วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ทำอย่างไรให้รู้สึกตัวไวๆเวลาโกรธ?

 ดังตฤณ :  ความโกรธเนี่ย ถ้ามันกลายเป็นความเคยชินนะ มันไปจงใจให้มีสติรู้ทันไวๆไม่ได้หรอก ต้องเอาคู่ปรับของมันมาสู้ คู่ปรับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ชัดเจนอยู่แล้วก็คือ เมตตา ตัวเมตตาเป็นอริเป็นปฏิปักษ์กันกับความพยาบาท แล้วก็รวมมาถึงความมีโทสะอะไรขึ้นมาด้วย

ถ้าเราแผ่เมตตาเป็น ทำให้จิตของเรามีความว่าง มีความผ่องแผ้ว มีความพร้อมที่จะเผื่อแผ่ความสุขให้กับคนอื่น ดูใจจริงตรงที่ว่า เวลาเห็นใครเดือนร้อนแล้วเราอยากช่วยให้เขาพ้นจากความเดือดร้อน เวลามีโอกาสจะเอาเปรียบใครได้ เบียดเบียนใครได้ เรารู้สึกถอนออกมาทันที ใจถอนออกมา อย่างนี้เรียกว่าเมตตา เพราะว่ามันมีความพร้อมจะเผื่อแผ่ความสุข แล้วก็รักษาป้องกันตัวเขาจากอันตรายจากเรา คือไม่ตั้งตนเป็นอันตรายให้กับคนอื่น นี่ตัวนี้แหละคือเมตตาแล้ว

เมื่อมีเมตตา เมื่อมีความสุข แล้วรักษาใจนั้นไว้ มันก็เป็นสมาธิขึ้นมาได้ แค่คิดขึ้นมานะ วันนี้ผิดศีลข้อไหนมั้ย แล้วปรากฏว่าไม่มีผิดแม้แต่ข้อเดียว ก็รู้สึกแล้วว่ามันเบา เบาเพราะอะไร? เพราะว่าลักษณะของจิตที่ไม่ผิดศีล มันก็คือจิตที่มีเมตตาไม่คิดเบียดเบียนนั่นเอง มันก็เกิดความเบา ความผ่องใสขึ้นมา สำรวจตัวเองบ่อยๆ วันนี้ผิดศีลหรือเปล่า เราไม่ผิดศีลเราก็เบา เราก็รักษาความเบาไว้ มันก็กลายเป็นสมาธิเข้ามาอยู่กับจิตที่มันเบา ที่มันผ่องแผ้วจากการไม่เบียดเบียน นี่ตรงนี้ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการแผ่เมตตาแล้ว

คุณสังเกตง่ายๆ ถ้าใจของเราแผ่ออกด้วยความผ่องแผ้ว ไม่คิดเบียดเบียน ไม่คิดเอาเปรียบใคร คิดจะช่วยคนอื่นอยู่เป็นนิจ ใจมันจะค่อยๆขยายออก ขยายออก แล้วก็รู้สึกว่างออกมาจากตรงกลาง ลักษณะความว่าง ลักษณะความที่มันตั้งอยู่กับความสบายอกสบายใจผ่องแผ้วแบบนั้นได้ นี่แหละเป็นลักษณะของการแผ่เมตตา

พอแผ่เมตตาจนคุณรู้สึกว่าใจมันเป็นหนึ่งได้ง่ายๆ คือไม่ใช่ต้องมาหลับตาทำสมาธิเสมอไป เอาแค่นึกถึงว่า ใจของเรากำลังเบาอยู่ หรือว่าหนักอยู่ แล้วพบว่ามันเบา เบาแบบที่พร้อมจะเป็นหนึ่ง เบาแบบที่มันจะไม่ซัดส่ายไปไหน นี่ตัวนี้แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสเป๊ะเลย คือ ศีลเป็นเหตุให้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจในระหว่างมีชีวิต เป็น ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม เป็นสิ่งที่สามารถเห็นผลได้ เห็นในชาตินี้ทันตา

ผู้ที่มีศีลเป็นปกติย่อมตั้งเป็นสมาธิได้ง่าย เพราะอะไร? เพราะใจมันสงบอยู่ว่างๆเป็นหนึ่งเดียวไม่ซัดส่าย ไม่มีความกังวล ไม่มีความอยากไปเบียดเบียนใครให้เดือดเนื้อร้อนใจ มันมีความเย็น มันมีลักษณะของความเบา มีความพร้อมจะสว่างแผ่ออกมาจากตรงกลาง ตรงนี้แหละถ้าเราจำไว้เป็นคำเดียว ถ้าเราฝึกแผ่เมตตาอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่ไปฝึกแผ่ด้วยคำว่า สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ แล้วหลับตาอย่างเดียว เสร็จแล้วใจยังหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ดูอยู่ระหว่างวันเป็นปกติว่า ถ้าใจเราเบาจากการเบียดเบียน อันนี้เรียกว่าสะสมการแผ่เมตตา มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น แล้วจะมีผลให้ตอนคุณถูกกระทบ หรือว่าถูกกระตุ้นให้โกรธให้เคือง ให้เกิดความไม่พอใจ มันเห็นถนัดว่า มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นในความว่างความเบาความเย็นนั้น มันกลายเป็นความร้อน มันกลายเป็นความขัด ความเคือง มันกลายเป็นอะไรที่ระคาย ไม่เบา ไม่ว่าง ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่ใส

การเห็นได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในใจที่ว่าง ที่วาง ที่เย็น นั่นแหละคือการมีสติในตัวแล้ว สติเท่าทันความโกรธได้โดยไม่ต้องมาเบ่งกำลังภายในว่าทำยังไงจะดับได้ทันนะครับ ความโกรธเข้ามาตอนไหนเราจะไม่เผลอตัวอีก

คิดจะเบ่งกำลังภายในแบบนั้นมันทำไม่สำเร็จหรอก เพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติของจิตที่จะมีสติรู้เท่าทันความโกรธในขณะที่เรายังคิดเบียดเบียนใครเขาอยู่ ยังคิดอยากเอาเปรียบเขา ยังคิดไม่อยากช่วยเหลืออะไรใครเลย จิตแบบนั้นมันไม่มีทางเท่าทันโทสะที่มันไวกว่า ไวกว่าหลายร้อยหลายพันเท่านะครับ

---------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม : ทำอย่างไรให้รู้สึกตัวไวๆเวลาโกรธ?

ระยะเวลาคลิป        ๕.๓๙ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=h3XFkZtrDso&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น