วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

นั่งสมาธิแล้วคิดแต่เรื่องร้ายๆ

ดังตฤณวิสัชนา
ณ ณัฐชญาคลินิก

ครั้งที่ ๙
๑๔ กันยายน ๒๕๕๖

รับฟังทางยูทูบ :  https://www.youtube.com/watch?v=mIVGPQ29uXE&feature=youtu.be

คำถามที่ ๒

ผู้ถาม : สวัสดีค่ะ คือเวลานั่งสมาธิน่ะค่ะ บางทีก็จะมีอาการฟุ้งซ่านเหมือนท่านที่หนี่ง แต่ทีนี้นี่มันจะเป็นเหมือนความคิดที่ไม่ค่อยดีเข้ามาน่ะค่ะ เหมือนเป็นปัญหาที่เราคิดอยู่ทุกวันอะไรประมาณนี้น่ะค่ะ แล้วพอเรานั่งสมาธิเราต้องการจะสงบ ทีนี้นี่เราเหมือนกับประมาณว่าไปข่มมันเอาไว้น่ะค่ะ เราไม่อยากคิด


ตอบ  เอาอย่างนี้นะ ของเราคือมันจะมีอารมณ์โทสะบ้างอารมณที่มันไม่พอใจ อารมณ์ขัดเคืองนู่นขัดเคืองนี่ในระหว่างวันนะ ที่ผุดขึ้นมาแล้วมันแรง บางครั้งนี่เราเป็นประเภทที่ว่าไม่พอใจเราตอบโต้นะ ตอบโต้ด้วยคำพูด หรือว่า คือบางทีนี่เรานึกว่าเราชี้แจงนะ แต่คำชีแจงนั่นมันออกอาการร้อนแรงนิดหนึ่ง คือจะเป็นคนไม่ค่อยยอมปล่อยให้อะไรๆมันผ่านไปโดยที่ไม่เคลียร์

แล้วลองสังเกตอาการทางใจที่สั่งสมมาเป็นความเคยชินนี่ พอมีอาการดิ้นรนที่จะชี้แจง ที่จะทำอะไรให้มันถูกมันต้องนี่ มันจะมีความร้อนแฝงอยู่ มันจะพูดง่ายๆว่าพยายามเคลียร์ด้วยโทสะ ซึ่งมันไม่เคลียร์จริง ในที่สุดมันจะมาหมักหมมที่ใจ ทีนี้อาการทางใจเมื่อมีอาการที่เหมือนกับจะผลักดันคำพูดด้วยโทสะ เข้าใจใช่ไหม คือพอมีโทสะแล้วขับดันคำพูดออกไป บางทีมันมีอาการเหมือนกับฝืนควบคุมตัวเองว่า เอ้ย! จะไม่ระเบิดร้อนแรงออกไปมาก แต่มันก็ เราจะรู้สึกอยู่ข้างในว่ามีกลั้วๆออกไปอยู่ดี คือมี เรานึกออกไหม พอเราพูดอธิบายให้คนด้วยโทสะนี่ มันจะมีความอึดอัดแฝงออกไปด้วย มันจะมีอาการแบบพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้อยู่ในอาการเกรี้ยวกราดมากเกินไป แต่ข้างในมันอาละวาดเรียบร้อยแล้ว นึกภาพตรงนั้นออกไหม นี่เห็นภาพทางใจเป็นอย่างนั้นนะ

ทีนี้ภาพทางใจเมื่อปรากฏให้เราเห็นในระหว่างวันว่าเรามีอาการอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นแบบเดียวกันกับตอนที่ย้อนกลับมาในการนั่งสมาธิ คือเราอำพรางตัวเองได้ไม่ให้คนอื่นเห็นโทสะที่แท้จริงได้ แต่จิตของเรานี่มันอำพรางไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามันนั่งหลับตา แล้วมีจิตของตัวเองปรากฏให้รู้ให้เห็น คือมันจะ พอคนเรา พอสะสมฟ้าแล่บเปรี้ยงๆไว้ระหว่างวันนี่นะ ไอ้ฟ่าแล่บเปรี้ยงๆนั้นมันก็จะกลับมาปรากฏให้เห็นในใจเราซ้ำๆนั่นแหละ แล้วบางทีมันมีคำด่าที่แอบแฝงอยู่ นึกออกไหม เวลาเราพูดกับลูกค้าหรือว่าอะไรก็แล้วแต่นี่นะ บางที หรือกับเพื่อนร่วมงานหรืออะไรก็แล้วแต่ เวลาที่เราโกรธเกรี้ยวจริงๆนี่คำพูดของเราจะดูดี เราเป็นคนเลือกคำพูดเป็น คือมันมีสติในการเลือกคำพูด แต่มันไม่มีสติในการเห็นอาการด่าอยู่ในใจ แอบด่าอยู่ในใจ แล้วบางทีมันแรง นึกออกใช่ไหมว่ามันน่าจะเป็นประมาณไหน คำด่านี่จำไว้ว่ามันเป็นฟ้าแล่บที่เปรี้ยงปร้างอยู่ในจิต สายฟ้าฟาดไม่ใช่แค่ฟ้าแล่บ มันเป็นสายฟ้าฟาดอยู่ในจิต

ยิ่งเราก่อวจีกรรมในแบบสายฟ้าฟาดมากขึ้นเท่าไหร่ คือมโนนึก ในมโนกรรมของเรานี่ ขอโทษเมื่อกี้ไม่ใช่วจิกรรม เป็นมโนกรรม มโนกรรมของเรานี่เปรี้ยงปร้างเป็นสายฟ้าฟาดมากขึ้นเท่าไหร่ จำไว้ว่ามันจะย้อนกลับมาแสดงตัวเองในรูปแบบเดิมๆในขณะที่จิตของเราสงบ คือมันเหมือนให้ดูว่า อาการทางจิตทางอาการทางใจ สภาพทางใจของเราที่แท้จริงนี่หน้าตามันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น พอมองเป็นภาพรวมด้วยความเข้าใจอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เอ๊ะ! ทำไม? แทนที่จะไปสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไม? มันมีอะไรแว่บๆขึ้นมา คิดไม่ดีในขณะนั่งสมาธินี่ เราถือเป็นโอกาสดู ดูให้ชัดๆว่า นี่! เวลาที่เราก่อมโนกรรมในแบบสายฟ้าฟาดมันย้อนกลับมาให้ดูในชาตินี้เลยเห็นผลในชาตินี้เลยชัดๆ ในขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วถามตัวเองว่า ไอ้อารมณ์แบบนี้นี่น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจ เราจะตอบตัวเองได้ทันทีว่ามันไม่น่าชอบใจ เพราะตอนนี้นี่ไม่มีใครมารับรู้ร่วมกับเรา ไม่มีใครมารับผลกรรมร่วมกับเรา ผลกรรมในที่สุดนี่มันเล่นงานที่จิตของเราเอง มันจะรู้สึกว่าจิตมีสภาพเป็นอกุศล คือมีความหม่น มีอาการหมอง มีความรู้สึกทึบๆ มีความรู้สึกแย่ๆ แล้วมันไม่ใช่แย่กับคนอื่น มันแย่กับตัวเอง

ด้วยอาการเห็นแบบนี้ในขณะเรานั่งสมาธิ มันจะเกิดปัญญาขึ้นมาเห็นเรื่องของเหตุที่เราไปทำไว้ มันเป็นอันเดียวกันกับที่เราไปสายฟ้าฟาดคนอื่นไว้นั่นแหละ ด้วยใจด้วยอารมณ์ มันย้อนกลับมา คราวนี้มันฟาดตัวเอง เห็นเรื่องของกรรมและวิบาก ที่ในที่สุดแล้วเราทำอะไรมันย้อนกลับมาหาตัวเองนั่นแหละ แล้วสิ่งที่อยู่ติดตัวเราตลอด 24 ชั่วโมงยิ่งกว่าลมหายใจก็คืออาการทางใจ อาการทางใจนี่เกิดขึ้นปรากฏขึ้นตลอด 24 ชั่วโมงไม่เคยเว้นวรรคเลย เปลี่ยนจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งตลอดเวลา

ทีนี้ตอนที่นั่งสมาธินี่ ตอนแรกมันอาจจะอารมณ์เป็นกุศล มีความตั้งใจที่ดี เสร็จแล้วมีความคิดไม่ดีขึ้นมานี่ เราบอกตัวเองเลยว่านี่เป็นช่วงเวลาของการรับผลของกรรมที่เราก่อไว้ พอเห็นอย่างนี้ปุ๊บนี่ มันจะรู้สึกว่า เออ! มันไม่เสียเปล่านะ ตอนที่มันคิดไม่ดีขึ้นมานี่ มันเกิดปัญญาอะไรขึ้นมา มันเกิดสติ มีความสามารถยอมรับตามจริงขึ้นมา ยอมรับว่ามันมีอะไรเปรี้ยงปร้างขึ้นมาในหัว บางทีมีเสียงด่า แล้วเราก็ เอ๊ะ! นี่มันเสียงด่าของใคร ดูไปดูมานะ อ้าว! เสียงด่าของเราเอง จริงๆแล้วไม่ได้มีใครเคยยัดเอาคำพูดหรือว่าไอ้เสียงด่าเข้ามาในหัวของเราได้ ต่อให้เขามาด่ากรอกหูนะ แต่ถ้าใจเรานี่มันมีเมตตาอยู่ เห็นเป็นแค่อกุศลจิต เห็นเป็นแค่อกุศลธรรมที่มันปรากฏขึ้นนอกตัว เป็นอนัตตาภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ รู้สึกว่าเขาก่อวจิทุจริต มันเป็นเรื่องของเขา ใจเราไม่รับเอานี่ เสียงนั้นจะไม่กลับมาปรากฏในหัวนะ คือเพราะมันไม่มีอิมแพคตั้งแต่แรก มันไม่มีการกระทบเข้ามาแล้วก็ประทับตราเข้ามา

ปกตินี่ คนพอได้ยินเสียงด่า มันจะประทับเข้ามาในใจเราได้ เหตุผลเพราะว่าเราไปรับ เปิดรับด้วยความรู้สึกในตัวในตนว่าเขาด่าเรา มันเจ็บใจ แต่ถ้า ณ ขณะที่เขาด่า เรารู้สึกถึงอารมณ์อันเป็นอกุศลของเขา รู้สึกถึงสายฟ้าฟาดที่ออกมาจากปากของเขา ว่าในที่สุดแล้วมันต้องย้อนกลับไปกระทำกับเขาเอง มันจะรู้สึกไปอีกแบบหนึ่งเลย รู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ด่าเรา แต่เขาทำร้ายตัวเอง


นี่เป็นอารมณ์แบบเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าให้ใช้ดูนะ คือท่านให้ดูว่าอกุศลภายนอกหน้าตาเป็นอย่างนี้ ส่วนกุศลภายในยังรักษาอยู่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น