานดาวยกมือตะเบ๊ะรับคำสั่งเสียงแหลมเป็นทหารรับใช้ผู้น่ารัก
“บอกแนวทางคร่าวๆก่อนเพื่อความเข้าใจ”
อมฤตอธิบายให้มาวันทาฟัง “ตามสมมุติฐานของพี่
ที่เอินยังฝันร้ายประปรายก็เพราะใจส่วนลึกยังกลัวความสูงซึ่งติดตาในฐานะเครื่องมือฆ่าตัวตาย
ถึงแม้เอินเดินทางกลับไปที่เก่าเพื่อลบล้างเจตนาเดิมก็ยังแก้ได้ไม่ขาด
เพราะขุดไม่ถึงรากแก้ว ฉะนั้นพี่จะจูงจิตเอินให้เข้าสู่ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น
เอินจะคุยกับพี่รู้เรื่องทุกอย่าง แต่จิตมีสภาพคล้ายฝัน คือสามารถเห็น ได้ยิน
และรู้สึกชัดราวกับเกิดเหตุการณ์จริง
พี่จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาใหม่ให้เอินรู้จักหน้าตาความกลัวอย่างถ่องแท้
จากนั้นจะให้การดำเนินจิตอีกแบบหนึ่งเป็นการลบล้างกัน หากถอนรากความกลัวชนิดนี้ได้
แม้ฝันอีกก็จะไม่ทรมานแล้ว”
มาวันทาพยักหน้าอย่างเชื่อมือ
“เข้าใจค่ะ”
“เปลี่ยนที่กับจ๊ะ ไปนอนบนโซฟายาวดีกว่า
ร่างกายจะได้ผ่อนพักทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนต้องเกร็ง”
สองสาวสลับที่กันตามท่านจิตแพทย์สั่ง
มาวันทาประหม่าเล็กน้อยเมื่อเอนลงนอนหนุนหมอนเหยียดกายหงายตามยาว
นึกหวาดหวั่นอยู่ในใจว่าเดี๋ยวตนอาจจะออกท่าออกทางตลกให้ลานดาวหัวเราะขบขันเข้าบ้างหรือไม่
วินาทีนั้นชักอยากไล่แม่น้องสาวจอมล้อเลียนออกไปนอกห้องเสียไกลๆ ติดแต่เป็นเจ้าของสถานที่
แล้วไล่อย่างไรก็คงไม่ไป เพราะเจ้าตัวประกาศเองว่าอยากดู
กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆเมื่ออมฤตสั่งให้ปิดตา
เขาคอยกำกับบททีละขั้น
นับแต่ชี้ให้เห็นอาการหายใจซึ่งสะท้อนว่าหล่อนยังไม่สบายเต็มที่
สังเกตจากอาการหายใจขัด ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอ อีกทั้งยังตื่นเต้นกับความคิดว่ากำลังจะถูกสะกดจิต
เมื่อมาวันทารู้ตัวจึงสงบความคิดลง เหลือแต่ความกำหนดอยู่กับกิริยาผ่อนพักสบาย
ลมหายใจราบรื่นสม่ำเสมอขึ้นกว่าเดิม เยี่ยงผู้ฝึกสมาธิจนเริ่มชำนาญแล้ว
เมื่อเห็นมาวันทาสบายอยู่กับลมหายใจเป็นหลักตั้ง
อมฤตก็ชี้ต่อไปเป็นจุดๆว่าร่างกายส่วนไหนของหล่อนยังฝืน ยังไม่วางพักเต็มที่
เช่นคอแข็งขืนเล็กๆ หน้าท้องยามระบายลมออกยังเกร็ง
ตลอดจนกระทั่งนิ้วมือซ้ายบางนิ้วที่งอก่องอขิงไม่สบายตามธรรมชาติ
จิตแพทย์หนุ่มจาระไนละเอียดยิบจนไม่เหลือส่วนใดในกายมาขโมยสุขได้อีก
ตามธรรมชาตินั้น แค่ตระหนักว่ากายส่วนใดยังฝืนเกร็ง
กายส่วนนั้นก็คลายตัวไปเอง
ที่ไม่คลายก็เพราะไม่รู้และปล่อยให้เป็นปมขมวดอยู่อย่างนั้น
การที่มาวันทามีอมฤตกำกับตามลำดับทำให้กายใจหล่อนพักราบรวดเร็วขึ้นกว่าสำรวจตรวจตราด้วยตนเอง
และเมื่อผลลัพธ์เป็นบวก กระแสจิตหล่อนก็คล้อยตามคำพูดเขาโดยดี
“คราวนี้ลองดูร่างกายทีละส่วนนะ
ว่ามันหนักหรือว่าเบา เริ่มจากเท้าก่อน อาการที่มันไม่ขยับ
ไม่มีความเกร็งนั่นแหละที่ให้ความรู้สึกเบา ถ้าจับที่ความเบาไปเรื่อยๆ
ก็จะรู้สึกเหมือนเท้าหายไปเป็นความว่างเสมอกับอากาศ”
มาวันทาลองกำหนดที่เท้า ทีแรกรู้สึกถึงความมีเนื้อหนังและน้ำหนักอยู่บ้าง
แต่พอนึกตาม คือเห็นว่าอาการนิ่งไม่กระดุกกระดิกแม้แต่นิดเดียวคือเบา
และความเบานั้นเสมอกับอากาศรอบเท้า ก็คล้ายเท้าจะล่องหนหายไปจริงๆ
ซึ่งจังหวะที่เหมือนเห็นอากาศธาตุเข้ามาแทนอวัยวะเบื้องล่างสุด อมฤตก็พูดขึ้นทันที
ทันกับจังหวะ เพื่อไม่ให้ใจมาวันทาแช่กับความว่างเฉพาะจุด
“สำรวจดูน่อง
ตอนนี้ดูมีน้ำหนักของเนื้อที่แนบกับเบาะ
ลองสังเกตว่าถ้าไม่มีริ้วเนื้อไหนทำงานก็เกิดความสบายทั่ว
พอเห็นความสบายก็จะเห็นความกลมกลืนกับอากาศโดยรอบด้วย”
อมฤตจี้ให้รู้เช่นเดียวกันนั้น ไล่ขึ้นมาจากเท้า
น่อง ต้นขา แผ่นหลัง ลำคอ แล้วสิ้นสุดที่ศีรษะ
ทุกอย่างพลันมลายหายสิ้นราวกับถูกพ่อมดเสกให้ล่องหน
เหลือแต่ภาวะเป็นสุขสงบซึ่งใจจับไว้เป็นที่มั่นสุดท้ายประการเดียว
ลานดาวซึ่งอยู่วงนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์เห็นร่างมาวันทาแน่นิ่งไม่ไหวติง
และคล้ายทอรัศมีสุขเอิบอาบเป็นดวงเด่นออกมาจากภายในเฉกเช่นผู้อิ่มเต็มอยู่กับกระแสสมาธิ
จิตไม่วอกแวก ไม่ข้องเกี่ยวกับประสาทสัมผัสหยาบ
เป็นครึ่งทางระหว่างความเป็นตัวของตัวเองกับการถูกคนอื่นควบคุม
การมาถึงจุดนี้ไม่ใช่นักสะกดจิตทุกคนจะทำได้
และผู้ถูกสะกดเองเป็นตัวแปรสำคัญยิ่งอยู่ด้วย อย่างเช่นถ้ามาวันทาฟุ้งซ่านหลุกหลิกหรือไม่ยอมนึกตามคำสั่ง
ก็ยากที่จะหวังผลสำเร็จใดๆ
“เอาล่ะ
ดูความขาวที่กำลังปรากฏเหมือนผืนผ้าใบตอนนี้ เอินลองดูดีๆนะ
ว่ามันเหมือนสีของผนังปูนแห่งหนึ่ง”
พอได้ยินคำว่า ‘ผนังปูน’
จิตที่กำลังพร้อมจะวาดภาพฝันก็เนรมิตผนังปูนขึ้นทันที จิตอมฤตกำลังเชื่อมติดอยู่กับจิตของมาวันทาพลอยเห็นมโนภาพตามหล่อนราวกับเป็นตัวหล่อนเอง
“สังเกตว่ามีบันไดแนวตั้งอันหนึ่ง
ทำขึ้นจากเหล็กสีดำ ประกบติดอยู่กับผนังปูน มีราวบันไดให้จับ…
และเอินพบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่บันไดนั้น สองเท้าวางอยู่บนขั้นบันไดขั้นหนึ่ง รับน้ำหนักตัวเราไว้อย่างดี
สองมือจับราวบันไดมั่นคง โดยที่เราหันหน้าเข้าหาผนัง ไม่เห็นอะไรอย่างอื่น”
อมฤตสัมผัสกระแสความสุขจากกระแสจิตของมาวันทาอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งก็ได้ผลเป็นการตามประกบจิตหล่อนไม่ลดละ และขณะพูด
เขาก็สร้างจินตภาพขึ้นอย่างแจ่มชัดไปด้วย เพียงนึกเหนี่ยวนำให้หล่อนเห็นตามด้วยอำนาจจิตที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น
ฝ่ายมาวันทาก็รู้สึกเสมือนไปปรากฏตัวบนบันไดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ
สองเท้าเหยียบลูกนอนบันไดมั่นคง สองมือจับราวบันไดกระชับแน่น
สองตามองผนังปูนโดยปราศจากความคิดของตัวเองว่าจะมองอยู่อย่างนั้นทำไม
“จับราวบันไดไว้ดีๆนะ”
เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเตือนเหมือนอยู่ในสถานที่จริง
ทำให้มาวันทายิ่งอุปาทานเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
“ทีนี้เอินค่อยๆเอนหลังห่างออกมาจากบันได
ค่อยๆปล่อยแขนให้ยืดออกมา อย่าให้มือหลวมเด็ดขาด… เอาล่ะ ดี… สุดแขนแล้วใช่ไหม
คราวนี้ควบคุมสติให้มั่นนะ ลองเหลียวหน้ามองย้อนลงไปข้างล่าง
เอินจะเห็นตัวเองยืนอยู่บนขั้นบันไดชั้นล่างสุด
และลึกลงในแนวดิ่งคือความสูงของตึกหลายสิบชั้น
เห็นเป็นเส้นนำสายตาลู่ลงสู่พื้นเบื้องล่างไกลลิบ ถนนเหลือขนาดเท่าไม้บรรทัด
อากาศรอบตัวเวิ้งว้างว่างเปล่าไปหมด”
“อ๊ะ!…”
คนถูกสะกดร้องเบาๆ ด้วยอำนาจการปรุงแต่งนิมิตของจิต
และด้วยการปล่อยใจให้ผูกยึดแนบแน่นกับภาพลวงเช่นเดียวกับหลงยึดฝันเป็นจริงเป็นจัง
ส่งผลให้มาวันทาใจหายวาบที่กลางอกและโหวงหวิวลึกลงไปจนสุดท้องน้อย
กระชับมือเกาะราวบันไดแน่นขึ้นด้วยความเสียวสยองกับความสูงระดับที่ไม่เคยยื่นตัวเปล่าๆห้อยโหนท้าทายเช่นนั้นมาก่อน
ร่างจริงของมาวันทาที่ปรากฏต่อสายตาอมฤตและลานดาวกระตุกเกร็ง
กำหมัดแน่น ใบหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนกำลังฝันร้าย ลานดาวเห็นแล้วยิ้มสนุก
ปฏิกิริยาทางกายของมาวันทาบอกชัดว่าไม่ได้แกล้ง
“เอินหันหน้ากลับเข้าหาผนังนะ เห็นไหมว่ามือเราที่ชื้นเหงื่อทำให้จับราวไม่มั่น
แขนที่รั้งน้ำหนักตัวไว้ก็เหมือนกัน เริ่มล้าใช่ไหม? ยังไงก็อย่าปล่อยเด็ดขาดนะ
เพราะถ้าเผลอปล่อยหรือลื่นหลุดนิดเดียว
เอินจะร่วงลงไปหาอากาศว่างที่น่ากลัวเบื้องล่างทันที”
มาวันทาผู้น่าสงสารเม้มปากแน่น
ครางในลำคออึกอักเหมือนคนพยายามต่อสู้ยื้อชีวิตไว้
อกใจบังเกิดความกลัวตายขึ้นมาอย่างท่วมท้น
ความเสียวทรมานแล่นจากกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า ทุกข์เหลือจะประมาณว่ามากมายเพียงใด
“พี่แตร… เอินกลัวค่ะ”
พึมพำบอกเขา สำนึกว่ากำลังมีเขาคอยช่วยอยู่ตลอดเวลา
ลานดาวเหลือบตามองนักสะกดจิตด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะทำเช่นใดต่อไป
แต่เห็นอมฤตยังมองมาวันทาแน่วนิ่งเฉยเมย เสมือนคนใจร้ายใจดำ
ไม่อินังขังขอบกับความเดือดร้อนของคนอื่น
ทั้งที่เขาเป็นคนบีบให้หล่อนเข้าสู่สภาพน่าขนลุกเช่นนั้นด้วยตนเอง
โดยที่แท้จิตแพทย์หนุ่มกำลังรอเวลาให้ถึงสุดยอดของความกลัว
เขาหย่อนระเบิดเวลาให้จิตมาวันทาปรุงแต่ง อุปาทานหนักเข้าไปใหญ่
“แย่จัง มือเอินชื้นเหงื่อ
แถมกำลังแขนก็ทำท่าจะทรงน้ำหนักตัวไว้ไม่ได้”
คนถูกสะกดรู้สึกราวกับจะได้เวลาลื่นหลุดอยู่แล้วรำไร
“พี่แตรขา… ช่วยเอินด้วย”
มาวันทาละล่ำละลัก เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
บิดร่างไปมาน้อยๆ คิ้วขมวดแน่น แขนขาเกร็งเห็นชัดด้วยตาเปล่า
ลานดาวเริ่มเป็นห่วงและสงสารพี่สาว
ชักสงสัยครามครันว่าอมฤตแน่ใจหรือว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้
“เอาล่ะ… หันมองลงไปข้างล่างอีกทีนะเอิน”
จิตของมาวันทาอยู่เหนือการควบคุมของตนเอง
ใจจะขาดให้ได้เมื่อต้องเหลียวลงต่ำอีกครั้งทั้งที่ไม่สมยอมยินดีแม้แต่น้อย
“ฮือ…”
หล่อนปล่อยโฮออกมาด้วยความเย็นสันหลังวาบหวิวว่างโหวงดุจร่างจะหลุดร่วงจากบันไดเดี๋ยวนั้น
ลานดาวแทบทนเฉยไม่ไหว เกือบช่วยวิงวอนขอร้องอมฤตให้เลิกทรมานพี่สาวหล่อนเสียที
หรือไม่ก็เข้าไปปลุกปลอบมาวันทาเสียเองว่าแท้จริงหล่อนปลอดภัยอยู่บนโซฟาตั้งพื้น
หาได้อยู่บนตึกเหมือนอย่างที่ถูกสะกดให้เห็นไปเองแต่อย่างใดเลย
ความกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดของลานดาวทำให้อมฤตต้องหันมาใช้สายตาปราม
แล้วหันไปมองมาวันทาด้วยดวงตาเยือกขรึมของผู้ที่ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวพรรค์นี้มาอย่างโชกโชนจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ต่างจากเห็นคนร้องเพลงขณะกำลังอารมณ์ดี
“ที่พี่เห็นคือแขนซ้ายของเอินหมดกำลังแล้ว
ยอมปล่อยมันเสียทีก็ได้ ใช้กำลังแขนขวาเหนี่ยวตัวไว้ข้างเดียวไปก่อน”
ก่อนเขาพูด มาวันทากำลังรู้สึกอยู่เช่นนั้นจริงๆ
มือซ้ายจึงปล่อยตกข้างกายอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ตระหนักว่าแม้แขนขวาก็ร่อแร่ใกล้หมดแรงเต็มทน
วินาทีนั้นหล่อนนึกขึ้นมาได้ถึงสภาพร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างลิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฝันร้าย
หล่อนกลัว และไม่อยากเป็นอย่างนั้นอีก จึงรวบรวมพลังที่เหลือทั้งหมดส่งไปที่แขนและมือขวาสุดความสามารถ
“ตายล่ะ! ดูเหมือนมือเอินกำลังจะลื่นมากขึ้นทุกที
อย่าท้อถอยนะ นิ้วชี้กับนิ้วกลางยังพอเกี่ยวไว้ได้อีกสักสองสามวินาที”
“พี่แตร!”
เสียงขานชื่อเขาเริ่มกลายเป็นกรีดร้องโหยหวน
วิงวอนอย่างลืมอาย ขอด้วยคำพูดเท่าที่จะนึกออกทั้งหมด
“ช่วยเอินด้วยค่ะ! อย่าปล่อยให้เอินตกลงไป!
ยื่นมือมารับเอินไปทีเถอะ มารับเอินไปด้วย ได้โปรด… เอินขอร้อง”
ลานดาวพลอยทำหน้าเครียดถมึงทึงไปด้วย
เพราะเห็นชัดว่าอมฤตยิ้มเหมือนกำลังเอ็นดูเด็ก
ราวกับเล่นสนุกกับเกมที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยอารมณ์ซาดิสต์มากกว่าจะปรารถนาดีช่วยคลี่ปมทางจิตให้ใคร
นาทีเป็นนาทีตายเข้าด้ายเข้าเข็มนั้นเอง
อมฤตก็กำหนดจิตตนเองเป็นสุขนิ่งอย่างใหญ่
แล้วขยายขอบเขตความสุขนั้นเข้ากลบกลืนคลื่นความทุรนทุรายในกระแสจิตปั่นป่วนในร่างบนโซฟายาว
ก่อนพูดชัดถ้อยชัดคำ
“ถอนความรู้สึกออกจากนิ้วสุดท้ายเถอะ ยอมเสีย…
เอินสัมผัสอากาศรอบตัวได้ใช่ไหม? ถ้าตัวเราเบาเท่าอากาศก็ไม่มีน้ำหนัก
ถ้าไม่มีน้ำหนักก็ไม่ต้องเหนี่ยวตัวไว้ ไม่เชื่อลองปล่อยนิ้ว เลิกพยายามเอาตัวรอด
แล้วถอยออกมาลอยกลางอากาศสิ”
จิตมาวันทาถูกเหนี่ยวนำด้วยคำพูดแต่ละประโยคของอมฤตดุจเขาเป็นเจ้าชีวิต
หล่อนถอนความเพียรพยายามเอาตัวรอด
ยินยอมคลายนิ้วจากลูกนอนอันเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย
จิตสัมผัสความว่างเวิ้งของอากาศ เลิกกลัวมัน ลืมน้ำหนักตัวอันเกิดจากแรงดึงดูดโลก
ฉับพลันก็คล้ายลอยห่างถอยออกมาจากบันไดตึกโดยไม่ตกร่วงหล่นตามแรงดึงดูดดังประหวั่นพรั่นพรึง
“เห็นไหมว่ามีแต่สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นตึก
เป็นบันได ไม่มีอันตราย ไม่มีความน่ากลัว ไม่มีความทุกข์ทางใจ
ตราบใดที่เราสามารถถอยออกมาเป็นผู้ดู ผู้ปราศจากน้ำหนักได้อย่างนี้”
นิมิตตรงหน้าปรากฏทำนองเดียวกับภาพในจอโทรทัศน์
ตัวจริงของมาวันทาผ่อนคลาย
กลายเป็นสีหน้าสงบสุขเหมือนคนอยู่ในแหล่งพักพิงปลอดภัยไร้กังวลแล้ว
“ความกลัวทั้งหมดเป็นแค่ผลผลิตที่เกิดจากการเอาตัวเราไปผสมกับภาพลวงตา…
ลองเรียนรู้ที่จะกลัวอีกครั้งนะ กลับเข้าไปเกาะบันไดใหม่ น้ำหนักตัวกลับมาอีกครั้ง”
มาวันทาพยายามขัดขืน เพราะเห็นชัดว่ากำลังจะถูกดูด
หรืออีกนัยหนึ่งคือสมยอมพุ่งเข้าไปหาความทุกข์ แต่คำสั่งคือคำสั่ง
คล้ายสมองของหล่อนยอมรับคลื่นเสียงอมฤตไว้แล้วว่าพูดอะไรมา
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น หมดทางปฏิเสธหรือแม้แต่จะคิดหลีกเลี่ยง
หล่อนเห็นตนเองเกาะราวบันได หันหน้าเข้าหาผนัง เนื้อตัวมีน้ำหนัก
สองเท้าเหยียบขั้นบันได ความรู้สึกล่อแหลมไม่มั่นคงกลับคืนมาอีกเต็มสภาพ
“เอินจับราวบันไดไว้แน่นเกินไป ไม่สนุกหรอก
ลองใช้มือซ้ายที่ไม่ถนัดแค่ข้างเดียวดูซี”
หญิงสาวเห็นมือขวาของตนปล่อยออกทันทีคล้ายคนบ้าจี้
เขาสั่งให้ทำอะไรก็ทำ หล่อนรู้สึกถึงความเอียงซ้าย เกร็งซีกซ้าย
และน้ำหนักตัวที่ทวีขึ้นเป็นสองเท่า
เพราะเหลือกำลังแขนเพียงข้างเดียวสู้กับแรงดึงดูดโลกอยู่
“ค่อยๆยืดแขนออกมา แล้วมองลงไป”
“ไม่! พี่แตร… ทำไมทำกับเอินอย่างนี้คะ?”
ปากปฏิเสธเสียงแข็ง แต่จิตกลับอ่อนเปียก
ยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยดีเช่นเคย
เห็นความสูงที่เหมือนเครื่องดูดร่างหล่อนลงไปปะทะพื้นให้แหลกเหลวแล้วขนหัวลุกขึ้นมาอีก
คล้ายภาพทั้งหมดปรากฏเป็นปากยักษ์ที่อ้ารอพร้อมจะขย้ำตนได้ทุกขณะจิต
ทว่ามาวันทาพบความแตกต่าง คือครั้งนี้อาการเสียวท้องน้อยลดลง
เกิดความวางเฉยอยู่ในส่วนลึก คล้ายมีสิ่งกระซิบบอกว่านี่แค่ภาพที่ตาเห็น
หล่อนจะไม่เป็นอันตรายเพียงจากสิ่งที่เห็นด้วยตาอย่างเดียว
“มันเป็นแค่ภาพที่เราเห็น
เอินกำหนดใจไว้อย่างนั้นแหละถูกแล้ว ถ้าเราไม่มีน้ำหนักตัวอยู่ในมิติเดียวกับมันก็จะไม่เสียวไส้เลย
ลองทำความรู้สึกถึงอากาศว่างไร้น้ำหนัก แล้วละลายตัวเองให้กลมกลืนกับความว่าง…
อย่างนั้น… เห็นความไม่มีน้ำหนัก เห็นความไม่มีตัว เห็นเราลอยสูงขึ้น
ภาพทั้งหลายกลายเป็นแค่สิ่งถูกเห็นจากมุมมองของจิตที่ว่างเปล่า”
คล้ายร่างหล่อนมลายหาย เหลือเพียงอากาศธาตุว่างวาย
ดวงจิตหมดความเกี่ยวพันกับสิ่งที่เห็น ไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่อีก
ทุกสิ่งแค่ถูกรู้เท่าที่ปรากฏเป็นภาพให้เห็นด้วยตา
หาได้มีสิ่งใดประกาศความหมายในเชิงทำร้ายแม้แต่น้อย
“กลับไปที่บันไดใหม่”
มาวันทาเหนื่อยหน่าย
แต่คำพูดของเขาทำให้ภาพน่าทรมานย้อนกลับมาอีกในทันที
“คราวนี้ลมกำลังพัดแรง
แล้วเอินก็จับบันไดด้วยมือซ้ายข้างเดียว หน้าก้มลงมองเบื้องล่าง”
ลมพัดตึงดังอมฤตว่า
คล้ายเขานั่งอยู่ในห้องคอนโทรลของสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดยักษ์
กดปุ่มให้เกิดสิ่งใดก็ได้ตามปรารถนา ความรู้สึกแรกของมาวันทาคือเสียววูบ
เย็นไปทั้งสันหลัง กลัวโดนลมพัด รักษาน้ำหนักตัวไว้ไม่ได้ ต้องหลุดมือลอยลิ่วลงไป
แต่แปลกที่คราวนี้มีอาการเพียงวูบเดียวแล้วกลายเป็นมองเฉยดุจคนด้านชาไร้ความรู้สึก
เพราะตระหนักเท่าทันเสียแล้วว่าทั้งหลายที่กำลังปรากฏคือภาพลวงตา
หล่อนเรียนรู้ที่จะปรับสภาพน้ำหนักตัวให้กลมกลืนกับอากาศว่างด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอนักสะกดจิตสั่ง
ความทุกข์ใจจึงไม่เกิด
อมฤตสัมผัสได้ถึงคลื่นความสงบเฉยและนิ่งเย็นจากจิตมาวันทา
ก็รู้ว่าตนติดตั้งโปรแกรมแก้ความกลัวให้หล่อนสำเร็จแล้ว จึงเริ่มกระบวนการถอนสะกด
“เอาล่ะ หันหน้ากลับเข้าหาผนังสีขาว”
หญิงสาวปฏิบัติตาม และเห็นตนมองผนังขาวเฉยเมยอยู่
“พี่จะนับถอยหลังจาก ๕ ถึง ๑ นะ ห้า…
เอินรู้ตัวว่าจิตถูกสะกดควบคุมอยู่ สี่…
เอินไม่ต้องเกี่ยวข้องกับภาพและสัมผัสรอบตัวแล้ว สาม…
เอินเริ่มรู้สติเห็นตัวเองในปัจจุบันตามจริงว่ากำลังนอนอยู่บนโซฟา สอง…
เอินเป็นอิสระจากคำสั่งของพี่ หนึ่ง… ค่อยๆลืมตา”
เปลือกตาของมาวันทาเผยอขึ้นทีละน้อย
สิ่งแรกที่รู้สึกชัดคือความเบาใจ ราวกับบางสิ่งที่หนักอึ้งหายไป
หรือถูกถอนทิ้งไว้เบื้องหลัง หล่อนค่อยๆเอียงหน้าทางขวา เห็นจิตแพทย์หนุ่มกำลังจับจ้องมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ยิ้มให้
และดึงตัวขึ้นนั่ง พนมมือไหว้เขา
“ขอบคุณนะคะพี่แตร”
“ไม่เป็นไร”
นั่งนิ่งเป็นครู่
ระบายลมหายใจด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย
“เอินจะไม่ฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหมคะ?”
“ก็อาจฝันบ้าง แต่ลึกลงไปถึงความเข้าใจระดับจิต
เอินจะถอนตัวจากภาพโหดร้ายที่หลอกหลอนสั่นประสาทเสียได้ด้วยโปรแกรมที่พี่ติดตั้งไว้
คือเมื่อเจอนิมิตเกี่ยวข้องกับความสูง จิตเอินจะรู้ตัวแล้วถอยออกมาเป็นผู้ดู
แทนที่จะเข้าไปมีน้ำหนักร่วมในมิตินั้น”
มาวันทายิ้มใสอย่างเข้าใจกระจ่าง
ลานดาวเข้าไปนั่งชิดแฟนหนุ่ม ดึงแขนเขามากอดแนบอกด้วยความทึ่งผลงาน
“อาวุธในการรักษาคนไข้สารพัดชนิดเลยนะคะ
พี่แตรนี่หมอเทวดาแท้ๆ!”
“หมอธรรมดามากกว่า”
มาวันทาทอดมองอมฤตด้วยสายตาเคารพรักดุจพี่ชายร่วมอุทรเดียวกัน
เขาเป็นจิตแพทย์ที่สามารถจ่ายยา ทำจิตบำบัดที่แพทยสภาให้การรับรอง
กับทั้งมีสิ่งที่จิตแพทย์ทั่วไปไม่มี นั่นคือพลังจิตช่วยเหลือคนไข้ตรงๆ
หล่อนทบทวนประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ และเห็นว่าถ้าหากเขาปราศจากจิตสัมผัส
ก็จะไม่สามารถรู้วาระอันควรชี้นำตามลำดับเหมาะสมได้ขนาดนั้นเลย
“นี่เป็นอุบายสะกดจิตมาตรฐานหรือเปล่าคะ?”
อมฤตสั่นศีรษะ
“พี่ประยุกต์จากแนวปฏิบัติธรรมของพุทธ
คือแทนที่จะให้จิตผสมรวมเข้ากับความคิดปรุงแต่งหรือนิมิตทางจิต
ก็ถอยแยกออกมาเป็นผู้ดูเสีย เมื่อฝึกซ้ำๆจนวิถีการดำเนินจิตทรงตัวในฐานะผู้ดู
ไม่หลงกลายเป็นผู้เล่น ก็จะปล่อยวางเสียได้”
มาวันทาตาสว่าง
เข้าใจแนวการดำเนินจิตเพื่อตัดอุปาทานหลงยึดมั่นถือมั่นความปรุงแต่งอย่างกระจ่าง
ลานดาวยื่นหน้ายกยอฉอเลาะ
“เหมือนธรรมชาติให้โอกาสพวกชอบช่วยคนอย่างพี่ๆได้สนุกกับรูปแบบวิธีรักษาชนิดต่างๆไปเรื่อยนะคะ
ยิ่งถ้าเข้าใจเรื่องทางจิตลึกซึ้ง ก็ยิ่งทำอะไรได้พิสดาร เห็นคนไข้เป็นสิ่งท้าทาย
น่ากระโจนเข้าหา”
มาวันทาพยักหน้าเห็นด้วย
“เคยได้ยินว่าซิกมันด์
ฟรอยด์กล่าวไว้ตอนแก่อย่างเสียดาย ว่าถ้ากลับเป็นหนุ่มได้อีกครั้ง
เขาจะศึกษาเรื่องพลังจิต แทนที่จะเป็นตัวตั้งตัวตี ถางทางเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์อย่างที่ทุ่มเวลาทั้งหมดในชีวิตไปแล้ว”
อมฤตยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าฟรอยด์ศึกษาเรื่องพลังจิต
พวกเราก็คงไม่รู้จักเขาหรอก
เพราะพลังจิตจะไม่เป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาในชั่วอายุคนเดียวเหมือนจิตวิเคราะห์”
“กลไกการทำงานของจิตยากจะเข้าใจจริงๆนะคะ
เอินแค่จ้องพื้นจากความสูงของตึกนิดเดียว
จิตเก็บมาปรุงแต่งเป็นฝันร้ายหลอกหลอนไม่รู้จบได้ขนาดนี้”
“เอินไม่ได้แค่จ้อง
แต่ตั้งใจหนักแน่นว่าจะโดดด้วยน่ะซี เหตุการณ์เลยเหมือนเกิดขึ้นแล้ว
มันต่างจากที่คนธรรมดายืนมองอย่างเดียวเป็นคนละเรื่องเลย
เจตนาของเราที่เข้าไปรวมกับองค์ประกอบสถานที่ทั้งหมด
จะปรุงแต่งใจให้เห็นเหมือนที่ตรงนั้นคือแดนต่อระหว่างความเป็นกับความตาย
ไม่ใช่แค่อิฐปูนและทัศนียภาพทั่วไปอย่างเคย”
มาวันทาตรองตามพลางกะพริบตาปริบๆ
นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเล่นบันจี้จั๊มป์หรือพลร่มที่โดดเครื่องบินจากความสูงเป็นพันฟิตต่างก็ผจญกับภาพน่าหวาดเสียวกว่าหล่อนหลายร้อยเท่า
ยังไม่เห็นมีปัญหาฝันหลอนกันสักกี่คน
ตรงจุดนี้จึงประจักษ์ชัดว่าเจตนานั่นเองเป็นประธานแห่งการปรุงจิตทั้งปวง
ชวนให้ระลึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า เจตนาเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย
ด้วยวาจา ด้วยใจ
กรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ทำกรรมอันใด
จิตย่อมปรุงแต่ง จิตย่อมยึดมั่น จิตย่อมมีกรรมนั้นติดตามไปประดุจเงาตามตัว
กรรมย่อมก่อสภาวะ หรือภพแห่งความสอดคล้องกับกรรมนั้นๆขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง
ไม่ปัจจุบันก็อนาคต ไม่อนาคตใกล้ก็อนาคตไกล อย่างไรย่อมย้อนมาหาเจ้าของกรรมแน่นอน
“ความจริงก็ดีเหมือนกัน” อมฤตเอ่ยต่อ
“เหมือนเป็นบทเรียน หรือเป็นบทลงโทษให้เอินเอาไปบอกต่อกับใครต่อใคร
ว่าภาวะหลังฆ่าตัวตายมันทรมานซ้ำซากไม่รู้จบอย่างไร
ไม่ใช่ความยุติทุกข์หรือเป็นทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีแต่อย่างใดเลย”
“ค่ะ… เอินคงต้องช่วยคนให้เลิกอยากฆ่าตัวตายอีกเยอะ
กว่าจะกลบกลืนบาปที่คิดฆ่าตัวตายได้ ไม่อย่างนั้นก็… จิตวิทยาง่ายๆเลยมั้งคะ
พอยอมอ่อนแอคิดสั้นได้ครั้งหนึ่ง ก็จะปลูกฝังนิสัยทางความคิดยอมแพ้แบบนั้นไว้
และหวนคิดทำอีกเมื่อเจอกับเรื่องบีบคั้นครั้งต่อๆไป”
อมฤตพยักยิ้ม
“คนฉลาดในกรรมต้องอย่างนี้แหละ
ทำให้บาปเก่าเจือจางลงด้วยการเติมบุญที่เป็นตรงข้ามกับบาปนั้นๆลงไปในจิตมากๆ
กระทั่งรสของบาปถูกกลืนหายไป เหมือนเกลือหย่อมน้อยถูกน้ำห้วงใหญ่ทำละลาย
แม้ยังมีเกลือก็เหมือนไม่มีแล้ว”
มาวันทายิ้มตอบ พลางคิดว่าที่อมฤตกล่าวก็คือพุทธพจน์นั่นเอง
เขาทรงจำความรู้ทางพุทธไว้มากมาย สมกับที่ประกาศว่าส่วนหนึ่งของเขาคือพุทธ
ในมุมมองของหล่อนเขาเป็นพุทธเสียยิ่งกว่าชาวพุทธเต็มใบอีกหลายสิบหลายร้อยล้านคนบนโลกนี้
ลานดาวมองหน้าพี่สาวแล้วเปรยขึ้น
“เท่าที่เห็นคนในเว็บฆ่าตัวตายของเรา ส่วนใหญ่สภาพจิตใจห่อเหี่ยวหมดอาลัยมานาน
แต่วันที่พี่เอินคิดสั้น ดูสติยังดีๆอยู่เลยนะคะ
ไม่น่ารวมอยู่ในกลุ่มนักตัดช่องน้อยแต่พอตัวคิดหนีโลกตามลำพังกับเขาเล้ย
แค่เครียดหน่อยเดียว”
อมฤตช่วยแก้
“ความเครียดไม่มีคำว่า ‘หน่อยเดียว’ หรอกจ๊ะ
โดยเฉพาะถ้าสั่งสมมานาน”
“พี่เอินไม่เคยปริปากบ่นอยากตายซักคำ
ปกติคนจะฆ่าตัวตายมักบ่นหรือเปรยให้คนสนิทฟังเสมอไม่ใช่หรือคะ?”
“ไม่บ่นไม่ได้แปลว่าไม่คิด
คนจำนวนไม่น้อยชอบขังความคิดไว้ในหัวตัวเอง
แล้วก็อยากให้ความคิดตายไปพร้อมกับตัวก่อนคายออกมาให้คนอื่นรู้ตาม”
มาวันทายิ้มเฝื่อน
ไม่ค่อยชอบตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก
ประกอบกับเวลานั้นเริ่มเพลียและเห็นควรแก่เวลา จึงตัดบทด้วยการขอตัวดื้อๆ
“ชักง่วงแล้วค่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ากว่าเคยด้วย
เห็นทีจะต้องลาพี่แตรไปก่อน ขอบคุณอย่างที่สุดสำหรับความช่วยเหลือนะคะ”
“ว้า!” ลานดาวร้อง “ไม่อยู่คุยต่ออีกหน่อยล่ะ?”
แพทย์สาวส่ายหน้า
“เธอคุยกับพี่แตรเถอะ แล้วไม่ต้องเดินออกไปส่งหรอก”
“โถ! เจ๊…
ใครจะใจจืดใจดำยักคิ้วส่งกันอยู่ตรงนี้แล้วปล่อยให้เดินออกไปคนเดียวได้เล่า”
สามหนุ่มสาวออกจากห้องกระจก
ผ่านห้องกลางซึ่งคาดว่าบิดามารดาของลานดาวยังนั่งดูโทรทัศน์
อมฤตเป็นคนเข้าไปไหว้ลาผู้ใหญ่แล้วถอยออกมาให้มาวันทาไหว้ลาตาม
ระหว่างนั้นเอง อมฤตก็ก้มลงกระซิบกับลานดาว
“จ๊ะขอติดรถเอินไปด้วยนะ
อ้างว่าจะคุยธุระส่วนตัวอะไรก็ได้ เดี๋ยวพี่ขับตามไปแล้วกลับมาส่งเอง”
“ทำไมคะ?”
ลานดาวทำหน้าตื่น
“ไม่รู้เหมือนกัน สังหรณ์แปลกๆ
คล้ายเห็นใครซุ่มรออยู่ที่บ้านเอิน”
หญิงสาวฟังแล้วขนลุก เพราะตั้งแต่คบกันมา
จิตสัมผัสของอมฤตผิดพลาดน้อยครั้ง โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ จึงกระซิบตอบ
“ได้ค่ะพี่แตร”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น