ถาม
: (31.16) ก่อนนี้ อยู่ในรูปแบบ คือจงกรม
และวิ่ง เพราะเป็นคนฟุ้ง วิ่งแล้วดูเท้ากระทบพื้น แต่ช่วงหลังรูปแบบก็ไม่มี
เหมือนทำงานแล้วใจอยากจะดูหนังฟังเพลง อีกเรื่องคือ ไม่มีสมาธิเลย อยากขอคำแนะนำ
ว่าอยากกลับมาในลู่ทางควรทำอย่างไร รู้สึกตัวน้อยมาก รู้เฉพาะตอนออกกำลังกายหนักๆ
ดังตฤณ : ปัญหาของคนส่วนใหญ่
ที่ทำไม่สม่ำเสมอ หรือทำไม่สุด หรือทำแล้วจิตไม่ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ก็คือ
การตกกลับมาเป็นธรรมดา
ทีนี้
ถ้าเราตั้งเป้าเอาให้มีความชัดเจน เอาให้มีความก้าวหน้า หรือว่าเราคิดว่า เออ ทำอย่างไร
อย่างน้อยขอให้กลับไปเท่าเดิมก็ยังดี อะไรอย่างนี้ สิ่งแรกที่จะทำก็คือ
จัดการกับความคาดหวังของตัวเองให้ได้
คือทันทีที่เราคิดว่า
ทำอย่างไรจะกลับไปเท่าเดิม ทำอย่างไรที่จะดีขึ้น ทันทีนั้น ใจเราไม่อยู่กับปัจจุบันแล้ว
มันกระโดดไปที่อนาคต หรือไม่ก็ถวิลหาอดีต อันนี้เข้าใจไหม ความสำคัญของความคาดหวัง
ที่เราต้องจัดการเป็นอันดับแรกเพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราคาดหวังผิด
เราจะไม่มีทางได้ดีกับปัจจุบัน มันจะได้ดีแต่ในอนาคตที่มันอยู่ในจินตนาการ
อันดับแรก ความคาดหวังนะ
อันดับที่สองคือ
การทบทวนว่าที่เราเคยได้ดีนี่ มีหนึ่ง สอง สาม อย่างไร ถ้าเราจำได้นะ
คนที่เคยทำแล้วได้ดี ก้าวแรก คือก้าวที่ทำแบบไม่มีความคาดหวัง ไม่รู้อะไรเลย
รู้แต่ว่า เออ ถ้าทำอย่างนี้ไป จะเป็นก้าวแรก พูดง่ายๆ ว่า
เริ่มจากก้าวแรกที่เล็กที่สุด ที่เราคิดว่าตอนนี้เราทำได้เลย
แต่ของเรานะ
ที่ผ่านมา จะวาดภาพ วาดภาพเดิมสวยหรู แล้วก็จะทำอย่างไร
ตั้งโจทย์ว่าจะกระโดดไปอยู่ภาพนั้น นึกออกใช่ไหม ว่าเราคาดหวังแบบนี้ ทีนี้
ถ้าเราทบทวนไป ตอนนั้น ที่เราวิ่ง เราไม่คาดหวังแบบนั้น ไม่มีภาพล่วงหน้า
มีแต่ความตั้งใจว่า เออ เราเข้าใจแล้ว คอนเซ็ปต์ (Concept) นี่คือ รู้เท้ากระทบถี่ๆ
จะได้แย่งพื้นที่ความฟุ้งซ่าน เห็นไหม เริ่มจากไม่คาดหวัง แล้วลงมือทำ
แบบไม่คิดอะไรมาก แค่เข้าใจ คอนเซ็ปต์เป็นอย่างไร แล้วก็ได้ผล เคยได้ผล
แต่ที่ทำแล้วไม่ได้ผลอีก
เพราะว่าเราคาดหวังต่างไป เรานึกว่าทำอย่างไรจะให้ได้ทันที แล้วทำอย่างไรจะไม่ต้องเหนื่อยแบบนั้นอีก
แต่ได้ผลเท่ากัน หรือยิ่งกว่า คนนี่จะคิดอย่างนี้ คือที่เหนื่อยมาแล้ว
จะเสียดายว่าถ้าต้องไปทำอีก แปลว่าสูญเปล่าสิ
คือหมายความว่า
ที่เคยทำได้แล้ว มันสูญเปล่าไปแล้ว เราต้องมาทำใหม่อีก เหมือนกับการเกิดใหม่น่ะ
เราต้องมาเรียนรู้ใหม่ แล้วก็เริ่มทุกอย่างใหม่หมด อันนี้
ถ้าเราตั้งมุมมองไว้ถูกต้อง เห็นไหม ที่พูดทั้งหมดนี่ ไม่ได้มีวิธีอะไรใหม่นะ
แต่เป็นแค่การจัดการกับความคาดหวังของตัวเอง และการก้าวกระโดด แบบไม่สมเหตุสมผลเท่านั้นเอง
ของเราทุนดีอยู่แล้ว
จิตเราจริงๆ พร้อมจะตั้งมั่นนะ แต่เราขี้เกียจที่จะทำเหตุ
เรื่องสมาธินี่
คือคนเราในเมือง มักจะนึกไม่ถึงนะ มีคำอยู่คำหนึ่งที่เป็นคีย์เวิร์ด คือ เครื่องขวางสมาธิ
คนมักจะนึกไม่ออก แล้วจริงๆ คือจะโทษเราก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นธรรมชาติธรรมดาของคนที่อยู่ทางโลก
ก็ต้องอยากสนุก ไม่งั้นจะอยู่ไปทำไม ไปบวชไม่ดีเหรอ เป็นธรรมดาที่เราจะอยากสนุก
แต่เราต้องเข้าใจให้ชัด
ว่าที่เราไม่มีสมาธิ เพราะมีเครื่องขวางเป็นความบันเทิง
และความบันเทิงในยุคนี้มันแรงเหลือเกิน แรงถึงขั้นที่ทำให้ใจเราไม่สามารถโฟกัสกับอะไรนิ่งๆ
ได้ จะให้มาจิตสงบว่างเป็นหนึ่ง แบบง่ายๆ แค่หลับตาแล้ว นิ่ง ว่าง สว่างทันที
ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเครื่องขวางนั้นไม่ได้อยู่ในแบบ รูป รส กลิ่น เสียงเสมอไป
แต่อยู่ในรูปของความคิด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
กาม ที่แท้แล้วคือการตรึก นึกถึง ถ้าใจเราไม่ตรึกนึกถึง
ก็คือไม่มีเครื่องขวางสมาธิ แต่ตราบใดที่ใจเรา อยู่ในอาการตรึกนึกถึง ตราบนั้น
เราเอาเครื่องขวางสมาธิมาบล็อคสมาธิตัวเอง แล้วเราจะมองไม่เห็น ตราบเท่าที่เรายังไม่กำจัดเครื่องขวางนั้นทิ้ง
ทีนี้ไม่อยากให้ไปสับสนว่า
แบบว่ารักพี่เสียดายน้อง อยากสนุกก็สนุกไป แต่ให้รู้ตัวเท่านั้นว่า ณ เวลานั้น
ไม่ใช่โอกาสของสมาธิ ให้รู้ว่านั่นคือ เราเอาเครื่องขวางมา บันเทิงไป ก็สนุกไป
พอเราเบื่อ เราก็มาทำสมาธิ
เห็นไหม นี่ก็ได้ทั้งทางโลกทางธรรม ดีกว่าที่ไม่ทำสมาธิเลย นะ
________________
รายการดังตฤณวิสัชนา ณ
ศูนย์เรียนรู้วรการ คลิปที่ 2
วันที่ 11 ตุลาคม 2563
ถอดคำ / เรียบเรียง
:
เอ้
รับชมคลิปเต็ม : https://www.facebook.com/watch/?v=434789157611672
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น