ดังตฤณวิสัชนา
ณ
ณัฐชญาคลินิก
ครั้งที่
๙
๑๔
กันยายน ๒๕๕๖
รับฟังทางยูทูบ : https://www.youtube.com/watch?v=mIVGPQ29uXE&feature=youtu.be
คำถามที่
๒
ผู้ถาม : สวัสดีค่ะ คือเวลานั่งสมาธิน่ะค่ะ
บางทีก็จะมีอาการฟุ้งซ่านเหมือนท่านที่หนี่ง
แต่ทีนี้นี่มันจะเป็นเหมือนความคิดที่ไม่ค่อยดีเข้ามาน่ะค่ะ
เหมือนเป็นปัญหาที่เราคิดอยู่ทุกวันอะไรประมาณนี้น่ะค่ะ
แล้วพอเรานั่งสมาธิเราต้องการจะสงบ
ทีนี้นี่เราเหมือนกับประมาณว่าไปข่มมันเอาไว้น่ะค่ะ เราไม่อยากคิด
ตอบ เอาอย่างนี้นะ
ของเราคือมันจะมีอารมณ์โทสะบ้างอารมณที่มันไม่พอใจ
อารมณ์ขัดเคืองนู่นขัดเคืองนี่ในระหว่างวันนะ ที่ผุดขึ้นมาแล้วมันแรง บางครั้งนี่เราเป็นประเภทที่ว่าไม่พอใจเราตอบโต้นะ
ตอบโต้ด้วยคำพูด หรือว่า คือบางทีนี่เรานึกว่าเราชี้แจงนะ
แต่คำชีแจงนั่นมันออกอาการร้อนแรงนิดหนึ่ง
คือจะเป็นคนไม่ค่อยยอมปล่อยให้อะไรๆมันผ่านไปโดยที่ไม่เคลียร์
แล้วลองสังเกตอาการทางใจที่สั่งสมมาเป็นความเคยชินนี่
พอมีอาการดิ้นรนที่จะชี้แจง ที่จะทำอะไรให้มันถูกมันต้องนี่
มันจะมีความร้อนแฝงอยู่ มันจะพูดง่ายๆว่าพยายามเคลียร์ด้วยโทสะ
ซึ่งมันไม่เคลียร์จริง ในที่สุดมันจะมาหมักหมมที่ใจ
ทีนี้อาการทางใจเมื่อมีอาการที่เหมือนกับจะผลักดันคำพูดด้วยโทสะ เข้าใจใช่ไหม
คือพอมีโทสะแล้วขับดันคำพูดออกไป บางทีมันมีอาการเหมือนกับฝืนควบคุมตัวเองว่า เอ้ย! จะไม่ระเบิดร้อนแรงออกไปมาก แต่มันก็
เราจะรู้สึกอยู่ข้างในว่ามีกลั้วๆออกไปอยู่ดี คือมี เรานึกออกไหม
พอเราพูดอธิบายให้คนด้วยโทสะนี่ มันจะมีความอึดอัดแฝงออกไปด้วย
มันจะมีอาการแบบพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้อยู่ในอาการเกรี้ยวกราดมากเกินไป
แต่ข้างในมันอาละวาดเรียบร้อยแล้ว นึกภาพตรงนั้นออกไหม
นี่เห็นภาพทางใจเป็นอย่างนั้นนะ
ทีนี้ภาพทางใจเมื่อปรากฏให้เราเห็นในระหว่างวันว่าเรามีอาการอย่างนั้นจริงๆ
มันเป็นแบบเดียวกันกับตอนที่ย้อนกลับมาในการนั่งสมาธิ
คือเราอำพรางตัวเองได้ไม่ให้คนอื่นเห็นโทสะที่แท้จริงได้
แต่จิตของเรานี่มันอำพรางไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามันนั่งหลับตา
แล้วมีจิตของตัวเองปรากฏให้รู้ให้เห็น คือมันจะ พอคนเรา
พอสะสมฟ้าแล่บเปรี้ยงๆไว้ระหว่างวันนี่นะ
ไอ้ฟ่าแล่บเปรี้ยงๆนั้นมันก็จะกลับมาปรากฏให้เห็นในใจเราซ้ำๆนั่นแหละ
แล้วบางทีมันมีคำด่าที่แอบแฝงอยู่ นึกออกไหม
เวลาเราพูดกับลูกค้าหรือว่าอะไรก็แล้วแต่นี่นะ บางที
หรือกับเพื่อนร่วมงานหรืออะไรก็แล้วแต่
เวลาที่เราโกรธเกรี้ยวจริงๆนี่คำพูดของเราจะดูดี เราเป็นคนเลือกคำพูดเป็น
คือมันมีสติในการเลือกคำพูด แต่มันไม่มีสติในการเห็นอาการด่าอยู่ในใจ
แอบด่าอยู่ในใจ แล้วบางทีมันแรง นึกออกใช่ไหมว่ามันน่าจะเป็นประมาณไหน
คำด่านี่จำไว้ว่ามันเป็นฟ้าแล่บที่เปรี้ยงปร้างอยู่ในจิต
สายฟ้าฟาดไม่ใช่แค่ฟ้าแล่บ มันเป็นสายฟ้าฟาดอยู่ในจิต
ยิ่งเราก่อวจีกรรมในแบบสายฟ้าฟาดมากขึ้นเท่าไหร่
คือมโนนึก ในมโนกรรมของเรานี่ ขอโทษเมื่อกี้ไม่ใช่วจิกรรม เป็นมโนกรรม
มโนกรรมของเรานี่เปรี้ยงปร้างเป็นสายฟ้าฟาดมากขึ้นเท่าไหร่
จำไว้ว่ามันจะย้อนกลับมาแสดงตัวเองในรูปแบบเดิมๆในขณะที่จิตของเราสงบ คือมันเหมือนให้ดูว่า
อาการทางจิตทางอาการทางใจ สภาพทางใจของเราที่แท้จริงนี่หน้าตามันเป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้น พอมองเป็นภาพรวมด้วยความเข้าใจอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เอ๊ะ! ทำไม? แทนที่จะไปสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไม? มันมีอะไรแว่บๆขึ้นมา
คิดไม่ดีในขณะนั่งสมาธินี่ เราถือเป็นโอกาสดู ดูให้ชัดๆว่า นี่! เวลาที่เราก่อมโนกรรมในแบบสายฟ้าฟาดมันย้อนกลับมาให้ดูในชาตินี้เลยเห็นผลในชาตินี้เลยชัดๆ
ในขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วถามตัวเองว่า
ไอ้อารมณ์แบบนี้นี่น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจ
เราจะตอบตัวเองได้ทันทีว่ามันไม่น่าชอบใจ เพราะตอนนี้นี่ไม่มีใครมารับรู้ร่วมกับเรา
ไม่มีใครมารับผลกรรมร่วมกับเรา ผลกรรมในที่สุดนี่มันเล่นงานที่จิตของเราเอง
มันจะรู้สึกว่าจิตมีสภาพเป็นอกุศล คือมีความหม่น มีอาการหมอง มีความรู้สึกทึบๆ
มีความรู้สึกแย่ๆ แล้วมันไม่ใช่แย่กับคนอื่น มันแย่กับตัวเอง
ด้วยอาการเห็นแบบนี้ในขณะเรานั่งสมาธิ
มันจะเกิดปัญญาขึ้นมาเห็นเรื่องของเหตุที่เราไปทำไว้
มันเป็นอันเดียวกันกับที่เราไปสายฟ้าฟาดคนอื่นไว้นั่นแหละ ด้วยใจด้วยอารมณ์
มันย้อนกลับมา คราวนี้มันฟาดตัวเอง เห็นเรื่องของกรรมและวิบาก
ที่ในที่สุดแล้วเราทำอะไรมันย้อนกลับมาหาตัวเองนั่นแหละ
แล้วสิ่งที่อยู่ติดตัวเราตลอด 24 ชั่วโมงยิ่งกว่าลมหายใจก็คืออาการทางใจ
อาการทางใจนี่เกิดขึ้นปรากฏขึ้นตลอด 24 ชั่วโมงไม่เคยเว้นวรรคเลย
เปลี่ยนจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งตลอดเวลา
ทีนี้ตอนที่นั่งสมาธินี่
ตอนแรกมันอาจจะอารมณ์เป็นกุศล มีความตั้งใจที่ดี เสร็จแล้วมีความคิดไม่ดีขึ้นมานี่
เราบอกตัวเองเลยว่านี่เป็นช่วงเวลาของการรับผลของกรรมที่เราก่อไว้
พอเห็นอย่างนี้ปุ๊บนี่ มันจะรู้สึกว่า เออ! มันไม่เสียเปล่านะ
ตอนที่มันคิดไม่ดีขึ้นมานี่ มันเกิดปัญญาอะไรขึ้นมา มันเกิดสติ
มีความสามารถยอมรับตามจริงขึ้นมา ยอมรับว่ามันมีอะไรเปรี้ยงปร้างขึ้นมาในหัว
บางทีมีเสียงด่า แล้วเราก็ เอ๊ะ! นี่มันเสียงด่าของใคร
ดูไปดูมานะ อ้าว! เสียงด่าของเราเอง
จริงๆแล้วไม่ได้มีใครเคยยัดเอาคำพูดหรือว่าไอ้เสียงด่าเข้ามาในหัวของเราได้
ต่อให้เขามาด่ากรอกหูนะ แต่ถ้าใจเรานี่มันมีเมตตาอยู่ เห็นเป็นแค่อกุศลจิต
เห็นเป็นแค่อกุศลธรรมที่มันปรากฏขึ้นนอกตัว เป็นอนัตตาภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้
รู้สึกว่าเขาก่อวจิทุจริต มันเป็นเรื่องของเขา ใจเราไม่รับเอานี่
เสียงนั้นจะไม่กลับมาปรากฏในหัวนะ คือเพราะมันไม่มีอิมแพคตั้งแต่แรก
มันไม่มีการกระทบเข้ามาแล้วก็ประทับตราเข้ามา
ปกตินี่
คนพอได้ยินเสียงด่า มันจะประทับเข้ามาในใจเราได้ เหตุผลเพราะว่าเราไปรับ
เปิดรับด้วยความรู้สึกในตัวในตนว่าเขาด่าเรา มันเจ็บใจ แต่ถ้า ณ ขณะที่เขาด่า
เรารู้สึกถึงอารมณ์อันเป็นอกุศลของเขา รู้สึกถึงสายฟ้าฟาดที่ออกมาจากปากของเขา
ว่าในที่สุดแล้วมันต้องย้อนกลับไปกระทำกับเขาเอง มันจะรู้สึกไปอีกแบบหนึ่งเลย
รู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ด่าเรา แต่เขาทำร้ายตัวเอง
นี่เป็นอารมณ์แบบเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าให้ใช้ดูนะ
คือท่านให้ดูว่าอกุศลภายนอกหน้าตาเป็นอย่างนี้ ส่วนกุศลภายในยังรักษาอยู่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น