วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ตอนนี้นี้รู้สึกจะเสพติดท้องพองยุบ แก้ไขสภาวะนี้อย่างไรดีครับ?

 ดังตฤณ :  ไม่ได้ยกตัวอย่างมาว่ากำหนดอะไร อาจจะเป็นกำหนดความเกร็ง หรืออาจจะกำหนดว่าคอตั้งหลังตรงอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่

ประเด็นคือว่า พอกำหนดสิ่งที่ชัดที่สุดในขณะนั้นแล้ว กลับมารู้สึกถึงท้องพองยุบต่อ ตอนนี้กลายเป็นเสพติดท้องพองยุบจะแก้ไขสภาวะนี้อย่างไร (คุณดังตฤณทวนคำถาม)

อันนี้อยากแนะนำว่าให้ย้อนกลับไปทำความเข้าใจว่า หลักหรือการเจริญสติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เป็นไปก็คือ ให้เรารู้ความเป็นกายเป็นใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง เราเอาตรงนี้ให้ได้แม่นยำ เป็นจุดหลักเป็นจุดออกตัว แล้วทำไปมันจะไม่พลาดจากทางนะครับ

ที่คุณถามมาเพราะคุณกังวลอยู่ว่า เอ๊ะ! เราเสพติดท้องพองยุบอยู่หรือเปล่า หรือว่าตอนทำท้องพองยุบ พอมันหายไปเราทำยังไงต่อ เราจะกลับมาหาท้องพองยุบยังไง อันนี้คือปรับที่มุมมองเริ่มต้นใหม่เลยนะครับ

เรามองอย่างนี้ว่า ที่เราทำๆไปไม่ใช่เพื่อที่จะให้ท้องพองยุบมันได้อยู่ติดตัวเราตลอด อยู่ติดจิตไม่หายไปไหนเลย ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

ตรงกันข้าม เราเริ่มภาวนาขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้มีหลักฐานที่ชัดเจนปรากฏกับจิตว่า ไม่มีสิ่งใดเลยในกายในใจนี้ที่เป็นภาวะยั่งยืน มันจะต้องหายไปเสมอ แม้กระทั่งความสามารถที่จะเห็นท้องพองยุบ มันก็เป็นความสามารถชั่วคราว ท้องพองยุบปรากฏแป๊บนึง เดี๋ยวมันหายไป มันหายไปไหน มันหายไปเป็นอะไร นั่นแหละที่เราต้องรู้

จริงๆที่คุณบอกว่าไปกำหนดสิ่งที่กำลังชัดที่สุดในขณะนั้น เนี่ยตัวนี้ถูกครึ่งทางแล้วนะ คือพอท้องพองยุบหายไป แล้วคุณไปรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏแทนที่ท้องพองยุบ อันนั้นมันเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า รู้จริงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในนาทีนั้นวินาทีนั้น

แต่สิ่งที่มันผิดไปอีกครึ่งหนึ่งก็คือ คุณมีความพอใจที่จะย้อนกลับไปหาท้องพองยุบอย่างเดียว ต้องท้องพองยุบเท่านั้นถึงจะเป็นการภาวนา นั่นไม่ใช่วิธีที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ในการเจริญสติแบบสติปัฏฐาน

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า เห็นอะไรอย่างหนึ่งชัดแล้ว ไม่ใช่แค่นั้น ยังต้องเห็นอย่างอื่นอีก เห็นอะไร? เห็นสิ่งที่มันกำลังปรากฏขึ้นมาแทนที่สิ่งที่มันหายไปนั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าท้องพองยุบหายไป แล้วเกิดความรู้สึกพะวง ก็ให้ดูความพะวงนั้นแหละ ภาวะความพะวงหน้าตามันเป็นยังไง มันมีอาการมวนๆในจิต มันมีอาการวนๆในจิต มันมีอาการหลงๆ มันมีอาการที่มึนๆเบลอๆ มันมีอาการที่พร่าๆสัดส่ายไปมา เนี่ยลักษณะที่มันเป็นความงุนงงสงสัยพยายามหาทางกลับอยู่ ถ้ามันกำลังปรากฏชัด คุณตั้งความพอใจไว้รู้แค่นั้นพอ รู้ไปเพื่ออะไร? เพื่อที่จะเห็นแม้ความงุนงงสงสัย แม้ความพยายามที่จะกลับเข้าที่เข้าทาง ที่คุณนึกว่าถูกต้อง มันก็เป็นภาวะความปรุงแต่งชั่วคราวที่เกิดขึ้นกับจิต ท้องพองยุบนั้นเป็นความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นกับกาย แต่ความสงสัยลังเลไม่แน่ใจ มันเป็นความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นกับจิต ทั้งคู่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ดู เนี่ยน้อมมาดูด้วยตนเถิดว่า สิ่งนี้แสดงความไม่เที่ยงอยู่ สิ่งนั้นก็กำลังแสดงความไม่เที่ยงอยู่ เมื่อสิ่งนี้หายไปกลายเป็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็จะบอกเราว่าที่มันผ่านไปแล้วล่วงไปแล้วเนี่ย มันแสดงความไม่เที่ยงเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ต้องพยายามที่จะหวนกลับมาดูมัน ไม่ต้องพยายามเอาเป็นเอาตายกับมัน

แต่ว่าถ้ามันเริ่มฟุ้งๆซัดส่าย อันนั้นต่างหากที่เราถึงค่อยบอกว่า หาที่ไปไม่เจอแล้ว ก็กลับมาที่ฐานที่ตั้งเป็นท้องพองยุบ หรือลมหายใจเข้าออก ตรงนี้ถึงจะถูก คือพูดสั้นๆง่ายๆนะครับ ก็คือว่าคุณดูสิ่งที่กำลังปรากฏเด่น ณ ขณะนั้น โดยไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดสิ่งอื่นที่ยังไม่ได้ปรากฏขึ้นมา อะไรเด่นก่อนดูอันนั้นก่อน นี่คือหลักการของการเจริญสติ เพราะว่า สติ แปลว่าระลึกได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แล้วสิ่งนั้นมันแสดงความเที่ยงหรือไม่เที่ยง เนี่ยตัวนี้ถึงจะเรียกว่าสติ แต่ถ้าคุณบอกว่า ภาวนาท้องพองยุบแล้วเกิดความรู้สึกว่าท้องพองยุบหายไป อยากเรียกคืน อันนี้เป็นความอยากเป็นตัณหา มันไม่ใช่สตินะครับ

----------------------------------------------

๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตาแล้วเครียดเกิดจากอะไร?

คำถาม : เจริญภาวนาท้องพองยุบครับ ขณะกำหนดและสภาวะพองยุบหายหาไม่เจอ จึงกำหนดสิ่งที่ชัดที่สุดขณะนั้นครับ จนกลับมารู้สึกท้องพองยุบต่อ แต่ตอนนี้นี้รู้สึกจะเสพติดท้องพองยุบ แก้ไขสภาวะนี้อย่างไรดีครับ?

ระยะเวลาคลิป      ๖.๑๙  นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=a_FnLNSrpGo&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=4

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น