วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๓๘. เปิดใจ)

ตอนที่ ๓๘. เปิดใจ


“สวัสดีค่ะพี่แตร”

อมฤตทำหน้าฉงนเล็กน้อยเมื่อรับโทรศัพท์แล้วพบว่าเป็นเสียงของมาวันทา อาจเป็นเพราะนานทีปีหนที่แพทย์สาวคนดีจะมีธุระปะปังกับเขาถึงขนาดต้องโทร.หา และอาจเป็นเพราะเวลาขณะนั้นยังเช้าอยู่มากเกินกว่าที่หล่อนจะติดต่อเขาเพื่อพูดคุยธุระธรรมดา

“สวัสดีจ้ะเอิน มีอะไรหรือ?”

จิตแพทย์หนุ่มตั้งใจฟังขณะที่สัมผัสรู้สึกถึงความกระวนกระวายจากปลายสาย

“จ๊ะเพิ่งมาหาเอินและกลับไปเมื่อประมาณสิบนาทีก่อนค่ะ”

อมฤตชะงักนิดหนึ่ง แต่ยังถามเสียงเรียบได้

“ไปทำไมแต่เช้า?”

“ขออนุญาตถามก่อนนะคะ… พี่แตรมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มถอนใจก่อนเล่าตามตรง

“เมื่อคืนจ๊ะโทร.มากลางดึก ถามเรื่องแต่งงาน พี่พูดแค่สองคำ…” อึกอักเล็กน้อยก่อนกล่าวสืบต่อ “ยังไม่ทันไรก็วางสายไป พยายามติดต่อกลับก็ไม่ยอมรับ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าถึงขนาดไปหาเอินอย่างนี้คง…”

“เรื่องเล็กสำหรับพี่แตรอาจเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขาก็ได้นะคะ โดยเฉพาะ… ถ้าบอกว่าเริ่มเห็นความไม่เหมาะกัน พี่แตรพูดจริงหรือเปล่าคะ?”

อมฤตขมวดคิ้วส่ายหน้า

“ไม่ใช่อยู่ๆพี่พูดขึ้นมาเองหรอก คือเขาถามพี่ว่าจะเอายังไง เรื่องแต่งงาน ตัดพ้อถามทำนองไม่อยากได้เขาแล้วหรือเปล่า เบื่อเขาแล้วใช่ไหม พี่อึดอัดมานานก็สารภาพไปว่าชักจะ เอ่อ… ไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับฐานะของเขา คือเอินเข้าใจไหม… แค่ไม่ถึงปีจ๊ะทำเงินได้มากจนเรากระดากกับการคิดไปสู่ขอเขาจากผู้ใหญ่”

“จ๊ะเคยเล่าให้ฟังว่าพี่แตรพร้อมจะรับผลข้างเคียงจากการเป็นคนดังของเขาไม่ใช่หรือคะ?”

“ใช่! พี่เคยพูดว่าพร้อม แต่พูดตอนนั้นไม่รู้นี่ว่าเจอของจริงจะสะอึกอย่างนี้ คิดตอนยังไม่เกิดกับรู้สึกตอนเกิดขึ้นแล้วมันคนละเรื่องกันเลยนะ และอันที่จริงพี่ไม่ได้จะเบี้ยวอะไรสักหน่อย อุตส่าห์ทำงานหามรุ่งหามค่ำตลอดเจ็ดวันเพื่ออะไรถ้าไม่หวังแต่ง”

มาวันทาเงียบฟัง พอเขาเว้นวรรคก็ให้คำวิจารณ์บ้าง

“พี่แตรเก็บความรู้สึกเก่งจังนะคะ เอินเห็นพี่แตรอยู่กับจ๊ะมาตลอด ไม่เคยแสดงท่าทีอึดอัดให้รู้สึกสักนิด”

“ถ้าตอนเจอหน้า พูดเล่นพูดหัวกันก็คงไม่มีปัญหาหรอกเอิน พี่สบายใจเสมอเมื่ออยู่กับจ๊ะ แต่หากคุยกันเรื่องแต่งงานนี่ความรู้สึกพี่จะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย ซึ่งเป็นธรรมดาที่จ๊ะต้องกังขาขึ้นมา พอเขาจี้ว่าทำไมหลังๆยึกยักชอบกล เงินก็มีของตัวเองกันพอซื้อบ้านตามที่พ่อแม่จ๊ะต้องการแล้ว พี่เลยสารภาพว่าลังเลอยู่บ้างเพราะเรื่องฐานะนี่แหละ…อันนี้พี่เปิดใจพูดเฉพาะกับเอินนะ พ่อแม่จ๊ะเป็นนักธุรกิจใหญ่ แถมลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น อย่างไรพวกเขาคงนึกดูถูกเราวันยังค่ำ อีกอย่างพออยู่ด้วยกัน ต่อให้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับพ่อแม่จ๊ะเลย… พี่ก็คงอดรู้สึกน้อยหน้าเมียตัวเองไม่ได้”

มาวันทาคลายสีหน้าลง รับฟังด้วยความเห็นใจมากขึ้น

“เข้าใจค่ะ ผู้ชายหลายคนติดอยู่กับสำนึกแบบผู้นำครอบครัว ถ้าไม่ได้เป็นฝ่ายรับผิดชอบการกินอยู่ของสมาชิกในบ้าน ก็เหมือนผิดฝาผิดตัว ผิดจากสามัญสำนึก… แต่คงไม่หมายความว่าเพราะเหตุเท่านี้พี่แตรจะถึงขนาดถอนตัวใช่ไหมคะ?”

หล่อนหวังจะได้ฟังตอบชนิดสวนคำแบบรับหนักแน่นว่า ‘ไม่มีทาง!’ แต่การณ์กลับมิใช่เช่นนั้น อมฤตเงียบนาน กระแสจิตที่ส่งมาตามสายโทรศัพท์คล้ายคลื่นทะเลยามปั่นป่วน มาวันทาไม่เคยสำเหนียกรูปอารมณ์ชนิดนี้จากเขามาก่อน

“พี่แตรคะ… เอินละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า?”

“เปล่า” อมฤตรีบตอบ “พี่แค่…”

ชะงักคำไปอีก เขาไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี เหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่สับสนจนกำหนดวิถีชีวิตให้ตนเองไม่ถูก นิสัยทางความคิดเคยพุ่งเป็นเส้นตรงจากต้นชนปลายมาตลอด เพิ่งคิดวกวนเป็นวงกลมหาจุดหมายยากก็คราวนี้เอง

วูบแรกมาวันทาบังเกิดความไม่พอใจ เพราะเหมือนอมฤตยอมรับอยู่ในทีแล้วว่าเป็นต้นเหตุความคลอนแคลนของอนาคตระหว่างเขากับลานดาว

“สัมผัสทางจิตของพี่แตรและจ๊ะไวด้วยกันทั้งคู่ เพียงถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีจิตคิดตีจาก อีกฝ่ายคงเป็นทุกข์ได้มากพอแรงอยู่แล้ว นี่พี่แตรยิ่งพูดจาคล้ายอยากตัดเยื่อตัดใยกัน คิดว่าจ๊ะจะรับได้หรือคะ?”

“เอิน… ไม่ใช่อย่างที่เอินเข้าใจหรอก มีปัจจัยอื่นมากกว่านั้น” ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเล่าตามตรง “เอินฟังเทปรายการวันจันทร์ของจ๊ะแล้วใช่ไหม? ที่คุณสรณะโทร.มาร่วมด้วยช่วยเชียร์น่ะ พี่รู้สึกว่าฝ่ายนั้นให้ความสนใจจ๊ะแรงมาก และ… ในทางที่เป็นปฏิกิริยาตอบกลับ จ๊ะอาจยิ่งแรงกว่าคุณสรณะเสียอีก! ปะติดปะต่อกับเรื่องบังเอิญอย่างหนึ่ง คือช่วงหลังเลิกรายการพี่โทร.ไปย้ำเรื่องนัดทานข้าว ก็เจอเขารับสายด้วยกระแสจิตที่หดตัว และสุ้มเสียงออกไปทางลนลาน แสดงว่าตกใจใหญ่ พี่ไม่รู้หรอกว่าจ๊ะกำลังทำอะไร เห็นแต่ขณะนั้นจิตเขาถอนไปจากพี่เกินครึ่งแล้ว และเมื่อคืนก็เพิ่งรู้ว่าถอนใจไปให้ใคร”

มาวันทาฟังแล้วมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อจิตสัมผัสของอมฤต เพราะสถิติที่ผ่านมาเขาผิดแค่หนึ่งในสิบหรือน้อยกว่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะยกเอาจิตสัมผัสมาอ้างอิงแล้วด่วนตัดสินกัน หล่อนจึงวางใจเป็นกลางแบบฟังหูไว้หูก่อน

“เอินว่าควรคุยกับเจ้าตัวให้แน่ใจด้วยนะคะ… เย็นนี้ทานข้าวด้วยกันไหม? เอินมีอะไรอยากถามพี่แตรต่อหน้าเขาพอดี”

อมฤตเม้มปากครู่หนึ่งก่อนตอบแผ่ว

“โอเค…”


เมื่อมาวันทาไปถึงภัตตาคารริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนั้น ก็พบอมฤตนั่งรออยู่ก่อนด้วยท่าทีค่อนข้างเคร่งขรึมเหมือนขบคิดปัญหาบางอย่างด้วยความจริงจัง ซึ่งลักษณะนั้นมาวันทาไม่เคยเห็นจากเขาตลอดระยะเวลาที่รู้จักกัน

“จ๊ะยังไม่มาหรือคะ?”

“เพิ่งโทร.บอกว่าอาจมาช้าหน่อยหนึ่ง ให้เราสั่งทานกันก่อน”

สองแพทย์ช่วยกันเลือกอาหารง่ายๆ สั่งเสร็จก็หันหน้าคุยกันแบบไม่หลบตา

“เอินกำลังร้อนใจ” มาวันทาเปิดฉากไม่อ้อมค้อม “เมื่อเช้าจ๊ะพูดให้รู้สึกเหมือนเอินมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยกับความเข้าใจผิดระหว่างเขากับพี่แตร”

“พูดว่า?”

“เขาคงเข้าใจผิด เรื่อง… อะไรสักอย่างระหว่างพี่แตรกับเอิน คงคิดเองเออเองตามนิสัยนั่นแหละ”

แม้เตรียมมาแล้วล่วงหน้า ทว่าประโยคนั้นก็ยากเย็นเต็มกลืนกว่าจะกล่าวครบ อมฤตนิ่งเงียบเกือบครึ่งนาทีก่อนเอ่ยถาม

“จ๊ะเล่าอะไรให้เอินฟังหรือ?”

“พี่แตรเคยถูกหลอกถาม หรือชวนให้พูดถึงความรู้สึกที่มีต่อเอิน แล้วจ๊ะไพล่ไปเข้าใจผิดๆได้บ้างไหม?”

คราวนี้จิตแพทย์หนุ่มแน่ใจทันทีว่าลานดาวบอกอะไรมาวันทา และนั่นก็บีบให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

“พี่แตรคะ?”

เสียงขานเรียกเหมือนย้ำถามหาคำตอบอยู่ในที ทำให้อมฤตจำใจเอ่ยปาก

“จ๊ะไม่ได้เข้าใจผิด แล้วก็ไม่ได้เอาคำพูดพี่ไปบิดเบือนหรอกเอิน… เห็นเอินแวบแรกพี่ก็นึกรักแล้ว”

มาวันทาตัวแข็งทื่อ มือเย็นเฉียบขึ้นมาฉับพลัน คล้ายเกิดภาวะสุญญากาศระหว่างหล่อนกับเขาที่ไม่อาจมีส่ำเสียงใดเล็ดลอดผ่านจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง หลายครั้งอมฤตพูดตรงไปตรงมาเสียจนน่าขยาด แต่ครั้งนี้น่าให้กระแสเลือดจับเป็นน้ำแข็งทีเดียว!

นานต่อมา อมฤตจึงยอมเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน

“แต่พี่ไม่เคยหักหลังจ๊ะแม้ด้วยใจ หวังว่าจ๊ะคงกำกับไว้ชัดเจนว่าที่พี่รู้สึกแบบนั้นกับเอิน มันเป็นความประทับใจแรกพบ ไม่ใช่แอบคิดมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง ถ้าพี่รักใคร พี่รักคนเดียว และพี่ก็มั่นใจว่าตัวเองซื่อสัตย์กับจ๊ะเสมอมาแม้ทางความคิด เขาจับได้แน่ๆถ้าขืนพี่ยังรู้สึกแบบนั้นกับเอินอยู่ เพราะเราสามคนเจอกันบ่อยและสนิทกันขนาดนี้”

หญิงสาวพยายามปรับสติอย่างยากเย็น ริมฝีปากคล้ายยอมขยับหน่อยเดียว

“พี่แตรกับจ๊ะควรปรับความเข้าใจกันดีๆ เอินคงทุกข์เหมือนตกนรกทั้งเป็นถ้ารู้ว่าตัวเองมีส่วนอยู่ด้วย แม้จะนิดน้อยขนาดไหนก็ตาม”

“สบายใจเถอะ ตั้งแต่รู้ว่าเอินมีคุณลัดธีร์เป็นสามีแล้ว เอินก็ไม่ใช่ปัจจัยแทรกแซงใดๆระหว่างพี่กับจ๊ะอีกต่อไป” เขาจิบน้ำแก้คอแห้งก่อนเอ่ยต่อ “เรื่องคงจะง่ายขึ้นถ้าเรารายละเอียดทั้งหมดมาแบกัน ไหนลองเล่าซิว่าจ๊ะบอกเอินว่าไงบ้าง”

มาวันทาอึกอัก

“เล่าตรงไหนล่ะคะ? จ๊ะพูดตั้งเยอะ”

“เริ่มจากตรงนี้ก่อน อยู่ๆทำไมเขาถึงรื้อฟื้นเรื่องพี่รักเอินขึ้นมา?”

แพทย์หญิงค่อยๆผ่อนลมหายใจ เบือนหน้าออกสู่เงามืดของเจ้าพระยา

“จ๊ะมาหาเอินด้วยเจตนาหนึ่ง… มาถึงก็สารภาพว่าเขามีความเคารพพี่แตรลึกซึ้ง แต่ไม่ใช่แบบหญิงรักชายอย่างจะอยู่เป็นคู่ครองที่เหมาะกัน ทีแรกเอินก็ท้วงว่าอย่าเพิ่งหุนหันสรุป เพราะเอินเห็นว่าพี่แตรกับเขาก็คู่ควรกันดีอยู่แล้ว… ไปๆมาๆจ๊ะก็จับเค้าจากตรงจุดนี้แหละค่ะ รื้อฝอยหาตะเข็บเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่พี่แตรก็เลิกคิดแบบนั้นตั้งนานแล้ว”

หล่อนลำดับคำพูดไม่ค่อยเป็นเส้นตรง และขัดเขินเกินกว่าจะลงรายละเอียดเป็นคำๆ อมฤตเล็งมองหญิงสาวผู้นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างจะอ่านใจ

“เคยเลิกคิดน่ะจริง แต่แล้วถ้าพี่จะขอกลับมาคิดใหม่ล่ะ เอินจะว่ายังไง?”

มาวันทาสะดุ้ง เบนวิถีสายตาจากแม่น้ำกลับมาสบกับเขาด้วยแวววิงวอน

“พี่แตรอย่าถามอย่างนี้เลยค่ะ เอินไม่สบายใจ”

“ถ้าทุกคนมีแต่ความเข้าใจที่ลงรอยเดียวกัน ไม่มีใครเป็นทุกข์จากความลงรอยเดียวกันนั้น จะไม่สบายใจไปเพื่ออะไร?”

มือของหญิงสาวเริ่มสั่นระริกอย่างสุดควบคุม

“เอินมาที่นี่คืนนี้เพื่อให้พี่แตรกับจ๊ะเข้าใจเสียใหม่ว่าเอินไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจะบอกว่าไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจผิดระหว่างพี่แตรกับจ๊ะเท่านั้นนะคะ”

“อย่างนั้นขอพูดในส่วนของพี่เองเพื่อให้เอินเข้าใจอย่างถูกต้องบ้าง… ถ้าวันแรกที่เราเจอกันแล้วพี่รู้ว่าเอินไม่มีเจ้าของ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เอินมา และจะมองจ๊ะเหมือนน้องสาวที่รักและน่าเอ็นดูที่สุดคนหนึ่งเท่านั้น!”

ถ้อยคำเด็ดเดี่ยวเยี่ยงผู้กล้าเปิดเผยความรู้สึกทำให้มาวันทาหน้าแดงซ่าน สายตาของเขายามนี้ช่างเหมือนกับที่เขามองหล่อนในวันแรก มีทั้งแววกรุ้มกริ่ม มีทั้งประกายหัวใจที่ใสซื่อ และมีทั้งกระแสอบอุ่นฉันคนสนิทที่ผูกพันกันมาแสนนาน จะแตกต่างอยู่บ้างก็คือฝั่งของหล่อนเอง ที่บัดนี้หวั่นไหวยิ่งกับสายตาอันส่องแสงรักได้งดงามเกินบรรยายของเขา

ทั้งร่างอ่อนเปียกลงชั่วขณะ ก่อนสติกลับคืน มาวันทาฝืนบังคับตนเองให้ตอบตาเขาด้วยแววว่างเปล่า ใจหนึ่งอยากลุกหนีไปดื้อๆ แต่อีกใจก็คิดว่าสนิทกันฉันพี่ฉันน้องมากพอจะไม่ต้องเก้อเขินในสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนชนิดนี้

“เอินสู้จ๊ะไม่ได้สักอย่าง ระหว่างที่เราคบหากันพี่แตรคงเปรียบเทียบเห็นอย่างชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ายึดความรู้สึกชั่วแล่นในวาระแรกมาเป็นอารมณ์เลยนะคะ ทุกวันนี้เอินก็เคารพพี่แตรมาก จะให้เปลี่ยนเป็นอื่นคงยาก”

“ไม่เป็นไร… เท่ากับเป็นคำตอบก็แล้วกันว่าใจเราไม่ตรงกัน”

เขาพูดยิ้มๆ และสัมผัสได้ว่าทันทีที่มาวันทาฟังจบประโยค ใจหล่อนก็หล่นวูบแบบคนที่ไม่รู้ชัดว่าตัวเองคิดอย่างไร ดีใจหรือเสียใจแค่ไหนแน่

อมฤตกล่าวต่อ

“ขอให้รู้อย่างหนึ่ง พี่กับจ๊ะมาถึงทางแยก ไม่ว่าจะมีเอินหรือไม่มีเอินก็ตาม และฝ่ายเริ่มมีใจแยกออกไปก่อนคือจ๊ะ ไม่ใช่พี่… ในส่วนของพี่เอง ก็ได้แต่บอกความจริงจากใจ และมีหน้าที่ฟังเอินตัดสินอย่างที่ประกาศออกมาแล้วเท่านั้น”

มาวันทาหลบตาเขาไปมองแม่น้ำอีก

“เอิน… ขอโทษนะคะ”

“ขอโทษเรื่องอะไร?”

“เอิน…”

“ช่างเถอะเอิน ขอแค่อย่าโกรธพี่ก็แล้วกัน จิตใจคนเราไม่เหมือนพวงมาลัยรถ ไม่มีคันเร่งหรือเบรกให้เหยียบกันง่ายๆ มันจะพุ่งไปทางไหน จะหยุดลงเมื่อใด คงบังคับกันยาก… พี่รักเอิน และไม่ใช่ความรักแบบหลงใหลเสน่ห์เย้ายวนเหมือนที่มีให้จ๊ะ แต่เป็นความรู้สึกผูกพัน ความรู้สึกต้องตาต้องใจอย่างลึกซึ้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน… พี่รักจ๊ะมากก็จริง แต่เวลาเราอยู่ด้วยกันสามคน พี่อดรู้สึกไม่ได้ว่าพวกเรากำลังเล่นละครชีวิตผิดบท ถึงแม้ปราศจากความฝืน แต่ก็มีความไม่สบายเต็มใจเช่นกัน”

คนถูกบอกรักนิ่งซึมเป็นนาน ก่อนเอ่ยพลางส่ายหน้าอัดอั้น

“เรา… เราจะทำผิดกับจ๊ะอย่างนี้ไม่ได้”

“ทำผิดกับจ๊ะยังไงคะ?”

เสียงทักถามจากเบื้องหลังทำเอามาวันทากระตุกเยือก หันขวับกลับไปเงยหน้ามองก็เห็นน้องสาวยิ้มละไมอยู่ แพทย์สาวถึงกับรู้สึกว่าตนเองซีดเผือดไปทั้งร่าง ไม่ใช่แค่ที่ใบหน้า

“จ๊ะ!”

ลานดาวลงนั่งเก้าอี้ข้างมาวันทา ไม่ไปคู่เคียงกับอมฤตดังเคย สีหน้าอาบสุขไร้ร่องรอยเศร้าหมองแม้แต่น้อย

“โต๊ะนี้ทำไมบรรยากาศเคร่งเครียดจัง พี่แตรพูดยังไงเข้าล่ะคะพี่เอินถึงอมทุกข์แก้มตุ่ยขนาดนี้”

อมฤตหัวเราะอย่างคนเคยเครียดแล้วหายเครียดเป็นปลิดทิ้งเรียบร้อย

“จ๊ะว่าพี่เครียดอยู่หรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ แต่อาจจะดูดายไปหน่อย นั่งร่วมโต๊ะกับคนเครียดอยู่เฉยๆได้ยังไง ทำไมไม่แผ่เมตตาให้เขาสบายขึ้นมั่ง?”

“แผ่แล้ว แต่ยังไม่ถึง เพราะเจ้าตัวมัวแต่ปิดกั้นอยู่”

มาวันทาหน้าเข้มขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินและถูกรุมจากคู่ขาที่เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย หล่อนหันมองลานดาวเหมือนอยากว่าอะไร แต่ฝ่ายนั้นเบนหน้าไปทางบริกรที่กำลังนำอาหารมาวางเสียก่อน

“อ๊ะ! ข้าวปลามาพอดี เห็นไหมจ๊ะรู้เวลาเสิร์ฟ ม่ะ… จ๊ะตักข้าวให้นะคะ” แล้วหล่อนก็บอกพนักงาน “น้องไม่ต้องจ้ะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

ตักข้าวใส่จานครบทุกคน ระหว่างนั้นอมฤตก็ตักต้มยำใส่ถ้วยเล็กแจกเช่นกัน ส่วนมาวันทานั่งเฉยเหมือนหุ่นปั้น

“มากินข้าวแก้เครียดกันเถอะพี่เอิน”

“คงกินไม่ลง”

“ทำไมอ้ะ?”

“รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน หรือเป็นตัวตลกประจำโต๊ะ”

“อ๋า… ตัวตลกอะไรเนี่ย เก๊กหน้างอเป็นม้าน้ำอย่างนี้ใครเขาจะขำ?”

มาวันทาอดหัวเราะไม่ได้

“ในที่สุดเธอก็ปลิ้นนิสัยทะเล้นออกมาเหมือนเดิมจนได้นะ เมื่อเช้าทำนุ่มนิ่มเป็นเจ้าหญิงอยู่แป๊บเดียว”

“ช่วงนี้มีสองภาคค่ะ ตอนเช้าเหมือนนางในวรรณคดี ตกค่ำรับบทเป็นนางชะนีตามเดิม… นี่ก่อนออกจากบ้านเห็นแมวร้อง ไอ้เราก็นึกว่ามันเรียกให้ไปตบกบาล แต่ตบพัวะเดียววิ่งจู๊ดไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย”

แพทย์สาวปรายตามองคนใจร้ายอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“ระบายอารมณ์ด้วยการรังแกสัตว์หรือ?”

“อารมณ์อะไร… รับประกันเลยว่าไม่มีการอัดอั้นแบบไหนๆทั้งนั้น ฮ่ะๆ พูดเล่นน่า แค่ตบหยอกเบาๆไล่ให้มันเลิกนัวเนียเพราะกำลังต้องรีบไปธุระด่วนหรอก”

ลานดาวพูดจ๋อยๆด้วยน้ำเสียงและลีลาร่าเริง แต่มาวันทาเริ่มจับสำเหนียกได้ว่านั่นเป็นการฉาบกิริยาภายนอกไว้ให้ดูดี แท้จริงแล้วภายในใจลานดาวเป็นอีกอย่างหนึ่ง สังเกตได้ว่าเมื่อหยุดพูด จิตลานดาวจะซึมลง และเมื่อพูดใหม่ ก็เหมือนต้องฝืนยกหน้ากากขึ้นบังกันอีกรอบ

ทว่านั่นก็มาจากเจตนาดี ลานดาวไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าหล่อนเศร้าอยู่ในส่วนลึก กับทั้งปรารถนาจะแต่งบรรยากาศให้เป็นที่สบายสำหรับทุกคน และด้วยความเข้าใจในระดับของการสัมผัสจิตเช่นนั้น หัวใจมาวันทาจึงพลอยอ่อนยวบ ยื่นมือกุมมือและพูดเข้าเรื่องโดยไม่สนใจกับข้าวปลาบนโต๊ะ

“จ๊ะ… อย่าแกล้งทำหน้ารื่นอยู่เลย เธอทำแบบนี้พลอยให้พี่เป็นทุกข์ไปด้วยนะ ทำไมถึงต้องฝืนนั่นฝืนนี่อยู่ตลอดเวลา?”

สีหน้าของลานดาวค่อยๆเปลี่ยนไป ประกายระริกในแววตาแปรเป็นทอดสงบล้ำลึก กระแสจิตมีความนิ่งเงียบที่ไม่เชิงว่าเอนไปทางสุขหรือเศร้าอย่างใดอย่างหนึ่ง

“แล้วทำไมพี่เอินถึงนึกว่าจ๊ะฝืนคะ?”

“มาพูดกันตรงๆเถอะ… เมื่อเช้าเธอทำให้พี่คิดมากจนแทบไม่เป็นอันทำงานทำการ พี่คุยกับพี่แตรแล้ว เขายังหวังจะแต่งกับเธออยู่เสมอนะ ไม่ได้คิดแปรใจเป็นอื่นอย่างที่เธอเหมาสรุปเอาเองเลย”

ลานดาวมองพี่สาวแน่วนิ่ง ก่อนหันเหสายตาไปทางอดีตคนรัก สานสบกับเขาสนิทพร้อมเอ่ยคำ

“ช่วงเวลาที่จ๊ะอยู่กับพี่แตร จ๊ะเป็นสุขที่สุดในชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงของพัฒนาการหลายๆด้าน โดยเฉพาะการมองเห็นสิ่งต่างๆตามจริงโดยไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างใคร ซึ่งนั่นทำให้ตระหนักอย่างหนึ่ง คือการพยายามมองหรือพยายามหน่วงเหนี่ยวพี่แตรไว้เป็นคนรัก ถึงแม้ไม่ฝืน ก็ไม่ได้สบายใจเต็มที่”

ช่างบังเอิญนัก เมื่อครู่มาวันทาเพิ่งได้ยินอมฤตพูดอย่างนี้ นี่ลานดาวก็พูดขึ้นอีกคน สองคนคงสัมผัสใจ หรืออาจสัมผัสความคิดกันและกันได้แน่นแฟ้นเกินใคร

“ถามจริงๆ เธอ… มีคนใหม่เข้ามาหรือเปล่า?”

มาวันทารู้สึกว่านั่นเป็นการรีบถามเกินไป แต่ความอยากรู้ว่าคำพูดของอมฤตถูกหรือผิด ทำให้อดใจไม่อยู่และเผลอโพล่งออกมาโดยไม่เลียบเคียงเสียก่อน

ลานดาวส่ายหน้า ตอบคำถามมาวันทาทั้งสายตายังสบค้างกับอมฤตแน่นิ่ง คล้ายอยากให้เขาเป็นผู้อ่านใจหล่อนว่าตรงกับปากทุกถ้อยทุกคำหรือไม่

“เมื่อเช้าบอกไปรอบหนึ่งแล้วไงคะ จ๊ะไม่มีใคร อีกอย่างถึงเวลานี้ก็ปลงใจยอมรับแล้วว่าอาจต้องรออีกนานตามคำทำนายของอาจารย์… แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป ทุกวันนี้จ๊ะสนุกเพลินอยู่กับสิ่งที่อาจารย์และพี่แตรสอนมากพอจะไม่ทุรนทุรายพลิกแผ่นดินหาคู่ครองอีกต่อไป ธรรมชาติให้เราเล่นเกมปิดตาเดินทาง ต่อนี้ไปจ๊ะจะพยายามเปิดผ้าที่คาดตาออก และคงทำอย่างนั้นไม่ได้ถ้าหากยังดิ้นรนไขว่คว้าหาสมบัติภายนอกอยู่”

อมฤตกะพริบตาทีหนึ่ง ก่อนถามเรียบๆไม่ส่อเชิงรุก

“ช่วงสายของเมื่อวาน ตอนพี่โทร.ไปหาจ๊ะหลังเลิกรายการ… จ๊ะกำลังทำอะไรอยู่หรือ?”

กระแสจิตลานดาวมีอาการสะดุดเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยความสงบดังเดิม

“คุณสรณะส่งกุหลาบมาให้ช่อหนึ่ง… จ๊ะเคยคลั่งไคล้เขามาก่อน เลยเผลอชื่นชมดอกไม้ของเขา และรู้สึกตกใจที่พี่แตรโทร.มา… แต่จ๊ะก็สำนึกผิด เอาดอกไม้ทิ้งถังขยะไปแล้ว และไม่แม้แต่โทร.ขอบคุณเขาตามเบอร์ในนามบัตร”

อมฤตยกมือกอดอก เบนหน้าไปมองเจ้าพระยา

“ไม่ต้องโทร.หรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจมาถึงที่!”

“รับรองค่ะว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เริ่มต้นจากคุณสรณะ… เมื่อคืนจ๊ะถามพี่แตรเรื่องแต่ง พอพี่แตรพูดว่าเริ่มเห็นความไม่เหมาะกันระหว่างเรา มันคล้ายปลุกจ๊ะให้ตื่นขึ้นเห็นความจริงสุดท้าย หลังจากเห็นความจริงก่อนหน้ามาตามลำดับทีละเปลาะ เดี๋ยวนี้จ๊ะมีสติครบถ้วนทุกประการ น่าจะดีกว่าคนทั่วไปทั้งหลายที่เต็มไปด้วยม่านอคติบังใจด้วยซ้ำ ไม่มีความเศร้า ไม่มีใครอื่น ไม่มีแม้แต่ความพะวงเกี่ยวกับอนาคต และพี่แตรก็เป็นคนปลดโซ่เกือบทุกเส้น”

อมฤตหันกลับมามองลานดาวทันที

“พี่อยากให้เราจำกันไว้ว่าจ๊ะเป็นฝ่ายบอกเลิกนะ อย่าไปเล่าให้ใครต่อใครฟังเหมือนพี่เป็นคนเริ่ม และเอินสามารถเป็นพยานให้พี่ได้ด้วยว่าแทนที่จ๊ะจะขอเลิกกับพี่เอง กลับใช้วิธีบอกผ่านเอินเสียนี่!”

ลานดาวก้มหน้า

“ขอโทษค่ะ…” แล้วหล่อนก็เงยขึ้นสบตากับเขาใหม่ “ที่เมื่อคืนจ๊ะโทร.หาพี่แตร ความจริงเพิ่งตื่นขึ้นจากฝัน… ฝันเห็นพี่แตรนอนร่วมเตียงกับพี่เอิน อย่าถามเลยว่าบาดตาขนาดไหน… แต่พอตื่นขึ้นทบทวน ก็เห็นว่าอาการบาดตาเกิดจากมุมมองของใจ เมื่อใจมองในมุมใหม่ จ๊ะก็เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น นั่นคือความเหมาะสมยิ่งระหว่างพี่แตรกับพี่เอิน… และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจ๊ะถึงรอไม่ไหว ต้องรี่ไปคุยกับพี่เอินถึงห้องก่อนเช้า”

มาวันทาได้ยินคำพูดพาดพิงถึงตนเช่นนั้นเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว

“ตกลงเธอเห็นพี่เป็นอะไร ตุ๊กตาสนองฝันเหลวไหลของเธองั้นหรือ?”

ลานดาวหันมาทางพี่สาว

“พี่เอินไม่ใช่ตุ๊กตาของใคร จ๊ะแค่ไม่อยากให้พี่แตรกับพี่เอินต้องเกรงใจจ๊ะทีหลัง อยากมีส่วนสำคัญให้ทุกสิ่งลงตัวอย่างที่ควรจะเป็น”

“เหมือนโดนยัดเยียดข้อหาเลยนะ… สิ่งที่เธอทำมันเหมือนบังคับให้พี่ยอมรับว่าแอบมีใจอยู่กับพี่แตรให้ได้”

“เปล่าเลย… จ๊ะรู้ว่าความรักของพวกเรายืนอยู่บนพื้นฐานความบริสุทธิ์ใจ เอาเป็นว่าจ๊ะอยากให้พี่ทั้งสองครองคู่กันก็ได้ แล้วจ๊ะก็ยังอยากขอไปเที่ยวไหนต่อไหนกับพี่ๆอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้คงทำให้เราเข้าหน้ากันติดจนกว่าจะตาย ไม่ดีเหรอ?”

“พี่ไม่ชอบถูกบงการ จะรักใครชอบใครเป็นเรื่องธรรมชาติของการคบหากันเอง… จ๊ะนี่น่าเขียนหนังสือเรื่อง ‘โลกหมุนรอบตัวฉัน’ ซะจริงๆ เธอคงเขียนได้ดีกว่าใคร เพราะอะไรๆก็ต้องมีเธอเป็นศูนย์กลางตลอด”

“โอเคค่ะ งั้นจ๊ะจะปล่อยให้พวกพี่คบกันเองโดยไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว อย่างนี้คงไม่ต้องรับออเดอร์เขียนหนังสือสะดือโลกอะไรของพี่เอินนั่นแล้วนะคะ”

มาวันทาฟังแล้วขมวดคิ้วเคร่ง ยิ้มเย็นของลานดาวทำให้หล่อนหงุดหงิด เสียงถามจึงติดเครียดอยู่บ้าง

“รู้ไหมตอนนี้ใจพี่คิดอะไร?”

ลานดาวยักคิ้วเล็กๆ

“ชักนึกเกลียดจ๊ะขึ้นมาสิคะ… ช่างเถอะ พี่เอินเอ็นดูแกมหมั่นไส้จ๊ะมาแต่แรกอยู่แล้ว ถึงยังไงจ๊ะก็รักและปรารถนาดีต่อพี่เอินถ่ายเดียวเสมอ… เห็นไหม? คนอื่นบ๊งเบ๊งจะฆ่ากันตายเรื่องแย่งคนรัก แต่เราสามคนมาคุยกันแบบปัญญาชนในบรรยากาศสบายๆได้อย่างนี้เพราะอะไรถ้าไม่ใช่ด้วยความรักที่แท้จริง แตกต่างจากความรักแบบเห็นแก่ตัวที่พลิกจากอ้อมกอดอบอุ่นเป็นการเข่นฆ่าฟันแทงได้ในพริบตา”

มาวันทายังไม่เลิกมองผู้อ่อนวัยกว่าด้วยสายตาแบบหนึ่ง ทำให้ลานดาวต้องเอ่ยเสริม

“จ๊ะไม่เคยมีความรู้สึกอยากแข่งดีกับพี่เอินแบบผู้หญิงกับผู้หญิงเลยนะคะ”

“ใช่สิ! เธอเหนือกว่าพี่ทุกๆทางอยู่แล้วนี่ แม้แต่แฟนก็ทำเป็นใจดีจะยกให้ ตัวเองเสียสละยอมเหงาแทน”

“พี่แตรไม่ใช่ของใคร ทุกอย่างลงตัวตามเหตุปัจจัยที่เหมาะสมต่างหาก… จ๊ะถูกพี่แตรฝึกให้หัดพูดความจริงจากใจ ไม่ต้องอมพะนำ ไม่ต้องรักษาฟอร์ม ไม่ต้องคิดสรรคำมาแต่งหน้าแต่งตาให้ตัวเองดูดี ทุกวันนี้เปรียบเทียบแล้วโล่งอกขึ้นเยอะเลย พี่เอินหัดมั่งเถอะ เริ่มจากตรงนี้เลย… พี่เอินรักพี่แตรหรือเปล่า?”

ถ้อยคำแฝงการยั่วเย้าอยู่ในทีนั้นทำให้มาวันทาเกิดมานะ

“พี่ไม่เอาด้วยหรอก วิธีพูดเปิดอกเปิดใจหมดเปลือกของพวกเธอ!”

ลานดาวหันไปยิ้มกับอมฤต

“อย่างนี้พี่แตรคงต้องจับฝึกสักพัก”

มาวันทาแหวนิดๆขึ้นมาทันที

“ใครยอมให้ฝึก?”

“น่า… พี่เอินก็ลูกศิษย์พี่แตรคนหนึ่งนั่นแหละ เขาเคยทำให้พี่เอินหายฝันร้าย แล้วก็อาจทำตัวเป็นฝันดีครั้งใหม่ได้อีกด้วย ครบสูตรขนาดนี้ยังไม่เอาอีกหรือ”

แล้วลานดาวก็ทำหน้าที่เป็นแม่งานเปิดพิธี

“มาทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวกับจะชืดเสียหมด รู้สึกว่าพี่แตรหิวๆอยู่ใช่ไหมคะ?”

“อือ”

อมฤตยอมรับยิ้มๆ ประกายตาบอกความพึงพอใจกับสิ่งที่เห็นทั้งหมด


มาวันทากลับมาที่ห้องด้วยความรู้สึกแปลกใหม่อย่างประหลาด ในหัวเหมือนมีแต่เรื่องของอมฤตวกวน พยายามถอนเท่าไหร่ก็ถอนไม่ออก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสะเทือนความรู้สึกแรงมากทุกๆด้าน ปัจจุบันอมฤตกับลานดาวมีความหมายกับหล่อนสูงสุด ฐานะความสัมพันธ์จะแปรไปอย่างไรย่อมมิใช่เรื่องเล็กน้อย

สำรวจใจตนเอง เห็นกำแพงบางอย่างกั้นขวาง เหมือนมีบางสิ่งปิดทึบอึดอัดอยู่ อาจเป็นทิฐิ อาจเป็นความสับสน หรืออาจเป็นความงุนงงกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้จริง

แพทย์สาวล้มตัวลงบนเตียง นอนหงายมองเพดานนิ่งด้วยคลื่นความคิดปั่นป่วน หล่อนอยู่ของหล่อนดีๆ ทำไมเหตุการณ์ถึงคลี่คลายออกมาในรูปนี้ก็ไม่รู้

เสียงติ๊งต่องดังขึ้นที่หน้าประตู มาวันทานึกถึงลัดธีร์สามีเก่าก่อนใครเพื่อน มีเขาคนเดียวที่ชอบแวะเวียนมามืดๆโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และหล่อนก็เคยลั่นวาจาชัดเจนแล้วว่าไม่ต้อนรับเขาที่นี่ ถ้ามาอีกจะไม่เปิดประตูให้อย่างเด็ดขาด

เจ้าของห้องยังนอนนิ่งกับที่ หลับหูหลับตาไม่ยินยลสนใจ คิดว่าเดี๋ยวลัดธีร์คงกลับไปเอง แต่ฝ่ายนั้นยังก่อกวนไม่เลิก กดออดซ้ำอีกสองหน มาวันทาทนไม่ไหวจึงเดินไปที่ประตูและส่งเสียงดุเยี่ยงผู้มีเรื่องกดดันค้างคาอยู่แล้ว ยังต้องมารับเรื่องกระทบเพิ่มเติมอีก

“กลับไปเถอะค่ะพี่อ๋อง เอินบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้อนรับ… หัดซื่อกับเมียพี่บ้างเถอะ!”

คนกดออดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงตอบกลับมานุ่มนวล

“เอิน… นี่พี่แตร”

มาวันทาใจหายวาบ ยื่นหน้าไปเล็งผ่านช่องตาแมวกลางประตู พอเห็นว่าเป็นอมฤตจริงจึงยอมบิดลูกบิดเปิด แต่ไม่ปลดโซ่เล็ก แค่แง้มให้เห็นหน้ากันหน่อยเดียว

“มีธุระอะไรคะ?”

“พี่อยากคุยด้วย เหมือนเรายังคุยกันไม่จบ”

“คุยกันวันอื่นเถอะค่ะ เอินเหนื่อย แล้วก็กำลังสับสนมากๆด้วย”

“นั่นแหละ… พี่ไม่อยากให้เราค้างคากัน เราลงไปคุยกันในห้องอาหารข้างล่างก็ได้”

“ป่านนี้ปิดแล้วล่ะค่ะ”

อมฤตนิ่งอยู่ครู่ ก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ก็ได้… งั้นพรุ่งนี้พี่โทร.หาเอินนะ”

“ค่ะ”

ชายหนุ่มส่งยิ้มและโบกมือลา มาวันทายิ้มตอบและหับปิดประตูลงตามเดิม

อมฤตยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่ง เลิกคิ้วให้ตนเองก่อนจำใจหันเดินทอดเท้าจากมาหงอยๆ ทว่าเพียงสิบก้าวยังไม่ทันถึงมุมเลี้ยวเข้าบริเวณหน้าลิฟต์ ก็ได้ยินเสียงประตูห้องมาวันทาเปิดจากเบื้องหลัง

“พี่แตรคะ”

คนถูกเรียกหันกลับไปพร้อมยิ้มดีใจ เห็นมาวันทายื่นหน้าออกมานอกกรอบประตูห้อง

“ทีหลังอย่ามาดึกๆอย่างนี้อีก เอินไม่ชอบ!”

เสียงสั่งค่อนข้างดังนั้นทำให้อมฤตหุบยิ้ม หน้าสลดลงทันตาเห็น

“จ้ะเอิน พี่ขอโทษ”

ประสานตากันในระยะห่างครู่หนึ่ง ก่อนมาวันทาจะยกมือกระดิกนิ้วนิดๆเป็นสัญญาณเรียก ทำให้อมฤตสีหน้าสดชื่นขึ้น และเดินดุ่มกลับไปหาทันที

“ไหนๆเสียค่าน้ำมันรถแล้ว เข้ามาคุยให้จบๆก่อนก็ได้”

บอกเขาเสียงเบาเมื่อมายืนเผชิญหน้ากันในระยะใกล้ อมฤตกระแอมทีหนึ่ง ก้าวเดินเข้าห้องหญิงสาวอย่างสง่าผ่าเผยเมื่อหล่อนอ้าประตูให้ มาวันทาชั่งใจครู่หนึ่งก่อนผลักบานประตูปิดเข้าที่ และยืนกอดอกถามเขาจากตรงนั้น

“มีอะไรหรือคะ?”

อมฤตยืนอยู่กลางห้องครู่หนึ่ง เมื่อเห็นมาวันทาไม่เดินตามมา ก็เป็นฝ่ายหันเดินเนิบนาบกลับไปหา กระทั่งหยุดยืนเกือบประชิดจนเกิดสนามแม่เหล็กระหว่างเพศตรงข้าม เจ้าของห้องสาวต้องถอยเท้าไปก้าวใหญ่จนหลังเกือบพิงประตู และมองเขาอย่างไม่ไว้ใจนัก

“ไหนพี่บอกว่าจะพูดอะไรก็พูดสิ”

อมฤตตอบตาหญิงสาวไม่วาง และทำในสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน นั่นคือใช้มือเกี่ยวเอวหล่อนตวัดเอาร่างแบบบางเข้ามากอดแนบอก ชายหนุ่มประมาณแรงเหนี่ยวให้พอดีกับที่ใบหน้าหล่อนจะแหงนเริ่ดขึ้นรับการก้มลงประกบปากจากเขาได้สนิท

ริมฝีปากถูกผนึกด้วยรสแห่งอมฤต จากพริบตาแรกที่ตกใจจนเกร็งไปทั้งตัว กลายเป็นปวกเปียกลงอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา หนึ่งนาทีที่ตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนเขา มาวันทาลืมศักดิ์ศรีของตนเองไปชั่วขณะ แต่พอเขาคลายอ้อมกอดก็นึกขึ้นได้ เผลอถอยหลังหนีจนท้ายทอยกระแทกประตูเจ็บไปทั้งหัว พอเจ็บก็โมโหและพาลมาลงกับเขาด้วยการสะบัดฝ่ามือเข้าแก้มเพียะ

“เห็นเอินง่ายมากใช่ไหม?”

อมฤตยิ้มอ่อน ไม่สะดุ้งสะเทือนกับแรงตบแม้แต่น้อย

“แค่อยากจูบผู้หญิงที่พี่เห็นว่ามีค่าที่สุด ไม่ทันนึกถึงเรื่องง่ายหรือยากหรอก”

“ผู้ชายเป็นอย่างนี้กันทุกคน สนใจหรือเปล่าว่าเอินจะรู้สึกยังไง?”

“พี่ขอโทษ… แต่นี่มันเกินกว่าที่จะหักห้าม และถ้าได้จูบเอินอีกครั้ง ให้โดนยิ่งกว่าตบก็ไม่กลัว!”

ขาดคำก็เกี่ยวร่างแน่งน้อยเข้ามากอดกระชับและประกบจูบอีก มาวันทายกสองมือทุบไหล่เขาสามสี่ครั้งก่อนจะแขนตกนิ่งและจูบตอบอย่างลืมตัว

เนิ่นนานจนมาวันทาผลักเบาๆ อมฤตก็ยอมคลายอ้อมกอด ครั้งนี้หล่อนไม่มีท่าทีจะทำร้ายเขาอีก เพียงแต่ไล่อย่างสุภาพก่อนตนเองจะกระเจิดกระเจิงยิ่งกว่านี้

“กลับไปก่อนเถอะค่ะพี่แตร”

“ก็ได้…” หยิบมือซ้ายของหล่อนขึ้นกุม “ขอให้รู้ไว้ ว่าพี่รักเอิน และไม่เคยอยากอยู่กับใครเท่าเอินมาก่อน”

มาวันทาดึงมือออกพลางส่ายหน้า

“อย่าเพิ่งพูดอย่างนี้เลย ทุกอย่างเร็วเกินไปค่ะ เอินทำใจรับไม่ทันจริงๆ”

“งั้นพรุ่งนี้มาเริ่มทำใจกัน มื้อเย็นให้พี่ไปรับเอินที่โรงพยาบาลนะ”

“นี่พี่… ไม่อายเจ้าจ๊ะบ้างเหรอ?”

“ไม่อาย”

แพทย์สาวเม้มปากครู่หนึ่งก่อนพึมพำ

“ที่จริงดูเข้ากันดีออกนะคะ หน้าไม่อายทั้งคู่!”

“บาปเท่านั้นที่น่าละอาย แล้วที่เราทำเป็นบาปตรงไหน วันนี้น่าจะคุยกันรู้เรื่องหมดแล้ว ไม่มีใครเป็นทุกข์สักคนนอกจากเอิน”

มาวันทาถอนใจเฮือกใหญ่

“ขอห่างจากพี่แตรสักระยะเถอะค่ะ… เอินสบายใจเมื่อไหร่จะติดต่อไปเอง แต่อย่าหวังว่าจะเป็นพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้นะคะ”

อมฤตพยักหน้าอย่างไม่ต้องการเซ้าซี้เยิ่นเย้อ

“ตกลง”

แล้วเขาก็โน้มเข้ามาจุมพิตลา มาวันทาถอยหลังก็ติดประตู เบี่ยงหน้าหลบก็ถูกหอมแก้มแทนเข้าให้อีก

“พี่จะรอนานเท่าที่เอินต้องการก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น