วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

จะตอบคำถามคนที่ไม่เชื่อในการเกิดอีกครั้งอย่างไรดี


ดังตฤณ : ไม่ต้องไปพยายาม คือคนที่เขาไม่เชื่อ ไปพูดยังไง ให้ตายก็ไม่เชื่อ อย่างฝรั่ง ผมเจอประจำ พอเขารู้ว่าเรานับถือพุทธ เราศรัทธาพุทธนี่ ถามคำแรก ถามด้วยการเห็นว่า ศาสนาพุทธเรา งมงายอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด

คือเขาจะจับจุดไม่ถูก มองไม่ออกว่า ศาสนาเราเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องการพ้นทุกข์ เรื่องการดับทุกข์ เขาจะมองไว้ก่อนเลยว่า ศาสนาเรา สอนให้งมงาย เชื่ออะไรผิดๆ ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แล้วก็จะเอาการรับรู้ของตัวเองเป็นหลักฐานว่า ตัวเองไม่รับรู้ว่าชาติหน้ามีจริง มันก็ต้องไม่มีจริง หรือนักวิทยาศาสตร์บางคนก็ทดลองในแบบที่ตัวเองไบแอส (bias) ว่า ทั้งหลายทั้งปวงจะมุ่งเน้น จะโฟกัส (focus) อยู่แค่ว่า อย่างคนไปเห็นนรกสวรรค์ หรือว่าตายชั่วคราวแล้วฟื้นกลับมาเล่าเป็นตุเป็นตะ ว่าไปเห็นนู่น เห็นนี่ เป็นแค่การทำงานของสมองทั้งสิ้น เขาจะเชื่ออย่างนี้ ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ แต่ไม่นับชาวบ้านตาสีตาสา ที่บอกว่า ไม่เชื่อ

ถ้าใจปิด ถ้าใจไม่เชื่อเสียอย่าง ยังไงมันก็ไม่เชื่อ อย่างศัลยแพทย์คนหนึ่งที่ตายชั่วคราว แล้วกลับมาบอกกับโลกว่า เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว แต่ก่อนเขาก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน ว่าอะไรๆ ที่เป็นภาวะ ไปเห็นความตาย หลังความตาย เป็นการทำงานของสมองทั้งสิ้น อันนี้เขามีหลักฐานทางการแพทย์เลยว่าสมองเขาหยุดทำงานสิ้นเชิง ก็อุตส่าห์มีนักวิทยาศาสตร์อื่นที่เป็นพรรคพวกบอกว่า บ้าไปแล้ว คงยังมีฟังก์ชั่น (function) อะไรบางอย่างในสมองที่เราไม่รู้จัก ยังทำงานอยู่ แต่ detect ดีเทคไมได้ คือตรวจสอบด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันไม่ได้
มันอ้างได้หมด คือต่อให้เป็นวงการวิทยาศาสตร์ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะรู้ ที่จะพิสูจน์ ก็อุตส่าห์ดิ้นไปจนได้แหละว่าการทำงานของสมองยังไงเนี่ย ก็ต้องมี ถึงแม้ว่าจะ detect ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะตรวจสอบไม่เจอจากเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน
หรืออย่างกระทั่งที่ว่า อย่างแม้แต่ สตีเฟน ฮอว์กิง (หมายเหตุผู้ถอดความ: สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง / Stephen William Hawking) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่าฉลาดที่สุดในโลกคคนหนึ่งในปัจจุบัน ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วก็เคยบอก บอกว่า นรก สวรรค์ ไม่มีจริงหรอก ทุกอย่างเป็นการทำงานของสมองทั้งสิ้น ตายไปก็จบ ตอนนี้ก็คงไปรู้แล้วว่า จบจริงหรือเปล่านะ

นี่คือคนระดับนั้นยังพูดเลยว่า มันไม่จริง ทั้งๆที่ คนที่ศึกษาสมองมาจริงๆ ทำวิจัยในห้องแล็บ เก็บสถิติอะไรมามากมาย ยังบอกเลยว่า ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าพื้นที่ของสมองส่วนใด ที่ผลิตการรับรู้ที่เป็นปัจจุบัน ออกมา

การรับรู้ที่เป็นปัจจุบัน หมายความว่า ที่เห็น ที่ได้ยิน คือที่เรารู้สึกว่า ได้เห็น ได้ยิน เพราะมีการทำงานของสมองส่วนหนึ่ง อันนั้นเป็นฟังก์ชั่นของการรับรู้ทางตา ทางหู แต่ตัวที่รับรู้ ตัวที่เป็น conscious ที่มีสำนึกรับรู้อยู่ได้ มาจากสมองส่วนไหน พื้นที่สมองส่วนไหน ยังบอกไม่ได้นะ มีแต่การสันนิษฐานล่าสุด ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดเลยที่จะบอกได้ บอกว่า สงสัยอยู่ตรงใจกลางสมอง เพราะมีเซลส์ประสาทขนาดยักษ์อยู่ตรงนั้น สันนิษฐานอย่างเดียวนะ ไม่สามารถหาหลักฐานอ้างอิงพิสูจน์ หรือว่ามีวิธีการใด ที่จะไปมองว่าตรงนั้น เป็นแหล่งผลิตตัวสำนึกรับรู้ขึ้นมาจริงๆ

นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ตอบไม่ได้ ว่าพื้นที่ไหนของสมองที่ผลิตการรับรู้ขึ้นมา

ทีนี้ถ้ามองทางศาสนา มีคำตอบอยู่ชัดเจนอยู่แล้วว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว จิต นี่แหละที่เป็นตัวรับรู้ สมองเป็นเพียงฟังก์ชั่นของการรับรู้ ว่าจะรับรู้ส่วนไหน หรือแม้แต่ความทรงจำ ก็มีเก็บ มีลักษณะการเก็บเหมือนกับฮาร์ดดิสก์ เป็นประจุ มีเซลส์ประสาทที่งอกใหม่ได้ แล้วทำหน้าที่จำ แต่ไม่ใช่ตัวความจำ ไม่ใช่ตัวความจำจริงๆ
ลักษณะความจำจริงๆ มันเกิดขึ้นในระดับ นามธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่ ต้องรู้เฉพาะตน ต้องปฏิบัติ เข้ามาดูกาย เข้ามาดูใจ อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดความเห็น สักแต่เป็นรูป สักแต่เป็นนาม แล้วเห็นว่า อันนี้เป็นผล รูปนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากเหตุในอดีต และเหตุในอดีต ไม่ได้มีแต่เหตุในชาตินี้ มันมีเหตุก่อนหน้านี้อีก ก่อนหน้าที่จะมีรูปนี้ กายนี้ ใจนี้ ตอนนี้ถึงหายสงสัย ถึงจะทะลุออกไป
คนที่แม้จะเชื่อแล้วเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หรือว่าเชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า ความเชื่อนั้นก็ไม่ช่วยให้เปลี่ยนใจไม่ได้นะ อย่างหลายคน ดาราดังๆ ก็มี บอกว่าเข้ามาปฏิบัติในพุทธเต็มที่แล้ว แต่ไม่เจออะไรเลย ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย ก็ไปเปลี่ยนศาสนา เป็นศาสนาอื่น บอกแล้วว่าเรื่องศาสนามันใหญ่กว่าชีวิต ฉะนั้นถ้าไม่ได้คำตอบจากอะไรอย่างหนึ่ง ก็ต้องไปแสวงหาใหม่

นี่ก็เหมือนกัน คือ ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่เรายังไม่ได้เห็นจริงๆ ว่า หน้าตาเป็นยังไง ก็อย่าเพิ่งไปสรุปว่าเรามีดีกว่าคนที่เขาไม่เชื่อแล้วแน่ๆ เวลาที่เราจะชักจูงคนที่เขาไม่เชื่อ ให้เกิดความเชื่อ อย่าไปพยายามชวนคุยในเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างพิสูจน์กันไม่ได้ ช่วยเปิดหูเปิดตากันไม่ได้ เอาแง่มุมที่เราสามารถช่วยให้เขาเปิดหูเปิดตาได้ดีกว่า

ชวนกันมาคุยเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์ อันเห็นได้ในปัจจุบัน ถึงเขาจะไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ถึงแม้ว่าเขาจะยังทำผิดศีล ผิดธรรมอยู่ อย่างน้อยก็ยังได้มีอะไรบางอย่างจากพุทธศาสนาไป ติดตัวไป แล้วก็ถ้าได้ดี ได้รู้สึกว่า มีความทุกข์เบาบางลง อย่างน้อยก็จะได้นับถือพระพุทธเจ้า คนนี่นะ นับถือพระพุทธเจ้า มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระองค์เองท่านให้คำรับรองว่า ยังไงก็จะต้องได้ไปเจอพุทธศาสนาอีก ยังไงก็ต้องได้ไปดีนะครับ คือบางทีถ้าไปเน้น ไปย้ำเรื่องที่ยังไงๆ ก็พิสูจน์ไม่ได้ แล้วเขาเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา กลายเป็นว่าไปเอายาพิษใส่ปากเขา ไปทำให้เขานี่ลบหลู่พระพุทธเจ้ามากขึ้นๆ จนกระทั่ง กลายเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิในชาติปัจจุบัน คือกลายเป็นมีความเที่ยงที่จะจงเกลียดจงชัง พุทธศาสนา
6
ฉะนั้นถ้าหวังดีกับใคร เราต้องเอาแง่ดีของพุทธศาสนาไปทำให้เขาเกิดความรู้สึกดี แล้วก็เกิดความรู้สึกที่อยากฟังต่อ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการเอาแพ้ เอาชนะที่สูญเปล่า ตัวเราเองก็ไม่ได้บุญเพิ่ม ตัวเขาเอง ที่แย่อยู่แล้ว อาจยิ่งแย่หนักขึ้น ก็เอาสิ่งที่เราสามารถทำได้ แล้วก็เอื้อให้เกิดกุศลกับทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ปฏิบัติธรรมหวังสวรรค์ผิดไหม?
1 ธันวาคม 2561

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น